Tuesday, 24 June 2025
POLITICS NEWS

ปธ.กมธ.การเมืองตั้งคณะทำงานแสวงหาความจริงเหตุยิงประชาชนที่ดินแดง จี้ ผบ.ตรเปิดพยานหลักฐาน อย่าอ้างปากเปล่า

ที่รัฐสภา นายณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส.พรรคก้าวไกล ในฐานะประธานกรรมาธิการการพัฒนาการเมือง การสื่อสารมวลชน และการมีส่วนร่วมจากประชาชน กล่าวว่า จากเหตุการณ์การชุมนุมทางการเมืองที่มีความรุนแรงตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา และเมื่อคืนมีเหตุการณ์ยิงประชาชนที่ออกมาชุมนุมโดยกระสุนจริง และมีพยานหลักฐานบ่งชี้ว่ามีการยิงออกมาจากสถานีตำรวจนครบาลดินแดง กรณีดังกล่าวผู้กำกับ สน.ดินแดง และผู้บริหารระดับสูงของตำรวจ ต้องเอาพยานหลักฐานข้อเท็จจริงมาชี้แจง ไม่ว่าจะเป็นเกี่ยวกับไฟดับที่เกิดขึ้นในห้วงเวลาพอเหมาะพอเจาะที่สน. ไม่ว่าจะเป็นการใช้พื้นที่ในความควบคุมดูแลของท่านเป็นฐานที่มั่นในการทำร้ายประชาชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่มีภาพบุคคลใช้อาวุธปืนยิงออกมาจาก สน. เหล่านี้ว่ากันด้วยข้อเท็จจริง ไม่ใช่พูดแต่เพียงว่า ไม่รู้ไม่เห็น ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องโดยไม่มีหลักฐานอะไรเลย

“ในฐานะ ประธาน กมธ.พัฒนาการเมืองฯ ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการตั้ง นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล เป็นประธานคณะทำงานติดตามการชุมนุมเพื่อสังเกตุการณ์และรวบรวมเหตุความรุนแรง ข้อเท็จจริงที่เกิดขึ้น เตรียมพิจารณาเรื่องดังกล่าวโดยเฉพาะเหตุการณ์ความรุนแรงที่ สน.ดินแดง จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการเชิญ ผบ.ตร., ผบ.อคฝ., ผกก.สน.ดินแดง รวมถึงหัวหน้าหน่วยควบคุมฝูงชนที่ปฏิบัติหน้าที่ในคืนวันนั้นมาชี้แจง เพราะนี่เป็นเหตุการณ์ที่สังคมตั้งคำถามเป็นอย่างมากว่าสถาบันที่ทำหน้าที่บังคับใช้กฎหมาย จะเป็นฝ่ายละเมิดกฎหมายเองหรือไม่ เราซึ่งเป็นสมาชิกรัฐสภา เป็นตัวแทนจากประชาชน ต้องทำหน้าที่ตรวจสอบความจริงเรื่องนี้ให้ปรากฏ” นายณัฐชา กล่าว

นายณัฐชา กล่าวอีกว่า พร้อมกันนี้ ในนามของประธานกมธ. จะเสนอให้มีการตั้งคณะทำงานเพื่อสอบสวนแสวงหาความจริงเรื่องนี้ โดยเชิญนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงบุคลที่ได้รับความเชื่อถือจากสังคมมาร่วมในการสืบสวนสอบสวนทำความจริงให้ปรากฏ 

“เพราะต้องยอมรับว่า เมื่อตำรวจตกเป็นจำเลยสังคมในกรณีนี้เสียเอง ก็อาจมีการสืบสวนสอบสวนที่ไม่เป็นกลางได้ ประชาชาชนอาจจะไม่ได้รับความเป็นธรรมได้ เราในฐานะตัวแทนประชาชน มีหน้าที่ปกป้องสิทธิ์ประชาชนจึงต้องทำหน้าที่นี้ ตั้งคณะทำงาน และหาตัวผู้กระทำผิดมาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมและกระบวนการทางวินัย ให้ความเป็นธรรมกับประชาชนต่อไป ตอนนี้เริ่มติดต่อนักวิชาการที่จะเข้ามาเป็นคณะทำงานแล้ว เมื่อได้คณะทำงานครบถ้วนก็พร้อมเริ่มทำงานแสวงหาความจริงเพื่อให้ประชาชนรับทราบโดยเร็วที่สุด” นายณัฐชา กล่าว

ทบ.-สหรัฐ ยืนยันสถาบัน AFRIMS ปลอดภัย มุ่งวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์เพื่อสุขภาพประชาชน  หลังมีข่าวปลอมในทวิตเตอร์

ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.) พล.ท.สันติพงศ์ ธรรมปิยะ โฆษกกองทัพบก พร้อมด้วย พล.ต.ธำรงค์โรจน์ เต็มอุดม ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร และ พ.ท.แบรนดอน แมคคาร์เธอร์  รองผู้อำนวยการสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (ฝ่ายสหรัฐฯ) ร่วมกันแถลงข้อเท็จจริงกรณีมีการนำข่าวเท็จลงในโซเชียลมีเดีย เกี่ยวกับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารและสถานการณ์โควิด 

โดย พล.ท.สันติพงศ์ กล่าวว่า ด้วยกองทัพบกได้ตรวจพบว่ามีการเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จในโซเชียลมีเดีย โดยทวิตเตอร์แอคเคาท์หนึ่ง มีการตั้งข้อสังเกตและเชื่อมโยงว่า สถาบันวิจัยวิทยาศาสต์การแพทย์ทหาร (สวพท.) อาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับการแพร่ระบาดโควิดในไทย ซึ่งเป็นข้อกล่าวหาหรือสมมติฐานที่ร้ายแรงมาก กองทัพบกขอเรียนให้ทราบว่า เรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง และได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อข่าวเท็จดังกล่าวแล้ว เมื่อ 16 ส.ค. 64 สำหรับสถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร (สวพท.) หรือ AFRIMS  เป็นหน่วยงานในสังกัดกรมแพทย์ทหารบก ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2501 จากความร่วมมือระหว่างกระทรวงกลาโหมของไทยและกระทรวงกลาโหมสหรัฐอเมริกา

โดยทำงานวิจัยร่วมกันในการแก้ไขปัญหาโรคติดเชื้อในประเทศไทยและภูมิภาคแถบนี้อย่างต่อเนื่องมากว่า 60 ปี นำมาซึ่งประโยชน์สู่กองทัพและประชาชนไทยและในภูมิภาค นอกจากนี้ยังเป็นหน่วยเครือข่ายความร่วมมือการวิจัยโรคอุบัติใหม่ โรคอุบัติซ้ำขององค์การอนามัยโลก (WHO) ตั้งแต่ พ.ศ. 2548 และได้มีการศึกษาวิจัยโรคเขตร้อน โรคระบาด โรคติดเชื้อ ซึ่งเป็นประโยชน์ทางด้านการแพทย์ทั้งในส่วนสุขภาพกำลังพล ปฏิบัติการทางทหารในพื้นที่ชายแดน และประเทศไทยในภาพรวม  ล่าสุด  สวพท. มีบทบาทสำคัญในสถานการณ์โควิด โดยได้เป็นหน่วยงานเข้าตรวจคัดกรองโควิดในชุมชนพื้นที่ กทม.และปริมณฑล ในชุมชนทหาร และประชาชนทั่วไป 

ด้านพลตรีธำรงค์โรจน์ กล่าวว่า การบริหารจัดการของ สวพท. เป็นหน่วยงานที่มีพันธกิจ ในเรื่อง
1. ดำเนินการวิเคราะห์ วิจัย ทางวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหารเพื่อสร้างเสริมสุขภาพทหาร 
2.ให้บริการตรวจวินิจฉัยและตรวจวิเคราะห์ทางห้องปฏิบัติการทางการแพทย์แก่ทหารและประชาชน
3.เป็นแหล่งข้อมูลข่าวสารทางการแพทย์เพื่อสนับสนุนภารกิจของกองทัพบก ทั้งนี้ในพื้นที่ชายแดน ภารกิจของ สวพท.ยังครอบคลุมเรื่องการเฝ้าระวังโรคของทหารตามแนวชายแดน อาทิ ไข้มาลาเรีย, ไข้รากสาดใหญ่ เป็นต้น และในปัจจุบัน สวพท.เป็นห้องปฏิบัติการในการตรวจคัดกรอง COVID-19 สำหรับในการทำงานร่วมกับทางฝ่ายสหรัฐอเมริกาให้กับประชาชนไทยทุกคน ตลอด 60 ปีที่ผ่านมา ขอเรียนว่าเป็นการทำงานร่วมกันภายใต้การกำกับของ สวพท. 

ทั้งในด้านการวิจัย การเฝ้าระวังโรค การถ่ายทอดเทคโนโลยี และการปฏิบัติการทางวิทยาศาสตร์ ซึ่งมาตรฐานห้องปฏิบัติการของทางสถาบันถือเป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการต้นแบบที่มีความปลอดภัยสูงสุดตามมาตรฐานสากล ทั้งนี้สถาบันให้ความสำคัญสูงสุดกับการบริหารจัดการและรักษามาตรฐานความปลอดภัย 

พ.ท.แบรนดอน กล่าวว่า กว่า 60 ปีที่ผ่านมา กองทัพบกสหรัฐฯ และกองทัพบกไทยร่วมทำงานกันอย่างเคียงบ่าเคียงไหล่ที่สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์การแพทย์ทหาร หรือ AFRIMS ในการต่อสู้กับโรคเขตร้อน เมื่อเร็วๆนี้ได้มีการเผยแพร่เอกสารเท็จ และกล่าวหานักวิทยาศาสตร์ไทยและสหรัฐฯ ที่ทำงานร่วมกันกว่า 400 คนที่ปฎิบัติงานอย่างมีอาชีพ และอุทิศตนทำงานในสถาบันแห่งนี้ จึงขอเรียนชี้แจงว่า AFRIMS เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์ที่มีประสิทธิผลและมีความสำคัญอย่างยิ่งระหว่างสหรัฐฯ และราชอาณาจักรไทย ในการช่วยรักษาชีวิตมนุษย์นับล้านคนทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก การทำงานร่วมกันแบบทวิภาคีใน AFRIMS ไม่เพียงแต่ช่วยพัฒนาด้านการสาธารณสุขและการแพทย์ให้แก่ประเทศไทยและสหรัฐ แต่ยังรวมถึงการก้าวถึงเป้าหมายระดับโลก ความร่วมมือทั้งสองฝ่ายทำให้ประเทศไทยเป็นผู้นำทางด้านการแพทย์และสาธารณสุขในภูมิภาค และที่สำคัญอย่างยิ่ง มาตรฐานของห้องปฏิบัติการของเรามีความปลอดภัยสูง การวิจัยที่ AFRIMS มุ่งเน้นในการต่อสู้กับโรคเขตร้อนในภูมิภาค อาทิ ไข้มาลาเรีย ไข้เลือดออก ชิกุนคุนย่า ชิการ์ โรคเชื้อไวรัสเยื่อหุ้มสมองอักเสบ และ HIV

ความร่วมมือในงานวิจัยร่วมกันช่วยให้เราได้พัฒนาวัคซีนที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง รวมถึงการวินิจฉัยและการรักษาทางการแพทย์ ซึ่งได้รักษาชีวิตของคนนับล้านทั่วโลก และเราจะยังคงดำเนินภารกิจต่อไป อาทิเช่น การสนับสนุนการพัฒนาวัคซีน mRNA ของจุฬาลงกรณ์ในช่วงการศึกษาขั้นต้น และผลของการศึกษาแสดงให้เห็นถึงแนวโน้มว่าปลอดภัยและมีประสิทธิผลต่อการพัฒนาวัคซีน COVID-19 ภายในประเทศต่อไป ความร่วมมือครั้งนี้เป็นเพียงตัวอย่างหนึ่งในการที่สหรัฐฯ ให้คำมั่นที่จะยืนหยัดเคียงข้างประเทศไทยจนกว่าโรคระบาดนี้จะถูกกำจัดลง

ที่ผ่านมา AFRIMS เป็นศูนย์ความร่วมมือหลักขององค์การอนามัยโลก ด้วยความร่วมมือกันทั้งฝ่ายไทยและฝ่ายสหรัฐฯ เพื่อตอบโต้ต่อการระบาดของโรคทั่วภูมิภาคอาเซียน  การสนับสนุนของ AFRIMS ช่วยสร้างความมั่นใจว่าราชอาณาจักรไทยจะยังคงเป็นผู้นำในด้านสาธารณสุขและการแพทย์ในภูมิภาคอาเซียน ทุกสิ่งที่ทางสถาบันได้ดำเนินการอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมายไทยและสหรัฐฯ เพื่อรักษามาตรฐานสูงสุดของห้องปฏิบัติการ ซึ่งทำให้ AFRIMS เป็นหนึ่งในห้องปฏิบัติการที่มีความปลอดภัยสูงสุดในโลก AFRIMS มีห้องปฏิบัติการที่ทันสมัย ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่า ห้องปฏิบัติการ สิ่งส่งตรวจ พนักงาน และสาธารณชน มีความปลอดภัย และได้รับการรักษาความปลอดภัยตลอดเวลา ทั้งนี้เราตระหนักดีถึงบทบาทของความร่วมมือของนักวิทยาศาสตร์ไทยและสหรัฐฯ ที่ AFRIMS ในการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่ปลอดภัยและเคร่งครัดจะช่วยให้เราทุกคนปลอดภัย

โฆษกกองทัพบก ได้กล่าวสรุปว่า กองทัพบก เข้าใจดีกว่า ปัจจุบัน ประชาชนมีความอ่อนไหวในข้อมูลข่าวสารในสถานการณ์โควิด  เหตุการณ์ดังกล่าวเป็นเรื่องของข้อมูลเท็จ ทำให้เกิดความเสียหายต่อองค์กรและความสัมพันธ์ของประเทศ จำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายควบคู่กับการชี้แจงข้อเท็จจริงให้กับประชาชนได้รับทราบ ขอยืนยันว่า ทบ ได้ทุ่มเท ยึดมั่นในการดูแล ประชาชน และสนับสนุนรัฐบาลในสถานการณ์โควิดอย่างดีที่สุด ข่าวสารใดที่ประชาชนได้รับแล้วเกิดความไม่มั่นใจก็ขอให้ได้ตรวจสอบกับ ทบ. หรือหน่วยงานที่ถูกพาดพิง ก็จะช่วยกำจัดกระบวนการข่าวปลอมได้อีกทางหนึ่ง

‘ทิพานัน’ ตอก ‘พิธา’ ลงทุนน้อย หวังกำไรมาก หลังถ่ายภาพโชว์โซเชียลหลังม็อบยุติ เผยธาตุแท้นักการเมืองทำนาบนหลังม็อบ ชาวบ้านข้องใจ ‘มาทำไมตอนจบ’ ไม่นำมวลชนเคลื่อนไหวในกรอบสันติวิธีและไม่ผิดกฎหมาย

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี อดีตผู้สมัครส.ส.กทม.เขตจอมทอง-ธนบุรี อดีตรองโฆษกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า จากการลงพื้นที่ติดตามความช่วยเหลือพี่น้องประชาชนในชุมชนต่าง ๆ เพื่อบรรเทาผลกระทบที่ได้รับจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 มีพี่น้องประชาชนหลายคนได้แสดงความวิตกกังวลว่าต่อสถานการณ์การชุมนุมของมวลชนกลุ่มต่าง ๆ จะส่งผลต่อการเมือง การแก้ไขปัญหาโควิด-19 และการฟื้นฟูประเทศ ซึ่งตนได้ให้ความมั่นใจกับพี่น้องประชาชนว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มีความมุ่งมั่นและจริงใจ พยายามทำทุกวิถีทางที่จะคลี่คลายสถานการณ์ทั้งวิกฤติโควิด และวิกฤติการเมืองไปพร้อม ๆ กันอย่างดีที่สุดและเร็วที่สุด

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พี่น้องประชาชนยังตั้งข้อสังเกต กรณีที่มีนักการเมือง เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ไปติดตามสถานการณ์หลังการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 สิงหาคมว่า มาทำไมตอนจบ เรื่องนี้ตนเชื่อว่า พี่น้องประชาชน รวมทั้งกลุ่มมวลชนต่าง ๆ รู้เท่าทันนักการเมืองแล้วว่า มีเจตนาอะไร การแสดงตนในพื้นที่ในช่วงเวลาที่สถานการณ์จบลง แล้วถ่ายภาพเผยแพร่ในโซเชียล เพื่อเรียกคะแนนนิยมช่วงชิงมวลชนใช่หรือไม่ เพราะหากมีความจริงใจและเป็นผู้นำที่แท้จริง ต้องลงพื้นที่ช่วยพูดคุยควบคุมและนำมวลชนให้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบสันติวิธีและไม่ผิดกฎหมาย จึงจะเป็น ‘ฮีโร่’ ที่แท้จริง ไม่ใช่เดินเกมแก้เก้อหวังผลทางการเมือง หวังคะแนนมวลชนแบบหลบหลังม็อบแบบนี้

“สิ่งที่นายพิธา และพรรคก้าวไกลควรทำ คือ ช่วยกันรณรงค์สื่อสารให้ม็อบทำการชุมนุมโดยสันติ ไม่พกพาอาวุธ ไม่ยั่วยุเจ้าหน้าที่หรือกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายและไม่ทำให้ประชาชนทั่วไปได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายและฝ่าฝืนมาตรการควบคุมการแพรระบาดโควิด-19 ช่วยกันสร้างเวทีพูดคุยที่ลดการปะทะลดการยั่วยุอย่างสร้างสรรค์เป็นธรรม ไม่ใช่ออกมาแสดงแบบหลบหลังม็อบ สิ่งที่นายพิธาทำ ลงทุนน้อย แต่หวังกำไรมาก เชื่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุมเองก็ดูออกแล้วว่า ธาตุแท้ของนักการเมืองทำนาบนหลังม็อบ ที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างที่ตนเองย้ำมาตลอดนั้น หน้าตาเป็นแบบไหน” น.ส.ทิพานัน กล่าว


Q : ประกันอะไร? ได้ตั้ง 4 ต่อ!!
A : ก็ประกันภัยรถยนต์จาก @THESHOPTIMES ไง!! 
>> ฟรี!!! ประกันภัยอุบัติเหตุส่วนบุคคล (PA) 100,000 บาท
>> รับคอมมิชชั่นหรือส่วนลดทันที ในอัตราที่สูงกว่า แถมได้สิทธิซื้อประกัน พ.ร.บ.ราคาถูกตลอดชีพ
>> สามารถผ่อนได้สูงสุด 6 งวด ดอกเบี้ย 0% โดยไม่ต้องใช้บัตรเครดิต
>> แถมขายดีมีรายได้เพิ่มให้กับตัวเองด้วย
***สนใจติดต่อ Line@ THE SHOPS TIMES คลิก????https://lin.ee/vfTXud9

“ทิพานัน”จวก “พิธา”ทำนาบนหลังม็อบ ลงทุนน้อยหวังกำไรมาก เชื่อ ปชช.-มวลชน เห็นธาตุแท้ แนะ ให้ชวนม็อบลดรุนแรง คุยสันติวิธี

น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ ประจำสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี  กล่าวกรณีที่ประชาชนในชุมชนต่างๆแสดงความวิตกกังวลต่อสถานการณ์การชุมนุมของมวลชนกลุ่มต่างๆ จะส่งผลต่อการเมืองและการแก้ไขปัญหาโควิด-19 และการฟื้นฟูประเทศ ว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี มุ่งมั่น จริงใจ พยายามทำทุกวิถีทางที่จะคลี่คลายสถานการณ์ทั้งวิกฤตโควิดและวิกฤตการเมือง ไปพร้อมกันอย่างดีและเร็วที่สุด ส่วนที่มีนักการเมือง เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ลงพื้นที่ติดตามสถานการณ์หลังการสลายการชุมนุมเมื่อวันที่ 16 ส.ค.เชื่อว่า ประชาชน กลุ่มมวลชน รู้เท่าทันนักการเมืองว่ามีเจตนาอะไร 

น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า การแสดงตนหลังสถานการณ์จบลง แล้วถ่ายภาพเผยแพร่ในโซเชียล เพื่อเรียกคะแนนนิยม ช่วงชิงมวลชนใช่หรือไม่ หากมีความจริงใจและเป็นผู้นำที่แท้จริง ต้องลงพื้นที่ช่วยพูดคุย ควบคุมและนำมวลชนให้เคลื่อนไหวอยู่ในกรอบสันติวิธีและไม่ผิดกฎหมาย จึงจะเป็นฮีโร่ที่แท้จริง ไม่ใช่เดินเกมแก้เก้อ หวังผลทางการเมือง หวังคะแนนมวลชนแบบหลบหลังม็อบ สิ่งที่นายพิธาและพรรคก้าวไกล ควรทำคือช่วยรณรงค์สื่อสารให้ม็อบชุมนุมโดยสันติ ไม่พกพาอาวุธ ไม่ยั่วยุเจ้าหน้าที่หรือกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายไม่ทำให้ประชาชนทั่วไป ได้รับความเดือดร้อนจากการชุมนุมที่ฝ่าฝืนกฎหมายและฝ่าฝืนมาตรการควบคุมการแพรระบาดโควิด-19 ช่วยกันสร้างเวทีพูดคุย ลดการปะทะและยั่วยุอย่างสร้างสรรค์เป็นธรรม 

“สิ่งที่นายพิธา ทำ ลงทุนน้อยแต่หวังกำไรมาก เชื่อว่ากลุ่มผู้ชุมนุม ดูออกแล้วว่าธาตุแท้ของนักการเมืองทำนาบนหลังม็อบ ที่คอยเก็บเกี่ยวผลประโยชน์อย่างที่ตนเองย้ำมาตลอดนั้น หน้าตาเป็นแบบไหน” น.ส.ทิพานัน กล่าว

"กมธ.ตำรวจฯ" กำชับ จนท. คุมม็อบปฏิบัติการตามหลักสากล เผย ตำรวจยันไม่ใช้กระสุนจริง วอนฟังข้อมูลทุกด้าน ระบุ ใครมีข้อมูลหลักฐานขอให้แจ้งเข้ามา จ่อ เชิญผบช.น.เข้าชี้แจง 19 ส.ค.นี้ 

ที่รัฐสภา นายสัญญา นิลสุพรรณ ส.ส.นครสวรรค์ พรรคพลังประชารัฐ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการควบคุมการชุมนุมที่ผ่านมา ว่า กมธ.ตำรวจได้ติดตามและตรวจสอบการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจมาโดยตลอด ซึ่งในการปฏิบัติหน้าที่ครั้งที่ผ่านมา กมธ.ตำรวจได้เชิญผู้ที่เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจง ไม่ว่าจะที่แยกราชประสงค์หรือหลายๆ ที่ ซึ่งที่ผ่านมาเราจะเห็นว่าการปฏิบัติหน้าที่มีความรุนแรงมากขึ้น โดยมีการปะทะและมีผู้ได้รับบาดเจ็บ รวมถึงเจ้าหน้าที่ก็ได้รับบาดเจ็บด้วยเช่นกัน โดยเราได้มีการขอข้อมูลไปเบื้องต้น รวมถึงภาพจากสื่อมวลชน

นายสัญญา กล่าวว่า จากการสอบถามข้อมูลจากเจ้าหน้าที่ตำรวจได้รับการยืนยันว่าเป็นการใช้หลักสากลควบคุมมวลชน ไม่ว่าจะเรื่องขั้นตอน แนวทางการใช้เครื่องมือเข้าควบคุม เช่น การใช้กระบอง การยิงกระสุนยาง การใช้น้ำฉีด การใช้แก๊สน้ำตา ซึ่ง กมธ.ตำรวจฯ ได้มีการประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่อยู่ตลอดเวลาว่าขอให้ใช้หลักสากลอย่างเคร่งครัด และได้รับคำยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าไม่มีการใช้กระสุนจริงควบคุมสถานการณ์ และจากที่ได้เห็นภาพหลักฐานก็ยังไม่มีหลักฐานใดบ่งชี้ว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้อาวุธจริง ดังนั้นอย่าเพิ่งไปปรักปรำหรือโจมตีซะทีเดียว ขอให้ได้ฟังข้อมูลทุกด้าน อย่างไรก็ตามหากท่านใดมีข้อมูลว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจทำหน้าที่เกินกว่าที่ระเบียบกำหนด หรือใช้อาวุธจริงเข้าปราบปราม ทางกมธ.ตำรวจฯ ยินดีที่จะเข้าไปตรวจสอบและดำเนินการเพื่อแสวงหาข้อเท็จจริงในการทำหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ควบคุมฝูงชน  โดยในวันที่ 19 ส.ค. นี้ กมธ.ตำรวจฯ จะเชิญผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ที่เกี่ยวข้องกับการเข้าควบคุมมวลชนเข้ามาชี้แจงที่รัฐสภา

เมื่อถามว่าจะมีการสอบถามผู้ชุมนุมอย่างไรบ้าง นายสัญญา กล่าวว่า ความจริงแล้วเรามีช่องทางให้ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากเจ้าหน้าที่ตำรวจส่งข้อมูลมาได้ นอกจากเราจะไปเห็นและรู้ว่าเป็นใครก็อาจจะเชิญเขามาได้ วันนี้หลายกรณีทางกมธ.ตำรวจฯ ก็มีความสนใจ แต่คนที่ได้รับผลกระทบที่มีข้อมูลตนขอเชิญให้ส่งข้อมูลมาที่กมธ.ตำรวจ เราจะได้นำมาพิจารณา และเชิญมาให้ข้อมูล 

เมื่อถามว่าจะมีการประสานไปยังแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุมเข้ามาให้ข้อมูลหรือไม่ นายสัญญา กล่าวว่า  ไม่ได้ประสาน เพราะเราต้องเน้นไปที่เจ้าหน้าที่ตำรวจก่อนว่าปฏิบัติหน้าที่อยู่ในกรอบหรือไม่  เมื่อถามอีกว่าแบบนั้นข้อมูลจะไม่ออกมาด้านเดียวใช่หรือไม่ นายสัญญา กล่าวว่า ความจริงแล้วก็ไม่ใช่ด้านเดียว เพราะเราแสวงหาข้อเท็จจริง หากเราพบว่าบุคคลใดได้รับผลกระทบเราก็อาจจะเชิญมา หากเราพบเห็นหลักฐาน

"แรมโบ้" ซัด "ฝ่ายค้าน" ประเทศเกิดวิกฤต  อยู่ระหว่างการแก้ปัญหา แต่ยังยื่นสภาฯขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ ควรมีสมองคิดให้มากกว่านี้ ไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม คิดแต่จะหาประโยชน์ทางการเมืองให้ตัวเอง หวังล้มรัฐบาลกลับมามีอำนาจรัฐ จนไม่สนใจความเดือดร้อนของประขาชน

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงพรรคร่วมฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกฯ และรัฐมนตรี 5 คน โดยระบุว่าฝ่ายค้านน่าจะเข้าใจสถานการณ์การแพร่ระบาดเชื้อโควิดในประเทศเป็นอย่างดี และการแก้ไขปัญหาของนายกฯและรัฐบาลว่ามีความยากลำบากมากน้อยแค่ไหน  ซึ่งในขณะที่นายกฯและรัฐมนตรี  หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง กำลังให้ความสำคัญในการช่วยเหลือประชาชน ฝ่ายค้านก็ไม่ควรที่จะนึกถึงแต่ประโยชน์ของตัวเองจนคิดไม่ได้ว่าสิ่งใดควรทำสิ่งใดไม่ควรทำ 

นายเสกสกลระบุว่าแม้การอภิปรายไม่ไว้วางใจจะสามารถทำได้ แต่ตนเองมองว่าไม่ควรที่จะมาอภิปรายในช่วงที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤต ซึ่งหากอยากอภิปรายไม่ไว้วางใจฝ่ายค้านก็ควรที่จะรอเวลาที่เหมาะสมก่อน อีกทั้งส่วนตัวมองว่าหากจะต้องมีการประชุมสภาฯ ก็ขอให้เป็นเรื่องที่สำคัญก่อน เพราะการประชุมสภาฯถือเป็นการรวมคนหมู่มาก  อาจจะมีการแพร่เชื้อโควิดระบาดเป็นคลัสเตอร์ใหม่เพิ่มในสภาได้

แต่เมื่อฝ่ายค้านได้ยื่นขออภิปรายไม่ไว้วางใจแล้ว นายกฯ หรือรัฐมนตรีที่มีชื่อถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจก็ไม่ได้กลัวการอภิปรายในครั้งนี้ เพราะไม่ได้ทำผิดอะไร และนายกฯจะถือโอกาสใช้เวทีสภานี้ชี้แจงทำความเข้าใจในการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ โควิด-19 ทุกประเด็น ของรัฐบาลให้ประชาชนได้รับทราบข้อเท็จจริง 

และการอภิปรายฯครั้งนี้ฝ่ายค้านคงจะนำแต่ประเด็นเก่าๆ เอามาโจมตีนายกฯ และรัฐบาล ไม่มีเรื่องใหม่ ประชาชนได้ฟังคงเบื่อหน่ายฝ่ายค้าน เหมือนการอภิปรายทุกครั้งที่ผ่านมา 
พ่นน้ำลายจนท่วมสภาหาสาระอะไรไม่ได้เลย 

การอภิปรายฯไม่ไว้วางใจแต่ละครั้งก็ไม่ได้มีการเตรียมข้อมูลมาอภิปราย หรือการกล่าว หานายกฯและรัฐมนตรี ไม่มีน้ำหนักที่น่าเชื่อถืออะไรได้เลย ที่จะเป็นข้อมูลที่ได้ประโยชน์ต่อประชาชน เป็นการอภิปรายเพื่อหวังโจมตีทำลายความชอบธรรมของนายกฯและรัฐบาลหวังจะให้คะแนนนิยมในสายตาประชาชนตกต่ำลงมากกว่า  แต่ผลงานของรัฐบาลประชาชนรู้ดีว่า ในยามวิกฤตเช่นนี้ นายกฯและรัฐบาลได้ทุ่มเทตั้งใจทำงานอย่างดีที่สุดแล้ว จะมีผิดบ้างถูกบ้างไม่ใช่ปัญหาที่จะแก้ไขไม่ได้ ถ้าทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่คอยจ้องแต่จะล้มรัฐบาลหวังกลับมามีอำนาจเอง แสวงหากิเลสความใคร่อยากมีอำนาจบนความเดือดของพี่น้องประชาชน พรรคร่วมฝ่ายค้านเอาสมองส่วนไหนมาคิด 

“ก็คงจะมีแต่ฝ่ายค้านการเมืองไทยนี่แหละ ที่จ้องแต่จะตีกินทางการเมืองได้ทุกสถานการณ์โดยไม่คำนึงถึงความทุกข์ของประชาชนและปัญหาวิกฤตของประเทศที่เกิดขึ้นทั่วโลก ไม่ใช่นายกฯหรือใครในรัฐบาลอยากให้เกิดเชื้อโควิดขึ้นมาจนทำให้เกิดการสูญเสีย ต่อให้มีผู้นำฝ่ายค้านนับร้อยคนมาแก้ปัญหาก็อาจจะยิ่งแย่กว่านี้ก็เป็นได้ เพราะเก่งแต่เล่นใช้วาทะตีกิน  แต่ไม่เก่งในการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติประชาชนเลย"

“บิ๊กตู่”ถก ครม.จากทำเนียบฯ การรักษาความปลอดภัยปกติ จนท.ถอนกำลังออกจากทำเนียบแล้ว 

ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาลว่า ที่ห้อง PMOC ชั้น 2 ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ผ่านระบบ Video Conference  โดยวันเดียวกันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ เดินทางเข้าปฎิบัติภารกิจที่ทำเนียบรัฐบาล ตั้งแต่เวลา 08.00 น.หลังจากที่วานนี้กลุ่มมวลชนทะลุฟ้า เดินสายมาขับไล่ในช่วงเย็น โดยมาตรการการรักษาความปลอดภัยทั้งในส่วนของนายกรัฐมนตรีและและทำเนียบรัฐบาลเช้าวันเดียวกันนี้ยังคงเป็นปกติ ในส่วนกำลังของเจ้าหน้าที่ตำรวจควบคุมฝูงชน และ ตชด.ที่เข้ามาดูแลภายในทำเนียบรัฐบาลวานนี้ได้ถอนกำลังออกไปแล้ว

อย่างไรก็ตาม ได้มีการแจ้งยกเลิกการนัดหมายหารือกลุ่มเล็กในเรื่องของวัคซีน หลังการประชุม ครม.ระหว่าง นายกรัฐมนตรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข นายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายสุพัฒนพงษ์  พันธ์มีเชาว์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน นายดิสทัต โหตระกิตย์ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และนายปกรณ์ นิลประพันธ์เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่นัดหมายล่วงหน้าโดยไม่ทราบสาเหตุ

ทีมโฆษก ย้ำ ศบค.ไฟเขียว ททท. ใช้สูตร ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ 7+7

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงกรณีขยายพื้นที่ภูเก็ตแซด์บ็อกซ์ไป จังหวัดอื่นๆ ที่ตอนนี้เรียกว่า7+7 ว่า ศบค.เห็นชอบตามที่ททท.เสนอแล้ว นั่นหมายความว่า นักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังจังหวัดภูเก็ต ต้องฉีดวัคซีนมาแล้ว2เข็ม อยู่ในจังหวัดภูเก็ต7วัน และเมื่อตรวจร่างกายแล้วปลอดโควิด-19 ช่วงเวลาวันที่8-14ของการพำนัก สามารถไปพื้นที่อื่นที่กำหนดได้ ได้แก่ สุราษฎร์ธานี(เกาะสมุย เกาะเต่า เกาะพะงัน) กระบี่(เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เล)พังงา (เกาะยาวน้อย เกาะยาวใหญ่ เขาหลัก) โดยสามารถดำเนินการได้ทันทีและเป็นการ ดำเนินโครงการภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งคนไทยทุกคนจะได้ช่วยกันดูแลนักท่องเที่ยว เพื่อไม่ให้เกิดเหตุการณ์อย่างในอดีต ในเรื่องความปลอดภัยของนักท่องเที่ยว นายกรัฐมนตรีก็ได้สั่งการไปในหลายส่วนให้ดูแลเป็นอย่างดีโดยให้เพิ่มประสิทธิภาพต่างๆเพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวต่อเนื่องเพื่อสร้างรายได้ให้กับประเทศไทยเพิ่มเติม

โฆษกรัฐบาล แจง ปม ปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากเหลือ 1 ล้านบาทต่อบัญชี เป็นไปตามพรบ. คุ้มครองเงินฝาก  วอน ประชาชน อย่าตื่นตระหนก

นายอนุชา บูรพชัยศรี โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ "แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล" ถึงกรณีการปรับลดวงเงินคุ้มครองเงินฝากที่เหลือ 1 ล้านบาทต่อราย สถาบันการเงิน ซึ่งเป็นไปตามพระราชบัญญัติคุ้มครองเงินฝาก ที่มีการปรับลดมาเป็นระยะ ตั้งแต่พ.ศ. 2551 เต็มจำนวน กระทั่งพ.ศ. 2562 ลดลงเหลือ 5 ล้านบาท และ 2564 ลดลงเหลือ 1 ล้านบาท

จากทั้งระบบที่มีผู้ฝากเงิน 83,950,000 ราย ซึ่งเป็นบัญชีที่เป็นเกินหนึ่งล้านบาทเพียง 1,600,000 รายเท่านั้น ปรากฏว่ามีผู้ฝากเงินไม่เกินหนึ่งล้านบาท มี 81.3 ล้านราย คิดเป็น 98% ของผู้ฝากเงินทั้งหมดของระบบสถาบันการเงิน ดังนั้นจึงเป็นการลดภาระในเรื่องของงบประมาณของรัฐ ที่จะต้องไปดูแลสถาบันการเงินต่างๆ และตอนนี้สถาบันการเงินก็สามารถที่จะดูแลตัวเองได้ด้วยความเข้มแข็ง ธนาคารแห่งประเทศไทยออกมายืนยันแล้วว่ามีกฎระเบียบมาตั้งแต่ปี40 มาเรื่อยๆ จนกระทั่งปัจจุบันทุกอย่างก็เป็นไปตามกำหนดกฏเกณฑ์นั้น

ดังนั้นจึงไม่มีความจำเป็นที่จะต้องไปดูแลเงินฝากในเรื่องของการคุ้มครองเต็มจำนวนทั้งหมด ดังนั้นตอนนี้ 1 ล้านบาท ก็ให้ความสบายใจได้ว่าสามารถที่จะดูแลต่อหนึ่งสถาบันการเงินที่ฝากได้ เช่น หากใครมีบัญชีอยู่ 4 ธนาคาร ก็ดูแลในบัญชีแต่ละสถาบันการเงินสถาบันละ 1 ล้านอยู่แล้ว ดังนั้นจึงขอชี้แจงว่าประชาชนไม่ต้องตื่นตระหนก กับประเด็นที่ออกมาเป็นข่าวในช่วง1-2 วันนี้

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากชาร์ท ที่นำเสนอระบุว่า การปรับลดวงเงินดังกล่าวมีผลตั้งแต่วันที่ 11 ส.ค. 64 โดยปัจจุบันสถาบันการเงินมีฐานะเข้มแข็ง ภายใต้การกำกับดูแลของแบงค์ชาติ จากเงินกองทุน และสภาพคล่องอยู่ในระดับสูง และยังสูงกว่าประเทศอื่นในภูมิภาค สถาบันการเงินยังมีศักยภาพในการให้ความช่วยเหลือตามมาตรการ ทางการเงินและรองรับความผันผวนทางเศรษฐกิจจาก โควิด-19

“รองโฆษกรัฐบาล” เผย พณ.เอาผิดผู้ประกอบการ โก่งราคาขายฟ้าทะลายโจร ทาง “ลาซาด้า-ช็อปปี้” ชี้ แพงแตะ 400เท่า  โทษถึงจำคุก 7 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวในรายการ “แจงให้เคลียร์กับทีมโฆษกรัฐบาล”กล่าวถึงการเอาผิดผู้โก่งราคาสมุนไพรฟ้าทะลายโจร ว่า ทางกระทรวงพาณิชย์ ได้เข้าไปดำเนินการเอาผิดตามพ.ร.บ.สินค้าและบริการ กับผู้จำหน่ายผ่านระบบออนไลน์ 2แพลตฟอร์ม คือลาซาด้าและช็อปปี้ จำนวน10 ราย 3ยี่ห้อ ที่ปล่อยให้มีการขายเกินราคาในราคาสูงมาก ทั้งที่ก่อนหน้านั้นทางกรมการค้าภายใน ได้ให้ผู้ประกอบการมาแจ้งราคาจำหน่าย แต่พอขายจริงกลับมีราคาสูง ยกตัวอย่าง ยี่ห้อแรกแจ้งขายในราคา 80 บาท แต่ไปขายออนไลน์ขาย 249- 345 บาท สูงเกือบ400เปอร์เซ็นต์ ยี่ห้อแจ้งขาย 25 บาท แต่ขายในออนไลน์ 120 บาท สูงกว่า376 เปอร์เซ็นต์ จึงต้องเข้าไปดำเนินการ โดยมีบทลงโทษจำคุกไม่เกิน7ปีปรับไม่เกิน 1.4 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top