Monday, 30 June 2025
POLITICS NEWS

‘วิโรจน์’ ห่วง ข้าราชการน้ำดีถูกเล่นงาน ปมทุจริตไฟ 39.5 ล้าน จี้ กทม.ให้ความเป็นธรรม

ต่อกรณีโครงการไฟประดับลานคนเมือง 39.5 ล้านบาท ของ กทม. ที่จัดแสดงในช่วงวันที่ 30 ธ.ค. 58 ถึง 31 ม.ค. 59 ที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด และกล่าวหาข้าราชการ รวมข้าราชการระดับสูงของ กทม. มากถึง 10 คน อาทิ ผอ.สำนักวัฒนธรรม กีฬา และการท่องเที่ยว ผอ.กองการท่องเที่ยว และคณะกรรมการ TOR ฯลฯ ฐานมีพฤติการณ์เข้าข่ายเอื้อเอกชนให้ได้รับงานโครงการประดับไฟลานคนเมือง กทม. หรือเรียกสั้น ๆ ว่า ฮั้วประมูลนั่นเอง 

คดีนี้เป็นคดีที่ ป.ป.ช. มีมติยื่นฟ้องศาลเอง หลังจากที่อัยการสูงสุดสั่งไม่ฟ้อง หลังจากที่ ป.ป.ช. มีมติชี้มูลความผิด กทม. ก็มีมติเบื้องต้นให้ไล่ออกข้าราชการถึง 4 ราย โดยปัจจุบันคดียังอยู่ในชั้นศาล

วิโรจน์ ลักขณาอดิศร หัวหน้าคณะทำงานยุทธศาสตร์กรุงเทพมหานคร พรรคก้าวไกล ได้ติดตามความคืบหน้าของคดีดังกล่าว และแสดงความกังวลว่า ในท้ายที่สุดแล้ว ข้าราชการ ที่เป็นคณะกรรมการตรวจรับพัสดุ ที่ทำหน้าที่ในการปกป้องภาษีของประชาชน อย่างตรงไปตรงมา กำลังจะถูกตั้งคณะกรรมการสอบ หลังจากที่ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาสั่งให้ กทม. จ่ายเงินค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ย ให้แก่ผู้รับเหมา

วิโรจน์ ได้ไล่เรียงว่า จุดเริ่มต้นของกรณีนี้ เริ่มจาก คณะกรรมการตรวจรับฯ สงสัยว่าการส่งมอบงานอาจมีความล่าช้า และไม่เป็นไปตามสัญญา และได้มีการติดตามทวงถามผู้รับเหมาเรื่อยมา ในขณะที่นิติกรก็ได้แจ้งกับคณะกรรมการตรวจรับฯ เอาไว้ด้วยว่า จะต้องดำเนินการตรวจรับงาน งวดที่ 1 ให้แล้วเสร็จก่อนดำเนินการเปิดไฟวันแรก คือ วันที่ 30 ธ.ค. 58 แต่ปรากฏว่าการส่งมอบงานจริงเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ม.ค. 59 ซึ่งเป็นการส่งมอบงานที่ล่าช้า 

นอกจากนี้เอกสารประกอบการส่งมอบงาน ก็ยังขาดความครบถ้วน คณะกรรมการตรวจรับฯ จึงได้ทวงถามให้ผู้รับเหมาส่งมอบเอกสารเพิ่มเติม ซึ่งกว่าจะได้รับเอกสารเพิ่มเติม ก็ต้องรอจนถึงวันที่ 20 ม.ค. 59 และเมื่อคณะกรรมการตรวจรับฯ ได้พิจารณาเอกสารการส่งมอบงานทั้งหมดแล้ว ก็มีความเห็นว่า เอกสารการส่งมอบงานยังขาดรายละเอียดของเนื้องานที่ครบถ้วน จึงได้ทำหนังสือถึง ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ในฐานะผู้สั่งจ้าง ผ่าน ผอ.กองการท่องเที่ยว ในฐานะหัวหน้าเหน้าที่พัสดุ เพื่อสั่งการ ซึ่งกระบวนการทั้งหมดนี้เป็นตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ พ.ศ.2538 ข้อ 66 (4) วรรคสอง

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา คณะกรรมการตรวจรับฯ ได้ทำหนังสือรายงานให้ ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ และ ผอ.กองการท่องเที่ยว ให้รับทราบมาโดยตลอด จนในวันที่ 18 ม.ค. 60 คณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ได้ทำรายงานผลการตรวจรับขึ้นอีกฉบับหนึ่ง โดยระบุชัดเจนว่า รายละเอียดการส่งมอบงานไม่ตรงตามสัญญา และไม่สามารถตรวจรับงานได้ แต่ก็ยังไม่มีการสั่งการใด ๆ ตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ ข้อ 128 หรือ ข้อ 132 ไม่ว่าจะเป็นการเรียกค่าปรับ สงวนสิทธิการเรียกค่าปรับ หรือการบอกเลิกสัญญา

คณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ยังไม่นิ่งนอนใจ หลังจากนั้นในวันที่ 5 เม.ย. 60 ก็ได้ทำหนังสือขอหารือไปยังสำนักงานกฎหมายและคดี และได้รับคำแนะนำกลับมาในวันที่ 17 พ.ค. 60 ว่า ในเมื่อคณะกรรมการตรวจรับฯ ได้ดำเนินการตรวจรับงานแล้ว และมีความเห็นว่ารายละเอียดการส่งมอบงานของผู้รับจ้างไม่ตรงตามสัญญาจ้าง จึงเป็นหน้าที่ของผู้สั่งจ้างที่ต้องพิจารณาสั่งการตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ ต่อไป 

และในวันที่ 29 พ.ค. 60 ก็ยังได้ทำหนังสือขอหารือไปยังสำนักการคลัง ขึ้นอีกฉบับหนึ่ง และได้รับคำแนะนำกลับมาในวันที่ 16 มิ.ย. 60 ว่า โครงการไฟประดับ นั้นเป็นการจ้างที่ต้องการผลสำเร็จของงานทั้งหมดพร้อมกัน ไม่อาจตรวจรับไว้เฉพาะส่วนที่ถูกต้อง ตามข้อบัญญัติ เรื่องการพัสดุ ข้อ 66 (5) ได้ และในเมื่อคณะกรรมการตรวจรับฯ ได้รายงานการตรวจรับมายังผู้สั่งจ้างแล้ว ก็ต้องเป็นหน้าที่ของผู้สั่งจ้าง ที่จะพิจารณาสั่งการต่อไป

เรียกได้ว่า คณะกรรมการตรวจรรับฯ ชุดนี้ ทำงานแบบรอบคอบ ตรงไปตรงมา กัดไม่ปล่อย และทำจนสุดหน้าที่แล้วจริง ๆ เป็นตัวอย่างที่ดีมาก ๆ ของข้าราชการน้ำดี ที่ยืนหยัดในความถูกต้อง และปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอย่างถึงที่สุด

การทำงานของคณะกรรมการตรวจรับฯ ชุดนี้ ไม่ได้ราบรื่นเลย นอกจากจะถูกเตะถ่วง โยนเรื่องไปมาแล้ว ยังถูกกดดันจากทุกช่องทาง ถูกผู้รับเหมาฟ้องฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ ต้องเสียเวลาทำเอกสารชี้แจง ขึ้นโรงขึ้นศาล แต่ด้วยความสุจริตในการปฏิบัติหน้าที่ ก็ชนะคดีมาได้ทั้งศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์

จุดพลิกผันของเรื่องนี้เกิดขึ้น เมื่อศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษาให้ กทม. จ่ายค่าจ้าง พร้อมดอกเบี้ยให้แก่ผู้รับเหมา เนื่องจากสิ่งที่คณะกรรมการตรวจรับฯ เห็นว่าไม่ถูกต้อง นั้นเป็นเรื่องของเอกสาร ไม่ใช่เนื้องานตามสัญญาจ้าง และ กทม. ก็ได้ใช้ประโยชน์จากไฟประดับของผู้รับเหมาไปแล้ว ทีนี้ล่ะครับ กระบวนการหาคนผิด ก็เลยเกิดขึ้น

วิโรจน์สงสัยว่า แทนที่รองปลัด กทม. นายเฉลิมพล โชตินุชิต จะสอบสวนว่า ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ผู้สั่งจ้าง ณ ขณะนั้น อนุญาตให้เปิดไฟประดับได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่ยังตรวจรับงานไม่ผ่าน และอนุญาตให้ผู้รับเหมารื้อถอนในวันที่ 1 ก.พ. 59 ได้อย่างไร ทั้ง ๆ ที่การตรวจรับงานยังไม่เสร็จสิ้น และที่ผ่านมา ทำไม ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ที่มารับตำแหน่งต่อ ถึงไม่สั่งให้บอกเลิกสัญญากับผู้รับเหมา ทั้ง ๆ ที่ คณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ทำหน้าที่จนสุดทางแล้ว และได้ยืนยันว่า โครงการไฟประดับดังกล่าว ไม่เป็นไปตามสัญญา และไม่สามารถตรวจรับงานได้ รวมทั้งควรต้องสอบนิติกรฝ่ายการเจ้าหน้าที่ ประจำสำนักงานเลขานุการ สำนักวัฒนธรรมฯ เพิ่มเติมด้วยว่า เหตุใดจึงแนะนำให้ ผอ.สำนักวัฒนธรรมฯ ในฐานะผู้สั่งจ้าง ณ ขณะนั้น สั่งการให้คณะกรรมการตรวจรับฯ ดำเนินการตรวจรับให้ได้ ทั้ง ๆ ที่การส่งมอบงานไม่เป็นไปตามสัญญา

แต่รองปลัด กทม. กลับสั่งให้มีการสอบคณะกรรมการตรวจรับฯ ซึ่งประเด็นนี้ วิโรจน์ตั้งประเด็น และไม่เข้าใจว่า จะสอบคณะกรรมการตรวจรับฯ ทำไม เพราะที่ผ่านมาคณะกรรมการตรวจรับฯ ก็ทำหน้าที่อย่างถึงที่สุดแล้ว และคำพิพากษาของศาลชั้นต้น และศาลอุทธรณ์ ก็ยืนยันชัดเจนว่า คณะกรรมการตรวจรับฯ ปฏิบัติหน้าที่โดยสุจริต

‘ไพศาล’ ชวนจับตาสูตรตั้งรัฐบาล 3 พรรค ‘พท. - ภท. - พปชร.’ ดัน ‘ลุงป้อม’ นายกฯ

(26 ธ.ค. 65) นายไพศาล พืชมงคล อดีตกรรมการผู้ช่วยรองนายกรัฐมนตรี (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ) และนักกฎหมาย โพสต์เฟซบุ๊ก Paisal Puechmongkol หัวข้อ 'นับถอยหลังการเลือกตั้ง' มีเนื้อหาดังนี้...

#นับถอยหลังการเลือกตั้ง

หลังกรณีการแถลงข่าวเข้าพรรครวมไทยสร้างชาติและแคนดิเดตนายก กองเชียร์ก็ฮือฮากันใหญ่ แต่หลังจากนั้นวันเดียวก็กลายเป็นว่า “เป็นแค่เจตนารมณ์ ยังไม่ได้เข้าพรรค เพราะต้องทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี”

เรื่องนี้เป็นข้อเตือนใจว่า ความสำคัญของกฎหมายนั้นไม่ว่าใครก็มองข้ามไม่ได้เพราะอาจเหยียบเปลือกกล้วยหน้าคว่ำเสียก่อนก็ได้

แค่นี้ก็ทำให้นักการเมือง ที่จะไปอยู่ด้วยกันขาดความมั่นใจ หลายคนขอกลับพรรคเก่า หรือไม่ก็ไปอยู่พรรคใหม่ ทำให้ด่านหินที่ต้องได้ ส.ส. 25 คนจุกอกต่อไป

เวลานับถอยหลังอยู่ทุกวัน แรงกดดันให้ยุบสภาเพราะเหตุสภาล่มก็จะหนักหนาขึ้นเรื่อย ๆ ผู้คนก็จะก่นด่าเรียกร้องให้ยุบสภามากขึ้น สภาพที่บ้านเมืองไม่มีคนรับผิดชอบปัญหาต่าง ๆ ดังที่กำลังเกิดขึ้นจะทำให้สารพัดปัญหาประดังกันเข้ามา

ยิ่งล่วงเข้าเดือนมีนาคม 66 ดาวมฤตยูเดินหน้าเข้าราศีพฤษภทับเรือนเศรษฐกิจดวงเมืองปัญหาเศรษฐกิจหนักหนาจะกระหน่ำซ้ำเติมเพิ่มเข้ามาอีก ความนิยมจะตกต่ำลงไปถึงไหน อาการจึงน่าเป็นห่วงมาก

ท่านหัวหน้าพีระพันธุ์ได้ชื่นชมท่านนายกว่าเป็นคนดีมีความสามารถถ้าเป็นนายกอีกสมัย 2 ปี หรือ 3 ปีหรือ 4 ปีก็ได้

ใครที่คิดจะ 'วิ่งผลัดนายก 2 ปี' คงสะดุ้งโหยง เพราะการแย้มพราย ของผู้รู้ทางกฎหมายอย่างนี้ ทำให้คิดได้ว่า ถ้าเป็นนายกอีกครั้งก็อาจแก้รัฐธรรมนูญยกเลิกมาตรา 158 ก็ได้ มิฉะนั้นจะเป็นนายก 3 ปี 4 ปีได้อย่างไร และถ้าแก้รัฐธรรมนูญสำเร็จก็จะอยู่ในอำนาจชั่วนิจนิรันดร์ คนอื่นก็ต้องรอชาติหน้า!!!

‘ผู้สื่อข่าวทำเนียบ’ เปิดฉายารัฐบาล-รัฐมนตรีประจำปี 2565 วาทะแห่งปี “เกลียดหรือไม่เกลียดก็ช่างคุณเถอะ เพราะผมไม่รู้”

(26 ธ.ค. 65) ที่ทำเนียบรัฐบาล ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การตั้งฉายารัฐบาล และรัฐมนตรีประจำปี ของผู้สื่อข่าวประจำทำเนียบรัฐบาล ที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติสืบต่อกันมาอย่างยาวนาน เป็นการสะท้อนความคิดเห็นของสื่อมวลชนต่อการทำงานของรัฐบาล โดยปราศจากอคติ ได้มีมติร่วมกันตั้งฉายารัฐบาล รัฐมนตรี และ วาทะแห่งปี ประจำปี 2565 ดังนี้

>> ฉายารัฐบาล : ‘หน้ากากคนดี’

เป็นอีกหนึ่งปี ที่ทุกคนยังคงต้องสวมหน้ากากอนามัย เพื่อป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ขณะเดียวกัน ภายใต้หน้ากากของรัฐบาล ที่สร้างภาพจำตลอดเวลาว่าเป็นคนดี นโยบายทุกอย่างทำเพื่อบ้านเมือง และประชาชน แต่กลับเกิดข้อกังขาว่ายังเดินตามเจตนารมณ์ที่ประกาศไว้ได้หรือไม่ เช่น นโยบายกัญชา ที่อวดอ้างทำเพื่อประชาชน แต่เมื่อเกิดผลกระทบจากการใช้ผิดวัตถุประสงค์ กลายปัญหาสังคมบานปลาย แม้แต่การออกกฎหมายควบคุมการใช้ยังทำไม่ได้ สุดท้ายผลักภาระเพิ่มให้ตำรวจ เพียงเพราะต้องการเช็กลิสต์ตามนโยบายที่หาเสียงไว้ นโยบายประชานิยมที่ออกแนวหาเสียง ให้ทั้งเบ็ด ทั้งปลา หรือ การประกาศแก้ไขรัฐธรรมนูญ ก็มีความคลุมเครือ ว่าประโยชน์ที่ได้นั้น เป็นของประชาชนหรือนักการเมืองกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเป็นนโยบายของพรรคการเมืองใด เมื่อออกมาในนามรัฐบาล ประชาชนจึงเกิดความเคลือบแคลงสงสัย ว่าภายใต้หน้ากากที่ประกาศเป็นคนดีนั้น จริงหรือไม่?

>> พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม : ‘แปดเปื้อน’

ปมวาระดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี 8 ปี สั่นคลอนภาพลักษณ์ของพลเอกประยุทธ์ ตลอดปีที่ผ่านมา และกลายเป็นข้อครหา ถึงความชอบธรรมในการครองเก้าอี้นายกรัฐมนตรีต่อเนื่องยาวนาน พลเอกประยุทธ์ ถือเป็นนายกรัฐมนตรีคนแรกของประเทศไทย ที่ศาลมีคำสั่ง ให้หยุดปฎิบัติหน้าที่ แม้จะเพียงแค่ 38 วัน ก็ทำให้สังคมเคลือบแคลงสงสัยในตัวของ พล.อ. ประยุทธ์ ที่มักจะพูดเสมอว่าไม่ยึดติดอำนาจ ทุกอย่างทำเพื่อบ้านเมือง และประชาชน ไม่เอื้อประโยชน์ต่อพวกพ้อง ยิ่งเมื่อปัญหาใต้พรมถูกขุดคุ้ยขึ้น ใกล้ตัวเกินกว่าจะปัดความเกี่ยวโยงได้ ทั้งนโยบายประชานิยม ทุนสีเทาสนับสนุนพรรคการเมือง หรือ แม้แต่นักการเมืองใกล้ตัว นายทหารใกล้ชิด ที่ได้ไปนั่งอยู่ในบอร์ดบริหารบริษัทพลังงาน แม้พิสูจน์กันทางกฎหมายไม่ได้ แต่ก็ทำให้ถูกมองว่า ไม่ได้ใสสะอาด ผุดผ่องอีกต่อไป

>> พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี : ‘ลองนายกฯ’

แม้จะเป็นเวลาเพียง 38 วัน ที่ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ตามคำสั่งศาลรัฐธรรมนูญ แต่พลเอกประวิตรก็ได้ทำอย่างสุดกำลัง ถึงแม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่ได้ลองเป็นนายกฯ หลายครั้งที่ตัวจริงอย่างพลเอก ประยุทธ์ ต้องไปปฏิบัติภารกิจต่างประเทศ พี่ใหญ่ในกลุ่ม 3 ป. ในฐานะ สร.2 ก็ทำหน้าที่แทนมาตลอด แต่อาจไม่ยาวนานเช่นครั้งนี้ ซึ่งมีอำนาจเต็มc(ในขณะนั้น) หากจะยุบสภาฯ ก็สามารถทำได้

บรรดากองหนุนและกองเชียร์ ปั่นกระแสจนเคลิ้ม ถึงกับประกาศใช้ ‘ใจบรรดาลแรง’ ทำหน้าที่นายกรัฐมนตรี ลงพื้นที่ลุยงานรัว ๆ ทำเอากองเชียร์นายกฯ ตัวจริง ร้อน ๆ หนาว ๆ แต่สุดท้ายก็ได้แค่ ‘ลอง’ เท่านั้น

>> นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี : ‘เครื่องจักรซักล้าง’

ความเอกอุด้านกฎหมายระดับปรมาจารย์ในตำนาน ถูกใช้สนองตอบความต้องการของรัฐบาลทุกช่องทาง ทั้งพรรคหลักพรรคร่วม ไม่มีเลือกปฏิบัติ ช่วยยกภูเขาออกจากอก ลดปัญหาหนักใจ ทำหน้าที่เหมือนเครื่องจักรกล คอยซักล้างความผิดปกติที่เกิดขึ้นกับรัฐบาลให้ผ่านพ้น เรื่องไหนผ่านมือเนติบริกรคนนี้ อย่าหวังว่าจะมีใครโต้แย้งได้ เช่น ปม 8 ปีการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี การแก้ไขรัฐธรรมนูญ หรือ แม้แต่เรื่องเหมืองทองอัครา

>> นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข : ‘ภูมิใจดูด พูดแล้วดอย’

‘พูดแล้วทำ’ คือ สโกแกนพรรคภูมิใจไทย แต่ทำแล้วสำเร็จหรือไม่เป็นอีกเรื่อง แม้จะปลดล็อกกัญชาจากการเป็นยาเสพติด แต่กฎหมายควบคุมกลับค้างเติ่งติดดอย ไปต่อไม่ได้ เกิดเป็นปัญหาสังคมบานปลาย เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงกัญชาได้อย่างง่ายดาย เมื่อจวนตัวกลับโยนให้เป็นภาระของเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติ หัวจะปวดกันทั้งประเทศ

ขณะที่ บทบาทพรรคร่วมรัฐบาล ถือได้ว่าเป็นเด็กดีมาโดยตลอด แต่เมื่อเสียงปี่กลองเลือกตั้งดังขึ้น กลับสวมบทไดโวโชว์พลังดูด ส.ส. นักการเมือง ทั้งจากพวกเดียวกัน และต่างขั้ว ชนิดไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม โดดเด่นไม่แพ้การนำเสนอนโยบายกัญชา

>> นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ : ‘ประกันไรได้’

‘ประกันรายได้’ เป็นนโยบายหาเสียงหลักของพรรคประชาธิปัตย์ นายจุรินทร์ ในฐานะหัวหน้าพรรค แถมยังนั่งเก้าอี้รองนายกรัฐมนตรีและกระทรวงค้าขาย ก็จัดหนักนโยบายนี้ จนแทบไม่โฟกัสงานอื่น ข้าวของขึ้นราคาไม่หยุด แต่สินค้าเกษตรกลับต้องทุ่มเงินไปประกันอย่างต่อเนื่อง จึงเกิดคำถามกับการแก้ปัญหาของรัฐบาลด้วยวิธีประกันรายได้ ว่าถูกทางจริงหรือ? ที่ว่าประกันนั้น ‘ประกันไรได้บ้าง’

>> นายดอน ปรมัติวินัย รองนายกรัฐมนตรี และ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ : ‘ลุ่มๆ ดอนๆ’

APEC ถือเป็นงานใหญ่งานหนึ่งในรอบ 20 ปีของไทย ที่มาพร้อมโอกาสทางเศรษฐกิจหลังสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 นโยบายเปิดประเทศจึงเป็นความหวังของทุกคน ที่จะทำให้ประเทศพ้นกับดักต่าง ๆ แต่บทบาทในฐานะรัฐมนตรีเจ้ากระทรวง กลับไม่สามารถสร้างการรับรู้ หรือ ดึงดูดความสนใจของคนในประเทศได้เท่าที่ควร การเป็นเจ้าภาพ APEC จึงเหมือนรับรู้กันเฉพาะในวงที่เกี่ยวข้อง ไม่ต้องพูดถึงความสนใจจากทั่วโลกที่ดูน้อยมาก จนเกิดการเปรียบเทียบกับรัฐบาลในอดีตที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดงานสำคัญ ล้มเหลวตั้งแต่ระบบลงทะเบียน ลามไปจนถึงกิจกรรมประชาสัมพันธ์โหมโรง ที่ไม่ลุกโชนตามความตั้งใจ แม้แต่ธงโบกสะบัดยังปักเป็นหย่อม ๆ ก่อนงานเพียงไม่กี่วัน และ มีเสียงเล่าลือกันหนาหู ว่าการทำงานในกระทรวงร่วมกับข้าราชการ ก็ลุ่ม ๆ ดอน ๆ ไม่เปิดกว้างรับฟัง เกิดเป็นภาพการทำงานที่ล่าช้า ตกยุค ไม่ทันสมัย

>> นายสุพัฒนพงษ์ พันธ์มีเชาว์ รองนายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน : ‘Powerblank’

‘วิกฤตพลังงาน’ เป็นปัญหาที่หนักหนาสาหัสสำหรับคนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก หลายมาตรการที่เข็นออกมาไม่ขาดสาย นอกจากชักเนื้อรัฐบาลมาอุดหนุน ก็ยังไม่เห็นว่ามีสิ่งไหนทำได้จริง ยิ่งการล้วงเงินจากกระเป๋าเอกชนอย่างโรงกลั่นน้ำมัน โครมครามอยู่พักใหญ่ แล้วก็หายไปกับสายลม เหมือนการขายที่ดินให้ต่างชาติแลกเงินลงทุน เกิดกระแสตีกลับระเนระนาด ถอยตั้งหลักแทบไม่ทัน จึงเกิดข้อสงสัยกันว่า เป็นรัฐมนตรีพลังงาน หรือ รัฐมนตรีไม่มีพลังงานกันแน่

‘จุรินทร์’ บุกพิษณุโลก เปิดตัว 5 ผู้สมัคร ส.ส. มั่นใจ ‘ประกันรายได้’ มัดใจเกษตรกร เตรียมดันพิษณุโลกเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคเหนือตอนล่าง

‘จุรินทร์’ ควง ‘จุติ-นราพัฒน์’ เปิดตัว 5 ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก สู้ศึกเลือกตั้งครั้งหน้า มั่นใจ ‘ประกันรายได้’ มัดใจเกษตรกร เตรียมดันพิษณุโลกเมืองศูนย์กลางเศรษฐกิจภาคเหนือตอนล่าง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ พร้อมด้วย นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรค ดูแลภาคเหนือ และนายจุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ร่วมเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ ทั้ง 5 เขตการเลือกตั้ง ได้แก่ นายจักษ์ พันธ์ชูเพชร อดีตผู้ช่วยอธิการบดี มหาวิทยาลัยนเรศวร นายพงษ์มนู ทองหนัก รองนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดพิษณุโลก นางสาวมุธิตา ทองคำนุช อดีตผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ นายคณิศร มาดี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลหนองกระท้าว และนายวันชัย ทิมชม  สาธารณสุข 5 อำเภอ ที่ใกล้ชิดชาวพิษณุโลก และยังมีนายจุติ ที่จะลงสมัคร ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ โดย บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก มีประชาชนชาวพิษณุโลกมาให้การต้อนรับ พร้อมให้กำลังใจมอบดอกไม้ คล้องพวงมาลัยให้นายจุรินทร์ ขอถ่ายรูปเซลฟี่ และอวยพรให้นายจุรินทร์เป็นนายก รัฐมนตรีสมัยหน้าดังกึกก้องทั้งห้องประชุม

โดยนายจุรินทร์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวช่วงหนึ่งว่า วันนี้ถือเป็นโอกาสดีเป็นโอกาสพิเศษที่ได้นำคณะพรรคประชาธิปัตย์มาพบชาวพิษณุโลกพร้อมกันๆ ซึ่งเราให้ความสำคัญกับพิษณุโลกเพราะ 1. พิษณุโลกคือเมืองหลวงของภาคเหนือตอนล่าง  2. ชาวพิษณุโลกกับพรรคประชาธิปัตย์ผูกพันทางการเมืองยาวนาน  3. ผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ผูกพันกับชาวพิษณุโลกตลอดมาโดยเฉพาะตั้งแต่มาร่วมรัฐบาลชุดนี้

พิษณุโลก ปชป.เปิดตัวผู้สมัคร ส.ส.พิษณุโลก ตัวเต็งร่องหน "จุรินทร์"ปัดตอบแคนดิเดทนายกฯ

วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์/รองนายกรัฐมนตรี/และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์, นายจุติ ไกรฤกษ์รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ นายนราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์และผู้ช่วยรัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์พร้อมว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.เขต ในพื่นที่จังหวัดสุโขทัย และพิษณุโลก เดินทางมาที่ห้องประชุมโรงแรมท๊อปแลนด์พลาซ่า โดยมีแฟนพันธ์แท้-สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ร่วมสัมมนาเพื่อตรียมพร้อมสู้ศึกเลือกตั้ง โดยไฮไลท์สำคัญ คือ การเปิดตัวผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์ จ.พิษณุโลกแบบบัญชีรายชื่อ คือ นายจุติ ไกรฤกษ์ และ แบบแบ่งเขตทั้ง 5 เขตเลือกตั้ง ปรากฏว่า พอแนะนำตัวประกาศรายชื่อว่าที่ผู้สมัคร ปชป.แบบแบ่งเขต 5 คน ขึ้นเวที กลับยืนบนเวทีเพียง 4 คนเท่านั้น หายไป 1 คน 

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเปิดงานตอนหนึ่งว่า ผลงานของพรรคประชาธิปัตย์ฝากไว้คือ ค่าตอบแทนของ อสม., ยกฐานะ รพ.สต.,ค่าตอบแทนผู้สูงอายุ ฯลฯ นโยบายสำคัญ คือ ผลงานประกันราคาข้าว ซึ่งคนพิษณุโลกปลูกข้าวจำนวน 78,000 ราย โอนเงินให้ชาวนาตลอดระยะเวลา 3 ปี อุดหนุนชาวนาทั้งสิ้น 4,200 ล้านบาท เฉลี่ย 5,300 บาทต่อราย  ส่วนเรื่องการเมืองนั้น หากจะยุบสภาไม่เกินวันที่ 23 มีนาคม 2566 หลังจากนั้นคือ รัฐบาลจะอยู่ครบเทอมเพื่อเลือกตั้งใหม่ 7 พฤษภาคม  พิษณุโลก คือ เมืองหลวง ภาคเหนือตอนล่าง การเลือกตั้งรอบนี้ พิษณุโลกมี 5 เขตเลือกตั้ง

นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ได้ประกาศตัวผู้สมัคร ส.ส.แบ่งเขตในเขต 1 คือ รศ.ดร.จักษ์ พันธ์ชูเพชร อดีตรองคณบดีคณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร อดีตที่ปรึกษา กระทรวงแรงงาน และอดีตที่ปรึกษารัฐมนตรี กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม เขต 2. นายวันชัย ทิมชม อดีตสาธารณสุขอำเภอ หลายอำเภอของจังหวัดพิษณุโลก  3.นายพงษ์มนู ทองหนัก รอง นายก อบจ.พิษณุโลก 4.นางสาวมุทิตา นุชทองคำ  และ เขต 5 นายคณิศร มาดี อดีต ผู้สมัคร ส.ส.ปชป.พ่ายแพ้ไปเพียงกว่า 2,000 คะแนน ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายก อบต.หนองกระท้าว อำเภอนครไทย แต่วันนี้กลับไม่ได้เดินทางมาโชว์ตัวบนเวทีแต่อย่างใด  

‘เนวิน’ ทำนายหลังเลือกตั้ง ทุกพรรคร่วมจัดรัฐบาลได้ การเมืองไม่มีมิตรแท้ศัตรูถาวร ชี้ ที่บุรีรัมย์เจริญแบบก้าวกระโดด เพราะไม่แบ่งขั้ว แง้ม ‘อนุทิน-ทักษิณ’ ไม่มีปัญหากัน อย่าเอาตนเป็นที่ตั้ง 

วันที่ 25 ธันวาคม 2565  นายเนวิน ชิดชอบ ประธานบริหารสโมสรฟุตบอลบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ในฐานะครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย ให้สัมภาษณ์รายการข่าว สถานีโทรทัศน์ Thai pbs ถึงสถานการณ์การเมือง หลังการเลือกตั้งที่จะเกิดขึ้นในปี 2566 ว่า ประเทศไทยกับการเมืองไทย ไม่มีมิตรแท้ ไม่มีศัตรูถาวร เชื่อผมเลย และสิ่งที่มันเป็นกลไกสำคัญที่สุด การตัดสินของประชาชน ณ วันลงคะแนนเลือกตั้ง จะเป็นตัวบังคับให้นักการเมือง และพรรคการเมืองต้องรู้ว่าประชาชนต้องการอะไร 

ผู้ดำเนินรายการถามถึงการแบ่งขั้วการเมือง จะทำให้เป็นปัญหาจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ นายเนวิน กล่าวว่า เรื่องแบ่งขั้ว เลิกคิดได้แล้ว เรื่องขั้ว ถ้าเมื่อไร เรายังแบ่งขั้ว แบ่งสี อยู่แบบนี้ บ้านเมืองมันไปไหนไม่ได้ 

“ส่วนหนึ่งที่บุรีรัมย์มาถึงวันนี้ แล้วพัฒนาแบบก้าวกระโดด ใน 10 ปี เติบโตกว่าจังหวัดอื่นๆ ในประเทศไทย เพราะเราไม่มีขั้ว”

ครูใหญ่พรรคภูมิใจไทย กล่าวว่าโยบายที่เป็นประโยชน์กับประเทศชาติและประชาชน จะเป็นสิ่งที่ทำให้พรรคการเมืองต้องตัดสินใจ ถ้าคุณทำในสิ่งที่ไม่เป็นประโยชน์กับประชาชน และส่วนรวม ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร  เราก็คงจะร่วมด้วยไม่ได้ แต่ถ้านโยบาย วิธีคิดมันนำไปสู่ประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชนส่วนรวมมาก่อนส่วนตัว ทุกอย่างมันไปได้หมด

ผู้ดำเนินรายการ ถามว่าความสัมพันธ์กับคุณทักษิณ ถ้าจะไปจับมือจัดตั้งรัฐบาลกันเรื่องในอดีตลืมไปหมดหรือยัง นายเนวิน กล่าวว่าเป็นเรื่องในอดีต คำถามวันนี้ คือว่า วันนี้พรรคเพื่อไทย เป็นของใคร ตอบผมหน่อยสิ พรรคเพื่อไทย ขับเคลื่อนด้วยใคร ใครกำหนดนโยบายพรรคเพื่อไทย ใครบริหารพรรคเพื่อไทย 

“ถ้าหัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรค แกนนำพรรคในปัจจุบัน เป็นผู้บริหารทั้งหมดนี่นะ แล้วมันมีความขัดแย้งอะไรกับ คุณอนุทิน เขาล่ะ ผมก็ไม่เห็นว่ามีความขัดแย้ง แม้กระทั่งตัวท่านนายกฯ ทักษิณ เองนี่นะ ในอดีตกับคุณอนุทิน นี่นะ เขาก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรกัน อย่าเอาตัวผมมาเป็นที่ตั้งสิ ผมไม่ได้เกี่ยวกับพรรคภูมิใจไทย นะ ผมแค่ครูใหญ่ ผมเป็นแค่ลุงเนวิน”

‘ก้าวไกล’ ซัด รัฐบาลทำเรื่องน่าอาย จัดหารือไม่เป็นทางการเชิญรัฐบาลทหารเมียนมาเข้าร่วม เทียบไทย-เมียนมาคล้ายกัน มีรัฐบาลทหาร-เลือกตั้งสืบทอดอำนาจ แนะ จะเป็นประเทศตัวกลางชอบธรรม เริ่มจากทำตามข้อตกลงอาเซียนให้ได้ก่อน

วันที่ 25 ธันวาคม 2565 นายปดิพัทธ์ สันติภาดา ส.ส.พิษณุโลก พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ไทยเป็นเจ้าภาพจัดการหารืออย่างไม่เป็นทางการเกี่ยวกับสถานการณ์ในเมียนมา เมื่อวันที่ 22 ธันวาคมที่ผ่านมา โดยมีนายดอน ปรมัติวินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ วันนา หม่อง ลวิน (U Wunna Maung Lwin) รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเมียนมา และผู้แทนจากชาติสมาชิกอาเซียนเข้าร่วม ประกอบด้วย กัมพูชา ลาว และเวียดนาม ในขณะที่อีก 5 ประเทศไม่เข้าร่วม ประกอบด้วย อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร์ ฟิลิปปินส์ และบรูไน

นายปดิพัทธ์ กล่าวว่า เมียนมากำลังเดินหน้าเข้าสู่การเลือกตั้ง แต่เมื่อดูปัจจัยแวดล้อมในการเมืองเมียนมาปัจจุบัน ไม่สามารถมั่นใจได้เลยว่าการเลือกตั้งจะเสรีและเป็นธรรม เพราะนักโทษการเมืองยังไม่ได้รับการปล่อยตัว ความรุนแรงบริเวณชายแดนยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยก่อนหน้านี้ นางพรพิมล กาญจนลักษณ์ ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากดอน ให้เป็นผู้แทนพิเศษของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศในด้านสาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมา เคยออกมาแถลงขอให้ประชาคมโลกมั่นใจในการเลือกตั้งของเมียนมา แต่ความมั่นใจนี้สวนทางกับฉันทามติ 5 ข้อของอาเซียน (Five-Point Consensus) ที่ต้องการให้เมียนมาเดินหน้าไปสู่สันติภาพก่อนการเลือกตั้ง

‘รองเลขา พท.’ ซัด ‘ประยุทธ์’ แก้ยาเสพติดไร้ประสิทธิภาพ ทำยาบ้าถูกกว่าก๋วยเตี๋ยว เหน็บทำไม่เป็นอย่าฝืน อยู่มา 8 ปีไม่ทำ 

เมื่อวันที่ 25 ธ.ค.เวลา 10.25 น.  ที่พรรคเพื่อไทย(พท.) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย(พท.)แถลงว่า ปัญหายาเสพติดที่เกิดขึ้นกับสังคมไทยในขณะนี้ ได้สะท้อนให้เห็นชัดถึงความผิดพลาด และล้มเหลวของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในการจัดการปัญหายาเสพติดในทุกด้านตลอด 8 ปีที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปราบปราม ป้องกัน และการฟื้นฟูเยียวยา จากรายงานของสำนักงานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ไตรมาส 3 ปี 2565  พบว่า คนไทยมีแนวโน้มเป็นผู้ป่วยประสบภาวะเครียด และซึมเศร้าประมาณ 1.36 ล้านคน โดยเดือนกันยายนมีผู้เข้ารับการรักษาอยู่ที่ร้อยละ 90.6 เพิ่มขึ้นจากเดือนเดียวกันของปี 64 เกือบ 6% ตัวเลขเหล่านี้สะท้อนว่าคนไทยในปัจจุบันมีความเครียดเพิ่มขึ้น ซึ่งความเครียดเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้ประสบภาวะเครียดหาทางออกหลายคนจึงต้องพึ่งพายาเสพติดเพราะไปต่อไม่ได้  
.
น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ ในกลุ่มผู้ป่วยจิตเวชยังมีการใช้สารเสพติดสูงถึง 622,172 ราย ในปี 2564 ซึ่งผู้ป่วยกลุ่มนี้ต้องได้รับบำบัดรักษาต่อเนื่องตลอดระยะเวลา 1 ปี เพื่อป้องกันการกลับมาใช้สารเสพติดซ้ำ  แต่จากรายงานผลการดำเนินงานของสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ปปส.) ในปี 2565 พบว่ากลุ่มผู้ป่วยยาเสพติดเพียงครึ่งเท่านั้นที่ได้รับการดูแล คือร้อยละ 57.74 ยิ่งในผู้ป่วยยาเสพติดที่มีความเสี่ยงก่อความรุนแรงกว่า 53,484 ราย กลับไม่ได้รับการดูแลกว่า 25,234 ราย หรือร้อยละ 47.18  จึงไม่น่าแปลกใจที่เราจะเห็นข่าวรายวันของคนที่คลั่งยาเสพติด ออกมาฆ่าพ่อ แม่ ทำร้ายประชาชน 

ราชสีห์ของหนูคือปชช. ‘อนุทิน’ ลั่น!! จะช่วยเหลือ - รับใช้ ปชช. พร้อมหนุนทุกคนที่ทำเพื่อประเทศชาติ

เมื่อวานนี้ (23 ธ.ค. 65) นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข ให้สัมภาษณ์ขณะปฏิบัติภารกิจที่ จ.นครพนม หลังจากพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหม ประกาศความชัดเจนทางการเมืองเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในนามพรรครวมไทยสร้างชาติ ว่า ต้องแสดงความยินดีกับท่านด้วย เพราะว่าท่านก็แสดงความชัดเจนทางการเมืองให้กับพี่น้องประชาชนได้เห็น พี่น้องประชาชนก็จะมีตัวเลือกผู้นำของประเทศ เป็นอีกหนึ่งตัวเลือกอย่างเป็นทางการ ในความที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาล เราก็เป็นกำลังใจให้ท่าน ในเรื่องการแข่งขันทางการเมือง การลงเลือกตั้ง ก็หวังว่าท่านจะเป็นกำลังให้กับพวกตนบ้าง

เมื่อนักข่าวถามว่า ตอนนี้เป็นคู่แข่งทางการเมืองกันแล้วใช่หรือไม่ นายอนุทินตอบว่า อย่าไปถือว่าเป็นคู่แข่งนะ เราต้องถือว่าเป็นอีกหนึ่งทางเลือกให้พี่น้องประชาชน เวลาจะคิดอะไร ต้องคิดว่าประโยชน์นั้นเกิดแก่ประชาชน เกิดกับบ้านเมือง เราไม่มามองว่าเราเป็นคู่แข่งกัน เราต่างแข่งกันทำความดี เสนอนโยบายที่มันดี ๆ เสนอสิ่งที่เป็นประโยชน์ให้กับบ้านเมือง ให้กับประชาชน มันไม่มีผู้แพ้ มีแต่ผู้ที่จะส่งการบ้านให้กับประชาชนแล้วเกิดประโยชน์มากที่สุด คิดแค่นี้พอ

‘จุรินทร์’ ควง ‘สุทัศน์-นิพนธ์’ ออนทัวร์สกลนคร เปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร มั่นใจปักธงสกลนคร ชู ‘ประกันรายได้-ดันอีสานเชื่อมไทยเชื่อมโลก ผ่านการค้า-ส่งออก’

วันนี้ 24 ธันวาคม 2565 ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ พร้อมด้วยนายนิพนธ์ บุญญามณี รองหัวหน้าพรรค นายสุทัศน์ เงินหมื่น ส.ส. แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ร่วมกันนำ ‘จุรินทร์ ออนทัวร์’ เดินทางไปจังหวัดสกลนคร เพื่อเปิดตัวผู้สมัคร ส.ส. จังหวัดสกลนคร ที่หอประชุม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลอีสาน วิทยาเขตสกลนคร อำเภอพังโคน จังหวัดสกลนคร โดยมีพี่น้องชาวสกลนครมารอต้อนรับเป็นแถวยาวเพื่อผูกผ้าขาวม้าและมอบพวงมาลัยดอกไม้เป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีการขอถ่ายรูปกับนายจุรินทร์อย่างใกล้ชิด ทำให้บรรยากาศเป็นไปอย่างคึกคัก

นายจุรินทร์ ได้กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า จังหวัดสกลนครเคยมีผู้แทนราษฎร พรรคประชาธิปัตย์ มาแล้วถึง 7 สมัย ดังนั้นประชาธิปัตย์กับคนสกลนครจึงมีความผูกพันกันมายาวนาน นับตั้งแต่ ‘ประชา ตงศิริ’ ส.ส.ที่ทุ่มเททำงานหนักเข้าร่วมอุดมการณ์กับพรรคประชาธิปัตย์ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต สืบต่อด้วย ‘อนงค์ ตงศิริ’ ส.ส.หญิงคนแรกของสกลนคร และเป็น ‘หญิงเหล็ก’ ในวงการเมือง 

นอกจากนี้ยังมี ‘ทวีวัฒน์ ฤทธิฤาชัย’ ‘องุ่น สุทธิวงศ์’ ไปจนถึง ‘อภิชาติ ตีรสวัสดิชัย’ เป็นช่วงเวลาที่ ส.ส.ของพรรคประชาธิปัตย์ทุกคน ทำหน้าที่เป็นปากเป็นเสียงให้กับพี่น้องชาวสกลนครอย่างเสมอต้นเสมอปลาย และทุกคนมีบทบาทโดดเด่นในสภาอย่างน่าชื่นชมที่ล้วนเกิดจากมือของคนสกลนครที่เคยให้โอกาสประชาธิปัตย์มาในช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา 

สำหรับการเลือกตั้งเที่ยวหน้า พี่น้องชาวสกลนครคงจะให้โอกาสกับประชาธิปัตย์อีกคำรบหนึ่ง หากจะถามว่าประชาธิปัตย์เอาอะไรมาขายกับคนสกลนครในการเลือกตั้งที่กำลังจะมาถึง คำตอบสั้น ๆ ก็คือ ประชาธิปัตย์ขายความเป็นประชาธิปัตย์ ขายนโยบาย ขายผลงานให้พี่น้องชาวสกลนครอยู่ดีกินดีต่อไปในอนาคต ที่สำคัญก็คือขายผู้สมัครที่ประชาธิปัตย์คัดสรรบุคคลที่มีศักยภาพและมีความรู้ความสามารถที่จะไปทำหน้าที่เป็นปากเสียงแทนคนสกลนครได้ต่อไป 

“ที่บอกว่าขายความเป็นพรรคประชาธิปัตย์ นอกจากความผูกพันที่ต่อเนื่องมายาวนานแล้ว ในเรื่องนโยบายและผลงานพี่น้องคงเห็นอยู่ชัดเจนว่า ประชาธิปัตย์เป็นพรรคการเมืองหนึ่งที่เข้าร่วมรัฐบาล แม้เราจะมีแค่ 52 เสียงใน 500 เสียง แต่ 3 ปีกว่าๆ จนเข้าปีที่ 4 ประชาธิปัตย์สร้างผลงานให้กับพี่น้องคนไทยทั้งประเทศมากเกินจำนวนเสียงที่ได้รับมา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นโยบายประกันรายได้เกษตรกร จึงเป็นผลงานชิ้นสำคัญที่ประชาธิปัตย์ทำมากับมือ ไม่เฉพาะกับคนภาคเหนือ คนภาคกลาง คนภาคใต้ แต่ให้กับคนอีสานเป็นการเฉพาะด้วย” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์กล่าว 

พร้อมกับเพิ่มเติมอีกว่า นอกจากนั้นเรายังขับเคลื่อนการส่งออกเพื่อให้สินค้าเกษตรของพี่น้องคนภาคอีสาน คนสกลนครสามารถส่งไปขายต่างประเทศ นำเงินเข้าประเทศมาสร้างความร่ำรวยให้กับประเทศด้วย และต่อไปในอนาคต อีสานจะต้องไม่อยู่แค่ภาคการเกษตร แต่เราจะต้องทำให้อีสานลืมตาอ้าปากได้ ด้วยการทำอีสานเชื่อมประเทศ เพื่อสร้างเศรษฐกิจและทำอีสานเชื่อมโลกต่อไปในอนาคตด้วย นโยบายอีสานเชื่อมไทยอีสานเชื่อมโลก จึงเป็นการใช้การเกษตรเป็นฐาน และใช้การส่งออกเป็นการสร้างเงินให้ประเทศ รวมทั้งใช้การท่องเที่ยวสร้างเงินให้กับชาวอีสาน และต่อไปสกลนครต้องขายการท่องเที่ยวพร้อมกับซอฟท์พาวเวอร์  ที่เป็นการนำศิลปะวัฒนธรรมวิถีชีวิตของคนอีสาน และมีความเป็นอัตลักษณ์ของตัวเองมาขายเพื่อดึงนักท่องเที่ยวมาเที่ยวอีสาน และสกลนครต่อไป 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top