Wednesday, 2 July 2025
POLITICS NEWS

"บิ๊กตู่" ห่วงเฟกนิวส์โควิด-19 พุ่งสร้างความสับสนให้ประชาชน “เผย” ดีอีเอสเดินหน้าตรวจสอบรายวัน แก้ไขปัญหาจริงจัง เตือนประชาชน เลือกเชื่อ เลือกแชร์ และร่วมแจ้งเบาะแสข่าวปลอม  

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ห่วงใยประชาชนเกี่ยวกับสถานการณ์ข่าวปลอม ซึ่งอาจสร้างความสับสน เข้าใจผิดให้กับสังคมกระทบต่อประชาชนในวงกว้าง โดยล่าสุด กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ได้ทำการมอนิเตอร์และรับแจ้งข่าวปลอม (ประจำสัปดาห์) ระหว่างวันที่ 14-20 ม.ค. 65 โดยศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมมีข้อความที่เข้ามาทั้งสิ้น 11,540,617 ข้อความ จากการคัดกรองมีข้อความที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ (Verify) จำนวน 231 ข้อความ รวมเรื่องที่ต้องดำเนินการตรวจสอบ 116 เรื่อง โดยเป็นข่าวเกี่ยวกับโควิด 21 เรื่อง ขณะที่ภาพรวมทั้ง แบ่งเป็น 4 กลุ่มข่าว ได้แก่ 1) กลุ่มนโยบายรัฐบาล/ข่าวสารทางราชการ 74 เรื่อง 2) กลุ่มผลิตภัณฑ์สุขภาพ รวมถึงสินค้าและบริการที่ผิดกฎหมายอื่นๆ  29 เรื่อง 3) กลุ่มภัยพิบัติ 6 เรื่อง และ 4) กลุ่มเศรษฐกิจ 7 เรื่อง โดยในภาพรวมได้รับการตรวจสอบแล้ว 66 เรื่อง

โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าการตรวจสอบข่าวปลอมพบว่า กระทรวงดิจิทัลฯ ได้รับผลตรวจสอบข่าวปลอมแล้ว 66 เรื่อง ซึ่งจำนวนกว่า 30 เรื่องเป็นข่าวจริง ถือเป็นเรื่องน่ายินดีที่จากการรณรงค์สร้างการรับรู้ของศูนย์ข่าวปลอม ทำให้ประชาชนรู้เท่าทันข่าวปลอมที่เผยแพร่บนโซเชียลมากขึ้น และตื่นตัวที่จะแจ้งเบาะแสมาให้เกิดการตรวจสอบ ทำให้สัดส่วนของข่าวจริงมีแนวโน้มขยับเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ ประชาชนสามารถติดตามและแจ้งเบาะแสข่าวปลอม ได้ผ่านช่องทางต่างๆ ของศูนย์ต่อต้านข่าวปลอม ดังนี้ ไลน์ @antifakenewscenter เว็บไซต์ https://www.antifakenewscenter.com/ ทวิตเตอร์ https://twitter.com/AFNCThailand และช่องทางโทรศัพท์โทรสายด่วน GCC 1111 ต่อ 87

เปิดสาเหตุ 32 ปี ความสัมพันธ์ไทย - ซาอุฯ แตกร้าว สู่มิตรภาพครั้งใหม่!!

พลันที่เว็บไซต์ทำเนียบรัฐบาล ได้เผยแพร่กำหนดการการเดินทางเยือนราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียอย่างเป็นทางการของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ระหว่างวันที่ 25 - 26 ม.ค. ตามคำเชิญของเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีช อัลซะอูด (His Royal  Highness Prince Mohammad bin Salman bin Abdulaziz Al Saud) มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย

ขณะที่สถานีโทรทัศน์อัล-อราบียา ของซาอุดีอาระเบีย รายงานว่านายกรัฐมนตรีของไทยจะเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบีย ในฐานะพระราชอาคันตุกะของมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมารซาอุดีอาระเบีย โดยพระองค์พระราชทานพระราชวโรกาสให้ พล.อ.ประยุทธ์ เข้าเฝ้าฯ ในวันอังคารที่ 25 มกราคมนี้

ข่าวดังกล่าวได้รับความสนใจทันที ทั้งในสังคมไทยและในเวทีโลก เพราะความสัมพันธ์ระหว่างไทย - ซาอุดีอาระเบีย อยู่ในภาวะแตกร้าวยาวนานกว่า 30 ปี 

ตลอดระยะเวลากว่า 3 ทศวรรษ การฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับซาอุดีอาระเบีย เป็นภารกิจที่รัฐบาลหลายชุดของไทยให้ความสำคัญมาโดยตลอด

แต่ทว่า ไม่มีผลที่เป็นรูปธรรมที่ชัดเจนมากนัก จนกระทั่งการดำเนินการเริ่มมีพัฒนาการที่ดีขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมภายหลังการพบหารือ 3 ฝ่าย ในช่วงการประชุมสุดยอดกรอบความร่วมมือเอเชีย (เอซีดี) ครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 9-10 ตุลาคม 2559 ที่กรุงเทพระหว่างพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี เจ้าชายเคาะลีฟะฮ์ บิน ซัลมาน อัลเคาะลีฟะฮ์ นายกรัฐมนตรีราชอาณาจักรบาห์เรนในขณะนั้น และนายอาดิล บิน อะหมัด อัลณูบีร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบียในขณะนั้น

หลังจากนั้นพล.อ.ประยุทธ์ ยังได้พบกับเจ้าชายมุฮัมมัด บิน ซัลมาน บิน อับดุลอะซีซ อัลซะอูด มกุฎราชกุมาร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมซาอุดีอาระเบีย ในช่วงการประชุมผู้นำจี 20 ที่นครโอซากา ประเทศญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 2562

ขณะที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของทั้งสองฝ่าย ได้มีการพบหารือกันเป็นระยะๆ เพื่อหารือรายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างกัน โดยนายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ได้เดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียตามคำเชิญของเจ้าชายฟัยศ็อล บิน ฟัรฮาน อัลซะอูด รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศซาอุดีอาระเบีย เมื่อเดือนมกราคม 2563

การเดินทางเยือนซาอุดีอาระเบียของพล.อ.ประยุทธ์ในครั้งนี้ นับเป็นการฟื้นฟูความสัมพันธ์ทางการทูตของทั้งสองประเทศ หลังเกิดเหตุการกระทบความสัมพันธ์หลังเกิดกรณีคดีเพชรซาอุฯ สังหารนักการทูต และนักธุรกิจ ตั้งแต่ปี 2532 ต่อเนื่องมาถึงปี2533 ทำให้ซาอุดีอาระเบีย ลดระดับความสัมพันธ์กับไทย โดยลดระดับตัวแทนทางการทูตเหลือแค่ระดับอุปทูต ห้ามชาวซาอุดีอาระเบียเดินทางมาไทย และ ไม่ตรวจลงตราให้คนไทยไปทำงานในซาอุดีอาระเบียเพิ่มขึ้น ซึ่งส่งผลกระทบต่อการไปมาหาสู่ระหว่างกัน และความร่วมมือที่สองประเทศมีอยู่เดิม โดยเฉพาะในด้านแรงงาน และการค้าและการลงทุน

‘พิธา’ ปลุกชาวจตุจักร-หลักสี่ ส่ง ‘เพชร’ เข้าสภาฯ ให้คำมั่นเปลี่ยนงบฯ กองทัพเป็นสวัสดิการปชช.

ยังไม่ละสายตาจากเป้าหมาย! ‘พิธา’ ลุยโค้งสุดท้ายเลือกตั้งซ่อมจตุจักร-หลักสี่ ปลุกทุกองคาพยพช่วยส่ง ‘เพชร กรุณพล’ เข้าสภา - เดินหน้าเปลี่ยนงบฯ กองทัพเป็นสวัสดิการประชาชน

(24 ม.ค. 65) พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล เดินทางรณรงค์หาเสียงให้กับ ‘เพชร - กรุณพล เทียนสุวรรณ’ เบอร์ 6 ผู้สมัครรับเลือกตั้งซ่อม ส.ส.เขตจตุจักร-หลักสี่ ที่บริเวณตลาดเมืองทองนิเวศน์ (ตลาดริมบึง) ถ.แจ้งวัฒนะ 14 โดยนอกจากจะมีการปราศรัยย่อยบริเวณด้านหน้าตลาดแล้ว ยังเดินพบปะกับพ่อค้าแม่ค้าและประชาชนที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในตลาดด้วย

พิธา กล่าวถึง กรณีการเปิดตัวแคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม. ของพรรคก้าวไกลและการเลือกตั้งซ่อม ส.ส.ที่จะมีขึ้นว่า มีความสัมพันธ์เกื้อหนุนไปด้วยกัน และมองว่าผู้สมัครจากพรรคก้าวไกล คือ ‘เพชร กรุณพล’ จะสามารถชนะใจพี่น้องประชาชนในพื้นที่เขตจตุจักร-หลักสี่ได้ โดยการร่วมมือทำงานแบบไร้รอยต่อทั้งของแคนดิเดตผู้ว่าฯ กทม., ว่าที่ผู้สมัคร ส.ก. รวมถึงว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. อย่าง เพชร กรุณพล จะช่วยส่งให้เขาได้เข้าไปเป็นผู้แทนในสภาได้ และความเชี่ยวชาญในฐานะคนในพื้นที่ของ เพชร กรุณพล เชื่อว่าจะทำให้เขาสามารถนำปัญหาของพี่น้องไปสะท้อนให้เกิดการแก้ไขได้ 

ครม. อนุมัติ งบกลาง 1,084 ล้านบาท แก้ไขปัญหาโควิด จ้างบุคลากรทางการแพทย์ เพิ่ม 2,402 อัตรา 

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)  ว่า ครม.อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 งบกลาง รายการค่าใช้จ่ายในการบรรเทา แก้ไขปัญหา และเยียวยา ผู้ที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) จำนวน 1,084 ล้านบาท  เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการจ้างพนักงานราชการเฉพาะกิจจำนวน 2,402 อัตรา สำหรับโครงการจ้างแพทย์ พยาบาลวิชาชีพ และสายงานบริการทางการแพทย์อื่น เป็นการจัดหาบุคลากรทางการแพทย์เพิ่มเติมให้เพียงพอ สำหรับรองรับการระบาดของโรคโควิด-19  และเพื่อเป็นขวัญกำลังใจให้กับบุคลากรทางการแพทย์

ครม.เห็นชอบ ร่างกฎกระทรวง 2 ฉบับ ไม่เก็บค่าปรับ-ต่ออายุเครื่องหมายการค้า-จ่ายค่าธรรมเนียมสิทธิบัตรเกินกำหนด

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.อนุมัติร่างกฎกระทรวงพาณิชย์ รวม 2 ฉบับ คือ เพื่อเป็นการลดภาระและบรรเทาความเดือดร้อนให้กับเจ้าของเครื่องหมายการค้าและผู้ถือสิทธิบัตรที่ได้รับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากโรคโควิด-19 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ร่างกฎกระทรวง ฉบับแรก คือ ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยเครื่องหมายการค้า พ.ศ. .... มีสาระสำคัญ เป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมเพิ่ม(ค่าปรับ) ร้อยละ 20 ของค่าธรรมเนียมการต่ออายุการจดทะเบียนเครื่องหมายการค้า เครื่องหมายบริการ เครื่องหมายรับรอง และเครื่องหมายร่วม ซึ่งเจ้าของเครื่องหมายจะต้องชำระเพิ่มในกรณีที่ไม่ได้ต่ออายุการจดทะเบียนภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด ฉบับที่ 2 คือ ร่างกฎกระทรวงยกเว้นค่าธรรมเนียมเพิ่มตามกฎหมายว่าด้วยสิทธิบัตร พ.ศ. .... มีสาระสำคัญเป็นการยกเว้นค่าธรรมเนียมเพิ่ม (ค่าปรับ) ร้อยละ 30 ของค่าธรรมเนียมรายปี ซึ่งเรียกเก็บจากผู้ถือสิทธิบัตรและอนุสิทธิบัตรที่ไม่ได้ชำระค่าธรรมเนียมรายปีภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด 

ครม.เคาะ “ไก่-เนื้อไก่” เพิ่มเป็นสินค้าควบคุม เหตุ เป็นทางเลือกอาหารแพง ยัน รัฐบาลช่วยเหลือทั้งเกษตรกร-ปชช. เชื่ออนาคตราคาสินค้าเกษตรลดลง

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.) ว่า ครม.เห็นชอบกำหนดสินค้าควบคุมประจำปี 2565 จำนวน 5 รายการ ตามมติคณะกรรมการกลางว่าด้วยราคาสินค้าและบริการ (กกร.) แบ่งเป็น 4 สินค้า ซึ่งเป็นสินค้าควบคุมอยู่แล้วในปี 2564 คือ 1.หน้ากากอนามัย 2.ใยสังเคราะห์ ผ้าสปันบอนด์ เพื่อใช้ในการผลิตหน้ากากอนามัย 3. ผลิตภัณฑ์ที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนประกอบเพื่อสุขอนามัยสำหรับมือ 4.เศษกระดาษและกระดาษที่นำกลับมาใช้ได้อีก ส่วนที่เพิ่มเติมคือ ไก่ และเนื้อไก่ เพราะปัจจุบันเป็นเนื้ออาหารสัตว์ทางเลือก ช่วงที่เนื้อหมู มีราคาแพง เพราะฉะนั้น ทาง กกร.จึงเสนอให้ครม.พิจารณาไก่และเนื้อไก่เป็นสินค้าควบคุมเพิ่มอีกหนึ่งชนิด เท่ากับว่าปี 2565 มีสินค้าควบคุม 5 รายการ เพิ่มเติมจากที่อยู่ในรายการก่อนหน้านี้ 51 รายการ อาทิ แชมพู ผงซักฟอก ไข่ไก่ สุกร เนื้อสุกร อาหารกึ่งสำเร็จรูป เป็นต้น 

น.ส.รัชดา กล่าวว่า การที่ไก่และเนื้อไก่ เป็นสินค้าควบคุมเท่ากับว่าผู้ทำฟาร์มไก่และผู้ประกอบการ ต้องมีหน้าที่รายงานปริมาณการเลี้ยงและต้นทุนราคา โดยกกร.กำหนดให้ผู้เลี้ยงไก่ที่มีปริมาณการเลี้ยงตั้งแต่ 1 แสนตัวขึ้นไปและโรงชำแหละไก่ ที่มีกำลังการผลิตมากกว่า 4 พันตัวต่อวัน ต้องแจ้งปริมาณการสต็อกและต้นทุนราคาการเลี้ยงสัตว์ให้คณะกรรมการทราบทุกเดือน เพื่อป้องกันการโก่งราคาและการกักตุนสินค้า 

"ส่วนกระแสที่ระบุว่ารัฐบาลนี้ปล่อยให้ราคาสินค้าแพงโดยไม่มีการดำเนินการใด คิดว่าหากสื่อและประชาชน ติดตามข่าวสารจะรับทราบข้อมูลและให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาล และเห็นได้ว่าทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องดำเนินการรักษาระดับราคา แต่ขอทำความเข้าใจว่าสินค้าที่มีระดับราคาสูงขึ้นในด้านหนึ่งเป็นสินค้าเกษตร เพราะฉะนั้น พี่น้องชาวเกษตรก็มีรายได้เพิ่มขึ้นจากการที่ระดับสินค้าเพิ่มสูงขึ้น เช่น ข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ ปาล์มน้ำมัน มันสำปะหลัง รวมถึงพืชผลการเกษตรอีกหลายชนิด  บางชนิดขยับขึ้นแต่ ไม่ส่งผลกระทบต่อผู้บริโภค เพราะฉะนั้น การดำเนินการของรัฐบาลจึงต้องเป็นการสร้างสมดุลระหว่างให้เกษตรกรมีรายได้ ขณะเดียวกันรายได้ที่เพิ่ม ต้องไม่กระทบต่อความเป็นอยู่ของประชาชน และรัฐบาลได้บูรณาการการทำงานและออกมาตรการช่วยเหลือหลายอย่าง" 

“แรมโบ้” อัด “ณัฐวุฒิ” ควรหุบปาก ประชาชนไม่เชื่อถือแกนนำม็อบสั่ง"เผาบ้านเผาเมือง"ทำประชาชนเดือดร้อน ยันนายกฯประยุทธ์ ไม่มีท้อถอย ยังทุ่มเทตั้งใจทำงานเต็มร้อย ทำมากกว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์ และไม่คิดทุจริตคดโกงเหมือนรัฐบาลยุคนายณัฐวุฒิเป็นรัฐมนตรี 

นายเสกสกล อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีกล่าวถึงนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ โพสต์เฟซบุ๊กนายกฯอยู่ในภาวะหมดสภาพ เปิดเพลงอย่ายอมแพ้ หมายถึงแพ้แล้ว 3ป. แตกหัก อยู่มา 8 ปี แก้ปัญหาให้ประชาชนไม่ได้ โดยยืนยันว่านายกฯ ไม่ได้หมดสภาพ และยังมีใจเต็มร้อยในการทำงานร่วมกับพรรคร่วมรัฐบาล การแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนโดยเฉพาะขณะนี้ประชาชนยังได้รับความเดือดร้อนจากสถานการณ์โควิด-19 

ส่วนเรื่องทางการเมืองนายกฯย้ำหลายครั้งแล้วว่าเป็นเรื่องของพรรคการเมืองนายกไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยว เช่นเดียวกันกับความสัมพันธ์กับพลเอกประวิตร วงษ์สุวรณ นายกฯย้ำเสมอว่ายังเคารพรักพูดคุยกันดีอยู่ไม่มีอะไรขัดแย้งกัน

นายเสกสกล ย้ำว่าตลอดระยะเวลาการบริหารงานนายกฯได้แก้ปัญหาและพัฒนาประเทศมากกว่ารัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่มีนายณัฐวุฒิเป็นรัฐมนตรี ที่ไม่เคยทำอะไรเพื่อประชาชนเลย เท่าที่เห็นก็มีแต่ทำเพื่อตัวเอง ครอบครัว และพวกพ้องเท่านั้น

“ขอย้ำอีกครั้งนายกฯ ไม่ได้ทำผิดอะไรและจะต้องทำงานช่วยเหลือประชาชนจนครบเทอม จะไม่ทอดทิ้งประชาชนอย่างแน่นอน

และขอแนะนำว่านายณัฐวุฒิไม่ควรออกมาพูดอะไรทั้งนั้น เพราะไม่มีประชาชนคนใดเชื่อถือคนที่ชอบออกมาเคลื่อนไหวร่วมกับม็อบ ทำความเดือดร้อนให้กับประชาชน อีกทั้งไม่เคยทำอะไรเพื่อประชาชน และประเทศชาติบ้านเมืองเลย ตั้งแต่เป็นรัฐมนตรีจนมาถึงวันนี้ ทางที่ดีควรหุบปากเพื่อเอาใจนายใหญ่ได้แล้ว

"นายใหญ่ทางไกลตอบแทนให้รางวัลเป็นรัฐมนตรีช่วยสองกระทรวงฯทั้งที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นแกนนำนปช.สั่งเผาบ้านเผาเมือง  แต่พอเป็นรัฐมนตรีฯ ช่วยบอกหน่อยว่าได้มีผลงานอะไรทำเพื่อประชาชนบ้าง เป็นรมช.พาณิชย์นั่งตอบนักข่าวเรื่องทุจริตโกงข้าวชาวนา ตอบไม่ได้สักเรื่อง เหมือนคนเป็นใบ้ ไปไม่เป็น คนเขาเห็นกันทั้งแผ่นดิน ยังจะมีหน้ามากล่าวหาคนอื่น ช่วยตักน้ำใส่กระโหลก ชะโงกดูเงาตัวเองบ้างว่า เคยทำความดีอะไรให้บ้านเมือง นอกเหนือจากที่ถูกประชาชนกล่าวประนามว่าเป็นแกนนำ
"เผาบ้านเผาเมือง"

ครม.เคาะ 2 ล้านสิทธิ ‘เราเทียวด้วยกัน’ เฟส 4 เริ่ม ก.พ.นี้

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมครม. อนุมัติโครงการเราเที่ยวด้วยกัน ระยะที่ 4 กรอบวงเงิน 9,000 ล้านบาท โดยใช้จ่ายเงินกู้ตาม พ.ร.ก. เงินกู้ 5 แสนล้านบาท มีระยะเวลาดำเนินโครงการเป็นตั้งแต่เดือน ก.พ. – ก.ค. 2565 ซึ่งรัฐจะสนับสนุนค่าโรงแรมที่พัก คนละไม่เกิน 10 ห้อง ในอัตรา 40% ไม่เกิน 3,000 บาทต่อห้องต่อคืน จำนวน 2 ล้านสิทธิ และปรับลดสิทธิสำหรับตั๋วเครื่องบินลงเหลือ 6 แสนสิทธิ เนื่องจากการดำเนินโครงการในระยะที่ผ่านมาในส่วนของตั๋วเครื่องบิน ปรากฏว่าผู้ร่วมโครงการไม่ได้มีการใช้สิทธิเต็มสิทธิที่ให้อยู่แล้ว 

น.ส.ไตรศุลี กล่าวว่า มาตรการที่ได้รับอนุมัติครั้งนี้จะเป็นการสนับสนุนภาคการท่องเที่ยวให้ประชาชนมีเกิดการใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยวช่วยเหลือและเยียวยาผู้ประกอบการภายในประเทศที่ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด- 19 และมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ของรัฐบาล โดย ครม. ยังมอบหมายให้ การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) พิจารณากำหนดมาตรการเพิ่มเติมในการกำกับและติดตาม การดำเนินโครงการ เพื่อป้องกันการแสวงหา ประโยชน์จากการดำเนินโครงการโดยมิชอบ ทั้งในส่วนของผู้ประกอบการและนักท่องเที่ยว อย่างเคร่งครัด ซึ่งจะช่วยให้การดำเนินโครงการ เป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และสามารถ ตรวจสอบได้ต่อไป

ครม.อนุมัติลงนามร่างเอ็มโอยู “อาเซียน-องค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา” ชี้ ส่งเสริมความร่วมมือเศรษฐกิจและสังคม 36 สาขา

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่าครม.อนุมัติให้มีการลงนามในร่างบันทึกความเข้าใจระหว่างสมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (อาเซียน) กับองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ตามที่กระทรวงพาณิชย์ เสนอ โดยจะลงนามในช่วงการประชุม OECD Ministerial Meeting on Southeast Asia ที่กรุงโซล ระหว่างวันที่ 9-10 ก.พ.นี้ โดยการประชุมดังกล่าว จัดขึ้นเพื่อประสานความร่วมมือของประเทศในภูมิภาคอาเซียนและ OECD เพื่อส่งเสริมนโยบายนำไปสู่การเติบโตทางเศรษฐกิจในภูมิภาคอย่างยั่งยืนในประเด็นต่างๆ เช่น การจ้างงาน มาตรฐานการครองชีพ เสถียรภาพทางการคลัง เป็นต้น

น.ส.รัชดา กล่าวว่า ร่างบันทึกความเข้าใจฯ เป็นกรอบเสริมสร้างและพัฒนาความร่วมมือระหว่างประเทศ โดยไม่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ซึ่งมีวัตถุประสงค์พื่อส่งเสริมความร่วมมือระหว่างอาเซียน และ OECD ในประเด็นที่มีความสนใจร่วมกัน รวมทั้งกำหนดกรอบยุทธศาสตร์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการประสานงานและพัฒนาความร่วมมือในสาขาความร่วมมือด้านเศรษฐกิจและสังคม รวม 36 สาขา เช่น 1.การตอบสนองต่อโควิด-19 2.ภาษีอากร 3.การจัดการการเงินภาครัฐ 4.แนวปฏิบัติที่ดีด้านกฎระเบียบ 5.การอำนวยความสะดวกทางการค้า 6.การลงทุน เป็นต้น

“ครม.” ไฟเขียว “กฎหมายปิดปาก”  คุ้มครองปชช.-นักสิทธิมนุษยชน ให้ข้อมูลจนท.ทุจริต 

ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.รัชดา ธนาดิเรก โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบหลักการ ร่างพระราชบัญญัติมาตรการป้องกันการฟ้องคดีปิดปาก ในความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่และประพฤติมิชอบ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ เสนอ โดยสาระสำคัญ เพื่อเป็นการคุ้มครองประชาชนหรือนักสิทธิมนุษยชน ที่มีความตั้งใจปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติ ที่ออกมาเปิดเผยข้อมูลการกระทำทุจริตหรือประพฤติมิชอบของเจ้าหน้าที่รัฐ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ขู่จะฟ้องปิดปาก ใช้กระบวนการยุติธรรมมาเป็นเครื่องมือตอบโต้ เพื่อระงับการดำเนินการของประชาชนที่อยากมีส่วนร่วมในการปกป้องผลประโยชน์บ้านเมือง


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top