Thursday, 10 July 2025
POLITICS NEWS

'ช่อ พรรณิการ์' โวยลั่น ทำพาสปอร์ตใหม่ไม่ได้ ถูก สน.พญาไท สั่งเพิกถอนพร้อม 'ธนาธร-ปิยบุตร'

20 เม.ย. 65 - น.ส.พรรณิการ์ วานิช กรรมการบริหารคณะก้าวหน้า เดินทางไปทำพาสปอร์ตที่สำนักงานหนังสือเดินทางชั่วคราว ปทุมวัน ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง ปรากฏว่าไม่สามารถทำพาสปอร์ตได้ โดยเจ้าหน้าที่แจ้งว่าให้สอบถามไปยังฝ่ายตรวจสอบประวัติ กรมการกงสุล กระทรวงการต่างประเทศ ทำให้พรรณิการ์เดินทางไปยังกรมการกงสุล แจ้งวัฒนะ เพื่อหาสาเหตุ

หลังการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ สรุปได้ว่า สน.พญาไท มีหนังสือ ที่ ตช 0015 (บก.น.1) 4/478 ลงวันที่ 19 เม.ย. 2564 เรื่องขอให้เพิกถอนหนังสือเดินทางของ นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ นายปิยบุตร แสงกนกกุล และน.ส.พรรณิการ์ ลงนามโดย พ.ต.ท.บารมี วงษ์อินตา รองผู้กำกับการ (สอบสวน) สน.พญาไท โดยระบุว่าทั้งสามเป็นผู้ต้องหาคดีอาญาตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 116 จึงขอให้เพิกถอนหนังสือเดินทาง

“พปชร.” เปิด 10 ว่าที่ผู้สมัครส.ส. “หยอง ลูกหยี” โผล่ซบ ลงลพบุรี อดีตอนค.มาด้วย ด้าน"สุชาติ" โว คนจ่อคิวพรึ่บ!! มาสมัคร เพียบ ยัน ส่งครบ 400 เขต 

ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลังในฐานะเลขาธิการพรรคพปชร. พร้อมนายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ในฐานะรองหัวหน้าพรรคพปชร.นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ในฐานะ ผอ.พรรคพปชร.แถลงเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. จำนวน 10 คน ได้แก่ นายจำลอง ช่วยรอด ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.นนทบุรี นายประทีป เลขาพันธ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ตราด เขต 1 นายมานะ ชนะสิทธิ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จันทบุรี เขต 2 นายแสนคม อนามพงษ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.จันทบุรี เขต 3 นายมติชน ชูทับทิม ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 3 จ่าเอกยศสิงห์ เหลี่ยมเลิศ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ฉะเชิงเทรา เขต 4 นายสุรพงษ์ นำชัยรุจิพงศ์ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ชลบุรี เขต 3 นายหฤษพล สมจิตรนา ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.ลพบุรี เขต 4 นายสรวิศทชากร เลขานุกิจ ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.กระบี่ เขต 2 และนายมานิตย์ พรหมการีย์กุล ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.สมุทรปราการ

นายสุชาติ กล่าวว่า ที่ผ่านมา พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค และนายสันติ ได้มีการสร้างโครงข่ายเอาไว้ออกมาเป็นหลายด้านหลายภาค ตอนนี้เราได้มีการวางแผนและเริ่มวางตัวผู้สมัครให้ครบทั้ง 400 เขตเร็วๆนี้ ซึ่งเป็นไปตามนโยบายของหัวหน้าพรรค 

ผู้สื่อข่าวถามว่า ทำไมถึงเลือกเปิดตัวในช่วงนี้ และทำไมเปิดแค่เพียงบางจังหวัด นายสุชาติ กล่าวว่า โดยหลักแล้วคนที่เป็นส.ส.อยู่แล้ว เราจะยืนพื้นไว้ แต่บางจังหวัดที่มีเพิ่มเขตเราต้องหาคนมาสมัคร และจะเห็นว่าที่ผ่านมาจะมีหลายพรรคที่เปิดตัวผู้สมัครกันทุกวัน ที่ผ่านมา พปชร.มีข่าวออก 1 คนบ้าง 2 คนบ้าง ก็มีแต่ข่าวออกไป ตนจึงอยากจะบอกว่า มีคนอยากมาอยู่กับเราเยอะมาก แต่เรารอนัดเปิดตัวพร้อมๆกัน และเมื่อเป็นสมาชิกพรรคแล้วการที่จะขับเคลื่อนในพื้นที่จะมีความชัดเจน ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าพรรคเรามีคนที่ต้องการเข้ามาอยู่กับเราเยอะมาก แต่บางทีเขตมันทับซ้อนกันอยู่ เราต้องเคลียร์ให้ไม่มีปัญหา ซึ่งวันนี้เราเปิดตัวหลายจังหวัดและยืนยันว่าเราจะยังคงมีมาเปิดตัวกันอยู่เรื่อยๆ 

เมื่อถามว่าที่ได้มีการเปิดตัววันนี้ เห็นว่ามีอดีตผู้สมัคร ส.ส.ของพรรคอนาคตใหม่ด้วย นายสุ
ชาติ กล่าวว่า คนที่มาในวันนี้ยอมรับว่าเคยลงสมัครพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเมื่อเข้าไปแล้วอุดมการณ์เขาอาจจะเปลี่ยนไป เพราะตอนแรกเขาไม่รู้ว่าพรรคอนาคตใหม่จะเดินการเมืองอย่างไร แต่เมื่อเขาเห็น พปชร.เดินแนวทางการเมืองที่จะสร้างประเทศเขาจึงตัดสินใจมาร่วมด้วย ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ ไม่ได้มีนัยยะทางการเมืองอะไรทั้งสิ้น ในทางการเมืองเวลาอยู่กันไป มันอาจจะไม่ใช่อย่างที่เราเห็น ที่เห็นอาจจะไม่ใช่ ที่ใช่อาจจะไม่เห็น และคนที่มาจากพรรคอนาคตใหม่ ตอนที่ลงสมัครเขาก็ได้อันดับ 2 เราคิดว่าอุดมการณ์ที่เข้าต้องการทำให้ชาติบ้านเมืองในนาม พปชร.มันไปกันได้เท่านั้นเอง ไม่มีนัยยะใดๆทั้งสิ้น

'สร้างอนาคตไทย' ดัน ‘อุตตม’ นั่งหัวหน้าพรรค พร้อมชู ‘สมคิด’ แคนดิเดต ชิงเก้าอี้นายกฯ

พรรคสร้างอนาคตไทย ประกาศจะเสนอ ‘สมคิด’ เป็นแคนดิเดตนายกฯ พร้อมดัน ‘อุตตม’ นั่งแท่นหัวหน้าพรรค เดินนโยบายด้านเศรษฐกิจ

พรรคสร้างอนาคตไทย (สอท.) จัดประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 โดยมีวาระสำคัญ 5 เรื่องประกอบด้วย รายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปี 2564 รายงานงบการเงิน การแก้ไขข้อบังคับพรรค การเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคชุดใหม่ และการเลือกตั้งกรรมการสรรหาผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.

จากนั้น นายอุตตม สาวนายน ได้รับเลือกให้เป็นหัวหน้าพรรคคนใหม่ กล่าวถึงอุดมการณ์ ว่า เป้าหมายสูงสุดในการตั้งพรรคสร้างอนาคตไทยเพื่อการแก้ปัญหาให้ประชาชน โดยเฉพาะเรื่องปากท้องและเศรษฐกิจ ถึงเวลาแล้วที่ประชาชนจะมีพรรคการเมืองที่เป็นทางเลือก ที่อาสาเสนอทางออก โดยรวบรวมผู้คนจากหลายภาคส่วนที่มีประสบการณ์ทำงานจากภาคเอกชนและภาครัฐมาประกอบกับคนรุ่นใหม่ เพราะหากบ้านเมืองดี คนที่อยู่ในการเมืองทุกวันนี้สามารถแก้ไขปัญหาได้ เราทุกคนคงไม่เข้ามาทำการเมือง เพราะการตั้งพรรคไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เชื่อว่าทุกคนต้องการสร้างการเมืองใหม่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และความรู้ ความสามารถบวกกับประสบการณ์ที่มีมาหล่อหลอมร่วมกัน ไม่ใฝ่หาอำนาจ เปิดกว้างให้ประชาชนแสดงความเห็น ทั้งที่สอดคล้องและเห็นต่าง เพื่อประโยชน์สูงสุดให้บ้านเมือง 

พรรคจะไม่แสวงหาผลประโยชน์ส่วนตนหรือพวกพ้อง กล้าตัดสินใจในสิ่งที่ถูกต้อง ประชาชนพึ่งได้ ถึงเวลาที่พวกเราจะผลักดันให้ประเทศไทยหลุดพ้นจากวิกฤติที่กำลังเผชิญ ให้กลับมาเป็นประเทศที่ทันสมัยได้อีกครั้ง พัฒนาได้อย่างเต็มศักยภาพทุกพื้นที่ ไม่จำกัดเฉพาะในเมือง บนพื้นฐานของความเสมอภาค ในโอกาสและความยุติธรรมสู่อนาคตที่มั่นคงร่วมกัน

“จากปัญหาวิกฤติที่ชะงักงัน ที่เกิดจากการเข้ามาแล้วสืบทอดอำนาจทำให้เกิดวิกฤต ซึ่งเราจะยืนเคียงข้างประชาชนและปฏิเสธการเมืองเช่นนั้น เราจะทำงานการเมืองโดยยึดประโยชน์ของประเทศเป็นหลัก ยึดระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และสร้างระบบประชาธิปไตยที่แท้จริง หยุดประชาธิปไตยเทียมที่ยึดผลประโยชน์บางกลุ่ม ไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ของประเทศ” นายอุตตม กล่าว

นายกฯ ยินดีศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคสหรัฐฯ ยกเลิกคำเตือนห้ามประชาชนเดินทางเข้าไทย และอีก 89 ประเทศ  เป็นสัญญาณหนุนภาคการท่องเที่ยว สอดคล้องกับแนวนโยบายรัฐบาลที่จะมีการผ่อนคลายมาตรการเพิ่มเติม   

เมื่อวันที่ 20 เม.ย. 65 น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม มีความยินดีที่ได้รับทราบกรณีที่ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (Centers for Disease Control and Prevention : CDC) สหรัฐอเมริกา  ได้ยกเลิกคำเตือนห้ามประชาชนเดินทางมายังประเทศไทยและอีก 89 ประเทศ โดยเป็นการปรับลดคำเตือนจากกลุ่มประเทศที่มีความเสี่ยงจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระดับสูงสุด ระดับ4 มาอยู่ในระดับ3 ซึ่งเป็นระดับที่มีคำแนะนำให้ฉีดวัคซีนโควิด-19 ก่อนเดินทางเท่านั้น  

นายกรัฐมนตรีเห็นว่าการ ยกเลิกคำเตือนห้ามเดินทางของสหรัฐฯ ดังกล่าวเป็นปัจจัยบวกและสนับสนุนต่อภาคการท่องเที่ยวของไทย เนื่องจากนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ เป็นหนึ่งในกลุ่มนักท่องเที่ยวที่สำคัญ ซึ่งตั้งแต่ต้นปีถึงสิ้นเดือนมี.ค. ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐฯ ยังมีคำเตือนประชาชนห้ามเดินทางมายังประเทศไทย แต่นักท่องเที่ยวจากสหรัฐฯ ยังติด 1 ใน 5 ประเทศที่เดินทางเข้ามาในไทยมากที่สุด รองจากสิงคโปร์ เยอรมนี สหราชอาณาจักร และ ฟิลิปปินส์ 

‘รัชดา’ ปชป. เชิญภาคประชาสังคม ร่วมทำงานสร้างเกณฑ์ป้องกันพวกใช้ตำแหน่งแสวงประโยชน์ทางเพศ 

นางสาวรัชดา ธนาดิเรก กรรมการบริหารพรรคประชาธิปัตย์ เปิดเผยว่า ตามที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวในการแถลงการขอโทษต่อเหตุการณ์นายปริญญ์ พานิชภักดิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคและสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ ให้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่งโดยมีตนเป็นประธาน เพื่อกำหนดแนวทางในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ที่จะดำรงตำแหน่งทางการเมืองของพรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มเติมจากข้อบังคับพรรคที่มีอยู่ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์การใช้ตำแหน่งไปแสวงประโยชน์ รวมถึงพิจารณาแนวทางการให้การช่วยเหลือผู้เสียหายจากกรณีอดีตรองหัวหน้าพรรคด้วย

ขณะนี้มีรายชื่อคณะกรรมการครบ 9 ท่านแล้ว ประกอบด้วยบุคคลทั้งภายในและภายนอกพรรค ดังนี้

บุคคลในพรรค 
1.ดร.รัชดา ธนาดิเรก
2.นางรัชฎาภรณ์ แก้วสนิท
3.นางสาวนริศา อดิเทพวรพันธุ์
4.พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ
5.ดร.อิสระ เสรีวัฒนวุฒิ 

บุคคลภายนอก
1.นางสาวเสาวลักษณ์ ทองก๊วย
-สมาชิกคณะกรรมการวินิจฉัยการเลือกปฏิบัติด้วยเหตุแห่งเพศ 
-ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน (กรรมการสิทธิคนพิการสหประชาชาติ)
-นายกสมาคม ส่งเสริมศักยภาพสตรีพิการ

2.นางสาวสุเพ็ญศรี พึ่งโคกสูง 
ผู้อำนวยการมูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม

3.นางเรืองรวี พิชัยกุล
ผู้อำนวยการสถาบันวิจัยบทบาทหญิงชายและการพัฒนา

4.นางสาวธนวดี ท่าจีน 
ผู้อำนวยการมูลนิธิเพื่อนหญิง

นางสาวรัชดา กล่าวต่อว่า ต้องการให้คณะกรรมการชุดนี้ทำงานได้อย่างเป็นอิสระ มีมุมมองที่ครอบคลุม ซึ่งหวังเป็นอย่างยิ่งว่า ข้อสรุปของคณะกรรมการฯ นอกจากจะนำไปสู่การแก้ไขข้อบกพร่องภายในพรรคแล้ว ก็อาจเป็นประโยชน์กับองค์กรอื่นได้ เพราะพฤติกรรมการใช้ตำแหน่งหน้าที่เพื่อแสวงหาประโยชน์ทางเพศ มีโอกาสเกิดขึ้นในองค์กรอื่นเช่นกัน ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับพรรคในวันนี้ และความตั้งใจที่จะแก้ปัญหา น่าจะเป็นบทเรียนที่สังคมเรียนรู้ไปด้วยกัน และร่วมกันขจัดมันออกไป

'จุรินทร์' ประชุม JTC ไทย-เวียดนาม ลุยเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ลดอุปสรรค-ร่วมมือแก้ไขปัญหาทั้ง 2 ประเทศ 

นางมัลลิกา บุญมีตระกูล มหาสุข ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เปิดเผยว่า วันนี้ตั้งแต่เวลา 9.30-11.30 น.นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์  หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์  รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ จะมีการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee: JTC) ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 4 กับนายเหวียน ห่ง เซียน (H.E. Mr. Nguyen Hong Dien) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและการค้า ของประเทศเวียดนาม ที่โรงแรมอนันตรา สยาม กรุงเทพฯ

ที่ประชุมจะหารือความร่วมมือในประเด็นการค้าการลงทุนที่สําคัญ โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาอุปสรรคทางการค้า ระหว่างไทย-เวียดนาม และภายในงานยังมีกิจกรรมจับคู่ธุรกิจในระบบออนไลน์ ซึ่งถือเป็นการประชุม JTC ระดับรัฐมนตรีครั้งแรก นับตั้งแต่การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ในช่วงกว่า 2 ปีที่ผ่านมา ที่มีการจํากัดการเดินทางระหว่างประเทศ

"โดยกำหนดการในวันนี้จะประกอบด้วยพิธีการเปิดการประชุม โดยรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์กล่าวต้อนรับและเปิดการประชุม จากนั้นรัฐมนตรีเวียดนามกล่าวและต่อด้วยวาระมีการรายงานสรุปผลการหารือระดับเจ้าหน้าที่อาวุโสหรือระดับอธิบดี โดยเจ้าหน้าที่อาวุโสฝ่ายไทย เป็นอธิบดีกรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ กล่าวรายงาน จากนั้นจะมีการพิจารณาให้ข้อคิดเห็นข้อเสนอแนะการหารือประเด็นการค้าการลงทุนที่สำคัญระหว่างไทยและเวียดนาม และจะมีการรับรองผลการประชุม JTC ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 4 กำหนดเวลาและสถานที่จัดการประชุม JTC ไทย-เวียดนาม ครั้งที่ 5 ต่อไปและปิดการประชุมซึ่งท่านรองนายกจะได้สรุปและแจ้งข่าวให้ทราบต่อไป" 

ราเมศ แจ้ง ประชุมใหญ่ ปชป 23 เม.ย.นี้

นายราเมศ รัตนะเชวง โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ได้กล่าวถึงการจัดการประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2565 ว่า พรรคประชาธิปัตย์ได้กำหนดให้มีการประชุมใหญ่สามัญพรรคประชาธิปัตย์ ประจำปี 2565 ใน วันเสาร์ที่ 23 เมษายน 2565 ธันวาคมนี้ เวลา 14.00 น. ณ ห้องประชุม ชั้น 3 อาคาร ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช กรุงเทพฯ โดยมีวาระการประชุมที่สำคัญ ดังนี้ ระเบียบวาระรับรองรายงานการประชุมใหญ่วิสามัญพรรคประชาธิปัตย์ ประจำปี 2564 ครั้งที่ 1 พ.ศ.2564 การดำเนินการตามพรป.พรรคการเมือง มาตรา 43 และมาตรา 61 รายงานการดำเนินกิจการของพรรคในรอบปีที่ผ่านมา รับรองงบการเงิน ประจำปี 2564 พิจารณาแผนยุทธศาสตร์ของพรรค แผนหรือโครงการที่จะดำเนินการกิจกรรมสำหรับปีต่อไปโดยเฉพาะการหารายได้ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน ในทางการเมืองและการพัฒนาบุคลากรทางการเมือง

'นายกฯ' ยินดี ความสำเร็จ กระชับความสัมพันธ์ ทางเศรษฐกิจ ไทย-อินเดีย หวัง เศรษฐกิจและการท่องเที่ยวฟื้นตัวจากโควิด-19 

นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ติดตามความคืบหน้า และพอใจต่อแผนงาน "Air Travel Bubble" ระหว่างไทย-อินเดีย ที่หน่วยงานภาครัฐได้พัฒนาความร่วมมือร่วมกับภาคเอกชนส่งเสริมการท่องเที่ยวเส้นทางจากสาธารณรัฐอินเดียมายังประเทศไทย เสริมสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่นักท่องเที่ยว และมุ่งขยายตลาดอินเดียในประเทศไทยให้กว้างขึ้น หวังกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวไทยให้ฟื้นตัวหลังการผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางระหว่างประเทศ 

นายธนกร กล่าวว่า สถิติก่อนการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 จากกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬาพบว่า นักท่องเที่ยวชาวอินเดียเดินทางเข้าประเทศไทยในปี พ.ศ. 2562 สูงถึง 1,995,516 คน สร้างรายได้กว่า 86,372 ล้านบาท แสดงถึงศักยภาพการบริโภคสินค้าและบริการที่เติบโตสูงของตลาดอินเดีย จึงกลายเป็นโอกาสของไทยในการกระตุ้นเศรษฐกิจและการท่องเที่ยวผ่านการฟื้นคืนตลาดอินเดียให้กลับมาเติบโตอีกครั้ง ซึ่งภายหลังการบรรลุข้อตกลงเรื่อง Air Travel Bubble Arrangement ระหว่างสองประเทศ รัฐบาลไทยได้ร่วมมือกับภาคเอกชนยกระดับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวให้พัฒนายิ่งขึ้นผ่านการประชาสัมพันธ์ การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขาย การมอบสิทธิประโยชน์ในการเดินทาง การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่เป็นประโยชน์ รวมถึงการจัดกิจกรรมส่งเสริมการท่องเที่ยวทั้งในไทยและอินเดีย เพื่อแสดงถึงความพร้อมของไทยในการรองรับนักท่องเที่ยวกลุ่มต่างๆ พร้อมกันนี้ รัฐบาลไทยยังมีการลงนามแสดงเจตจำนง (Letter of Intent - LoI) ว่าด้วยความร่วมมือส่งเสริมการเดินทางของตลาดนักท่องเที่ยวอินเดียมายังประเทศไทยร่วมกับบริษัทสายการบิน เพื่อวางกลยุทธ์และดำเนินงานรองรับการเดินทางของนักท่องเที่ยวชาวอินเดียให้มีประสิทธิภาพและครอบคลุมในทุกมิติ

รัฐบาลมั่นใจโครงการ “มัสยิดสานใจสู่สันติ”  สร้างสันติสุขจังหวัดขายแดนใต้ เปิดโอกาสกลุ่มผู้เห็นต่างกลับมาปฏิบัติศาสนกิจในช่วงเดือนรอมฏอน

น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ภายใต้การบริหารประเทศ ของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีรัฐว่าการกระทรวงกลาโหม รัฐบาลมีความมุ่งมั่นเดินหน้าแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนใต้ โดยเน้นสร้างสันติสุขควบคู่กับการพัฒนาเศรษฐกิจ และในช่วงนี้เป็นเดือนรอมฏอน เดือนศักดิ์สิทธิ์ของพี่น้องชาวมุสลิมทั่วโลก รัฐบาลโดย กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ส่วนหน้า (กอ.รมน.ภาค4 สน.) ได้ดำเนินโครงการ “มัสยิดสานใจสู่สันติ” เริ่มตั้งแต่ 3 เม.ย.65-14 พ.ค.65 เปิดโอกาสให้กลุ่มผู้เห็นต่างจากรัฐในห้วงเวลาที่ผ่านมาและหลบหนี ได้กลับภูมิลำเนา มาพบกับครอบครัวและปฏิบัติศาสนกิจอย่างเต็มที่ ปราศจากการต่อสู้ด้วยวิธีรุนแรง ตัวเลข ณวันที่ 18 เม.ย. มีผู้แสดงความจำนงแล้ว 266 คน

น.ส.รัชดา กล่าวว่า โครงการนี้ เป็นการเปิดพื้นที่พูดคุยสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องตามหลักศาสนาอิสลามที่บริสุทธิ์ ผ่านกลไกของผู้ประสานงานในระดับพื้นที่ เช่น ผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น สมาชิกชมรมสารใจสู่สันติ และสมาชิกศูนย์ประชาชนพันธุ์ดี โดยมีศูนย์สันติวิธี กอ.รมน.ภาค4 สน. เป็นแม่งานหลัก ซึ่งจำนวนผู้แสดงความจำนงเข้าร่วมโครงการในปีนี้ เป็นสัญญาณที่ดีที่สุดในรอบ 18 ปี จากที่รัฐได้เปิดโอกาสและอำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องเหล่านี้ ด้วยหลักการให้อภัย ให้โอกาส และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

‘พิธา’ ยัน!! อภิปรายงบสถาบันฯ เป็นหน้าที่ ส.ส. พร้อมปัด ‘ก้าวไกล’ ไม่มีเอี่ยวคดีฉาวคาวโลกีย์

พิธา พบ ก.ก.ต.ตามนัด กรณีอภิปรายงบสถาบันกษัตริย์ ส่อล้มล้างการปกครองหรือไม่ ยืนยันเจตจำนงก้าวไกล อภิปรายงบฯ ตามรัฐธรรมนูญ ทำหน้าที่ผู้แทนเคียงข้างประชาชน 

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย เบญจา แสงจันทร์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะผู้อภิปรายงบส่วนราชการในพระองค์ และทีมกฎหมายพรรคก้าวไกล เดินทางมายังสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ เพื่อเข้าชี้แจงต่อคณะกรรมการรวบรวมข้อเท็จจริงและพยานหลักฐาน ประเด็นที่มีผู้ยื่นคำร้อง กล่าวหาว่าพรรคก้าวไกลมีพฤติการณ์และการกระทำอันเป็นการฝ่าฝืน พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง พ.ศ. 2560 ตามมาตรา 92(2) เป็นปฏิปักษ์การปกครองฯ จากกรณี ส.ส. พรรคก้าวไกล อภิปรายงบประมาณสถาบันฯ ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณประจำปี 2565

พิธา กล่าวว่า ในวันนี้ตนมาให้ถ้อยคำกับเจ้าหน้าที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (ก.ก.ต.) ว่า การอภิปรายของพรรคก้าวไกล เป็นการกระทำที่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ไม่ได้เป็นปรปักษ์ต่อการปกครองอย่างที่ถูกกล่าวหา

พิธา กล่าวต่อไปว่า ส่วนตัวไม่กังวลในข้อกล่าวหานี้ เนื่องจากส่วนราชการในพระองค์ เป็นหน่วยรับงบประมาณเหมือนหน่วยงานอื่นๆ ตามพระราชบัญญัติวิธีงบประมาณ พ.ศ. 2561 ตามมาตรา 4 ซึ่งจัดอยู่ในส่วนราชการที่ถูกเรียกให้มาชี้แจงในการขอรับงบประมาณจากสภาผู้แทนราษฎร เป็นหน้าที่ของส.ส.ที่มีหน้าที่ตรวจสอบงบประมาณ เพื่อความโปร่งใสและประสิทธิภาพจากการใช้งบประมาณจากภาษีของประชาชน และเป็นการดำรงพระราชสถานะของพระมหากษัตริย์ ที่อยู่เหนือการเมือง ใต้รัฐธรรมนูญ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top