Monday, 7 July 2025
POLITICS NEWS

“ประยุทธ์” หารือเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ฯ ยืนยันไทยพร้อมเป็นศูนย์กลางทางการค้าและการลงทุนในภูมิภาค ทั้งสองฝ่ายพร้อมสนับสนุนประเด็นด้านการศึกษา และวัฒนธรรม

ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล นายโจเซฟ แอนโทนี คอตเตอร์ (H.E. Mr. Joseph Anthony Cotter) เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมคารวะ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในโอกาสอำลาพ้นจากหน้าที่

นายกรัฐมนตรี กล่าวชื่นชมบทบาทของเอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ฯ ที่ได้ปฏิบัติงานอย่างแข็งขันตลอด 4 ปี โดยได้ผลักดันความร่วมมือด้านการค้า การลงทุน รวมถึงด้านการศึกษาและวัฒนธรรม เห็นถึงความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไอร์แลนด์ที่ดีต่อกันเสมอมา ซึ่งในอีก 3 ปีข้างหน้าจะเป็นวาระครบรอบ 50 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย – ไอร์แลนด์ พร้อมแสดงความยินดีในโอกาสวันชาติของไอร์แลนด์ (St. Patrick's Day) ซึ่งจะมีขึ้นในวันที่ 17 มีนาคม 2565 โดยทราบว่าปีที่แล้วได้มีการจัดกิจกรรมเปิดไฟสีเขียวที่วัดอรุณฯ ซึ่งประสบความสำเร็จอย่างดี และเชื่อมั่นว่าทั้งสองประเทศจะสานต่อความร่วมมือต่อไปทั้งในระดับทวิภาคี อนุภูมิภาคและภูมิภาค โดยเฉพาะในช่วงการฟื้นฟูเศรษฐกิจภายหลังสถานการณ์โควิด-19

ขณะที่ เอกอัครราชทูตไอร์แลนด์ กล่าวยินดีว่า เป็นเกียรติอย่างยิ่งในตลอดระยะเวลาที่ดำรงตำแหน่งในประเทศไทย ขอบคุณรัฐบาลไทย และหน่วยที่เกี่ยวข้องที่ให้การต้อนรับและสนับสนุนความร่วมมือที่ดีเสมอมา โดยยืนยันที่จะกระชับความสัมพันธ์ไทย – ไอร์แลนด์ให้ใกล้ชิดมากขึ้นเพื่อสานต่อความร่วมมือให้เกิดผลเป็นรูปธรรม ทั้งด้านการค้าการลงทุนใน EEC ด้านเทคโนโลยี อาหาร และเกษตรแปรรูป เทคโนโลยีดิจิทัลและสารสนเทศ ตลอดจนอุปกรณ์การแพทย์ และเวชภัณฑ์ รวมทั้งยินดีผลักดันให้ไทยเปิดสถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงดับลิน เพื่อส่งเสริมความสัมพันธ์ในมิติอื่น ๆ ต่อไป

โดยทั้งสองฝ่ายต่างเห็นพ้องว่า ไทยและไอร์แลนด์ยังมีศักยภาพระหว่างกันในอีกหลายมิติ โดยได้หารือในประเด็นความร่วมมือระหว่างกัน ดังนี้ ด้านเศรษฐกิจ นายกรัฐมนตรียืนยันว่าไทยพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางด้านการค้า และการลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ไอร์แลนด์มีศักยภาพด้านดิจิทัล และเป็นแหล่งของบริษัทยาและอุปกรณ์ทางการแพทย์ชั้นนำของโลก จึงขอเชิญชวนให้เข้ามาลงทุนในไทยในสาขานี้เพิ่มเติม

“บิ๊กตู่”สั่งเร่งแก้กฎหมายฟอกเงินเอาผิดเครือข่ายบัญชีม้า สกัดเส้นทางโอนเงินแก๊งค์มิจฉาชีพ

น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ได้รับรายงานจากนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) ถึงความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ ว่า ขณะนี้สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้เสนอแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.)ป้องกันและปรามปรามการฟอกเงิน ซึ่งได้กำหนดให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับการเปิดบัญชีม้าหรือบัญชีทางผ่านเพื่อรับโอนเงินระหว่างเหยื่อและมิจฉาชีพ จะต้องมีความผิดตามกฎหมายฟอกเงิน มีทั้งโทษจำคุกและโทษปรับ ซึ่งหากสามารถแก้ไขปัญหาบัญชีม้าได้จะสกัดเส้นทางการรับและโอนเงินในขบวนการของมิจฉาชีพ

“พล.อ.ประยุทธ์  ได้มีข้อสั่งการให้เร่งรัดกระบวนการแก้ไขกฎหมายให้ได้มีผลบังคับโดยเร็ว เพื่อให้เป็นเครื่องมือของเจ้าหน้าที่ตำรวจในการปราบปรามการกระทำผิด เนื่องจากขณะนี้อาชญากรรมทางออนไลน์เกิดขึ้นในหลายรูปแบบ นอกจากคอลเซ็นเตอร์หลอกลวงให้โอนเงินแล้วยังมีรูปแบบอื่นๆ ซึ่งหากแก้ไขปัญหาบัญชีม้าได้ จะลดปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากอาชญากรรมเหล่านี้ได้มาก นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังได้กำชับว่านอกจากเพิ่มประสิทธิภาพของกฎหมายแล้ว หน่วยงานเกี่ยวข้องต้องเร่งให้ความรู้กับประชาชนว่าการรับจ้างเปิดบัญชีม้า รวมถึงพฤติการณ์ใดๆ ที่เป็นการเข้าไปสนับสนุนเพื่อให้มีบัญชีม้านั้นเป็นความผิดตามกฎหมาย เพื่อประชาชนจะได้ไม่ทำความผิดหรือระมัดระวังตัวไม่ให้ถูกหลอกลวงให้กระทำผิด”รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี

แบ่งพื้นที่ชัดเจน ! "อนุทิน" เผย รพ.แยกรักษาผู้ป่วยโควิด-19 ออกจากโรคทั่วไป ขอประชาชนมั่นใจมาตรฐานความปลอดภัย

ที่กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุขกล่าวกับผู้สื่อข่าว ถึงรูปแบบการรักษาพยาบาลผู้ป่วยโควิด -19 ระบุว่า

ปัจจุบัน ผู้ป่วยที่ ไม่มีอาการหรือมีอาการน้อนมากๆ ทางกระทรวงการจำแนกให้เป็นผู้ป่วยนอกตามนโยบาย "เจอ แจก จบ" ที่เริ่มมาตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม ที่ผ่านมาประชาชนให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ซึ่งนับเป็นการช่วยกันดูแลระบบสาธารณสุขให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ไม่เพิ่มภาระให้กับ รพ.และบุลคลากรแพทย์ ทำให้เรามีศักยภาพในการดูแลผู้ป่วยเกณฑ์สีเหลือง และแดงได้มากขึ้น 

การจะทำให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น (Endemic) เราต้องทำให้คนเข้าใจที่จะอยู่กับโรค เรากำลังเร่งเดินหน้ามาตรการต่างๆ เพื่อให้สามารถอยู่กับโรคได้ และเศรษฐกิจ ก็ต้องไปได้ เช่น วัคซีน เราเร่งการฉีดให้มากขึ้น เพื่อให้อัตราสูญเสียลดลง จนเข้าเกณฑ์โรคประจำถิ่น ที่ต้องมีอัตราเสียชีวิตต่ำกว่า 1 ใน 1,000 ราย หรือ ร้อยละ 0.1

ตั้งแต่ สธ.เปิดให้บริการผู้ติดเชื้อโควิด-19 เกณฑ์สีเขียว เป็นผู้ป่วยนอก ตั้งแต่ วันที่ 1 มีนาคมที่ผ่านมา ข้อมูล คือ ร้อยละ 60 เป็นสายจากกรุงเทพมหานคร เมื่อวันที่ 4 มีนาคม จึงเปิดให้บริการเพิ่มเติมใน 14 จังหวัด ที่อยู่รอบๆ กรุงเทพฯ  ได้แก่ นครนายก นนทบุรี ปทุมธานี พระนครศรีอยุธยา ลพบุรี สระบุรี สิงห์บุรี กาญจนบุรี นครปฐม เพชรบุรี ราชบุรี สมุทรสงคราม สมุทรสาคร สุพรรณบุรี จันทบุรี ชลบุรี และ สมุทรปราการ 4 วันที่ผ่านมา ให้บริการสะสมแล้ว 8,000 ราย โดยสัดส่วนของการจ่ายยา คือ การจ่ายยารักษาตามอาการ ร้อยละ 50 ยาฟ้าทะลายโจร ร้อยละ 22 และยาฟาวิพิราเวียร์ ร้อยละ 28

“ราเมศ” ไม่เห็นด้วย แนวคิดรับเงินซื้อเสียง-จัดเลี้ยง ถูกกฎหมาย ย้ำ จุดยื่นปชป.การเมืองสุจริต ต้องไม่มีอะไรมาจูงใจเพื่อให้ลงคะแนน

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีที่ นายเสรี สุวรรณภานนท์ ส.ว.นำเสนอแนวคิดรับเงินซื้อเสียงไม่ผิดกฎหมาย สามารถจัดมหรสพ และจัดเลี้ยงได้ว่า ส่วนตัวรับฟังแนวความคิดที่หลากหลาย แต่โดยหลักการและเจตนารมณ์ของกฎหมายปัจจุบันนั้นดีอยู่แล้ว ที่ป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง ป้องกันการใช้เงินมาเป็นปัจจัยในการจูงใจประชาชนใช้สิทธิเลือกตั้ง การจูงใจประชาชนตามหลักการประชาธิปไตยผู้ที่เสนอตัวเป็นผู้แทนราษฏร ต้องจูงใจด้วยความดี ด้วยความตั้งใจทำงานให้กับพี่น้องประชาชน นำเสนอนโยบายที่เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ ภาคปฏิบัติในทางการเมืองสำคัญที่สุด การเมืองที่สุจริต ต้องไม่ตกอยู่ภายใต้อามิสสินจ้าง เชื่อว่าทุกคนต้องการส่งเสริมและพัฒนาระบบประชาธิปไตยให้ดีขึ้นในวันข้างหน้า แม้ใช้เวลานานก็ต้องร่วมกันเริ่มต้นทำ 

นายราเมศกล่าวต่อว่า การจะทำให้การป้องกันการซื้อสิทธิขายเสียง ทำได้หลายกรณี กฎหมายเดิมใช้ได้ดีอยู่แล้ว การป้องปราม องค์กรที่มีหน้าที่ก็ต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น ส่งสายลับสายสืบไปตรวจไปดู การกันประชาชนเป็นพยานเพื่อจัดการกับนักการเมืองที่ซื้อเสียง มีประสิทธิภาพมากกว่าหากจริงจังในการแก้ปัญหาการซื้อเสียง อีกกรณี การที่จะให้จัดมหรสพ จัดเลี้ยงได้นั้น ทุกอย่างต้องมีเงินมาเป็นปัจจัยนำการเมืองสุจริต ซึ่งผิดหลัก แล้วคนดีที่ตั้งใจอาสาเข้ามาทำหน้าที่เพื่อบ้านเมืองจะทำอย่างไร ความไม่เท่าเทียมจะเกิดขึ้น ฉะนั้นหากให้กระทำการกันอย่างอิสระเสรี ทุกอย่างจะปั่นป่วนไปหมด จะมั่นใจได้อย่างไรว่าคนรับจะไปแจ้ง คณะกรรมการการเลือกตั้ง(กกต.)

'กบฉ.ไฟเขียว' ต่อพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ '3 จ.ใต้' ย้ำ เข้มมาตรการ เฝ้าระวังชายแดน-โควิด-19-งานข่าวในพื้นที่ 

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน ครั้งที่ 1/2565 มีพล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา รมว.มหาดไทย นายสมศักดิ์ เทพสุทิน รมว.ยุติธรรม เข้าร่วม

โดยที่ประชุมเห็นชอบขยายระยะเวลาการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ ออกไปอีกเป็นระยะเวลา 3เดือน ทั้งนี้ ตั้งแต่ 20 มี.ค.- 19 มิ.ย.65 โดยเป็นการขยายระยะเวลา ครั้งที่ 67 ยกเว้น อ.ศรีสาคร ,อ.สุไหงโก-ลก ,อ.แว้ง ,อ.สุคิริน จ.นราธิวาส  อ.ไม้แก่น ,อ.แม่ลาน จ.ปัตตานีและ อ.เบตง ,อ.กาบัง จ.ยะลา ตามข้อเสนอของ กอ.รมน.ภาค4 ส่วนหน้า เสนอ เพื่อให้การปฏิบัติงานของเจเาหน้าที่เกิดความต่อเนื่องและมีประสิทธิภาพ สามารถดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนในพื้นที่ ต่อไป 

นอกจากนั้น รับทราบผลการปฏิบัติงานตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ตั้งแต่ 20 ธ.ค.64-10 ก.พ.65 โดยภาพรวมสถานการณ์การก่อเหตุความรุนแรงในพื้นที่มีแนวโน้มลดลงต่อเนื่อง และประชาชนให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐด้วยดี รวมถึงรับทราบความคืบหน้าผลการดำเนินงานตามแผนปรับลดพื้นที่ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน ซึ่งมีแนวโน้มที่จะปรับลดพื้นที่เพิ่มขึ้น

‘ท่านใหม่’ เตือนไทย อย่าหลงเชื่อพวกคนแดนไกล ทำลาย ‘สัมพันธ์ - ต่อต้าน’ และถึงขั้นรบกับจีน 

ไม่นานมานี้ ‘ท่านใหม่’ หม่อมเจ้า จุลเจิม ยุคล ได้โพสต์เฟซบุ๊กเตือนสติคนไทยและรัฐบาลไทย หลังจากระยะหลัง เริ่มวางบทบาทที่อาจจะไปกระเทือนความสัมพันธ์อันดีกับประเทศจีน ด้วยการหลงเชื่อกลุ่มประเทศจากแดนไกล ว่า... 

ประเทศไทยต้องไม่เป็นยูเครนสอง

อย่าคิดทำลายมิตรภาพที่ดีระหว่างประเทศจีน และประเทศไทย ไปหลงเชื่อพวกคนแดนไกล

ขณะนี้ประเทศไทย เรา รัฐบาลเรา ก็ประพฤติปฏิบัติอย่างเดียวกันกับยูเครน นั่นคือ ได้ไปทำข้อตกลงกับสหรัฐฯ ก่อตั้งพันธมิตรตามยุทธศาสตร์อินโด-แปซิฟิก ในการต่อต้านภัยคุกคามจากจีน โดยจะมีญี่ปุ่น, ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์เข้ามาผสมโรงด้วย 

พูดง่ายๆ ก็คือเอาประเทศไทยเข้าเป็นพันธมิตรกับอเมริกา ซึ่งเป็นหัวหน้าใหญ่ของนาโต้ และสมุนบริวารเพื่อตั้งตัวเป็นศัตรูกับจีน ‘ต่อต้านจีน’ กระทั่งอาจเตรียมที่จะทำสงครามกับจีนด้วย (หวังว่าคงไม่เป็นเช่นนั้น)

ไปตั้งความตกลงนี้กันอย่างปกปิดเงียบเชียบโดยคนไทยทั้งประเทศไม่มีใครรู้เห็น จนกระทั่งสถานทูตสหรัฐฯ นำข้อตกลงนี้ออกมาเผยแพร่ คนไทยจึงเพิ่งรับรู้กันในระยะไม่กี่วันมานี้ จึงมีการกล่าวขานกันอย่างกว้างขวางว่า “นี่คือการกระทำที่ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้านอย่างเดียวกันกับยูเครน”

...ไม่สำเหนียกเลยว่าประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทย-จีน นั้นมีแต่ความเป็นพี่น้องกัน 
...ไม่มีครั้งไหนที่ไทยเดือดร้อนแล้วจีนจะไม่ให้ความช่วยเหลือ 
...ไม่ว่าจากศึกเหนือเสือใต้หรือจากภัยพิบัติ หรือจากปัญหาเศรษฐกิจ จีนก็เอื้อเฟื้อช่วยเหลือตลอดมา 
...ไม่เคยกระทำการใดๆ ที่เป็นภัยต่อประเทศไทยเลย 

แม้กระนั้นก็มิได้สำนึกในบุญคุณ กลับทรยศต่อมิตรไปคบคิดกับคนแดนไกล (อเมริกา) มาก่อความขัดแย้งใหญ่ขึ้นในภูมิภาค ในพระราชอาณาจักรเรา ที่มีแต่ความสงบสุข มาเป็นเวลากว่า ร้อยๆ ปี

'โฆษกรัฐบาล' เผย ไทยเตรียมพร้อมมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด-19 สู่โรคประจำถิ่น สอดคล้องกับระดับสถานการณ์และมาตรฐานองค์การอนามัยโลก - นายกฯ เน้น ให้ประชาชนดำรงชีวิตได้เป็นปกติใหม่ภายใต้หลัก Universal Prevention 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยถึง ความพร้อมสำหรับมาตรการรองรับการเปลี่ยนผ่านการระบาดของโรคโควิด - 19 สู่โรคประจำถิ่น เป็นไปตามนโยบายและข้อสั่งการของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพื่อให้ประเทศไทยมีความพร้อมสอดคล้องกับระดับสถานการณ์ โดยคำนึงถึงทั้งสุขภาพของคนไทย รวมทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศ   โดยนายกรัฐมนตรีเน้นบริหารจัดการ เตรียมความพร้อมในทุกมิติ ครอบคลุมทั้งการเฝ้าระวังสำหรับผู้เดินทางเข้าประเทศ การบริหารจัดการวัคซีน มาตรการป้องกันและควบคุมโรค คู่ขนานไปการรักษาระบบเศรษฐกิจสร้างรายได้เข้าประเทศ เพี่อให้ประชาชนสามารถประกอบอาชีพและดำรงชีวิตได้เป็นปกติใหม่ภายใต้หลัก Universal Prevention 

สำหรับมาตรการเตรียมความพร้อมเข้าสู่โรคประจำถิ่นมีแผนดำเนินการที่ครอบคลุมทุกมิติ โดยอัตราความรุนแรงของโรคจะต้องสามารถควบคุมได้ มีสถานพยาบาลที่สามารถรองรับผู้ป่วยได้อย่างเพียงพอ ประชาชนสามารถเข้าถึงระบบการรักษาได้อย่างรวดเร็ว ประกอบกับจำนวนผู้เสียชีวิตอยู่ภายใต้อัตราส่วนของสากล สอดคล้องกับมาตรฐานองค์การอนามัยโลก ทั้งนี้  ประชาชนยังต้องปฏิบัติตามมาตรฐานป้องกันโรคอย่างเคร่งครัด และการได้รับวัคซีนครบถ้วน รวมทั้งวัคซีนเข็มกระตุ้น เพี่อช่วยลดอัตราความรุนแรงของโรคได้

“นายกฯ” ยัน ส่งเสริมคุณภาพชีวิตแรงงานสตรี เร่ง แก้กฎหมายลาคลอด จ่ายค่าจ้างให้ครบ 98 วัน

ที่ทำเนียบรัฐบาล รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตามที่เครือข่ายสตรี มีข้อเรียกร้องถึง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในวันสตรีสากล 8 มี.ค.ที่ผ่านมา  เกี่ยวกับสิทธิของลูกจ้าง เรื่องวันลาคลอดบุตร ที่ปัจจุบันให้ลาได้ 98 วัน แต่จ่ายค่าจ้างเพียง 90 วัน เนื่องจากข้อกฎหมายที่บังคับใช้อยู่ กำหนดให้นายจ้างมีหน้าที่จ่ายค่าจ้างตลอดระยะเวลาที่ลูกจ้างลา แต่ไม่เกิน 45 วัน โดยค่าจ้างอีกครึ่งหนึ่ง (45วัน) ลูกจ้างรับจากสำนักงานประกันสังคม(สปส.) ของค่าจ้างเฉลี่ย 90 วัน โดยวันลา 8 วัน ที่เพิ่มขึ้น ลูกจ้างยังไม่ได้รับความคุ้มครองในเรื่องค่าจ้าง

น.ส.รัชดา กล่าวว่า นายกฯรับข้อเรียกร้อง และติดตามการปรับปรุงข้อกฎหมาย เพื่อให้นายจ้าง และสปส. ร่วมกันจ่ายค่าจ้างให้ครอบคลุมวันลาทั้งหมด ขณะนี้กระทรวงแรงงาน อยู่ระหว่างดำเนินการให้สปส.เสนอปรับแก้ไขกฎหมาย เพิ่มสิทธิให้กับลูกจ้าง โดยจะปรับเพิ่มประโยชน์ทดแทนให้ผู้ประกันตน จากร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย 90 วัน เป็นร้อยละ 50 ของค่าจ้างเฉลี่ย 98 วัน จะมีผลให้ลูกจ้างได้รับค่าจ้างในวันลาเพิ่มขึ้นจากสิทธิเดิม อีก 4 วัน ในส่วนของค่าจ้างในวันลาเพื่อคลอดบุตร อีก 4 วัน กรมสวัสดิการและคุ้มครองแรงงานจะนำเข้าสู่การพิจารณาของคณะทำงานประเมินผลสัมฤทธิ์กฎหมาย เพื่อปรับแก้ไขพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน พ.ศ. 2541 เพิ่มสิทธิให้กับลูกจ้างต่อไป

'อนุชา' เร่งผลักดันการประชาสัมพันธ์ สร้างการรับรู้ทุกระดับ ต่อยอด ฟื้นฟู พัฒนาประเทศยุคดิจิทัล ใช้ประโยชน์จากไทยเป็นเจ้าภาพเอเปค แสดงศักยภาพต่อประชาคมโลก

ที่กรมประชาสัมพันธ์ นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์เพื่อเตรียมการจัดการประชุมผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปค และการประชุมที่เกี่ยวข้อง ในช่วงที่ประเทศไทยเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค ปี พ.ศ. 2565 ครั้งที่ 1/2565 (ผ่านระบบ Video Conference) โดยมี นายรณภพ ปัทมะดิษ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายชนะศักดิ์ อัตถาวงศ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พล.ท.สรรเสริญ  แก้วกำนิด อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ นายธานี  แสงรัตน์ อธิบดีกรมสารนิเทศ และคณะอนุกรรมการฯ เข้าร่วม 

นายอนุชา กล่าวว่า นายกรัฐมนตรีให้ความสำคัญกับการดำเนินการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมเอเปค 2565 โดยกำหนดให้เป็นวาระแห่งชาติ ให้ทุกหน่วยงานใช้โอกาสในการเป็นเจ้าภาพเอเปคของไทย เพื่อผลักดันและส่งเสริมผลประโยชน์ต่อภาคธุรกิจและประชาชนคนไทยในทุกด้าน พร้อมเชิญชวนให้พี่น้องประชาชนชาวไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในความภาคภูมิใจและร่วมเป็นเจ้าบ้านที่ดี ต้อนรับผู้นำจากทั่วโลกที่จะเข้าร่วมการประชุมตลอดปีนี้

ในการประชุมได้รับทราบรายงานความคืบหน้าด้านการประชาสัมพันธ์อย่างเป็นรูปธรรมจากคณะอนุกรรมการฯ แต่ละหน่วยงาน อาทิ กรมประชาสัมพันธ์ กรมสารนิเทศ บริษัทไปรษณีย์ไทย จำกัด  การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กรุงเทพมหานคร การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.)

การที่ไทยเป็นเจ้าภาพเอเปคในครั้งนี้ถือเป็นโอกาสสำคัญที่สุดของไทยในทุกด้าน ขอให้คนไทยใช้โอกาสนี้ให้เกิดประโยชน์กับประเทศมากที่สุด โดยเฉพาะในการประชุมผู้นำจาก 21 เขตเศรษฐกิจในเดือนพฤศจิกายนนี้ จะได้เห็นท่าทีและพลังของสมาชิกที่สำคัญ การประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารที่เกี่ยวข้องกับการประชุมเอเปคจึงเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญยิ่งสำหรับกลุ่มเป้าหมายทั้งคนไทยและคนต่างชาติ  จึงมอบหมายให้คณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์ เน้นการสื่อสารประโยชน์ของเอเปคที่คนไทยได้รับทั้งทางตรงและทางอ้อม และสื่อสารประชาสัมพันธ์เรื่องที่คนสนใจ ใกล้ตัว และเข้าถึง เข้าใจง่าย เช่น การท่องเที่ยว อาหาร และการบริการ เพื่อดึงดูดความสนใจประชาชนให้เข้ามามีส่วนร่วมและเห็นโอกาสจากการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ตามข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี รวมทั้งประชาสัมพันธ์ความพร้อมของมาตรการด้านสาธารณสุขในการควบคุมการแพร่ระบาดโรคโควิด-19 สร้างความเชื่อมั่นแก่ชาวต่างชาติในช่วงที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุมเอเปค 2565 

“บิ๊กตู่”นำถก กพช. ย้ายกลับมาประชุมที่ตึกภักดีบดินทร์เหมือนเดิม หลังแจ้งเปลี่ยนถกบนตึกไทยคู่ฟ้ากันการครหาหลบหน้าสื่อ

ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ(กพช.) ครั้งที่ 2/2565 ผ่านระบบ Video Conference ที่ตึกภักดีบดินทร์ ทำเนียบรัฐบาล โดยนายกรัฐมนตรี ได้หารือกับนายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.พลังงาน บนตึกไทยคู่ฟ้าก่อนเริ่มการประชุมเป็นเวลาเกือบ 30 นาที 

อย่างไรก็ตาม ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังจากช่วงเช้าวันนี้มีการแจ้งเปลี่ยนแปลงสถานที่การประขุมกระทันหัน จากเดิมที่นายกรัฐมนตรีจะเข้าร่วมการประชุมที่ตึกภักดีบดินทร์ ไปเป็นตึกไทยคู่ฟ้าแทน จนมีการตั้งข้อสังเกตว่าเพื่อหลีกเลี่ยงการพบกับสื่อมวลชนนั้น  แต่ก่อนเวลาการประชุมเพียงเล็กน้อย เจ้าหน้าที่ได้แจ้งเปลี่ยนแปลงกำหนดการกลับมาใช้ตึกภักดีบดินทร์เป็นสถานที่จัดการประชุมเช่นเดิม คาดว่าเพื่อลบครหาหลีกเลี่ยงสื่อดังกล่าว 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top