Tuesday, 8 July 2025
POLITICS NEWS

‘ปลอดประสพ’ ปลุกรัฐเตรียมพร้อมรับมือ 'ไต้ฝุ่นโนรู' แจง 9 ข้อรัฐควรรู้ พร้อมแนะ 5 แนวทางที่ต้องเตรียมการ

‘ปลอดประสพ’ ปลุกรัฐบาลตื่นรับมือพายุโนรูเข้าไทย เหตุฝนจะตกหนักเพิ่มน้ำนับแสนลูกบาศก์เมตร เขื่อนใหญ่ไม่พอรับน้ำ กระทบคนไทยครึ่งประเทศ แนะตั้งวอร์รูมต้องทำจริงจัง ประกาศหยุดราชการ เตรียมทหาร ตำรวจ ประจำการช่วยประชาชน

ดร.ปลอดประสพ สุรัสวดี ประธานด้านนโยบายปฏิรูปโครงสร้างพื้นฐานด้านการจัดการน้ำ พรรคเพื่อไทย และอดีตรองนายกรัฐมนตรี อดีต ผอ.ศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติคนแรกของประเทศไทย กล่าวว่า รัฐบาลต้องเตรียมการรับมือกับพายุโนรูที่จะสร้างความรุนแรงและความเสียหายให้กับประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยข้อมูลที่รัฐบาลควรรู้ ได้แก่

1.) พายุโนรูจะเป็นพายุโซนร้อนที่ใหญ่ที่สุดลูกหนึ่ง นับตั้งแต่ที่ประเทศไทยเคยประสบมา 

2.) ขนาดของพายุลูกนี้ ครอบคลุมเนื้อที่ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง รวมพื้นที่ทั้งหมดครึ่งหนึ่งของประเทศ หรือมากกว่า 250,000 ตารางกิโลเมตร

3.) ด้วยขนาดของพายุที่ครอบคลุมเนื้อที่ขนาดใหญ่ จะกระทบกับพี่น้องประชาชน 30-35 ล้านคน 

4.) พายุโนรูจะอยู่ในประเทศไทย 3-5 วัน โดยจะทำให้ฝนตกหนัก 100-300 มิลลิเมตรหรือมากกว่าในบางพื้นที่ ซึ่งถือว่าเป็นปริมาณฝนที่สูงมาก

5.) ปริมาณฝนดังกล่าวจะเพิ่มน้ำท่า 100,000 ลูกบาศก์เมตร หรือเท่ากับปริมาณน้ำในเขื่อนภูมิพล 10 เขื่อน 

6.) แม้เขื่อนขนาดใหญ่ เช่น เขื่อนภูมิพล และเขื่อนสิริกิติ์ จะมีความสามารถรับน้ำได้อีก 10,000 ลูกบาศก์เมตร และระบบน้ำในภาคเหนือ รับน้ำได้อีก 10,000 ลูกบาศก์เมตร แต่ขณะนี้พื้นที่ภาคกลางอิ่มตัวแล้ว ไม่มีความสามารถซึมน้ำได้อีก ดังนั้นปริมาณน้ำฝน 100,000 มิลลิเมตร จะมีน้ำเหลือไหลลงสู่ภาคกลาง 70,000-80,000 ลูกบาศก์เมตร และบางพื้นที่น้ำจะไหลบ่าลงมาในลักษณะหน้ากระดาน 

7.) พายุลูกนี้ เป็นพายุลูกที่ 16 แต่เป็นพายุที่ให้น้ำมากที่สุดในประวัติศาสตร์ เมื่อผสมความชื้นในทะเลจีนตอนใต้ และมีร่องมรสุมในพาดผ่านตรงกลาง มีหน้าที่เป็นกับดักความชื้นที่ถูกป้อนจากมหาสมุทร รัฐบาลจึงต้องเร่งเตรียมการ 

8.) ปริมาณน้ำจากพายุโนรู จะไหลลงสู่พื้นที่กรุงเทพมหานครในช่วงเวลาเดียวกันกับน้ำทะเลขึ้นสูง ซึ่งยากต่อการระบายเป็นอย่างมาก

9.) เชื่อว่าจะมีพายุเข้ามาอีก 1-3 ลูก แต่ความรุนแรงน้อยกว่า

ทั้งนี้จากการคาดการณ์ดังกล่าว รัฐบาลต้องเตรียมการ 5 ข้อ ได้แก่

1.) ต้องเตรียมการเผชิญเหตุภายในอีก 24 ชั่วโมง โดยต้องทุ่มเทสรรพกำลังในการเผชิญเหตุใน 5 ข้อ
1.1. ตั้งหน่วยเผชิญเหตุประจำตำบล 
1.2. เรียกทหารประจำการกระจายไปในตำบล เพื่อช่วยเหลือกำนัน ผู้ใหญ่บ้านในการเผชิญเหตุ
1.3. จัดเตรียมเครื่องมือในการเผชิญเหตุให้พร้อม เช่น เรือบด เชือก ฯลฯ
1.4. พื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ เช่น พื้นที่ราบ ควรใช้ทหาร ส่วนพื้นที่บนเขา เจ้าหน้าที่กรมอุทยานและกรมป่าไม้ ประจำการในพื้นที่ใกล้หมู่บ้าน ประชาชน
1.5. ตำรวจ ให้อยู่ในเมืองอย่างเดียว 

2.) เมื่อผ่านระยะ 3 วันไปแล้วจะเป็นระยะค้นหา ช่วยเหลือ 
2.1. เตรียมการอุปกรณ์ช่วยเหลือให้พร้อม เช่น เรือ เฮลิคอร์ปเตอร์ อุปกรณ์ให้กับกลุ่มงานทั้ง 3 กลุ่มข้างต้น 

3.) ระยะการฟื้นฟู ต้องทำ 6 เรื่อง
3.1. นำบุคลากรในองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมาช่วย
3.2. นำบุคลากรด้านสาธารณสุขเข้ามาช่วยเหลือ รักษาโรคที่เกิดจากน้ำนิ่ง
3.3. ส่งของใช้อุปโภคบริโภคให้ประชาชน
3.4. ใช้โรงเรียนและวัดให้เป็นประโยชน์
3.5. นำทหารจากหน่วยช่าง เพื่อซ่อมแซมสาธารณประโยชน์
3.6. ให้กรมทางหลวงชนบทและกรมชลประทานซ่อมแซมสาธารณูปโภค

'บิ๊กป้อม' ฟุ้งคุย 'บิ๊กตู่' ทุกวัน บอก 'ดีใจ' หาก 'ประยุทธ์' กลับมา

(27 ก.ย. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยมี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม, นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง และนายอธิรัช รัตนเศรษฐ รมช.คมนาคม ยืนขนาบข้างด้วย 

เมื่อถามถึงกรณีกลุ่มผู้ชุมนุมกลุ่ม สภาเครือข่ายประชาชนอีสานและสภาประชาชน 4 ภาค ที่ปักหลักชุมนุมหน้าทำเนียบรัฐบาลตั้งแต่ช่วงกลางเดือนที่ผ่านมา ได้ขึ้นป้ายสนับสนุนบอกรักลุงป้อม  พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่รู้ ตนไม่เห็นและไม่ได้ดู ส่วนที่มีการขึ้นป้ายรักลุงป้อมนั้นพล.อ.ประวิตรกล่าวว่า "ก็มีทั้งคนรักผมและคนที่เกลียดผม ซึ่งก็เป็นธรรมดามีทั้งรักมีทั้งเกลียดนั่นแหละ คนที่เกลียดก็เกลียดไปไม่ว่าอะไรหรอก" เมื่อถามย้ำว่าการปักหลักปิดถนนจะทำได้นานแค่ไหนเพราะส่งผลต่อการจราจรบริเวณโดยรอบและใกล้เคียงพลเอกประวิตรกล่าวว่า "เดี๋ยวเจ้าหน้าที่เขาดำเนินการอยู่แล้ว"

เมื่อถามว่าในวันที่ 30 ก.ย. นี้ มีข่าวว่าจะมีกลุ่มผู้ชุมนุมเคลื่อนไหว มีการเตรียมรับมืออย่างไร พล.อ.ประวิตร กล่าวปฏิเสธว่า "ไม่มี ในรายงานด้านการข่าวก็ยังไม่มีรายงานอะไรเข้ามา ยืนยันว่าสถานการณ์ทุกอย่างยังปกติดี"

ผู้สื่อข่าวถามว่าได้คุยกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา รมว.กลาโหม บ้างหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "อุ้ย! คุยทุกวันอยู่แล้ว" เมื่อถามว่าพล.อ.ประยุทธ์ มีความเป็นห่วงและกังวลอะไรหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ไม่กังวลอะไรสักเรื่อง"

เมื่อถามว่าในวันที่ 30 ก.ย. จะนั่งรอฟังการวินิจฉัยวาระ 8 ปีของพล.อ.ประยุทธ์ที่ไหน พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ตนก็ทำงานตามปกติ พล.อ.ประยุทธ์ ก็ทำงานของท่านตามปกติ" เมื่อถามย้ำว่า พล.อ.ประยุทธ์มีความห่วงใยอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "คุณต้องไปถาม พล.อ.ประยุทธ์ดีกว่า อย่ามาถามตน ยืนยันว่า ไม่ได้คุยกันเรื่องนี้เลย คุยกันเรื่องส่วนตัว ตนจะไปคุยอะไรกัน"

ผู้สื่อข่าวถามว่าวันที่ 30 ก.ย. นี้ไม่ว่าผลจะออกมาอย่างไร รัฐบาลยังสามารถทำงานต่อไปได้ใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ไม่มีอะไร" เมื่อถามย้ำว่าหลัง 30 ก.ย.รัฐบาลยังเดินหน้าทำงานต่อไปอย่างไรบ้าง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ก็เดินหน้า มันมีอย่างไรก็ทำอย่างนั้น"

เมื่อถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ยังเข้าประชุม ครม.ปกติใช่หรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ก็ประชุมอยู่แล้วทุกครั้ง โดยประชุมออนไลน์" เมื่อถามว่าคิดว่าทุกอย่างจะผ่านไปได้ด้วยดีหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า "ก็ผ่านไปด้วยดี ทุกอย่างปกติ ไม่มีอะไร เลือกตั้งก็ปกติทุกอย่าง แล้วไปเอาที่ไหนมาว่าจะไม่มี"

ผู้สื่อข่าวจึงบอกว่ารัฐมนตรีที่ยืนข้าง ๆ ท่านพูด ทำให้นายชัยวุฒิที่อยู่ข้าง ๆ ได้ยิ้มแหย ๆ ขณะที่นายสันติ และนายอธิรัฐ ได้หัวเราะ ขณะที่ พล.อ.ประวิตรปรายตามองแต่ไม่ตอบคำถามดังกล่าว

30 ก.ย.นี้ 'คนจนหมดประเทศ' หรือ 'จนกันหมดประเทศ' ซัด!! รัฐปลื้มได้อย่างไรที่ยอดลงทะเบียนคนจนเพิ่มขึ้น?

นายอนุสรณ์ เอี่ยมสะอาด รองเลขานุการคณะกรรมการยุทธศาสตร์และทิศทางการเมืองพรรคเพื่อไทย กล่าวว่าเหลืออีกไม่กี่วัน ก็จะถึงวันที่ 30 กันยายน 2565 ถ้ายึดตามคำประกาศของรัฐบาล คนไทยจะหายจน คนจนจะหมดประเทศ ไม่รู้ว่าระหว่าง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จะพ้นไป กับคนไทยจะหายจน อะไรจะเกิดขึ้นได้จริงก่อนกัน IMF ออกมาเตือนเศรษฐกิจโลกถดถอย เผชิญกับปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้น 

นอกเหนือจากผลกระทบที่เกิดจากความขัดแย้งระหว่างรัสเซีย-ยูเครน และ จีนกับไต้หวัน ปัญหาคู่ค้าสหรัฐฯ-จีน เข้าสู่ภาวะเศรษฐกิจถดถอย ซึ่งส่งผลให้เศรษฐกิจโลกที่กำลังอยู่ในช่วงฟื้นตัวจากวิกฤตโควิด-19 ได้เกิดความผันผวน หลายปัจจัยที่มีผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2565 นับเป็นสิ่งที่ไม่สามารถคาดเดาได้ล่วงหน้า ปัญหาเงินเฟ้อที่ทุบค่าครองชีพคนไทย รัฐบาลพาประชาชนประคองตัวให้รอดก็ยากมากแล้ว ประกาศหลายรอบจะทำคนจนหมดประเทศ แต่ยิ่งประกาศคนจนยิ่งเพิ่มขึ้น จากจำนวนคนจน 6 ล้านคน พุ่งขึ้นเป็น 20 ล้านคน แทนที่จะยอมรับว่าเป็นความล้มเหลวรุนแรง รัฐบาลกลับดีใจที่มีคนมาลงทะเบียนคนจนเพิ่มขึ้น นี่ถ้ามีคนลงทะเบียนคนจนทั้งประเทศ จะไม่เฉลิมฉลองใหญ่โตกันเลยหรือ ที่ประกาศหลายรอบ 30 กันยาฯ คนจนหมดประเทศ หรือจนกันหมดทั้งประเทศ

พรรคร่วมฝ่ายค้าน ยื่น ป.ป.ช. สอบ ‘ประยุทธ์’ และพวก ใช้งบกลางไม่ตรงวัตถุประสงค์ - ปล่อยปละละเลยไม่ติดตามทุจริตจัดซื้อถุงมือยาง 2,000 ล้าน

นายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.นครราชสีมา และเลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมด้วยตัวแทนพรรคร่วมฝ่ายค้าน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล, นายนิคม บุญวิเศษ หัวหน้าพรรคพลังปวงชนไทย, นายวัชรา วังขนาย เลขาธิการพรรคเสรีรวมไทย, นายสงคราม กิจเลิศไพโรจน์ ส.ส. และประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อชาติ และพันตำรวจเอกทวี สอดส่อง เลขาธิการพรรคประชาชาติ ยื่นหนังสือต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพื่อเอาผิดพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพวก โดยกล่าวหา 2 กรณี ดังนี้ 

1.) กรณีอนุมัติงบกลางและเงินสำรองจ่ายฉุกเฉินผิดวัตถุประสงค์และหลักเกณฑ์ โดยกล่าวหาพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีกับพวกรวม 7 คน ประกอบด้วย นายเอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม ผู้บริหารมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน 3 คน และนักการเมืองอีก 2 คน ในข้อกล่าวหาว่าอาจมีการทุจริตไม่ชอบมาพากลในการอนุมัติงบกลาง 2,054 ล้านบาท ผิดวัตถุประสงค์และไม่เข้าหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ ใช้งบประมาณซ้ำซ้อนกับหน่วยงานอื่นและมิใช่เรื่องเร่งด่วน การใช้งบประมาณดังกล่าวมิได้เป็นไปตามรายละเอียดที่กำหนดไว้ในทีโออาร์ เช่น เรื่องระยะเวลาการอบรม 2 วัน มีค่าใช้จ่ายพักค้างคืนและค่าอาหาร 4 มื้อ แต่ปรากฏข้อเท็จจริงว่าอบรมเพียงครึ่งวันและได้อาหารแค่ 1 มื้อ เป็นต้น

2.) กรณีจัดซื้อถุงมือยางขององค์การคลังสินค้า (อคส.) โดยกล่าวหา พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และนายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ในฐานะประธานกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ อคส. ในข้อกล่าวหาปล่อยปละละเลยไม่ติดตามดำเนินการอายัดเงินจำนวน 2,000 ล้านบาท กรณีการจัดซื้อถุงมือยางของ อคส.แต่เพิกเฉย ไม่ได้สั่งการใดๆ 

'บิ๊กป้อม' สั่งการ จังหวัดราชบุรี ช่วย 'คุณยายสมบุญ' หลังทราบข่าวทุกข์ยาก และเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย

พล.อ.ประวิตร มอบ ผวจ.ราชบุรี และท้องถิ่น เร่งช่วย 'คุณยายสมบุญ' ชาวดำเนินสะดวก หลังทราบข่าวมีความทุกข์ยาก และเดือดร้อนเรื่องที่อยู่อาศัย 

เมื่อ (26 ก.ย. 65) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกฯ ได้สั่งการแล้วไปยัง ผู้ว่าราชการจังหวัด และนายก อบจ.ราชบุรี ให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือคุณยายสมบุญ มีทะนาน อายุ 85 ปี ซึ่งมีฐานะยากจน และมีสภาพความเป็นอยู่ที่น่าเวทนา ต้องทำมาหากินเลี้ยงชีพโดยลำพัง ด้วยการนำกล้วยไปขายโดยการพายเรือไปตามลำคลองพื้นที่ อ.ดำเนินสะดวก จ.ราชบุรี และเกือบประสบอุบัติเหตุจากน้ำรั่วซึมเข้าในเรือ อย่างรวดเร็ว โชคยังดีมีชาวบ้านได้มาพบเห็นเหตุการณ์ และเข้าให้ความช่วยเหลือได้ทัน ตามที่เป็นข่าวไปแล้ว ในวันนี้

‘ดร.ไตรรงค์’ ยืนยันไม่มีประเทศใดในโลก ที่มีเสถียรภาพ-ความเสมอภาคที่สมบูรณ์

(26 ก.ย. 2565) ดร.ไตรรงค์ สุวรรณคีรี อดีตรองนายกรัฐมนตรี โพสต์เฟซบุ๊กโดยมีรายละเอียดดังนี้

#ระบอบใดเหมาะที่สุดสำหรับประเทศไทย

(มันไม่ใช่ทั้งระบอบเผด็จการและระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์)

ในประวัติศาสตร์ของโลกนั้น มีหลายประเทศที่ต้องประสบปัญหาความไม่มีเสถียรภาพทางการเมืองภายในประเทศจนไม่สามารถพัฒนาประเทศให้เจริญขึ้นได้อย่างที่น่าจะเป็น

ตัวอย่างที่ดีก็คือประเทศฝรั่งเศส เพราะก่อนปี ค.ศ. 1958 (พ.ศ. 2501) ประเทศฝรั่งเศสมีรัฐธรรมนูญที่ให้สภานิติบัญญัติที่สมาชิกได้รับการเลือกตั้งจากประชาชนเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีแล้วให้ประธานาธิบดีเป็นคนแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี เนื่องจากประเทศนี้ได้มีการจัดตั้งสมัชชาประชาชนเพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ในปี ค.ศ. 1870 โดยสมัชชามีมติให้ยกเลิกสถาบันกษัตริย์อันเป็นการยกเลิกแบบถอนรากถอนโคนอีกครั้งหนึ่งและเป็นครั้งสุดท้าย (ครั้งแรกเกิดขึ้นในปี ค.ศ. 1789 ที่ประชาชนเข้ายึดอำนาจการปกครองจากพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 และทำการปลงพระชนม์พระองค์ด้วย)

แต่ภายใต้รัฐธรรมนูญที่ให้สภานิติบัญญัติเป็นผู้เลือกประธานาธิบดีเป็นประมุขของประเทศนั้น ได้ก่อให้เกิดการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างนักการเมืองและพรรคการเมือง เพราะทุกคนต่างก็ต้องการเป็นอันดับหนึ่งของประเทศ จึงต้องมีการแก่งแย่ง ชิงดีชิงเด่นเพื่อให้ได้อำนาจรัฐอยู่ในมือของพวกตน ใครที่ได้เป็นรัฐบาลก็จะไม่มีเวลามาวางแผนเพื่อความเจริญของประเทศในระยะยาวได้ เพราะจะถูกฝ่ายที่ไม่ได้เป็นรัฐบาลจ้องตีรวน สร้างความปั่นป่วนให้รัฐบาลไม่สามารถจะบริหารประเทศได้ด้วยความสะดวกทุกคน #ล้วนเห็นแก่ประโยชน์ของตนและพรรคของตนมากกว่าประโยชน์ของชาติ มีการเปลี่ยนขั้วการเมืองเพื่อให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ต้องลาออกไป เพื่อกลุ่มใหม่จะได้ขึ้นเป็นรัฐบาลใหม่ รัฐบาลใหม่นี้ก็จะเจอปัญหาการถูกก่อกวน บ่อนทำลายเสถียรภาพในทุกวิถีทางอีกเหมือนเดิม จนกลายเป็น #วงจรอุบาทว์ ที่ไม่มีรัฐบาลใดสามารถจะมีเสถียรภาพบริหารชาติอยู่นานได้

จากข้อมูลพบว่าเพียงระยะเวลา 12 ปี นับย้อนหลังไปจาก ค.ศ. 1957 ประเทศฝรั่งเศสมีรัฐบาลถึง 20 ชุด หรือเฉลี่ยแล้วแต่ละชุดอยู่ในตำแหน่งได้ประมาณ 6 เดือนเท่านั้น (จากหนังสือ การเมืองในฝรั่งเศส เขียนโดย ศาสตราจารย์ พงศ์เพ็ญ ศกุนตาภัย) จนทุกคนทุกพรรคได้มองเห็นความหายนะของชาติจึงได้ร่วมกันไปเชิญ วีรบุรุษฝรั่งเศสในสงครามโลกครั้งที่2 คือท่านจอมพล ชาร์ล เดอ โกล มาเป็นนายกรัฐมนตรีซึ่งภายในไม่ถึงปี นายกฯ คนใหม่ก็เสนอให้มีการยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ แล้วเสนอให้ประชาชนลงมติเห็นด้วยประกาศใช้เป็นรัฐธรรมนูญใหม่ของประเทศซึ่งได้มีการประกาศใช้ในปี ค.ศ. 1958 และยังใช้มาจนถึงปัจจุบัน

ด้วยรัฐธรรมนูญใหม่ที่ให้มีการเลือกตั้งประธานาธิบดีโดยตรงจากประชาชนและมีอำนาจในการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี แต่ประธานาธิบดีจะเป็นผู้มีอำนาจเหนือรัฐบาลในการกำหนดนโยบายต่างประเทศและนโยบายด้านกลาโหม มีวุฒิสภาที่มาจากการเลือกตั้งทางอ้อมและมีสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งโดยตรงจากประชาชนเหล่านี้ทำให้เกิดความลงตัวรัฐบาลมีเสถียรภาพจนสามารถมีเวลาว่างยุทธศาสตร์และนโยบายระยะยาวทั้งในทางเศรษฐกิจและสังคม จนเจริญมั่งคั่งอย่างที่เห็นกันอยู่ในปัจจุบันนี้ (รายละเอียดจะได้เล่าให้ฟังในโอกาสต่อไปเพราะมีหลายประเทศที่น่าพูดถึง เช่น นอร์เวย์ ฟินแลนด์ และออสเตรีย เป็นต้น)

#ดูเขาแล้วลองย้อนดูตัวเราเองบ้างจะดีไหม?

ตั้งแต่ พ.ศ. 2475 จนถึง พ.ศ. 2516 เรามีรัฐบาลเผด็จการโดยพวกคณะราษฎร์และผู้สืบทอดมรดก มากกว่ารัฐบาลประชาธิปไตยแต่ทุกรัฐบาลล้วนวุ่นวายอยู่กับการรักษาอำนาจของตน จึงไม่มีเวลาคิดเรื่องการพัฒนาประเทศอย่างจริงจัง โดยเฉพาะการคิดเรื่องอนาคตทางเศรษฐกิจของประเทศ ได้มาเริ่มทำกันค่อนข้างจะจริงจังก็สมัยของจอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ในปีพ.ศ. 2502 ซึ่งได้ปรับปรุงสำนักงานที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจสมัยจอมพล ป. พิบูลสงครามให้มาเป็นสภาพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ มีหน้าที่วางแผนพัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศไทยจึงได้มีแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับแรกคือแผนสำหรับ พ.ศ.2504-2509 (ต่อมาได้เปลี่ยนชื่อเป็นสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติในปี พ.ศ.2515)

ทั้งหมดที่เกิดขึ้นก็เป็นการกระทำตามคำแนะนำของที่ปรึกษาจากสหรัฐอเมริกา เพราะสหรัฐฯ ต้องการใช้ประเทศไทยเป็นด่านหน้าในการต่อสู้กับการขยายอิทธิพลของฝ่ายคอมมิวนิสต์ที่กำลังโตวันโตคืนบนโลกอยู่ในขณะนั้น และเพื่อเป็นการตอบแทนกัน จอมพล ป. และ จอมพล สฤษดิ์ ก็ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากสหรัฐอเมริกา ทั้ง ๆที่เป็นรัฐบาลเผด็จการ (อยากทราบความกระจ่างของรายละเอียดในเรื่องนี้ สามารถหาอ่านได้จากหนังสืออันทรงคุณค่าชื่อ “50ปีเศรษฐกิจไทย” ของคุณบรรยง พงษ์พานิช 2022, บริษัทภาพพิมพ์ จำกัด เป็นผู้พิมพ์จำหน่าย)

หลังจากมีการปฏิวัติใหญ่โดยประชาชนและนักศึกษาในปีพ.ศ. 2516 จึงเริ่มมีการยกร่างรัฐธรรมนูญที่เป็นประชาธิปไตยมากขึ้นในสมัย ท่านสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากนั้นก็มีการสลับกันไปมาระหว่างรัฐบาลจากการเลือกตั้งและรัฐบาลจากการรัฐประหาร แต่ทั้งสองฝ่ายไม่มีใครคิดเรื่องยุทธศาสตร์ของประเทศกันเลย เพราะมัวยุ่งอยู่กับการประณามด่ามึงด่ากูกันว่า ใครเป็นรัฐบาลที่โกงบ้านกินเมืองมากกว่ากัน

ประเทศต้องรอจนถึง พ.ศ. 2523 จึงได้มีรัฐบาลที่เริ่มมีการวางยุทธศาสตร์และนโยบายระยะยาวเพื่อให้ชาติมีความรุ่งเรืองและมั่นคงในทางเศรษฐกิจกันอย่างจริงจัง

ในสมัยที่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยการจัดให้มีท่าเรือน้ำลึกและเขตอุตสาหกรรมมาบตาพุดและท่าเรือแหลมฉบังและเป็นนายกรัฐมนตรี คนแรกที่มีคำสั่งให้มีแบบแผนยุทธศาสตร์ระยะยาวทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคมสำหรับ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ไว้ในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

‘ก้าวไกล’ ผนึก กทม. แก้น้ำท่วมบางขุนเทียนเรื้อรัง หลังปชช. ในพื้นที่ต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้ากันเอง

ณัฐชา บุญไชยอินสวัสดิ์ ส.ส. กทม. เขตบางขุนเทียน พรรคก้าวไกล ระบุว่าหลังมีฝนตกหนักตลอดทั้งคืนจนเวลานี้ส่งผลให้พื้นที่เขตบางขุนเทียน โดยเฉพาะซอยเทียนทะเล 26 มีน้ำท่วมตั้งแต่เมื่อคืนพี่น้องประชาชนไม่สามารถออกไปทำงานได้ รวมถึงบ้านเรือนที่มีผู้ป่วยผู้สูงอายุที่ต้องใช้อุปกรณ์ไฟฟ้า ก็ประสบปัญหาจากฝนตกต่อเนื่องอย่างหนัก

“ปัญหาที่เกิดขึ้นตนได้หารือไปยังนายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าฯ กทม. เพื่อเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นเนื่องจากเดิม พื้นที่ซอยเทียนทะเล 26 เป็นพื้นที่เอกชนที่มีข้อพิพาทแต่คดีจบไปแล้ว และศาลมีคำสั่งให้เขตบางขุนเทียนเป็นผู้รับดูแลเป็นพื้นที่นี้ 

ดังนั้นพื้นที่ซอยเทียนทะเล 26 จึงเป็นความรับรับผิดชอบของกรุงเทพมหานครที่ผ่านมาการแก้ปัญหาเป็นเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าของประชาชนในชุมชน”

'อนุทิน' จ่อชงครม. 27 ก.ย.นี้ จ่ายค่าตอบแทนอสม. - อสส. คนละ 2,000 บาท

เมื่อวันที่ (26 ก.ย. 65) น.ส.ไตรศุลี ไตรสรณกุล รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในวันที่ 27 ก.ย. 65 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข จะเสนอที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อพิจารณาอนุมัติงบประมาณรายจ่ายปี 2565 งบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น จำนวน 2,100.61 ล้านบาท เพื่อเป็นค่าตอบแทนให้แก่อาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) จำนวน 1,039,729 คน และอาสาสมัครสาธารณสุขกรุงเทพมหานคร (อสส.) จำนวน 10,577 คน รวม 1,050,306 คน ช่วงเดือนมิ.ย. - ก.ย. 65 รวม 4 เดือน ในอัตรา 500 บาทต่อคนต่อเดือน รวมเป็น 2,000 บาทต่อคน  

ทั้งนี้ เงินดังกล่าวเป็นค่าตอบแทน เยียวยา ชดเชย และเสี่ยงภัย และสนับสนุนการปฏิบัติภารกิจของ อสม. และอสส. ในการเฝ้าระวัง ป้องกัน และควบคุมโรคโควิด-19 ในชุมชนในช่วงระยะเวลาที่โควิด-19 ยังคงเป็นโรคติดต่ออันตราย

'ชวน' วอน กกต.แจงให้ชัดอะไรทำได้ -ทำไม่ได้ ช่วง 180 วัน เผย ส.ส.กลัวกันจนถึงขั้นต้องเก็บหรีดงานศพ

นายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ออกระเบียบว่าด้วยวิธีการหาเสียงและลักษณะต้องห้ามในการหาเสียงในระยะเวลา 180 วัน เริ่มตั้งแต่วันที่ (24 ก.ย.) ที่ผ่านมาว่า เท่าที่พูดคุยกับส.ส. ก็ระมัดระวังตัวอยู่แล้ว เพราะเงื่อนไขใหม่ตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดและต้องปฏิบัติ 180 วันก่อนการเลือกตั้ง ต้องระวังไม่ให้ผิดกฎหมาย ซึ่งก็มีการเตือนกันทุกพรรคการเมือง ว่าอย่าทำอะไรที่ขัดต่อกฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะเป็นเหยื่อของคู่ต่อสู้นำมาร้องเรียนได้ และเชื่อว่าในพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีการย้ำเตือนเช่นกัน ในขณะที่ กกต.ยังไม่ชัดเจนในบางเรื่อง โดยความเห็นของกกต.ในต่างจังหวัดกับส่วนกลาง อาจจะยังไม่ตรงกัน ดังนั้นเหนือสิ่งอื่นใดขอให้ส.ส.ทุกคนระมัดระวัง และยึดกฎหมายเป็นหลัก หากกฎหมายห้ามก็ต้องปฏิบัติตาม

'กรณ์-สุวัจน์' ผนึกกำลังเป็น “ชาติพัฒนากล้า” เติมความแข็งแกร่งเตรียมสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่

ชัดเจนลงตัว!! 'กรณ์-สุวัจน์' ผนึกกำลังเป็น “ชาติพัฒนากล้า” จัดประชุมใหญ่ชื่นมื่น ลูกพรรคครบทีม เดินหน้าเติมความแข็งแกร่ง เตรียมสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ 

ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2565 ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมใหญ่วิสามัญของพรรคชาติพัฒนา มีวาระการเปลี่ยนชื่อพรรคเพื่อนำเข้าพิจารณาในที่ประชุม หลังจากที่มีการแถลงข่าวความร่วมมือในการทำงานทางการเมือง และด้านเศรษฐกิจระหว่าง นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ ประธานพรรคชาติพัฒนา และนายกรณ์ จาติกวณิช หัวหน้าพรรคกล้า เมื่อต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยวันนี้ได้ชื่อพรรคใหม่ ชื่อว่า “พรรคชาติพัฒนากล้า” 

โดยนายกรณ์ ให้สัมภาษณ์ภายหลังการประชุมฯ ว่า วันนี้เป็นที่ชัดเจนทางกฎหมายแล้วว่า ทีมผู้บริหารและผู้สมัครของพวกเราทุกคนได้ มาผนึกกำลังอยู่ร่วมกันที่ “พรรคชาติพัฒนากล้า” เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top