Tuesday, 8 July 2025
POLITICS NEWS

'สุรนันทน์' ย้ำ!! กกต.ต้องเที่ยงธรรมและเป็นกลาง

(24 ก.ย.65) นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ประธานภาคกรุงเทพฯ พร้อมด้วย น.อ.บัญชาพล อรัณยะนาค ผู้ประสานงานเขตสายไหม และทีมงานสร้างอนาคตไทย ได้ลงพื้นที่ ตลาดเคหะออเงิน และชุมชนเลียบคลองหกวา เขตสายไหม 

นายสุรนันทน์ กล่าวว่า วันนี้นอกจากจะมาพบปะพ่อค้าแม่ค้าและรับฟังปัญหาต่างๆ ซึ่งส่วนใหญ่ก็ยังคงเดือดร้อนเรื่องปัญหาปากท้องที่ยังไม่ได้รับการแก้ไขอย่างเป็นระบบ เราได้มาแนะนำตัวและนำเสนอนโยบายต่างๆ ของพรรค โดยเฉพาะนโยบายด้านเศรษฐกิจ ที่จะมาช่วยคนตัวเล็กตัวน้อยให้กลับมาลืมตาอ้าปากได้ 

นายสุรนันทน์ ย้ำว่า ตั้งแต่วันนี้ไปพรรคสร้างอนาคตไทยจะไม่มีการแจกของใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อให้ความร่วมมือกับ กกต. แต่ขอย้ำอีกครั้งว่า กกต.ควรมีความชัดเจนในทุกๆ กรณีโดยเร็ว ว่าพรรคการเมืองสามารถทำอะไรได้มากน้อยแค่ไหน

'บิ๊กป้อม' สั่ง ศธ.เร่งช่วยเหลือ นร.หญิง ถูกละเมิดทางเพศ ย้ำ!! ห้ามให้เกิดเหตุซ้ำอีกเด็ดขาด

'พล.อ.ประวิตร' ไม่ทอดทิ้ง นร.หญิง โรงเรียน จ.เพชรบูรณ์ ถูกละเมิดทางเพศ สั่ง ศธ.เร่งช่วยเหลือ ทุกกรณีอย่างถูกต้องเป็นธรรม โดยเร็วที่สุด ย้ำ!! ห้ามเกิดเหตุซ้ำอีกเด็ดขาด

(24 ก.ย.65) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม.เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รอง นรม. รักษาราชการแทน นรม. ได้มีคำสั่งด่วนไปแล้ว ให้ น.ส.ตรีนุช เทียนทอง รมว.ศธ. และผู้เกี่ยวข้อง เร่งให้ความช่วยเหลือ ดูแลรักษาทั้งสภาพร่างกายและจิตใจ ของนักเรียนหญิง โรงเรียนแห่งหนึ่ง ในจ.เพชรบูรณ์ ที่ถูกละเมิดทางเพศจากกลุ่มนักเรียนรุ่นน้อง ของโรงเรียนเดียวกัน เมื่อคืนวันที่ 24 ส.ค.65 และเป็นข่าวในเวลาต่อมา ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ ได้สร้างความสะเทือนใจและเกิดความเสียหาย ต่อภาพลักษณ์สถาบันการศึกษาและสังคมไทย เป็นอย่างยิ่ง และจากเหตุการณ์ ดังกล่าว รมว.ศธ.ได้มีคำสั่งย้ายผู้อำนวยการโรงเรียน และตั้งคณะกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริงไปแล้ว พร้อมทั้งได้สั่งการให้เพิ่มมาตรการป้องกัน และการกวดขัน เพื่อป้องกันไม่ให้เหตุการณ์ เกิดขึ้นซ้ำอีก และได้เข้าให้ความช่วยเหลือเด็กนักเรียนหญิง และผู้ปกครอง ที่ได้รับผลกระทบ ทันทีแล้ว จากความเดือดร้อนต่างๆ รวมถึงการส่งนักจิตวิทยา เข้าไปให้ความช่วยเหลือ ดูแล บำบัดรักษาด้านจิตใจด้วย

'ดร.ไตรรงค์' ชี้!! ระบอบที่เหมาะสุดสำหรับประเทศไทย ไม่ใช่ทั้งระบอบประชาธิปไตยและเผด็จการ

ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี ได้โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊กในหัวข้อ 'ระบอบใดเหมาะที่สุดสำหรับประเทศไทย' ว่า...

#ระบอบใดเหมาะที่สุดสำหรับประเทศไทย (มันไม่ใช่ทั้งระบอบเผด็จการและระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์)

ในประวัติศาสตร์ของโลกนั้น มีหลายประเทศที่ต้องประสบปัญหาความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศจนไม่สามารถพัฒนาประเทศให้เจริญขึ้นได้อย่างที่น่าจะเป็น

ตัวอย่างที่ดีก็คือประเทศฝรั่งเศส เพราะก่อนปี ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) ประเทศฝรั่งเศสมีรัฐธรรมนูญที่ให้สภานิติบัญญัติที่สมาชิกได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีแล้วให้ประธานาธิบดีเป็นคนแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เนื่องจากประเทศนี้ได้มีการจัดตั้งสมัชชาประชาชนเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในปี ค.ศ. 1870 โดยสมัชชามีมติให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์อันเป็นการยกเลิกแบบถอนรากถอนโคนอีกครั้งหนึ่งและเป็นครั้งสุดท้าย (ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1789 ที่ประชาชนเข้ายึดอำนาจการปกครองจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และทำการปลงพระชนม์พระองค์ด้วย)

แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ให้สภานิติบัญญัติเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศนั้น ได้ก่อให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างนักการเมืองและพรรคการเมือง เพราะทุกคนต่างก็ต้องการเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ จึงต้องมีการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นเพื่อให้ได้อำนาจรัฐอยู่ในมือของพวกตน ใครที่ได้เป็นรัฐบาลก็จะไม่มีเวลามาวางแผนเพื่อความเจริญของประเทศในระยะยาวได้ เพราะจะถูกฝ่ายที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลจ้องตีรวน สร้างความปั่นป่วนให้รัฐบาลไม่สามารถจะบริหารประเทศได้ด้วยความสะดวกทุกคน #ล้วนเห็นแก่ประโยชน์ของตนและพรรคของตนมากกว่าประโยชน์ของชาติ มีการเปลี่ยนขั้วการเมืองเพื่อให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ต้องลาออกไป เพื่อกลุ่มใหม่จะได้ขึ้นเป็นรัฐบาลใหม่ รัฐบาลใหม่นี้ก็จะเจอปัญหาการถูกก่อกวน บ่อนทำลายเสถียรภาพในทุกวิถีทางอีกเหมือนเดิม จนกลายเป็น #วงจรอุบาทว์ ที่ไม่มีรัฐบาลใดสามารถจะมีเสถียรภาพบริหารชาติอยู่นานได้

จากข้อมูลพบว่าเพียงระยะเวลา 12 ปี นับย้อนหลังไปจาก ค.ศ. 1957 ประเทศฝรั่งเศสมีรัฐบาลถึง 20 ชุด หรือเฉลี่ยแล้วแต่ละชุดอยู่ในตำแหน่งได้ประมาณ 6 เดือนเท่านั้น (จากหนังสือ การเมืองในฝรั่งเศส เขียนโดย ศาสตราจารย์ พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย) จนทุกคนทุกพรรคได้มองเห็นความหายนะของชาติจึงได้ร่วมกันไปเชิญ วีรบุรุษฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่ 2 คือท่านจอมพล ชาร์ล เดอ โกล มาเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งภายในไม่ถึงปี นายกฯ คนใหม่ก็เสนอให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วเสนอให้ประชาชนลงมติเห็นด้วยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญใหม่ของประเทศซึ่งได้มีการประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1958 และยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยรัฐธรรมนูญใหม่ที่ให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงจากประชาชนและมีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี แต่ประธานาธิบดีจะเป็นผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลในการกำหนดนโยบายต่างประเทศและนโยบายด้านกลาโหม มีวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมและมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเหล่านี้ทำให้เกิดความลงตัวรัฐบาลมีเสถียรภาพจนสามารถมีเวลาวางยุทธศาสตร์และนโยบายระยะยาวทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคม จนเจริญมั่งคั่งอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ (รายละเอียดจะได้เล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปเพราะมีหลายประเทศที่น่าพูดถึง เช่น นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และออสเตรีย เป็นต้น)

#ดูเขาแล้วลองย้อนดูตัวเราเองบ้างจะดีไหม?

ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2516 เรามีรัฐบาลเผด็จการโดยพวกคณะราษฎร์และผู้สืบทอดมรดก มากกว่ารัฐบาลประชาธิปไตย แต่ทุกรัฐบาลล้วนวุ่นวายอยู่กับการรักษาอำนาจของตน จึงไม่มีเวลาคิดเรื่องการพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการคิดเรื่องอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศ ได้มาเริ่มทำกันค่อนข้างจะจริงจังก็สมัยของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปีพ.ศ. 2502 ซึ่งได้ปรับปรุงสำนักงานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามให้มาเป็นสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ มีหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศไทยจึงได้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกคือแผนสำหรับ พ.ศ.2504-2509 (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปี พ.ศ.2515)

ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นการกระทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษาจากสหรัฐอเมริกา เพราะสหรัฐฯ ต้องการใช้ประเทศไทยเป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับการขยายอิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่กำลังโตวันโตคืนบนโลกอยู่ในขณะนั้น และเพื่อเป็นการตอบแทนกัน  จอมพล ป. และ จอมพล สฤษดิ์ ก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐอเมริกา ทั้งๆ ที่เป็นรัฐบาลเผด็จการ (อยากทราบความกระจ่างของรายละเอียดในเรื่องนี้ สามารถหาอ่านได้จากหนังสืออันทรงคุณค่าชื่อ “50ปีเศรษฐกิจไทย” ของคุณบรรยง พงษ์พานิช 2022, บริษัทภาพพิมพ์ จำกัด เป็นผู้พิมพ์จำหน่าย)

หลังจากมีการปฏิวัติใหญ่โดยประชาชนและนักศึกษาในปีพ.ศ.2516 จึงเริ่มมีการยกร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในสมัย ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากนั้นก็มีการสลับกันไปมาระหว่างรัฐบาลจากการเลือกตั้งและรัฐบาลจากการรัฐประหาร แต่ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครคิดเรื่องยุทธศาสตร์ของประเทศกันเลย เพราะมัวยุ่งอยู่กับการประณามด่ามึงด่ากูกันว่า ใครเป็นรัฐบาลที่โกงบ้านกินเมืองมากกว่ากัน

ประเทศต้องรอจนถึง พ.ศ. 2523 จึงได้มีรัฐบาลที่เริ่มมีการวางยุทธศาสตร์และนโยบายระยะยาวเพื่อให้ชาติมีความรุ่งเรืองและมั่นคงในทางเศรษฐกิจกันอย่างจริงจัง

ในสมัยที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยการจัดให้มีท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมมาบตาพุดและท่าเรือแหลมฉบังและเป็นนายกรัฐมนตรี คนแรกที่มีคำสั่งให้มีแบบแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมสำหรับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

ต่อมาจนถึงปี พ.ศ.2561 ในสมัยของรัฐบาลที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีจึงได้มีการประกาศจัดตั้งเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก (EEC) และยุทธศาสตร์ 20 ปี (พ.ศ. 2561 - 2580) พร้อมกับการมีการปรับปรุงพัฒนาระบบคมนาคมทุกชนิดให้เอื้อต่อความเจริญของประเทศที่กำลังจะเกิดขึ้นตามแผนในยุทธศาสตร์ พูดได้เต็มปากว่าไม่เคยมีรัฐบาลใดๆ ในอดีตที่ได้สร้างความมั่นคงเช่นนี้ให้กับอนาคตของประเทศในทางเศรษฐกิจเหมือนรัฐบาลของ พล.อ.เปรม และรัฐบาลของ พล.อ.ประยุทธ์

ที่พูดมาทั้งหมดก็เพื่อชี้ให้เห็นว่า ไม่ใช่ท่องแต่คาถาว่าประเทศต้องมีประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ต้องมีเสรีภาพที่สมบูรณ์ ต้องมีความเสมอภาคที่สมบูรณ์ ทุกอย่างต้องมาจากการเลือกตั้งของประชาชน แล้วจะทำให้ประเทศเจริญและมีเสถียรภาพ

'เพื่อไทย' แซะ เงินค้างชาวนา 3 ปี ยังไม่จ่าย เงินกลาโหม 1.3 พันล้าน จ่ายทันที

(23 ก.ย. 65) นายปิยวัฒน์ พันธ์สายเชื้อ ส.ส. ยโสธร พรรคเพื่อไทย เปิดเผยถึงงบลับกลาโหมว่า ล่าสุดเพิ่งอนุมัติงบลับให้กระทรวงกลาโหมอีก 1,300 ล้านบาท แต่เกษตรกรชาวนารอมา 3 ปีกลับไร้วี่แวว จึงมีข้อสงสัยว่ารัฐบาลนี้เป็นของกองทัพ มากกว่ารัฐบาลของประชาชน 

นายปิยวัฒน์ กล่าวอีกว่า จากกรณีพายุโพดุลที่ส่งผลให้เกิดฝนตกหนักและน้ำท่วมเมื่อปี 2562 ในจังหวัดยโสธร ทำให้น้ำท่วมนาข้าวหลายพันไร่ ปศุสัตว์ล้มตาย ปลาในกระชังเสียหายทั้งหมด จนเกษตรกรหลายสิบครอบครัวต้องสิ้นเนื้อประดาตัว แต่ผ่านไป 3 ปีแล้ว ชาวนายังไม่ได้รับเงินเยียวยาจากเหตุการณ์ครั้งนั้น

ภายหลังเกิดพายุโพดุล ปี 2562 หน่วยงานภาครัฐได้วางแนวทางชดเชยความเสียหายให้เกษตรกร โดยในส่วนปศุสัตว์ได้หาพันธุ์สัตว์มาชดเชย อาชีพประมงได้พันธุ์ปลามาเลี้ยง แต่ชาวนาจำนวน 20,000 ครัวเรือน ที่รอมาตรการเยียวยาจากภาครัฐ วันนี้กลับไม่มีความคืบหน้า ทั้งที่มีมติคณะรัฐมนตรีให้ชดเชยความเสียหายให้เกษตรกร แต่เมื่อสอบถามไปที่กรมการข้าว กลับได้รับคำตอบว่ายังไม่มีความช่วยเหลือและยังไม่มีพันธุ์ข้าวใด ๆ มาแจกเยียวยา ทั้งที่มูลค่าความเสียหายรวมกันแค่ประมาณ 400 ล้านบาทเท่านั้น

จนท.เช็กรถประจำตำแหน่งนายกฯ ก่อนศาลตัดสินปม 8 ปี 30 ก.ย.นี้

ทำเนียบฯ เริ่มขยับ! จนท.ยานพาหนะตรวจสภาพรถประจำตำแหน่งนายกฯ ก่อนศาลตัดสินปม 8 ปี 30 ก.ย.นี้

(23 ก.ย. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานจากทำเนียบรัฐบาล ว่า เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่กองงานยานพาหนะทำเนียบรัฐบาล ได้เข้ามาตรวจสภาพและสตาร์ตรถยนต์ประจำตำแหน่งนายกรัฐมนตรี หมายเลขทะเบียน 4 กต 29 กรุงเทพมหานคร และรถยนต์ทีมรักษาความปลอดในขบวนที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหม ใช้ขณะปฏิบัติหน้าที่นายกรัฐมนตรี ซึ่งจอดอยู่บริเวณโรงจอดรถข้างห้องทำงานผู้สื่อข่าว ตั้งแต่วันที่ 2 ก.ย. 65 ที่ทีมรักษาความปลอดภัย พล.อ.ประยุทธ์ นำมาส่งมอบคืน

ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่กองยานพาหนะ เปิดเผยว่า เป็นการมาอุ่นเครื่องรถยนต์ประจำสัปดาห์ เพื่อไม่ให้เครื่องยนต์ติดขัด และเป็นการตรวจสภาพเครื่องยนต์ไปในตัว หากระบบเครื่องยนต์ขัดข้องจะได้นำเข้าศูนย์ซ่อมต่อไป แต่ในเบื้องต้นการเช็คสภาพระบบเครื่องยนต์ยังเป็นปกติ

อย่างไรก็ตาม มีกระแสข่าวว่า เป็นการเตรียมความพร้อมหากต้องส่งมอบรถประจำตำแหน่ง ซึ่งในวันที่ 30 ก.ย.นี้ ศาลรัฐธรรมนูญจะมีคำวินิจฉัยวาระดำรงตำแหน่ง 8 ปี


ที่มา : https://www.naewna.com/politic/681959

พงศ์พล’ แนะทิศทาง 'กัญชา(ไม่)เสรี' ลดมอมเมา ขวางมาเฟีย เคลียร์ทางศก.ให้ถูกทิศ

นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ กล่าวถึงกรณีที่สภาผู้แทนราษฎร มีมติถอนร่าง พ.ร.บ.กัญชา กัญชง พร้อมเสนอกรอบทิศทาง 'กัญชา(ไม่)เสรี' ควรมีทิศทางเป็นอย่างไร? ระบุว่า...

วันที่ (14 ก.ย.) เมื่อพรบ. กัญชา ถูกถอนจากสภา...เกิดปัญหาสุญญากาศ "กัญชาเสรี 100%" กัดกร่อนบ้านเมือง...เยาวชนยังซื้อ-เสพได้ไม่ผิดกฎหมาย

เมื่อจุดมุ่งหมายคือ กัญชาเพื่อใช้ทางการแพทย์ มิใช่เพื่อการสันทนาการ...แต่ร่างกฎหมายล่าสุด ที่พิจารณาในสภา ดันอนุญาติให้ปลูกในครัวเรือนได้ถึง 15 ต้น

เยอะขนาดที่ พี้กันเองในครอบครัวได้เป็นปีๆ...จึงไม่น่าเป็นสิ่งที่ดีกับสังคม และไม่ตรงกับวัตถุประสงค์ที่ท่าน ส.ส. ผู้ทรงเกียรติตั้งใจรึปล่าว?

นี่คือกรอบทิศทาง 'กัญชา(ไม่)เสรี' คร่าว ๆ ที่เราน้อมนำเสนอ...

◼️ กัญชาเป็นพืชควบคุม ห้ามปลูกในครัวเรือน ต้องมีใบอนุญาติ สำหรับผู้ประกอบการ (จัดเก็บภาษีสรรพสามิตร เข้ารัฐ)

◼️ ขายเฉพาะในร้านขายยา หรือร้านที่ได้รับอนุญาต ต้องแสดงบัตรประชาชน, เยาวชนต่ำกว่า 20ปี ห้ามซื้อ/ห้ามเสพ

◼️ เมากัญชา แล้วขับขี่พาหนะเป็นความผิด เจ้าหน้าที่มีอำนาจดำเนินคดีเสมือนเมาแล้วขับ

◼️ ห้ามเสพที่สาธารณะ สถานศึกษา-สถานที่ทางศาสนา-สำนักงาน-สถานที่ราชการ-สวนสาธารณะ

สุรนันทน์ ขอให้กกต.เปิดกว้างให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสแข่งขันกันอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม

นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ รองหัวหน้าพรรคสร้างอนาคตไทย ในฐานะประธานภาคกรุงเทพฯ ร่วมกับนายสันติ กีระนันทน์ รองหัวหน้าพรรค ได้ลงพื้นที่ชุมชนวัดดุสิดารามและตลาดบางขุนนนท์ เขตบางพลัด โดยมีนายพัลลภ ปิยะตระกูล เป็นผู้ประสานงานพรรคในพื้นที่ 

นายสุรนันทน์ กล่าวถึงกรณีหลักเกณฑ์ 180 วันก่อนเลือกตั้ง ซึ่งจะเริ่มนับตั้งแต่วันที่ 24 กันยายนนี้ว่า เรื่องนี้ควรมีการตีความในข้อปฏิบัติต่างๆ ให้ชัดเจน ว่าอะไรทำได้ อะไรทำไม่ได้ เพื่อเปิดกว้างให้ทุกฝ่ายได้มีโอกาสแข่งขันกันอย่างโปร่งใสและเป็นธรรม  ไม่อย่างนั้นแล้วทุกอย่างก็จะกลับไปสู่วงจรอุบาทว์ทางการเมืองแบบเดิมอีก  
    
ถ้าคิดตามหลักประชาธิปไตยแล้ว เราควรเปิดโอกาสให้ประชาชนได้รับรู้ว่า จะมีการเลือกตั้ง แต่ละพรรคจะส่งใครเป็นผู้สมัครเพื่อมาเป็นตัวแทนของพี่น้องประชาชน โดยผ่านการเสนอแนวคิด ไม่ว่าจะเป็นการโฆษณา ประชาสัมพันธ์ หรือผ่านสื่อที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งทั้งหมดนี้กกต.ก็สามารถตรวจสอบการใช้งบประมาณได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม

นายสุรนันทน์ ยังกล่าวว่า ต้องยอมรับว่าพรรคใหม่ๆ หรือพรรคการเมืองที่ไม่ได้มีบทบาทในรัฐบาลหรือในสภาฯ จะเสียเปรียบกับเรื่องนี้มาก ยกตัวอย่าง ที่ผ่านมาเกิดปัญหาน้ำท่วม เรายังมีโอกาสช่วยเหลือดูแลพี่น้องประชาชนได้ แต่ขณะนี้ทำอะไรไม่ได้เลย  แต่รัฐบาลยังทำได้ทุกอย่าง ถึงแม้จะมีการอ้างว่าเป็นการทำในฐานะภาครัฐ ไม่ใช่พรรคการเมืองก็ตาม แต่ กกต.จะตีความอย่างไร ว่าการลงปฏิบัติงานในพื้นที่ต่างๆ  นั้นจะเป็นฐานะรัฐมนตรี, หัวหน้าพรรคการเมือง หรือ ส.ส. โดยไม่มีนัยยะใดๆ แอบแฝง

'ประชาธิปัตย์ พร้อมสู่สนามการเลือกตั้ง' เป็นประโยคของ 1 ใน 2 ของ 'ขุนพล' ประชาธิปัตย์ภาคใต้ 'นิพนธ์ บุญญามณี' ที่กล่าวกับ สื่อในส่วนกลาง เมื่อถูกถามถึงความพร้อมของการเข้าสู่ 'สนามการเลือกตั้ง'

ถามว่าทำไม 'สื่อ' ถึงให้ความสำคัญกับความพร้อมของประชาธิปัตย์ในสนามการเลือกตั้งที่ภาคใต้ เพราะสำหรับประชาธิปัตย์ ภาคใต้คือ ที่มั่น ที่สุดท้าย ที่จะต้องรักษาด้วยชีวิตกับการเลือกตั้งในครั้งที่จะถึงนี้ ส่วนสนามเลือกตั้งในภาคอื่น ๆ และแม้แต่กทม. ยังยากที่ประชาธิปัตย์จะกลับไปปักธงเพื่อได้สส. เป็นกอบเป็นกำเหมือนในอดีต 

ประชาธิปัตย์ มีความเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ สำหรับการเลือกตั้งในครั้งนี้ เพราะมีการปรับขบวนทัพด้วยการเอาคนรุ่นใหม่ ลงสนามเลือกตั้งแทนนักการเมืองรุ่นเก่าที่ลาออก เพื่อย้ายไปอยู่ยังพรรคการเมืองอื่น ๆ ซึ่งในการเลือกตั้งครั้งนี้มีพรรคการเมืองจำนวนมากที่หอบกระสุนเงินเข้ามาเพื่อแย่งชิงที่นั่งของ สส.ในภาคใต้ เช่นพรรคภูมิใจไทย,พรรครวมไทยสร้างชาติ, พรรคพลังประชารัฐ, พรรคสร้างอนาคตไทย ที่พร้อมใจกัน ยาตราทัพ เข้ามาเพื่อทำศึกสงครามในภาคใต้ เพราะเชื่อว่ามี เปอร์เซ็นของชัยชนะที่สูงกว่าการไปทำศึกสงครามกับพรรคเพื่อไทย ในภาคเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือ 

สนามของภาคใต้สำหนรับประชาธิปัตย์จึงเป็นมวยรุมที่มีพรรคการเมืองที่มีชื่อชั้นอย่างน้อย 4 พรรคมะรุมมะตุ้ม จนกลายเป็น มวยหมู่ ที่สร้างความเหนื่อยหน่ายให้กับประชาธิปัตย์มากกว่าการเลือกตั้งในครั้งที่ผ่านมา ที่ต้องเสียที่นั่ง ให้กับพลังประชารัฐ13 ที่นั่ง และภูมิใจไทย อีก 8 ที่นั่ง และ พรรคอื่นๆอีก 7  ที่นั่ง 

แต่...เชื่อว่า หลังการพ่ายแพ้อย่างยับเยินในครั้งที่แล้วในภาคใต้แกนนำของพรรคประชาธิปัตย์ มีการถอดบทเรียนของความพ่ายแพ้ที่ได้รับ และมีการแก้เกมมีการวางแผนในการต่อสู้ในสนามเลือกตั้งครั้งนี้อย่างรอบคอบเพื่อมิให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยเดิม เลือดเก่าไหนออกเป็นเรื่องปกติของการเมืองหลายคนออกไปกลายเป็นการขจัดจุดอ่อนในการเลือกตั้งครั้งนี้ ประเด็นสำคัญ ผู้รับผิดชอบในการเลือกตั้งต้องมีการเทรนบรรดาเลือดใหม่อย่างไรให้เข้าตาประชาชน เพราะจุดอ่อนของว่าที่ผู้สมัครที่สำคัญที่สุดคือขาดประสบการณ์ทางการเมืองเขี้ยวและ คม ยังไม่ลากดิน อาจเสียเชิงและเสียที่ให้กับคู่ต่อสู้ได้ง่าย 

จุดอ่อนของประชาธิปัตย์ในยุคที่จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ เป็นหัวหน้าพรรคคือ งานด้านสื่อสารกับสังคมของพรรคในภาพรวมที่ขาดความโดดเด่นทั้งที่ยึดกุมกระทรวงที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับปากท้องของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ คือกระทรวงพาณิชย์ และ กระทรวงเกษตรฯ ที่มีผลงานในเรื่องการประกันราคาพืชผลและในเรื่องของการค้า-การขายการสื่อสารต่อสังคมของจุรินทร์ขาดความเฉียบคมแม้แต่เรื่องของปาล์มน้ำมันที่สร้างความร่ำรวยให้เกษตรกรในภาคใต้ ซึ่งควรจะเป็นโบว์แดงของพรรค ก็ยังไม่มีการหยิบยกให้เป็นประโยชน์เพื่อชี้ให้เห็นถึงผลงานของพรรค

‘เพื่อไทย’ โชว์วิชั่นแก้ปัญหาศก.-แนวทางสร้างรายได้ที่ชัดเจน ปชช.พัทลุงเฮรับล้นหลาม พร้อมเปิดตัวแอพฯ รวบรวมปัญหาที่ดิน ดันแก้กม.ที่ดินทับซ้อน

เมื่อวันที่ 22 กันยายน ที่จังหวัดพัทลุง นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล คณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย และอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี พร้อมด้วย นายปฎิพัทธ์ เมืองสุวรรณ์ และนายสุพัฒน์ แก้วจันทร์ อาสาพรรคเพื่อไทยจังหวัดพัทลุง จัดกิจรรมเปิดตัวแอพพลิเคชั่น “Surver 123” ซึ่งเป็นหนึ่งแผนจากโครงการ “พนาเศรษฐกิจ” ที่อาสาพัฒนาที่ดินทำกินของพรรคเพื่อไทยได้ลงไปดำเนินการสำรวจและรวบรวมปัญหาที่ดินทำกินของประชาชนตั้งแต่ภาคเหนือ จรดภาคใต้ 

นายวรวัจน์ กล่าวว่า วันนี้จังหวัดพัทลุงปัญหาที่ดินถือเป็นปัญหาใหญ่ มีพี่น้องประชาชนหลายครัวเรือนที่ไม่มีที่ดินทำกินเป็นของตนเอง หรือที่ดินไปทับซ้อนกับพื้นที่ของหน่วยงานรัฐ วันนี้เราจึงพยายามแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชน จึงพัฒนาแอพพลิเคชั่น “Surver 123” ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นที่กลุ่มอาสาพัฒนาที่ดินทำกินของพรรคเพื่อไทยพัฒนาขึ้นเพื่อรวบรวมปัญหาที่เกี่ยวข้องกับที่ดินของประชาชนในพื้นที่ต่าง ๆ โดยประชาชนที่มีปัญหาเกี่ยวกับที่ดินทำกินสามารถสแกน QR Code แล้วแจ้งข้อมูลปัญหาที่ตนเองกำลังประสบลงไปบนเครือข่าย จากนั้น อาสาพัฒนาที่ดินทำกินของพรรคเพื่อไทยจะรวบรวมข้อมูลที่ได้รับจากประชาชน สรุปเป็นข้อเสนอส่งไปยังพรรคเพื่อไทย เพื่อให้พรรคดำเนินการคิดนโยบายมาแก้ปัญหาในภาพรวมที่เป็นรูปธรรมให้กับพี่น้องประชาชนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ เช่น อาจจะเป็นการแก้ไขกฎหมายที่ดินในอนาคต ดังนั้น จึงขอเชิญชวนพี่น้องประชาชนที่มีปัญหาเกี่ยวกับที่ดิน ร่วมกันสะท้อนปัญหาของตนเองผ่านช่องทางดังกล่าว ขณะเดียวกันอาสาพัฒนาที่ดินทำกินของพรรคเพื่อไทยส่วนหนึ่งจะลงพื้นที่ไปสำรวจ และรับฟังปัญหาของพี่น้องประชาชน พร้อมส่งข้อมูลที่ลงไปพบเจอด้วยตนเองมาทางแอพพลิเคชั่น “Surver 123” ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากประชาชนที่ไม่สะดวกให้ข้อมูลผ่านช่องทาง QR Coad ก็สามารถเรียกหาอาสาพัฒนาที่ดินทำกินพรรคเพื่อไทยในพื้นที่ของท่านให้ไปเก็บข้อมูลปัญหาให้ได้ ทั้งนี้ เราเปิดตัวแอพพลิชั่นนี้ที่จังหวัดพัทลุงเป็นจังหวัดแรกแล้ว ตนเองมองว่า นี่คือจุดเริ่มต้นของการร่วมมือกันระหว่างองค์กรพรรคการเมือง กับประชาชนในการแก้ปัญหาให้กับชุมชนของพวกเรา

“นอกจากการเปิดตัวแอพพลิเคชั่นดังกล่าวแล้ว การลงพื้นที่จังหวัดพัทลุงในครั้งนี้ของตน และอาสาพรรคเพื่อไทย ยังมีการเปิดตัวปฏิทินปฏิบัติการในแปลงปลูก โดยปฏิทินดังกล่าวจะรวบรวมข้อมูล และผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์มาคำนวณเป็นกำหนดการเพาะปลูกในพื้นที่ในแต่ละพื้นที่ว่าพืชชนิดใด อาทิ ทุเรียน หรือส้มโอ ควรต้องปฏิบัติในแปลงปลูกอย่างใดจึงจะเหมาะกับสภาพอากาศ และปริมาณน้ำในช่วงเวลานั้นๆ และในอนาคตเรามีแนวคิดที่จะพัฒนาต่อยอดเป็นระบบ AI ในการวัดอุณหภูมิ รวมถึงสภาพอากาศของแต่ละพื้นที่ที่สัมพันธ์กับปัญหาโรคและแมลงซึ่งเป็นศัตรูพืช เพื่อหาทางป้องกันปัญหาดังกล่าวล่วงหน้า นอกจากนี้ พรรคเพื่อไทยยังมีนวัตกรรมจะนำมาใช้เพิ่มผลผลิต และเพิ่มรายได้ให้กับประชาชนที่ปลูกยางพารา โดยที่ผ่านมาเราได้ทดลองทำเครื่องมือที่จะสามารถทำให้กรีดยางพาราได้ตลอดทั้งปี โดยประชาชนไม่ต้องลงแรงออกไปกรีดยางด้วยตนเอง พรรคเพื่อไทยตอบสนองปัญหาที่พี่น้องประชาชนภาคใต้สะท้อนมายังพรรคอย่างเต็มที่ และพยายามขับเคลื่อนการทำงานในแต่ละจังหวัดให้ตรงกับศักยภาพของแต่ละพื้นที่ โดยยึดการมีส่วนร่วมของประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่เป็นสำคัญ เพราะหัวใจของเราคือการทำงานให้กับพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง” นายวรวัจน์ กล่าว

นายวรวัจน์ กล่าวด้วยว่า หลังจากเปิดตัวที่จังหวัดพัทลุงแล้ว คณะอาสาเพื่อไทยจะเดินทางไปเปิดแนวทางการพัฒนาลักษณะนี้ต่อที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน นอกจากนี้แล้ว ยังจะเปิดแนวคิดนคร 8 วิถี 9 วัฒนธรรมไทย ซึ่งประกอบไปด้วย การพัฒนาแนวคิด [Soft power] ยกระดับเมืองท่องเที่ยวระดับโลกด้วยวิถีไทยด้านอาหาร,ดนตรี,ภาษา,ประเพณี,สถาปัตยกรรม,ข้าวของเครื่องใช้,เครื่องแต่งกาย และความเป็นมงคล เพื่อสร้างรายได้ให้แก่ประชาชนในจังหวัด และดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย ด้วยเสน่ห์ขอบวิถีชีวิตและวัฒนธรรมไทย และเปิดแนวคิดทางด้านนวัตกรรมที่สำคัญ คือ การใช้เทคโนโลยีเพื่อแปรรูปพืชผลทางการเกษตร และเพื่อนำไปสู่การส่งออกผลผลิตให้กับพี่น้องเกษตรกรทางภาคเหนือด้วย

‘คุณากร’ ถามรัฐบาลเหตุใดภูมิใจบัตรคนจนเพิ่ม ทั้งที่คนจนพุ่ง คนตกงานเพียบ หนี้สาธารณะเกิน 10 ล้านล้านอีก100ปี ก็ใช้หนี้ไม่หมด รวยกระจุก จนกระจาย เหลื่อมล้ำติดอันดับต้น ๆ ของโลก

นายคุณากร ปรีชาชนะชัย ส.ส.สุรินทร์ และรองเลขาธิการ พรรคเพื่อไทย เปิดเผยว่า จากกรณีที่รัฐบาลออกมายืนยันว่าโครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ หรือ บัตรคนจน ไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพียงเพื่อแจกเงิน แต่เป็นโครงการที่มุ่งจัดสรรสวัสดิการให้กับประชาชนนั้น  แต่พบว่าในการลงทะเบียนบัตรคนจนรอบใหม่ ตั้งแต่วันที่ 5 - 21 กันยายน 2565 มีประชาชนลงทะเบียนแล้วทั้งสิ้น 16,243,908 ราย เพิ่มขึ้นจากที่เปิดใช้บัตรคนจนครั้งแรกในปี 2559 จนถึงผู้ถือบัตรคนจนเดิมอยู่ที่ 13.3 ล้านคน นั่นหมายความว่า ภายในปีเดียวคนจนเพิ่มขึ้นกว่า 3 ล้านคนแล้ว  แบบนี้หรือที่รัฐบาลบอกว่าเป็นความสำเร็จของโครงการบัตรคนจน ที่ลดความเหลื่อมล้ำได้

ทั้งนี้มองว่า การออกมาให้ข้อมูลของรัฐบาล เป็นการให้ข้อมูลที่ไม่เข้าใจบริบทของสังคม และไม่สามารถมีโครงการดีๆเพื่อยกระดับความเป็นอยู่ของประชาชนได้ การแจกเงินอย่างเดียวไม่เกิดประโยชน์ ไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำได้จริง เพราะบทวิเคราะห์ของธนาคารเกียรตินาคินภัทร ระบุว่า ความเหลื่อมล้ำ ของไทยมีแนวโน้มปรับขึ้นสูงเรื่อยๆ เศรษฐกิจไทยโตแบบไม่ทั่วถึง เกิดภาวะ ‘รวยกระจุก จนกระจาย’ สินทรัพย์ของคนทั้งประเทศมากกว่า 77% ไปกระจุกตัวอยู่กับกลุ่มนายทุนเจ้าสัว ทำให้ไทยกลายเป็นประเทศที่มีความเหลื่อมล้ำด้านความมั่งคั่งมากที่สุดในโลก


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top