Monday, 16 June 2025
POLITICS NEWS

รมต.ประจำสำนัก ชวน ปชช. สวดมนต์อยู่บ้าน พร้อมกัน 11 พ.ค. นี้ - สร้างขวัญกำลังใจ สู้โควิด-19 

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า จากกรณีที่สถานการณ์แพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 ระลอกใหม่ ที่พบจำนวนผู้ติดเชื้อเป็นจำนวนมาก และมีผู้เสียชีวิตหลายราย สร้างความวิตกกังวลแก่ประชาชน ทำให้ไม่สามารถใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ตนจึงมอบหมายให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์พร้อมกันทั่วประเทศ ซึ่งมหาเถรสมาคมมีมติเห็นชอบกำหนดจัดพิธีดังกล่าว ขึ้นในวันที่ 11 พฤษภาคม 2564 เวลา 17.00 น. เป็นต้นไป โดยมีสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เป็นประธานฝ่ายสงฆ์ และนายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานฝ่ายฆราวาส 

สำหรับการจัดพิธีในพื้นที่ส่วนกลาง จะจัดขึ้นที่วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เขตพระนคร วัดไตรมิตรวิทยาราม เขตสัมพันธวงศ์ และ วัดพระเชตุพนวิมลมังคราราม เขตพระนคร ส่วนภูมิภาค กำหนดให้วัดในนามเขตปกครองหนต่างๆ ดังนี้ เขตปกครองหนกลาง ณ วัดพนัญเชิงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา เขตปกครองหนเหนือ ณ วัดพระสิงห์ จังหวัดเชียงใหม่ เขตปกครองหนตะวันออก ณ วัดพระธาตุเชิงชุม จังหวัดสกลนคร และ เขตปกครองหนใต้ ณ วัดกระพังสุรินทร์ จังหวัดตรัง ในส่วนของวัดอื่นทั่วไปและวัดไทยในต่างประเทศให้พิจารณาจัดพิธีตามความเหมาะสม

นายอนุชา กล่าวว่า การจัดพิธีเจริญพระพุทธมนต์ครั้งนี้ เป็นการสร้างขวัญและกำลังใจให้กับประชาชน รวมถึงเพื่อความเป็นสิริมงคลแก่ประเทศชาติ ซึ่งสถานการณ์ปัจจุบันที่ทุกคนเผชิญอยู่ อาจทำให้เกิดความเครียด การสวดมนต์ ทำสมาธิจะช่วยทำให้จิตใจสงบมากขึ้น โดยขอให้ทุกคนมีสติ ใช้ชีวิตแบบนิวนอร์มอลให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ร่วมมือกันเพื่อก้าวผ่านวิกฤตครั้งนี้ไปให้ได้ โดยประชาชนที่ต้องการเข้าร่วมพิธี ไม่จำเป็นต้องเดินทางไปที่วัด ขอให้ติดตามการถ่ายทอดสดทางช่อง NBT และร่วมพิธีเจริญพระพุทธมนต์ไปพร้อมกันผ่านทางหน้าจอทีวีอยู่ที่บ้าน ลดการรวมกลุ่มคนจำนวนมาก ลดความเสี่ยงในการติดเชื้อโควิด-19

"ณัฐชา" จี้ "ตรีนุช" เร่งเบิกจ่ายงบครุภัณฑ์ 2.7 พันล้าน ให้ทันก่อนเปิดภาคเรียนปี 64

เมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.กทม. และโฆษกพรรคก้าวไกล​ กล่าวถึงความคืบหน้าหลังได้รับการร้องเรียนจากโรงเรียนหลายแห่งในพื้นที่ กทม. และต่างจังหวัดที่ขาดแคลนอุปกรณ์การเรียนการสอนจำนวนมาก ซึ่งกำลังรอให้สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน(สพฐ.) สังกัดกระทรวงศึกษาธิการ จัดสรรงบประมาณดังกล่าวให้กับโรงเรียนเพื่อให้ทันต่อการเปิดภาคเรียนประจำปี 2564 ว่า สพฐ. ได้รับการจัดสรรงบครุภัณฑ์การศึกษาประจำปี ตาม พรบ.งบประมาณ 2564 ที่จำเป็นต่อการเรียนการสอนของนักเรียนให้กับโรงเรียนนั้น ตนได้ตรวจสอบงบประมาณที่ สพฐ. ได้รับเฉพาะครุภัณฑ์ จึงอยากถามไปยัง น.ส.ตรีนุช  เทียนทอง รมว.ศึกษาธิการ ว่าเหตุใดจึงไม่เร่งรัดจัดสรรงบประมาณจำนวน 2,700 กว่าล้านบาทให้โรงเรียนที่รอคอยอุปกรณ์การสอน โดยขณะนี้เวลาล่วงเลยมากว่า 8 เดือนแล้ว อีก 4 เดือนก็สิ้นปีงบประมาณ และพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ก็ได้มีการเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงวิกฤตโควิด-19

“ในฐานะผู้แทนราษฎรที่เป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน จะติดตามเรื่องนี้ให้ถึงที่สุดและก็จะทำหนังสือทวงถามถึงน.ส.ตรีนุช และพล.อ.ประยุทธ์ ให้เร่งรัดจัดสรรงบประมาณที่เป็นภาษีอากรของพี่น้องประชาชนเพื่อมาดูแลบุตรหลานของพวกเขาให้มีอุปกรณ์การเรียนการสอน เด็กนักเรียนรออุปกรณ์การเรียนเหล่านี้อยู่” นายณัฐชา กล่าว

เพจไทยคู่ฟ้า ตีปี๊ปข่าวดี! ไทยได้สิทธิผลิตยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 เพจไทยคู่ฟ้าเผยแพร่ข้อมูลข่าวดี! ไทยได้สิทธิผลิตยาฟาวิพิราเวียร์แล้ว
โดยมีเนื้อหาระบุว่า “อันที่จริงประเทศไทยมีเทคโนโลยีและความสามารถในการผลิตยาฟาวิพิราเวียร์เพื่อรักษาผู้ป่วยโควิด-19 แต่ที่ผ่านมาต้องนำเข้าจากต่างประเทศ เพราะติดปัญหาเรื่องสิทธิในการผลิต 

ล่าสุดกรมทรัพย์สินทางปัญญามีคำสั่งปฏิเสธคำขอจดทะเบียนสิทธิบัตรยาฟาวิพิราเวียร์ ด้วยเหตุผลที่ว่าคำยื่นขอสิทธิบัตรของบริษัทที่ยื่นขอเข้ามานั้น "ไม่มีขั้นการประดิษฐ์ที่สูงขึ้น"

ทำให้ปัจจุบันไม่มีผู้ใดมีสิทธิผูกขาดในยาชนิดนี้ ทั้งในโครงสร้างสารออกฤทธิ์หลัก ซึ่งไม่เคยมีการขอรับสิทธิบัตรในประเทศไทย และรูปแบบยาเม็ด 

ดังนั้น หากองค์การเภสัชกรรมหรือบริษัทยาสามัญไทยรายอื่นต้องการจะผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ เพื่อใช้ในประเทศก็สามารถทำได้

ขณะนี้องค์การเภสัชกรรมได้ประสานสั่งซื้อวัตถุดิบสำหรับผลิตยาฟาวิพิราเวียร์ไว้แล้ว 5 แหล่ง จากประเทศจีน 1 แหล่ง อินเดีย 4 แหล่ง ซึ่งเป็นแหล่งวัตถุดิบที่มีมาตรฐานและผู้ผลิตยาทั่วโลกใช้วัตถุดิบจากแหล่งต่าง ๆเหล่านี้ 

#ไทยคู่ฟ้า #รวมไทยสร้างชาติ #ร่วมต้านโควิด19

‘หัวหน้าพรรคก้าวไกล’ ร่วมให้กำลังใจ ‘แม่’ ผู้ต้องหาคดี 112 ย้ำ ต่างชาติกำลังจับตามอง ยืนยัน ผู้ต้องหาทุกคนต้องได้ ‘ประกันตัว’ เพราะเป็นสิทธิพลเมืองและหลักการสากล

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ.2564 ที่ศาลอาญารัชดา กรุงเทพมหานคร พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย อมรัตน์ โชคปมิตต์กุล, เบญจา แสงจันทร์, สุทธวรรณ สุบรรณ ณ อยุธยา เดินทางมายังศาลอาญารัชดา กรุงเทพมหานคร เพื่อให้กำลังใจมารดาของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 พร้อมร่วมติดตามผลการขอยื่นประกันตัว หลังจากมารดาของของนายพริษฐ์ ชิวารักษ์ หรือเพนกวิน แกนนำกลุ่มราษฎร และมารดาของ น.ส.ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล หรือรุ้ง แกนนำกลุ่มราษฎร ได้ยื่นคำร้องขอปล่อยชั่วคราวผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 โดยวางหลักประกันคนละ 200,000 บาท ศาลอาญานัดไต่สวนคำร้องในวันนี้

พิธา กล่าวว่า ในวันนี้ได้ร่วมเดินทางมาพร้อม ส.ส.ของพรรคก้าวไกล เพื่อให้กำลังใจมารดาของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ซึ่งตนไม่ได้มาเเค่ในฐานะนักการเมืองหรือผู้แทนราษฎรที่จะต้องมีหน้าที่ปกป้องสิทธิเสรีภาพของพี่น้องประชาชน แต่มาในฐานะเพื่อนมนุษย์เเละในฐานะของพ่อคนด้วย โดยรู้สึกผิดหวังเเละหดหู่กับสิ่งที่เกิดขึ้น ในวันนี้จึงมาเพื่อให้กำลังใจเเละเเสดงความนับถือคุณแม่ของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ทุกคน และต้องการมาร่วมยืนยันว่า สิทธิประกันตัวผู้ต้องหา หรือ sanction of innocent เป็นสิทธิพลเมือง และสิทธิทางการเมืองตามหลักสากลที่ประเทศไทยได้เข้าร่วมในภาคีเครือข่ายกับอีก 172 ประเทศ พรรคก้าวไกลจะไม่นิ่งนอนใจต่อกรณีที่เกิดขึ้นเเละกำลังปรึกษาหารือว่าจะมีวิธีใดในการทำให้กฎหมายถูกนำกลับมาใช้เพื่อปกป้องสิทธิเสรีภาพประชาชน ไม่ได้ใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองในการปิดปากผู้เห็นต่าง

“ในฐานะพ่อรู้สึกได้ว่าเวลาที่ลูกเจ็บปวด เราก็เจ็บปวดไปด้วย แต่เราก็แสดงออกไม่ได้ เพราะเราต้องเป็นหลักให้กับลูกของเรา ผมขอให้กำลังใจเเละเเสดงความนับถือคุณแม่ของผู้ต้องหาในคดีมาตรา 112 ทุกคน ขณะนี้ต่างชาติเริ่มจับตามองว่า กระบวนการพิจารณาในกระบวนการยุติธรรมของศาลไทยมีความเสมอภาคหรือไม่ และกฎหมายไทยมีไว้เพื่อคุ้มครองปกป้องเสรีภาพของประชาชนหรือมีไว้เพื่อใช้เป็นเครื่องมือทางการเมืองกันแน่ นี่คือเป็นสิ่งที่ผมกังวลใจโดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงวิกฤติเศรษฐกิจเเละวิกฤติโควิดเป็นแบบนี้ ” พิธา กล่าว

ขณะที่แม่ของ นายพริษฐ์ ชีวารักษ์ กล่าวว่า วันนี้มีความคาดหวังกับการได้ปล่อยตัวชั่วคราว เนื่องจากศาลได้นัดไต่สวนเป็นครั้งแรก หลังจากที่ยื่นขอประกันมาแล้วหลายครั้ง ส่วนอาการเจ็บป่วยของพริษฐ์ ขณะนี้ยังอยู่ในความดูแลของแพทย์โรงพยาบาลรามาธิบดี และยังไม่ได้เคยได้เข้าเยี่ยม หากศาลมีเงื่อนไขในการปล่อยตัวเชื่อว่าลูกชายก็จะสามารถปฏิบัติตามได้ พร้อมขอบคุณ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เเละส.ส.ของพรรคที่เดินทางมาให้กำลังใจ รวมถึงขอบคุณ ส.ส.พรรคฝ่ายค้าน คณาจารย์มหาวิทยาลัย เเละนักกฎหมายต่าง ๆ ที่ส่วนร่วมในผลักดันเเละช่วยเหลือบุตรชายของตน เเละผู้ต้องหาในคดีมาตรา112 ทุกคนมาโดยตลอด หวังว่าในวันนี้จะได้รับข่าวดี ลูกชายคือแก้วตาดวงใจ กลับบ้านอย่างปลอดภัย เเละพร้อมปฏิบัติตามข้อเสนอของศาลทุกประการ

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในวันนี้ สุรีย์รัตน์ ชิวารักษ์ แม่ของพริษฐ์, อรวรรณ แก้ววิบูลย์พันธุ์ แม่ของไชยอมร และสุริยา สิทธิจิรวัฒนกุล แม่ของปนัสยา พร้อมด้วยทนายความ และ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคพรรคก้าวไกล รวมถึง ส.ส. พรรคก้าวไกล เดินทางมาร่วมฟังคำไต่สวนของศาลและให้กำลังใจครอบครัวของทั้ง 3 คน ขณะที่พื้นที่โดยรอบนอกศาลอาญาได้มีการปิดประตูทางเข้า-ออก ไม่อนุญาตให้ผู้ที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาภายในอาคารศาลอาญา ส่วนผู้ที่เข้ามาติดต่อราชการให้เข้าออกประตูฝั่งศาลแพ่งแทน โดยมีกำลังตำรวจดูแลความเรียบร้อยบริเวณด้านนอก

คลัง เปิดคนละครึ่งเฟส3 ให้ลงทะเบียนเพิ่ม 16 ล้านคน

นางสาววกุลยา ตันติเตมิท ผู้อำนวยการสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง ในฐานะโฆษกกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการเปิดโครงการคนละครึ่ง ระยะ 3 ว่า สำหรับคนที่เข้าร่วมคนละครึ่งระยะ 1 และ 2 ไปแล้ว จำนวน 15 ล้านคน ไม่ต้องลงทะเบียนใหม่ แต่ต้องกดยินยอมตกลงรับเงื่อนไขก่อนถึงจะเข้าร่วมได้ ส่วนคนที่ไม่เคยเข้าร่วมมาก่อน จะต้องมาลงทะเบียนเพิ่มเติมซึ่งจะกำหนดวันเปิดลงทะเบียนในเร็ว ๆ นี้ โดยมีเป้าหมายเพิ่มอีก 16 ล้านคน  

ส่วนโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ 13.65 ล้านคน และ โครงการเพิ่มกำลังซื้อให้ผู้ต้องการความช่วยเหลือพิเศษ 2.5 ล้านคน  รัฐบาลจะโอนเงินเพิ่มให้เดือนละ 200 บาท เป็นเวลา 6 เดือน ขณะที่โครงการ ยิ่งใช้ ยิ่งได้ เป้าหมาย 4 ล้านคน มีเป้าหมายเพื่อกระตุ้นการใช้จ่ายของกลุ่มผู้มีกำลังซื้อ โดยรัฐบาลจะสนับสนุนคูปองเงินสดอิเล็กทรอนิกส์ให้สูงสุด 7,000 บาทต่อคน ซึ่งรายละเอีอดนั้นจะมีการกำหนดออกมาอีกครั้ง 

นอกจากนี้ในโครงการเราชนะกลุ่มเป้าหมาย 32.9 ล้านคน และ โครงการม.33 เรารักกัน กลุ่มเป้าหมาย  9.29 ล้านคน  ที่รัฐบาลจะเพิ่มวงเงินให้อีกคนละ 2,000 บาท ซึ่งคลังจะเสนอรายละเอียดเพิ่มเติมในที่ประชุม ครม. สัปดาห์หน้า เพื่อให้มีเม็ดเงินเข้าสู่ระบบได้ภายในเดือนพ.ค.นี้ และใช้จ่ายได้จนถึงสิ้นเดือนมิ.ย. 64 เพื่อช่วยประคับประคองเศรษฐกิจของประเทศ

มาแล้ว เนติบริกร ‘วิษณุ’ ยันคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ "ธรรมนัส" ไม่พ้นตำแหน่งไม่ขัดความเห็นกฤษฎีกา ชี้พ้นโทษมาแล้วเกิน 5 ปี ระบุ กระแสวิจารณ์เรื่องจริยธรรมไม่เกี่ยวข้อกฎหมาย

เมื่อวันที่ 6 พ.ค. นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมาย ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสวิพากษ์วิจารณ์คำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ให้ ร.อ. ธรรมนัส พรหมเผ่า รมช.กระทรวงการเกษและสหกรณ์ ไม่พ้นจากตำแหน่ง ส.ส.และรัฐมนตรี เนื่องจากไม่ขาดคุณสมบัติและลักษณะต้องห้ามการเป็น ส.ส.และ รัฐมนตรี กรณีเคยต้องคำพิพากษาถึงที่สุดของศาลแขวงรัฐนิวเซาท์เวลส์ เครือออสเตรเลีย ความผิดคดียาเสพติด เมื่อปี 2536 ว่า เคยมีความเห็นคณะกรรมการกฤษฎีกามีคำสั่ง ว่าหากถูกพิพากษาจำคุกในหรือต่างประเทศ ตั้งแต่ 2 ปีขึ้นไป โดยพ้นโทษมาแล้วไม่ถึง 5 ปี ถือว่าเป็นบุคคลต้องห้าม ขาดคุณสมบัติการเป็น ส.ส. แต่กรณี ร.อ.ธรรมนัสถูกตัดสินลงโทษจำคุกคดียาเสพติด ตั้งแต่ ปี 2536 และพ้นโทษ เมื่อปี 2540 ถือว่าพ่นโทษมาแล้วเกิน 5 ปี จึงถือว่าไม่ขาดคุณสมบัติตามกฎหมาย

นายวิษณุ กล่าวถึงการวิพากษ์วิจารณ์ ความเหมาะสม จริยธรรม ว่า ถือเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แล้วแต่จะวิจารณ์กัน ส่วนจะยื่นเรื่องให้ ป.ป.ช. วินิจฉัยในเรื่องคุณธรรม จริยธรรมหรือไม่นั้นตนไม่ทราบ แต่ในข้อกฎหมาย ถือว่าสิ้นสุดตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อถามว่า จากที่เป็นประเด็นถกเถียงข้อกฎหมาย ศาลรัฐธรรมนูญควรจะทำคำชี้แจงกับสังคมหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่จำเป็นต้องชี้แจงหรือพูดอะไรเพิ่มเติม เพราะได้วินิจฉัยจบแล้ว ส่วนผลทางวิชาการ ทางการเมือง แล้วแต่จะวิจารณ์กันไป ขณะเดียวกันคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีนี้ ถือเป็นบรรทัดฐานที่ใช้ได้กับทุกคน เพราะไม่เคยมีคำวินิจฉัยมาก่อน และใช้ได้กับความผิดทุกกรณี ไม่เฉพาะแต่ความผิดคดียาเสพติดอย่างเดียว แต่ไม่ใช่การล้างมลทิน เพราะเป็นเรื่องคำวินิจฉัยเกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม ซึ่งอาจจะมีมลทินก็ได้

‘สัณหพจน์’ จี้ ‘พาณิชย์’ เร่งรับซื้อ ‘พริกเขียว’ เท่าเทียม หลังพบไปซื้อแต่ที่ ‘สงขลา’ แต่ไม่แวะมา ‘นครศรีฯ’

ส.ส.พปชร. นครศรีฯ ติงกระทรวงพาณิชย์โดยกรมการค้าภายใน วางกรอบการรับซื้อ ‘พริกเขียว’ อย่างเป็นรูปธรรม มีมาตรการที่ชัดเจน เป็นมาตรฐานเดียวกัน หลังเกษตรกรพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง ยังคงเดือดร้อนหนัก ขายพริกราคาขาดทุน แนะหน่วยงานรัฐเกษตรฯ-พาณิชย์ บูรณาการทำงานร่วมกัน

นายสัณหพจน์ สุขศรีเมือง ส.ส.เขต2 จ.นครศรีธรรมราช และรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวถึงกรณีที่ กระทรวงพาณิชย์โดย กรมการค้าภายใน ออกมาตรการสนับสนุนงบประมาณช่วยเหลือรับซื้อพริกขี้หนูดวงมณี หรือ พริกเขียวหัวไทร ราคากก.ละ 5 บาท จำนวนเป้าหมาย 3,000 ตัน ว่า วานนี้ (5 พ.ค.64) ตนได้ทราบข้อมูลจาก ร.ต.อ.อรุณ สวัสดี ส.ส.เขต 4 จ.สงขลา พรรคพลังประชารัฐ ถึงกระบวนการรับซื้อพริกเขียวในพื้นที่จ.สงขลา

ทั้งนี้พบว่า กรมการค้าภายใน โดยสำนักงานพาณิชย์จังหวัดสงขลา ได้ประสานให้ผู้รับซื้อพริกเขียว จากเกษตรกรในพื้นที่ในพื้นที่ อ.ระโนด และอ.สทิงพระ จ.สงขลา ในราคา กก.ละ 10 บาท แล้ว พร้อมทั้งบันทึกหลักฐานการรับซื้อจากเกษตรกรแต่ละราย เพื่อจะได้สนับสนุนงบช่วยเหลือ 5 บาท/กก.ให้กับเกษตรกร โดยมีจำนวนการรับซื้อที่ 1,000 ตัน

ขณะที่ จ.นครศรีธรรมราช ปัจจุบัน เกษตรกรผู้ปลูกพริกในพื้นที่ลุ่มน้ำปากพนัง จำนวน 1,072 ราย พื้นที่ปลูกกว่า 2,000 ไร่ ใน 6 อำเภอคือ อ.เชียรใหญ่ อ.ชะอวด อ.หัวไทร อ.ปากพนัง อ.เฉลิมพระเกียรติ และอ.เมือง ผลผลิตรวมประมาณ 10,117 ตัน/ฤดูกาล ยังคงประสบปัญหาดังกล่าวอยู่ เนื่องจากผู้รับซื้อได้รับซื้อผลผลิตในราคา กก.ละ 7-8 บาท จากที่ก่อนหน้านี้ 2-3 วันที่ผ่านมา ราคาพริกเขียวตกต่ำจนถึง กก.ละ 6 บาท โดยผู้รับซื้อแจ้งว่ายังไม่ได้รับการประสานงานจากหน่วยงานราชการใด ๆ

“จากปัญหาความเดือดร้อนดังกล่าวของพี่น้องเกษตรกร ทำให้เกษตรกรส่วนใหญ่ยังไม่เก็บผลผลิต เนื่องจากกำลังรอการอนุมัติงบช่วยเหลือจากกรมการค้าภายในก่อน ซึ่งในช่วงนี้มีฝนตกหนักในพื้นที่ ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคกุ้งแห้ง ซึ่งจะทำให้พริกยืนต้นตาย ยิ่งจะทำให้เกษตรกรขาดทุนมากยิ่งขึ้น

เบื้องต้นทราบแต่เพียงการกำหนดจำนวนรับซื้อที่ 1,000 ตันนั้น ซึ่งเท่ากันทั้ง 2 จังหวัดคือ จ.สงขลา และจ.นครศรีฯ หากเปรียบเทียบจำนวนผลผลิตแล้ว จ.สงขลาผลิตได้วันละ 20 ตัน ขณะที่จ.นครศรีฯ มีผลผลิตพริกออกสู่ตลาดมากถึงวันละ 80-100 ตัน ผลผลิตรวมต่อฤดูกาลถึง 10,117 ตัน/ฤดูกาล ซึ่งตนมองว่า มีสัดส่วนที่ไม่เหมาะสม” นายสัณหพจน์ กล่าว

ดังนั้นตนจึงอยากให้ กรมการค้าภายในได้กำหนดกรอบการรับซื้อพริกเขียวจากเกษตรกรอย่างเป็นรูปธรรม ชัดเจน และเป็นมาตรฐานเดียวกัน ที่สำคัญต้องดำเนินการโดยเร่งด่วน ทั้งนี้เนื่องจากผลผลิตพริกของเกษตรกรมีการเก็บเกี่ยวและออกสู่ตลาดทุกวัน หากปล่อยไว้นาน จะทำให้เกษตรกรเดือดร้อน ประสบกับปัญหาขาดทุนอย่างต่อเนื่อง

อย่างไรก็ตามการแก้ไขปัญหาดังกล่าว จำเป็นจะต้องบูรณาการการทำงานร่วมกันในพื้นที่ ทั้งหน่วยงานของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และกระทรวงพาณิชย์ ขณะที่ภาคประชาชนสังคม และ ส.ส.หรือผู้แทนพี่น้องประชาชนในพื้นที่ พร้อมที่จะสนับสนุนอย่างเต็มที่ วันนี้จำเป็นที่จะต้องทำงานแข่งกับเวลา เพราะพี่น้องประชาชนกำลังเดือดร้อน

ไทย-สหราชอาณาจักร พร้อมร่วมมือด้านวัคซีนควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 เดินหน้าการลงทุนทั้งทวิภาคิและพหุภาคี

วันที่ 6 พฤษภาคม 2564 ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ต้อนรับ นายไบรอัน จอห์น เดวิดสัน (H.E. Mr. Brian John Davidson) เอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ที่เข้าเยี่ยมคารวะเพื่ออำลาในโอกาสพ้นจากหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในนามรัฐบาลและประชาชนชาวไทย ขอแสดงความเสียใจต่อการสิ้นพระชนม์ของดุ๊กแห่งเอดินบะระ เชื่อว่าพระกรณียกิจที่พระองค์ทรงทุ่มเทเพื่อสาธารณประโยชน์จะอยู่ในความทรงจำของทั่วโลกตลอดไป ขอบคุณเอกอัครราชทูตที่ทำหน้าที่อย่างแข็งขัน เป็นส่วนสำคัญในการขับเคลื่อนความร่วมมือที่ดีตลอดช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งในไทย

ด้านเอกอัครราชทูตสหราชอาณาจักรประจำประเทศไทย ขอบคุณนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลไทยสำหรับความร่วมมือที่ดีตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความสัมพันธ์ระดับทวิภาคี และพหุภาคีระหว่างกันเป็นไปด้วยดี เชื่อมั่นว่าไทยและอาเซียนยังมีศักยภาพในการเติบโตอีกมาก พร้อมที่จะสนับสนุนนักลงทุนจากสหราชอาณาจักรให้เข้ามาลงทุนในไทยมากขึ้น ในสาขาที่มีศักยภาพร่วมกัน อาทิ ด้านพลังงาน ยานยนต์ไฟฟ้า และอื่นๆ ทั้งนี้ ขอบคุณที่ไทยตอบรับข้อเสนอเพื่อยกระดับประเทศไทยสู่ 10 อันดับประเทศที่ประกอบธุรกิจง่ายที่สุด (Ten for Ten) เชื่อมั่นไทยจะได้รับความสนใจด้านการลงทุนมากขึ้น อีกทั้ง ชื่นชมแนวทางการทำงานของไทย แนวคิดการจัดการวัคซีนของไทยที่ต้องการให้เป็นยาพื้นฐานที่ทุกคนเข้าถึงได้ ซึ่งวัคซีนแอสตร้าซีเนก้าเป็นวัคซีนที่รัฐบาลสหราชอาณาจักรเชื่อมั่นและไทยโดยบริษัทสยาม ไบโอไซเอนซ์เป็นประเทศแรกและประเทศเดียวในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยี ได้รับเลือกเป็นศูนย์กลางการผลิตเเละกระจายวัคซีนโควิดของแอสตร้าซีเนก้า 

จากนั้น นายกรัฐมนตรีและเอกอัครราชทูตฯได้แลกเปลี่ยนแนวทางที่จะเป็นประโยชน์ในการเพิ่มโอกาสทางเศรษฐกิจระหว่างกันโดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19 “Build back better” ไทยหวังว่าจากบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการจัดตั้งคณะกรรมการร่วมด้านเศรษฐกิจและการค้า และกลไกสนับสนุนอื่น ๆ ที่ได้ลงนามไป จะนำไปสู่การจัดทำข้อตกลงการค้าเสรีระหว่างกันโดยเร็ว โดยเชื่อมั่นว่าจากความร่วมมือกับไทยจะส่งผลให้สหราชอาณาจักรสามารถเพิ่มบทบาทในภูมิภาคอินโดแปซิฟิกมากขึ้น ซึ่งเอกอัครราชทูตเชื่อมั่นในศักยภาพของไทยที่จะสามารถเป็นสะพานเชื่อมสหราชอาณาจักรกับอาเซียน อนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และอินโดแปซิฟิก 

จากนั้น ทั้งสองฝ่ายยังได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเกี่ยวกับประเด็นสำคัญอื่นๆ อาทิ เรื่องสิ่งแวดล้อม ไทยพร้อมสนับสนุนสหราชอาณาจักรในการเป็นประธานการประชุม COP26 และหวังว่าผลลัพธ์ของการประชุมส่งผลสำคัญต่อการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ประเด็นสถานการณ์ในเมียนมา สหราชอาณาจักรชื่นชมและเข้าใจในแนวทางปฏิบัติของไทย ที่ได้แสดงออกถึงความห่วงใยต่อประเทศเพื่อนบ้าน การช่วยเหลือประชาชนผู้หนีภัยตามหลักมนุษยธรรม และการสนับสนุนฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน

ถูกใจมั้ย!!! ครม. เทกระจาด เคาะรัว ๆ มาตรการเยียวยาโควิดระลอกใหม่ แจกแหลก ทั้ง ‘คนละครึ่ง-เราชนะ-ม.33เรารักกัน’ เพิ่มให้คนละ 2,000 บาท คนละครึ่งเฟส 3 อีกคนละ 3,000 บาท บัตรคนจน-กลุ่มเปราะบาง ได้ด้วย

จากการประชุม คณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 5 พ.ค.ที่ผ่านมา ครม.มีมติเห็นชอบในหลักการ มาตรการเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ระลอกใหม่

เริ่มจาก มาตรการคนละครึ่ง เฟส 3 คนละ 3,000 บาท จำนวน 31 ล้านคน คิดเป็นวงเงินงบประมาณ 93,000 ล้านบาท ระยะเวลาเดือนก.ค.-ธ.ค.64

ต่อด้วย โครงการเราชนะ จำนวนกลุ่มเป้าหมายประมาณ 32.9 ล้านคน เพิ่มอีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นระยะเวลา 2 สัปดาห์ กรอบวงเงิน 6.7 หมื่นล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.64

ขณะที่โครงการ ม.33 เรารักกัน กลุ่มเป้าหมาย 9.27 ล้านคน ได้เพิ่มวงเงินช่วยเหลือ อีกสัปดาห์ละ 1,000 บาท เป็นเวลา 2 สัปดาห์ วงเงินรวม 18,500 ล้านบาท โดยให้ใช้จ่ายสิ้นสุดในวันที่ 30 มิ.ย.64

นอกจากนี้ ยังอนุมัติขยายวงเงินให้กับโครงการเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ระยะที่ 3 ประชาชน 13.65 ล้านคน ให้เงินค่าครองชีพแก่ผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐเพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท ระยะเวลา 6 เดือน (กรกฎาคม-ธันวาคม) และเพิ่มกำลังซื้อให้กับผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือเป็นกรณีพิเศษจำนวนเป้าหมาย 2.5 ล้านคน เพิ่มเติมเดือนละ 200 บาท เป็นระยะเวลา 6 เดือน (ก.ค.-ธ.ค.)

พร้อมอนุมัติมาตรการบรรเทาภาระค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน โดยให้ความช่วยเหลือลดค่าไฟฟ้าและค่าน้ำประปาตามมาตรการเดิมที่ได้ดำเนินการในช่วงเดือนก.พ.-มี.ค.64 ต่อเนื่องถึงเดือนเม.ย.-พ.ค.

โดยให้สิทธิค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 90 หน่วยแรก

ส่วนผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทบ้านอยู่อาศัยที่ใช้ไฟฟ้าเกิน 150 หน่วยต่อเดือน ให้ส่วนลดค่าไฟฟ้าดังนี้

กรณีหน่วยการใช้ไฟฟ้าน้อยกว่าหรือเท่ากับใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.2564 ให้คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ไฟฟ้าจริง

กรณีหน่วยการใช้ไฟฟ้ามากกว่าใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.2564 ให้คิดค่าไฟฟ้าตามหน่วยการใช้ ดังนี้

1.) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าไม่เกิน 500 หน่วยต่อเดือน คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64

2.) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 500 หน่วยต่อเดือน แต่ไม่เกิน 1,000 หน่วยต่อเดือน ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64 ในอัตราร้อยละ 50

3.) สำหรับผู้ใช้ไฟฟ้ามากกว่า 1,000 หน่วย ให้คิดค่าไฟฟ้าเท่ากับหน่วยการใช้ไฟฟ้าของใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64 บวกด้วยหน่วยการใช้ไฟฟ้าที่มากกว่าหน่วยการใช้ไฟฟ้าขอใบแจ้งค่าไฟฟ้าเดือนเม.ย.64 ในอัตราร้อยละ 70 โดยให้เป็นส่วนลดค่าไฟฟ้าก่อนการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่ม

มาตรการสำหรับผู้ใช้ไฟฟ้าประเภทกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) ให้สิทธิใช้ไฟฟ้าฟรี 50 หน่วยแรก โดยมาตรการลดค่าใช้จ่ายด้านค่าไฟฟ้าสำหรับบ้านอยู่อาศัยและกิจการขนาดเล็ก กำหนดให้ดำเนินการเป็นระยะเวลา 2 เดือน สำหรับใบแจ้งหนี้ค่าไฟฟ้าประจำเดือนพ.ค.ถึงมิ.ย.64

ส่วน มาตรการลดค่าน้ำประปา ให้ลดค่าน้ำประปาลงร้อยละ 10 เฉพาะบ้านที่อยู่อาศัย และกิจการขนาดเล็ก (ไม่รวมส่วนราชการและรัฐวิสาหกิจ) เป็นระยะเวลา 2 เดือน สำหรับใบแจ้งหนี้ค่าน้ำประปาประจำเดือนพ.ค.-มิ.ย.64

สุดท้าย ครม.ยังมีมติเห็นชอบในหลักการกระตุ้นกำลังซื้อของประชาชนในกลุ่มที่มีรายได้ปานกลางและรายได้สูง ผ่านโครงการ ‘ยิ่งใช้ยิ่งได้’ โดยรัฐสนับสนุน e-Voucher ให้กับประชาชน ที่ใช้จ่ายซื้อสินค้า อาหารและเครื่องดื่มและค่าบริการกับผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ไม่เกิน 5,000 บาทต่อวัน สูงสุดไม่เกิน 7,000 บาทต่อคนอีกด้วย

ศปฉ.ปชป. รายงานความคืบหน้าสถานการณ์ความช่วยเหลือผู้ป่วยโควิด-19 ไม่มีเตียง 25 เม.ย - 6 พ.ค 64 ช่วยได้เกินร้อย เริ่มมีกลับบ้านได้

เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2564 พรรคประชาธิปัตย์ นางดรุณวรรณ ชาญพิพัฒนชัย รองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะหัวหน้าทีมผู้รับผิดชอบประสานข้อมูลผู้ติดเชื้อเพื่อการส่งต่อศูนย์ประสานงานสถานการณ์ฉุกเฉิน โควิด-19 พรรคประชาธิปัตย์ (ศปฉ.ปชป) รายงานความคืบหน้าการช่วยเหลือผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาล ระหว่างวันที่ 25 เมษายน - 6 พฤษภาคม 2564 ดังนี้

รับเรื่องไป 150 ราย

ช่วยเหลือไป  144 ราย 

โรงพยาบาล 81 ราย (กลับบ้านได้แล้ว 1 ราย /เสียชีวิต 1 ราย)

โรงพยาบาลสนาม 19 ราย

Hospitel  44 ราย

โดยเคสอื่น ๆ ที่เหลือขณะนี้พรรคได้รับข้อมูล ประสานงานกลับไปเป็นที่เรียบร้อยแล้วทุกราย และส่งต่อข้อมูลไปยังกระทรวงสาธารณสุขเพื่อจัดสรรตามมาตรการต่อไป

ทั้งนี้ สัญญาณในการช่วยเหลือผู้ป่วยติดค้าง ไม่มีเตียง เริ่มมีทิศทางที่ดีขึ้น เนื่องจากภาครัฐได้มีการปรับรูปแบบกระบวนการทำงาน ทำให้ทีมประสานงานผู้ป่วยติดเชื้อโควิด ศปฉ.ปชป.สามารถทำงานได้คล่องตัวขึ้น ส่งตัวผู้ป่วยได้เร็วขึ้น ไม่ค้างในระบบยกเว้นกลุ่มผู้ป่วยหนัก ICU ที่ยังต้องรอเตียงอยู่บางส่วน และมีสัญญาณที่ดีจากผู้ป่วยบางกลุ่มที่เริ่มกลับบ้านได้จากการที่เข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลได้อย่างรวดเร็วจึงทำให้ได้รับการรักษาแบบทันท่วงที

“เป็นที่น่าเสียใจว่าวันนี้มีผู้ป่วยสูงอายุที่เราประสานงานและพักรักษาตัวในโรงพยาบาล เสียชีวิต 1 ราย จึงขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวด้วยเป็นอย่างยิ่ง ในขณะเดียวกันก็เริ่มมีผู้ป่วยบางรายที่แพทย์อนุญาตให้กลับบ้านได้ ซึ่งถือเป็นข่าวดีในทุกครั้งที่ได้ยินว่าผู้ป่วยรอดและปลอดภัย” นางดรุณวรรณ กล่าว

หากต้องการความช่วยเหลือสามารถแจ้งผ่านมาที่ผู้ประสาน ศปฉ.ปชป ได้ที่กล่องข้อความในเฟซบุ๊ก facebook.com/DemocratPartyTH ทวิตเตอร์ twitter.com/democratTH หรือ BLUE HOUSE ศูนย์รับเรื่องร้องทุกข์ และช่วยเหลือประชาชนพรรคประชาธิปัตย์ 02-828-1010


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top