Wednesday, 25 June 2025
POLITICS NEWS

เหตุผลสำคัญในการเลือกพรรคการเมือง พรรคเพื่อใคร ไม่สำคัญเท่าทำงานแค่ไหน?

(12 พ.ค. 66) อ.พลกฤษณ์ จิตร์โต แห่งคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Ponlakit Jitto’ ระบุว่า…

การเลือกพรรคการเมือง ขึ้นกับจริตแต่ละคน แต่เชื่อว่าทุกคนเป้าหมายไม่ต่างกันมาก คือ หวังประเทศชาติเจริญ เพื่อความเป็นอยู่ตัวเราเองดีขึ้น

ผมเองใครๆ ดูคงรู้ ว่าเลือกใคร แต่ผมก็มีเหตุผลของผมนะ

เหตุผลของผมก็ง่ายๆ อยากเห็นประเทศไทยเจริญ โดยเฉพาะอีสานบ้านเรา อยากเห็นอีสานเราเจริญ อยากให้เด็ก ลูกศิษย์เรามีงานทำ ในภาคอีสานไม่ต้องจากบ้านไปไกลเหมือนสมัยก่อน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจอีสานดีขึ้น

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมไม่เชื่อว่าพรรคไหนเพื่อใคร มันไม่เคยมีจริง พรรคนี้ของคนอีสาน คนเหนือ พรรคนั้นของคนใต้ พรรคนี้สำหรับคนรุ่นใหม่ (ปล.30 ปีที่แล้วก็มีพรรคลักษณะนี้นะ) มันเพียงวาทะกรรมเพื่อสร้างกลุ่มและความจงรัก ให้กับหัวหน้าพรรคโดยไม่จำเป็นต้องดูผลงาน

สำหรับผมเอง ผลงานสำคัญ กว่าการยึดถือในตัวพรรค พรรคไหน ‘ชนะ-แพ้’ ผมเฉยๆ 

ประเทศเจริญ-ถดถอย ผมสนใจในส่วนนั้น

ใน 8 ปีนี้ ผมเห็นอะไร กับการทำงานรัฐบาล ส่วนการเลือกตั้งหนนี้ หากจะวิเคราะห์นโยบาย ผมขอไม่พูดถึงแล้วกัน เพราะปกติ ชอบมองสิ่งเขาพัฒนา และนำมาคิดตามว่า ทำไปทำไม สิ่งเกิดขึ้น จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ดังนี้...

1 ด้านคมนาคม และ โครงสร้างพื้นฐาน >> ยอมรับว่า 50 ปีที่เกิดมา และ 30 ปีที่เริ่มสนใจการเมือง รัฐบาลนี้ สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ก้าวกระโดดมากๆ และสร้างไปทั้งประเทศ และสร้างเร็วกว่าที่เคยเป็นมา
1.1 รถไฟรางคู่ แทบทั่วประเทศ ที่ไม่เคยมีคนสนใจตั้งแต่สมัย ห้าสิบปี เหมือนเดิมมากๆๆๆ 
1.2 รถไฟความเร็วสูง แม้กู้เงินมาทำ แต่ทำให้ภาคอีสาน มากสุดเลยว่าไหม ยังมีภาคตะวันออกเชื่อมสนามบิน
1.3 รถไฟสายใหม่เชื่อมต่อให้คนอีสาน สายบ้านไผ่ นครพนม และ ภาคเหนือ เด่นชัย เชียงราย เชียงของ
1.4 การขยายถนนข้ามจังหวัด แบบเลนสวน เป็น สี่ หก เลน และ ขยายถนน เยอะมาก
1.5 กทม. มีประชากรหนาแน่น รถไฟฟ้า เพิ่มขึ้นจนเต็มพื้นที่ ทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอนาคต ถ้าทำเสร็จเห็นว่าเป็นอันดับ 3 ของเอเชียทีเดียว
1.6 การเปลี่ยนรถเมล์ ประมูลใหม่ได้ ไทยสมายล์บัสมาเป็นรถไฟฟ้า และ ข้อดี เป็นรถที่ผลิตในไทย ตรงนี้แจ่มมาก
1.7 เปลี่ยนหัวลากดีเซลเดิม เป็นหัวลากใหม่สีแดง ลากดีขึ้นและลดมลพิษ สั่งมา 50 หัวลาก
1.8 ชอบเลย คือ พัฒนา ให้ไทยผลิตได้เอง ไม่ว่าจะเป็นหัวรถลาก EV ที่ตั้งไลน์ผลิต ตู้โดยสาร จนตู้โดยสารไฮเทค ที่ สจล. รัฐ สนับสนุน รถเมล์ไฟฟ้า เรือ ไฟฟ้า

พูดถึงทำไม? 
ถ้าผลิตรถไฟฟ้าได้มาก ก็มีคนมาลงทุนมากขึ้น ย้อนกลับไปก่อนหน้า รัฐบาลส่งเสริมให้ตั้งโรงงานแบตเตอรี ในไทย และ เซมิคอนดักเตอร์ในไทย ทำให้ การมีแบตเตอรีที่ผลิตได้ในไทยเป็นกลไก ในการขับเคลื่อน 

จุดสำคัญที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เกิดความน่าลงทุนในทุกภาค โดยเฉพาะภาคอีสาน

'อัษฎางค์' ลั่น!! ได้เวลาทุบหม้อข้าว รอกินเมื่อคว้าชัย ชี้!! ถ้าแพ้คราวนี้ ก็ยกประเทศชาติให้เขาไปเลย

(12 พ.ค.66) นายอัษฎางค์ ยมนาค นักวิชาการอิสระ โพสต์เฟซบุ๊กว่า...

ปลุกทุบหม้อข้าวแล้ว! ถ้าแพ้คราวนี้ยกประเทศให้เขาไปเลย

มีผู้ใหญ่ตั้งคำถามว่า สมมติว่า พท.และ กก.ชนะเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาล บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร เราจะทำยังไงและควรมีแผนสำรองอย่างไร

คำตอบสั้นๆ ของผมคือ

ถ้าแพ้คราวนี้ โดยฝ่ายเขาได้จัดตั้งรัฐบาล การทำรัฐประหารและการเป็นฝ่ายปกครองมาถึง 8 ปี ก็สูญเปล่า ควรยกประเทศนี้ให้เขาไปครับ

เพราะเป้าหมายสูงสุดของ คสช.และรัฐบาลลุงคือ การคืนความสุขให้คนไทย ซึ่งหมายถึง การปราบปรามขบวนการจาบจ้วงและล้มล้างการปกครอง ซึ่งในเวลานี้งานยังไม่จบ

สำหรับผม 'ไม่ควรมีแผน B'

ต้องมี 'แผน A' แผนเดียวเท่านั้น

กล่าวคือ ต้องชนะเท่านั้น

ก่อนออกรบ ทุบหม้อข้าวทิ้งให้หมดครับ ไปกินข้าวในตอนโค่นคู่ต่อสู้ได้ ถ้าแพ้ ก็ตายในสนามรบไปเลยครับ โลกจะจารึกคุณไว้ตลอดกาล
.
ถ้าไม่ตายในสนามรบ รอดกลับมา ก็โดนศัตรูฆ่าอยู่ดี แถมโลกจะประนามคุณ
.
รบแล้วแพ้ ทั้งที่อาวุธครบมือ อำนาจก็อยู่ในมือ เสียชื่อจริงๆ ครับ และไม่สมควรได้รับการให้อภัย

ขออนุญาตเรียนแบบนี้ตรงๆ ด้วยความเคารพรักครับ

อย่างไรก็ตาม สำหรับผม

ผมมั่นใจ 100% ว่า ลุงตู่จะได้ตั้งรัฐบาลและเป็นนายกรัฐมนตรีอีกสมัย

ผมแสดงความคิดเห็นแบบนี้ ไม่ได้ต้องการดูหมิ่น แต่ต้องการเติมไฟในจิตใจของทีมลุงตู่และพันธมิตรทุกพรรคให้โชติช่วง

ถ้าเผื่อใจว่าจะแพ้ เราจะแพ้

ตอนพระเจ้าตากตีเมืองจันทร์ พระองค์ท่านมีกำลังและองคาพยพน้อยกว่ามาก แต่พระองค์ท่านสั่งให้ไพร่พลกินให้อิ่มแล้วทุบหม้อข้าวทิ้งให้หมด เพื่อเข้าไปพักผ่อน กินข้าว ฉลองชัยชนะเมื่อรบชนะ

เวลาออกรบ ต้องมีแผนเดียว คือแผนชนะ เท่านั้น

ถ้าเกิดแพ้ขึ้นมา ก็ตายมันในสนามรบไปเลย อย่ามีหน้ากลับมาให้ศัตรูหยามเหยียดและผู้คนสาบแช่ง

ขออนุญาตโพสต์แรงๆ แบบนี้ เพื่อเติมพลังให้สู้อย่างเต็มกำลังครับ

'กกต.-ตร.ราชบุรี' บุกตรวจสอบบ้านต้องสงสัยจ่ายเงินซื้อเสียง พีก!! เจอ 'ปารีณา ไกรคุปต์' นั่งอยู่ในบ้าน เจ้าตัวบอกมาทำบุญ

เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 ดร.สุชัญญา วิมุกตายน ผู้อำนวยการการเลือกตั้ง จ.ราชบุรี พร้อมด้วย พ.ต.อ.ชัชชน นราวุฒิพร ผกก.สภ.โพธาราม จ.ราชบุรี และเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้เข้าตรวจสอบที่บริเวณบ้านเลขที่ 35 หมู่ 4 ต.หนองโพ อ.โพธาราม หลังได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า ที่บ้านหลังนี้อาจจะมีการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่ จึงได้เดินทางไปตรวจสอบ พบว่าที่บ้านหลังดังกล่าวกำลังมีการเตรียมจัดงานทำบุญกระดูกให้บรรพบุรุษในวันนี้ (12 พ.ค. 66) และในบ้านหลังนี้ก็มี น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีตส.ส.ราชบุรี นั่งอยู่ในบ้านด้วย

โดย ส.ส.ปารีณา ได้ให้สื่อเข้าไปตรวจสอบในบ้านแต่ห้ามเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ กกต.เข้าไปในบ้าน พร้อมทั้งบอกว่ามาร่วมงานบุญ แต่ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจติดตามมาคุกคามจนทำให้เกิดความกลัวและขอความเป็นธรรม และในบริเวณบ้านหลังที่เกิดเหตุก็มีการจัดเตรียมนำรูปบรรพบุรุษที่เสียชีวิตแล้วมาเช็ดทำความสะอาดและมีคนมาช่วยงานเพียงไม่กี่คน

นอกจากนี้บริเวณด้านนอกบ้านตั้งแต่ปากซอยเข้ามาเจ้าหน้าที่ตำรวจและเจ้าหน้าที่ กกต. ได้ขอตรวจสอบรถจักรยานยนต์ที่ขี่เข้ามาในซอยพร้อมทั้งสอบถามว่ามาจากไหน ซึ่งคนที่ขี่รถจักรยานยนต์ส่วนใหญ่ก็บอกว่ามาจากต่างตำบล และต่างหมู่บ้าน จะมาร่วมงานทำบุญที่บ้านหลังนี้ แต่ไม่รู้จักเจ้าของบ้าน แต่บางคนก็บอกว่ามีคนบอกให้มาพร้อมกับนำบัตรประชาชนมาด้วย เจ้าหน้าที่จึงได้ขอเบอร์โทรศัพท์และทำการบันทึกภาพวีดีโอไว้เป็นหลักฐาน ซึ่งตลอดเวลาที่เจ้าหน้าที่ไปดักรอตรวจสอบก็ยังพบว่ามีรถจักรยานยนต์เข้าออกบ้านหลังนี้ตลอดเวลา

ด้าน ดร.สุชัญญา กล่าวว่า หลังได้รับแจ้งเรื่องของการทำผิดกฎหมายเลือกตั้งก็มาทำการตรวจสอบ เนื่องจากในพื้นที่เขต 3 นี้ มีการแข่งขันกันค่อนสูง มีการรายงานข่าวเรื่องของการซื้อสิทธิ์ขายเสียง จึงได้มาลงพื้นที่ตรวจสอบก็พบว่ามีรถเข้าออกในซอยนี้ค่อนข้างมากเป็นที่น่าผิดสังเกตว่าอาจจะมีการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ซึ่งเป็นคนจากหมู่บ้านอื่นที่เข้ามาจึงได้เก็บพยานหลักฐานไว้หมดแล้ว โดยอ้างว่าเข้ามาร่วมงานบุญที่บ้านหลังนี้ แต่บางคนกลับไม่รู้จักเจ้าของบ้าน เพราะมีคนบอกให้มาตรงนี้ ซึ่งการที่เรามาดูก็เพื่อเป็นการป้องปรามไว้ก่อนเพื่อให้มีการกระทำความผิดให้น้อยที่สุด ซึ่งวันนี้อาจจะเหนื่อยหน่อยเพราะซอยไม่สามารถนำรถเข้ามาได้ก็ต้องเดินเข้ามา ทั้งนี้ก็เพื่อให้การเลือกตั้งในครั้งเป็นไปอย่างบริสุทธิ์และยุติธรรมให้ได้มากที่สุด

"เท่าที่เข้ามาตรวจสอบก็พบว่ามีพฤติกรรมแปลกๆทั้งที่มีบัตรประชาชนของคนอื่นอยู่ด้วย และเมื่อสอบถามแล้วก็ได้บันทึกทุกอย่างไว้หมดแล้ว และในพื้นที่ก็มี น.ส.ปารีณา อดีต ส.ส. นั่งอยู่ในนั้นด้วยตามที่ได้สอบถามชาวบ้านที่เข้าไปในบ้านมาแล้ว และในขั้นตอนต่อไปทางตำรวจก็จะได้รวบรวมพยานหลักฐานและอาจจะต้องมีการตั้งเรื่องสอบสวน แต่ขณะนี้ขอเก็บหลักฐานก่อน"ดร.สุชัญญา กล่าว

สำหรับพื้นที่เขตเลือกตั้งที่ 3 ของจ.ราชบุรี นั้นมีการแข่งขันกันค่อนข้างสูง ระหว่างนายสีหเดช  ไกรคุปต์ พี่ชายของน.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ อดีต ส.ส. ส่งพี่ชายลงสมัครพรรคภูมิใจไทย ได้เบอร์ 1 กับนายจตุพร กมลพันธุ์ทิพย์ ลงสมัครพรรคพลังประชารัฐ  ได้เบอร์ 4  ซึ่งนายจตุพร นั้นเป็นหลานของนายชัยทิพย์ กมลพันธุ์ทิพย์  อดีต ส.ส. พรรคประชาธิปัตย์ เขต 3 ที่ลงสมัครแทนน.ส.ปารีณา และเป็นคู่ปรับเก่าของ ส.ส.ปารีณา  ส่วนการเลือกตั้งครั้งนี้นายชัยทิพย์  ได้ย้ายไปอยู่พรรคพลังประชารัฐ  และไปลงสมัครในเขต 4 จ.ราชบุรี แข่งกับนายบุญลือ  ประเสริฐโสภา จากพรรคภูมิใจไทย  และให้นายจตุพร ผู้เป็นหลานชายลงแข่งกับพี่ชายปารีณาแทน ทำให้การเลือกตั้งครั้งนี้มีการเดิมพันสูงแพ้กันไม่ได้  หมดเท่าไหร่ก็จะต้องสู้ให้ถึงที่สุด

'ชูวิทย์' ลั่น!! การเมืองปทุมธานีเเตกเเยก ผู้มีอิทธิพลครองเมือง ชาวบ้านหวาดกลัว

(12 พ.ค. 66) จากกรณีที่นายอนุทิน ชาญวีรกูล หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย ลงพื้นที่ช่วยนางสาวณัฐธิดา เกียรติพัฒนาชัยผู้สมัครเขต 4 ปทุมธานีหาเสียง เมื่อวันที่ 11 พ.ค. 66 แล้วมีกรณีภาพปรากฏร่วมกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง นายกอบจ.ปทุมธานี จนทำให้หลายคนจับตาไปที่กระแสข่าวลือการย้ายพรรคของ 'บิ๊กแจ๊ส' แต่หลังจากนั้นไม่นานบิ๊กแจ๊สได้ออกมาตอบชัดว่าไม่ทิ้งพี่ทักษิณไปไหนแน่นอนนั้น

เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์ ได้ให้สัมภาษณ์กับ THE STATES TIME ว่า ตนรู้เรื่องปทุมธานีดี มีนักการเมืองพยายามทุ่มเงินซื้อเสียงที่ปทุมธานี เพราะต้องการวางรากฐานที่จะเข้ามายึดพื้นที่ในกรุงเทพฯ เนื่องจากการที่จะเข้ามายึดพื้นที่ในกรุงเทพฯ ได้นั้น จะต้องไปตรึงพื้นที่เขตปริมณฑลก่อน ซึ่งได้แก่ ปทุมธานี, นนทบุรี, สมุทรปราการ

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าแผนการของพรรคการเมืองบางพรรค ซึ่งเขาไม่เคยมีฐานเสียงมาก่อน ไม่เคยมาปักหลักที่กรุงเทพฯ และปทุมธานี จึงต้องพยายามทุกวิถีทางที่จะเข้ามาปักหลักให้ได้ แต่วิธีการที่จะเข้ามา เขามาด้วยวิธีการซื้อเสียง ไม่ได้มาด้วยการเข้ามาดูแลพื้นที่ โดยการซื้อเสียงของคนพวกนี้ได้ทำการซื้อผ่านนักการเมืองท้องถิ่นให้เป็นหัวคะแนน

นายชูวิทย์ กล่าวย้ำอีกด้วยว่า นี่เป็นเรื่องจริงที่ได้มีพรรคการเมืองเข้าไปซื้อนักการเมืองท้องถิ่นจริง ซึ่งตนอยากจะฝากเตือนว่า ท่านจะอยู่ในตำแหน่งได้ไม่นาน ถ้าท่านไปเอาพรรคบางพรรค ซึ่งไม่ได้วางรากฐานแบบจริงๆ ใช้วิธีการซื้อหรือกว้านซื้อ ท้ายที่สุดแล้วถ้าเป็นแบบนี้ประชาชนในพื้นที่จะไม่เลือกท่าน

เนื่องจากพอมีพรรคการเมืองพรรคหนึ่งเข้าไปเปิดดีลลับกับนักการเมืองท้องถิ่น ก็จะเห็นได้ว่าการเมืองในจังหวัดปทุมธานีนั้นกลับมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้นจนเห็นได้ชัด ระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทย ตนไม่อยากจะเปิดข้อมูลการซื้อเสียงของจังหวัดปทุมธานีให้สื่อมวลชนดูว่ามันมีการซื้อเสียงที่เยอะมากขนาดไหน

การที่มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่ตอนนี้ ตนอยากจะบอกว่าปทุมธานีเป็นจังหวัดที่มีอิทธิพลเยอะมาก โดยเฉพาะอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นชาวบ้านในพื้นที่กลัวมาก ถึงขนาดเวลาที่ชาวบ้านจะส่งข้อมูลมาให้ตนยังย้ำแล้วย้ำอีกให้ตนปิดข้อมูล ปิดชื่อ ปิดที่อยู่ให้ด้วย เพราะชาวบ้านที่ปทุมธานีกลัวมาก เนื่องจากชาวบ้านเขาสู้นักการเมืองท้องถิ่นไม่ได้ ไม่เชื่อลองไปสืบประวัตินักการเมืองท้องถิ่นดูแต่ละคนดูประวัติไม่ธรรมดาทั้งนั้น ตนบอกได้เลยว่าการที่จะให้ชาวบ้านแจ้งข้อมูลเบาะแส กตต.จะต้องคุ้มครองชาวบ้าน ชาวบ้านถึงจะกล้าให้ข้อมูล แต่ถ้าไม่คุ้มครองพวกเขาไม่มีชาวบ้านคนไหนกล้าให้ข้อมูลแน่นอน เพราะทุกคนกลัวโดนอุ้ม

นายชูวิทย์ กล่าวต่อว่า ตอนนี้จังหวัดปทุมธานีมีการแข่งขันกันอย่างรุนแรง มีการแบ่งฝักแบ่งฝ่ายกัน ระหว่าง ส.ส. กลุ่มเดิม กับนักการเมืองท้องถิ่นอีกกลุ่มหนึ่ง ซึ่งโดยธรรมชาติเวลาเลือกตั้งก็จะมีการแข่งขันกันอยู่แล้ว แต่ก็ไม่รุนแรงเท่ากับครั้งนี้ มันเหมือนการย้อนยุคไปในอดีต 20 - 30 ปีก่อน ตนฟันธงได้เลยว่าการเมืองในครั้งนี้ทำให้การเมืองท้องถิ่นในปทุมธานีแตกแยก

ก่อนที่นายชูวิทย์จะทิ้งท้ายถึงพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ว่า ตนเข้าใจบิ๊กแจ๊สที่ทำตัวเป็นพ่อพระ เลือกทุกพรรครักทุกคน เนื่องจากอยู่ในสภาวะกล้ำกลืนฝืนทนซ้ายก็พวกขวาก็พวก ตนขอเตือนบิ๊กแจ๊สอย่าได้สนับสนุนใคร เพราะจะทำให้ปทุมธานีแตกเป็นเสี่ยง ๆ 

‘กกต.’ ไม่เร่งวินิจฉัยคุณสมบัติ ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ แจง!! ไม่ทันก่อนเลือกตั้ง ต้องให้ความเป็นธรรม

กกต.ไม่เร่งวินิจฉัยคุณสมบัติ ‘พิธา’ ถือหุ้นสื่อ ส่อไม่ทันก่อนเลือกตั้ง อ้างเหลือเวลาน้อย ต้องให้ความเป็นธรรม เผยมีผู้สมัครบัญชีรายชื่อหลายคนถูกฟ้องล้มละลาย เร่งหาข้อเท็จจริงเพิ่มก่อนชงศาลพิจารณา

(11 พ.ค.66) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นายแสวง บุญมี เลขาธิการ กกต.กล่าวถึงกรณีมีการร้องเรียน นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นแคนดิเดตนายกของพรรคก้าวไกล ถือหุ้นสื่อ บมจ.ไอทีวี (ITV) ว่า ตนยังไม่เห็นคำร้อง ซึ่งเรื่องนี้เป็นการร้องเกี่ยวกับคุณสมบัติ มีขั้นตอนตามกฎหมาย มีอยู่ 3 ช่วง คือ ช่วงก่อนวันเลือกตั้ง / ช่วงหลังวันเลือกตั้ง และช่วงประกาศผลการเลือกตั้ง 

โดยก่อนการเลือกตั้ง ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.มาตรา 61 ถ้า กกต.ตรวจสอบแล้วเห็นว่าไม่มีคุณสมบัติให้ยื่นต่อศาลฎีกาพิจารณา ซึ่งขณะนี้เหลือเวลาเพียง 2 วัน แต่หากดำเนินการไม่ทัน ภายหลังวันเลือกตั้งถ้าเห็นว่าผู้นั้นมีลักษณะต้องห้ามในการลงรับสมัครรับเลือกตั้ง กกต.ก็จะมีมติให้ดำเนินคดีอาญามาตรา 151 ฐานรู้อยู่แล้วว่าไม่มีคุณสมบัติในการสมัคร แต่ก็ยังลงสมัคร ซึ่งการดำเนินการดังกล่าว จะไม่เป็นเหตุให้นำไปสู่การไม่ประกาศผลการเลือกตั้ง 

ดังนั้น ก็ต้องประกาศผลให้เป็น ส.ส.ไปก่อน จากนั้นจะเป็นการดำเนินการภายหลังการประกาศผล ซึ่งรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 ได้กำหนดช่องทางในการดำเนินการไว้ โดยให้ ส.ส.หรือ สว.เข้าชื่อยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญ หรือ กกต.เป็นผู้ยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญได้

เมื่อถามว่า ทำไม กกต.ไม่ยื่นเรื่องให้ศาลฎีกาพิจารณาดำเนินการก่อการเลือกตั้ง เพราะถ้ายื่นหลังการเลือกตั้งจะมีผลกระทบมากกว่านั้น นายแสวง กล่าวว่า ทุกอย่างมีกระบวนการที่ต้องให้ความเป็นธรรมกับผู้ถูกกล่าวหา เมื่อมีเรื่องร้องเรียน ดังนั้น สำนักงานก็จะมีการรวบรวมพยานหลักฐาน โดยต้องให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงข้อกล่าวหาก่อนจะนำเสนอให้ กกต.พิจารณา ซึ่งต้องใช้เวลา 

อย่างเช่นวันนี้ หน่วยงานที่ กกต.ได้ขอความร่วมมือในการตรวจสอบคุณสมบัติผู้สมัครรับเลือกตั้ง แต่ล่าสุดเพิ่งจะส่งข้อมูลมาให้ และพบว่ามีผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อคนหนึ่ง ถูกศาลสั่งให้เป็นบุคคลล้มละลาย แต่ กกต.เห็นว่าจำเป็นต้องให้ความเป็นธรรม และได้ข้อเท็จจริงเป็นที่ยุติก่อน จึงให้สำนักงานไปตรวจสอบข้อเท็จจริงว่าคำสั่งล้มละลายยังมีผลอยู่หรือไม่ และผู้ถูกกล่าวหาได้มีการดำเนินการในเรื่องของการต่อสู้อย่างไรหรือไม่ จากนั้น กกต.จึงค่อยมาพิจารณาเรื่องการส่งเรื่องยื่นต่อศาล 

ฉะนั้น จึงต้องแยกเรื่องกระบวนการให้ความเป็นธรรม กับผลกระทบออกจากกันด้วย

‘อดีตผู้ว่าแบงก์ชาติ’ ชี้ เศรษฐกิจไทยแก้ยาก-ซับซ้อน ต้องใช้เวลา เชื่อ!! ไม่มีรัฐบาลไหนสามารถแก้ไขปัญหาได้ด้วยตัวคนเดียว

(11 พ.ค. 66) นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ประธานกรรมการตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย กล่าวระหว่างการเป็นประธานเปิดงาน ‘MONEY EXPO 2023’ ว่า โลกยุคเรากําลังเผชิญปัญหาและการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและสิ่งแวดล้อมขั้นวิกฤต และเป็นวิกฤตซ้อนวิกฤต ทั้งปัญหาโลกร้อน ความเหลื่อมล้ำ คอร์รัปชัน การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างและคุณภาพ ประชากร โรคอุบัติใหม่ หรือความก้าวหน้าอย่างรวดเร็วทางเทคโนโลยี

ดังนั้น โจทย์การพัฒนาเศรษฐกิจวันนี้ ยาก ซับซ้อน กว้างขวาง และใช้เวลา ซึ่งจะไม่มีรัฐบาลไหน หรือบุคคลใดที่วิเศษวิโสยังไงจะเข้ามาแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจได้ทันที การบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจต้องเป็นเรื่องของทุกคน โดยเฉพาะประเด็นเศรษฐกิจใหม่ ที่ต้องเป็นเศรษฐกิจสีเขียว ดำเนินธุรกิจด้วยพลังงานสะอาด ควบคู่กับ กรีนไฟแนนซ์ให้เป็นทางรอดของเศรษฐกิจไทยในอนาคต

“การป้องกันบรรเทาความรุนแรงของปัญหา และพลิกวิกฤตให้เกิดการพัฒนาอย่างยั่งยืนได้ จึงต้องเป็นเรื่องของทุกคน และการเปลี่ยนแปลงต้องเริ่มที่ตัวเรา” นายประสาร กล่าว

ด้านนายวิทัย รัตนากร ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน บอกว่า นโยบายของพรรคการเมืองที่กำลังจะเข้ามาเป็นรัฐบาลใหม่ ไม่ว่าจะเป็นมาตรการพักหนี้ หรือช่วยเหลือเอสเอ็มอี ยืนยันว่า ทางธนาคารออมสินพร้อมที่จะจัดทำมาตรการรองรับได้ ในฐานะธนาคารเพื่อสังคม

ขณะที่นายฉัตรชัย ศิริไล ผู้จัดการ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร หรือ ธ.ก.ส. เปิดเผยว่า นโยบายพักหนี้เกษตรกรของพรรคการเมืองต่าง ๆ ที่นำเสนอกันนั้น หากเป็นส่วนที่เกี่ยวข้อบกับทางธนาคาร ก็พร้อมดำเนินการตามนโยบายได้ทันที เพียงแต่เรายังไม่เห็นรายละเอียดของโครงการ จึงต้องขอดูรายละเอียด การชดเชยค่าดำเนินการใดๆ ให้ชัดเจนก่อน เพราะเราเป็นธนาคารที่ต้องดูแลลูกค้าหลายภาคส่วน

‘หมอวรงค์’ ซัดก๊วนปล่อยหยก บุก สน.สำราญราษฎร์  การเมืองปั่นกระแส ที่ได้ ‘พรรค - NGO’ หนุนหลัง

(11 พ.ค. 66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในหัวข้อ #สู้กับก้าวไกลต้องไทยภักดีเบอร์ 21 ผ่านเฟซบุ๊ก ‘วรงค์ เดชกิจวิกรม-Warong Dechgitvigrom’ โดยมีเนื้อหาระบุว่า…

‘แบม-ตะวัน’ พร้อมเพื่อนรวม 9 คน ถูกรวบตัว หลังเดินทางไปทวงถามตำรวจ สน.สำราญราษฎร์ กรณีแจ้งข้อหาเยาวชนอายุ 15 ปี (น้องหยก) เพิ่มในข้อหาความผิดตาม พ.ร.บ.โบราณสถาน ก่อนเกิดเหตุชุลมุนสาดสีและทำลายทรัพย์สินของทางราชการเสียหาย ตำรวจเจ็บ 1 นาย

ผมคิดว่าพี่น้องคงได้เห็นแล้วว่า การกระทำของน้องกลุ่มนี้จงใจสร้างเหตุ และหลังจากนี้ ก็จะมี พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง NGO ที่เชื่อมโยงต่างชาติมากล่าวหาว่า ใช้กฏหมาย ‘รังแกเด็ก’

การเลือกตั้งรอบนี้ จึงอันตรายต่อความมั่นคง ความสงบสุขของประเทศมาก โดยเฉพาะต้องต่อสู้กับพรรคก้าวไกลในสภาผู้แทนราษฎร ในประเด็นที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งมาตรา 112

การต่อสู้กับพรรคก้าวไกล ต้องพรรคไทยภักดีเท่านั้น จึงจะสู้ได้ ไทยภักดีเบอร์ 21

อดีตเพื่อนธนาธร ชี้ กรณี ‘พิธา’ ไม่มีใครกลั่นแกล้ง แค่มรดกความอ่อนด้อยทางการเมืองจากรุ่นสู่รุ่น

‘พิชิต’ อดีตเพื่อน ‘ธนาธร’ โพสต์ จากธนาธรถึงพิธา!! มรดกความอ่อนด้อยทางการเมือง ตายน้ำตื้น อย่าฝืนว่ามีใครกลั่นแกล้ง

(10 พ.ค.66) นายพิชิต ไชยมงคล แกนนำกลุ่มประชาชนคนไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Pichit Chaimongkol’ ระบุว่า...

มรดก

ธนาธร ก็เจอ พิษหุ้นสื่อ จนยุบพรรค นำมาสู่มีคนลงถนนในช่วงแรก ๆ

พิธา ผู้รับมรดกพรรค ทั้งที่ไม่ค่อยได้ลงทุน หรือตั๋วช้าง ฟรี (คำนี้มาจาก ปิยบุตร เอง) ก็กำลังจะตายเพราะหุ้นสื่อ

มรดกตรงนี้ เป็นมรดกของความอ่อนด้อยทางการเมือง ไม่ใช่การกลั่นแกล้งจากใคร

ปากคุณจะสร้างวาทกรรมขนาดไหน
ใจคุณรู้ว่า ไร้เดียงสาการเมือง คืออะไร
ตายน้ำตื้น อย่าฝืนว่าถูกกลั่นแกล้ง
มันเป็นมรดก ความไร้ประสบการณ์
แค่นั้นเอง...

‘เจ๊จุก คลองสาม’ แชร์คำบอกเล่าผู้ร่วมชุมนุมกับกลุ่มทะลุแก๊ส ชี้!! ไม่เด่นไม่ดัง ปั่นกระแสไม่ได้ นักการเมืองไม่มีทางมาช่วย

(10 พ.ค. 66) ผู้ใช้งานเฟซบุ๊ก ‘KopGap Jirapas’ ได่โพสต์ข้อความระบุว่า วันนี้มาเยี่ยมเพื่อนเราที่เรือนจำครับ ทั้งหมด 5 คน ที มาย ต๊ะ ม๊ะ แน๊ก ทุกคนกำลังใจดีมาก มีแน๊กคนเดียวที่น้ำตาซึมจะร้องไห้ เพราะน้องบอกว่ารับสารภาพไปแล้ว รอตัดสินวันที่ 31 นี้ ที่แน๊กตัดสินใจยอมรับผิด ทั้งที่เขาไม่ได้เป็นคนทำ เพราะน้องบอกว่าโดนทิ้ง ทนายที่ทำคดีก็ไม่รู้ว่าคนไหน มีทนายเข้ามาเยี่ยม ฝากให้โทรหาแม่ ทนายก็บอกว่าไม่ใช่หน้าที่ของเขา และตัดสินใจยอมรับสารภาพเพื่อหวังจะ ได้ลดโทษ 

เพื่อไม่ให้น้องรู้สึกโดดเดี่ยว ผมได้สัญญากับน้องไว้ว่า 31 นี้ผมจะปฟังคำตัดสินเป็นเพื่อนน้องที่ศาลอาญารัชดา

ต่อมาเพจ ‘เจ๊จุก คลองสาม’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า ตัดสินใจยอมรับสารภาพ เพื่อได้ลดโทษ คดีครอบครองวัตถุระเบิด 

"น้องบอกว่าโดนทิ้ง ทนายที่ทำคดีก็ไม่รู้ว่าคนไหน ทนายที่เข้าเยี่ยมบอกให้โทรหาแม่ด้วยเพราะไม่ใช่
หน้าที่เขา"

ก็นั่นสินะคะ ไม่ดังเหมือนเด็กหยก ปั่นกระแสไม่ได้ว่าเป็นคดีการเมือง นกม.ก็คงไม่มาช่วยหรอกคะ มันเจ็บจี้ดด!!!

นอกจากนี้ยังได้แชร์รูปภาพโควทคำพูดของ แน๊ค ทัตพงศ์ ผู้ต้องขังระหว่างต่อสู้คดี ที่ระบุว่า “กับการเลือกตั้ง ผู้รู้สึกเฉยๆ ไม่ได้รู้สึกอะไร อยู่ข้างในนี้มันทำอะไรไม่ได้อยู่แล้ว ผมไม่ได้คาดหวังกับการเมืองขนาดนั้น ตอนนี้ผมคิดแค่เรื่องของผมแล้้ว ไม่ได้อยากฝากคำถามถึงใคร (นักการเมือง) ด้วย ถ้าเขาอยากช่วยเหลือ เขาคงช่วยแล้ว”

ทั้งนี้ แน๊ค ทัตพงศ์ ถูกจับกุมจากม็อบช่วงประชุม APEC ตามหมายจับของศาลอาญา จากการเข้าร่วมชุมนุมกับกลุ่มทะลุแก๊สที่ถนนราชปรารภ เมื่อวันที่ 21 พฤศจิกายน 2564 แจ้งข้อกล่าวหาเกี่ยวเนื่องกับการครอบครองวัตถุระเบิดและยุทธภัณฑ์ในช่วงการชุมนุมของทะลุแก๊ส

‘แดงปทุมฯ’ กลับใจ!! เข็ดแล้วเลือก ส.ส.ตามกระแส ช้ำใจได้คนไม่ตรงปก เปิดใจ!! ก้าวข้ามความขัดแย้ง

หลังจากเป็นข่าวใหญ่ไปช่วงขณะหนึ่งในเขตเลือกตั้งจังหวัดปทุมธานี โดยมีกระแสข่าวจากชาวบ้านในจังหวัดที่รับไม่ได้กับพฤติกรรมของ ‘นายมนัสนันท์ หลีนวรัตน์’ ผู้สมัคร ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่มีพฤติกรรมกร่าง และเคยมีเรื่องทำร้ายร่างกายชาวบ้านในพื้นที่ แต่เจ้าตัวก็ได้ออกมาโพสต์เฟซบุ๊กชี้แจงถึงประเด็นการทำร้ายร่างกาย ว่าได้รับโทษตามกระบวนการยุติธรรมแล้ว รวมถึงมีการขอโทษผู้เสียหาย ชดใช้ค่าเสียหายและคดีถึงที่สุดแล้ว พร้อมทั้งบอกว่าการขุดเรื่องนี้ขึ้นมา ก็เพราะเป็นช่วงใกล้เลือกตั้ง ทำให้การสาดสีทางการเมืองเริ่มเยอะมากขึ้นเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม เกี่ยวกับเรื่องนี้ กลุ่มคนเสื้อแดงยุคใหม่ ที่ขอปรับทัศนคติเป็นคนไทยที่ ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ อาทิ คุณขนิษฐา สุทัน / คุณนฤมล ศรีโพกลาง และ คุณนนท์ จึงศักดิ์สิทธิ์ ได้เป็นตัวแทนชาวปทุมธานี ส่งเสียงกับ THE STATES TIMES ว่า...ไม่ควรให้โอกาสกับคนที่มีพฤติกรรมทำร้ายประชาชน เพราะผู้แทนหรือ ส.ส.ที่ดี แค่รักประชาชนยังทำไม่ได้ จะให้มาดูแลประชาชนได้อย่างไร

โดยคุณขนิษฐา ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “กรณีอดีต ส.ส.พรรคหนึ่ง ที่มีข่าวเรื่องตีกันทะเลาะกับชาวบ้านก่อนหน้านี้นั้น ก็ต้องบอกว่าในอดีตเขาก็มีข่าวฉาวเกี่ยวกับพฤติกรรมเช่นนี้บ่อยอยู่แล้ว แม้เจ้าตัวจะบอกว่าไม่ใช่คนที่มีประพฤติเกเรเหมือนที่หลายคนที่ส่งต่อข้อความกัน และบอกว่าคนเราอาจผิดพลาดกันได้ แต่อย่าลืมว่าคุณเป็น ส.ส.คุณเป็นที่พึ่งของประชาชน แต่สิ่งที่คุณทำมันฝังใจคนในพื้นที่ แล้วครั้งนี้ยังกล้ามาลงสมัคร ส.ส.ในเขตนี้อีกครั้ง ประชาชนที่ไหนจะหวังพึ่งพาคุณได้จริง”

ขณะที่ คุณนฤมล กล่าวว่า “สิ่งที่เกิดขึ้น มันไม่ใช่นิสัย แต่มันเรียกว่าสันดาน เพราะคนที่อยากเป็น ส.ส.ส่วนใหญ่ที่ดิฉันเคยเห็นมาทั้งชีวิต เขาเข้ามาแล้วมีความมุ่งมั่นในการดูแลประชาชน จะดูแลได้มากน้อยแค่ไหน ก็ยังทำ แต่ที่แน่ๆ ไม่เคยมีใครคิดทำร้ายประชาชนในพื้นที่ของตนเองเลย ฉะนั้นเมื่อสันดานเป็นแบบนี้ จะพัฒนาเขตและดูแลประชาชนได้ยังไง ที่สำคัญเขาชอบทำเรื่องแบบนี้ซ้ำๆ ซากๆ แล้วประชาชนคนไหนจะฝากชีวิตไว้กับคุณได้ ยิ่งไปกว่านั้น การทำตัวดี มันต้องต่อหน้าและลับหลัง”

ด้านคุณนนท์ กล่าวว่า “ผมคงไม่ขอพูดอะไรมาก คงพูดแค่ว่าวันที่ 14 นี้ ลองใช้ปลายปากกาของพวกคุณ ไปเลือกคนดี ใช้สิทธิของคุณให้เต็มที่ เลือกคนดีเข้าสภา เลือกมาดูแลพี่น้องประชาชน มาดูแลเขตบ้านเรา ให้เขามาดูแลประชาชนให้ทั่วถึง”

ท้ายสุด ทั้ง 3 ท่านยังให้ความเห็นไปในทิศทางเดียวกันอีกว่า ประชาชนทุกพื้นที่ ย่อมรู้จักคนหรือผู้สมัคร ส.ส.ในพื้นที่ดีอยู่แล้ว คนไหนดี ไม่ดี ดูไม่ยาก แต่ตอนนี้มีกระแสที่เข้ามาทำให้การมองคนเปลี่ยนไป ฉะนั้นอยากให้คนปทุมธานี และรวมถึงคนไทยที่จะเลือกผู้แทนฯ ทั้ง 400 เขต ลองเลือกคนที่เรารัก คนที่เรารู้จักคนในเขตพื้นที่นั้น ๆ ของเราอยู่แล้ว

“ช่วยกันหน่อยนะคะ เลือกคนที่รัก เลือกพรรคที่ชอบ ถ้าเขาเคยทำให้ถิ่นฐานบ้านเกิดเราดีอยู่แล้ว จะเลือกเขากลับเข้ามาก็ไม่ผิด หรือถ้าเขาเคยทำประโยชน์ใดๆ ให้พื้นที่ของเราแม้จะไม่ได้เป็น ส.ส.ก็ให้โอกาสเขา อย่าเลือกตามกระแส และอย่าเลือกคนสันดานไม่ดีเข้ามาร่วมบริหารประเทศ คนไทยร่วมกันช่วยเลือกคนดีทั้ง 400 เขตนะคะ” คุณขนิษฐา ทิ้งท้าย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top