Sunday, 20 April 2025
POLITICS NEWS

“หากคุณยิ่งลักษณ์กลับมา ผมก็ยังมองไม่เห็นเลยว่า มันจะเสียหายกับบ้านเมืองอย่างไร คนเรา ไม่ว่าใคร หากช่วยกันทำงานเพื่อประเทศชาติแล้ว เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ไม่มีโทษหรอก”

(6 ม.ค. 68) “...บางทีเราอยู่ในสังคมนี้ก็ต้องทำใจ มองกว้าง ๆ ถ้าเป็นเราจะทำอย่างไร ทำแค่นี้เหมาะสมไหม เกินไปหรือเปล่า ไม่ใช่พอเห็นหน้า ปั๊บ ไอ้นี่ โกรธกันมาทั้งชาติแล้ว มีอะไรต้องล่อมันให้ตาย บ้านเมืองก็ไม่สงบ...”

นายชัยเกษม นิติสิริ แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ สำนักข่าวอิศรา ถึงความเป็นไปได้ในการกลับบ้านของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า ถ้าท่านผิดท่านก็คงยอมรับผิด (ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง พิพากษาจำคุกนางสาว ยิ่งลักษณ์ 5 ปี คดีจำนำข้าว) ท่านก็เป็นคนดีคนหนึ่ง เชื่อว่าจะจบลงด้วยดี จบสวย

ส่วนระยะเวลาจะเป็นภายในปีนี้หรือไม่นั้น นายชัยเกษม บอกว่า ระยะเวลาอย่าไปกำหนดเลย ทุกอย่างเป็นไปตามจังหวะ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์หลายๆ อย่าง ต้องดูการเมือง ต้องดูหลายๆเรื่อง จะไปบอกว่า วันนี้ ปีนี้ บอกไม่ได้ ถ้าสถานการณ์ดี ผมก็ไม่เห็นว่าท่านจะผิดร้ายแรงอะไร ทุกอย่างเคลียร์ออกมาได้ ทุกคนบอกว่า โธ่เอ๊ย เรื่องแค่นี้เอง ไปทำอะไรกับท่านมากมาย มันก็จบ คนเราถ้าคิดดีต่อกัน คิดดีต่อบ้านเมือง คิดว่าบ้านเมืองก็ไปได้ ทุกอย่างก็จะราบรื่นเอง

และท่าน (คุณยิ่งลักษณ์) ก็คงรู้ตัวท่านเอง ท่านฟังแล้วประชาชนคิดอย่างไรกับท่าน คิดในทางไม่ดีไหม แต่สำหรับตัวผม ผมไม่รู้สึกว่า ท่านทำอะไรไม่ดีถึงขนาดอยู่เมืองไทยไม่ได้ ทีนี้ ท่านอยู่กับการเมือง ท่านก็ต้องเข้าใจว่า การเมืองนั้น เรื่องเล็กนิดเดียว กลายเป็นเรื่องใหญ่ ต้องยอมรับในสถานะนั้น ถึงเวลาคลี่คลายเรื่องใหญ่ก็จะเหลือเป็นเรื่องเล็ก ก็จะไปได้

ถ้าประชาชนคนไทย รู้จักคิดสักนิดหนึ่ง แล้วมาช่วยกันทำงานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ก็จะมีแต่เรื่องดี ๆ ไม่เห็นมีเรื่องอะไรเสีย ท่านเป็นคนฉลาด ทำคุณกับบ้านเมืองไว้มากมาย หากท่านกลับมา ผมก็ยังมองไม่เห็นเลยว่า มันจะเสียหายกับบ้านเมืองอย่างไร คนเรา ไม่ว่าใคร หากช่วยกันทำงานเพื่อประเทศชาติแล้ว เป็นประโยชน์ทั้งนั้น ไม่มีโทษหรอก

'ทักษิณ' ดับกระแส ปลด 'พีระพันธุ์' พ้น ครม. ย้ำ เป็นคนตั้งใจทำงาน - คุยกันรู้เรื่อง เล็งรีดไขมันลดค่าไฟ

(6 ม.ค. 68) ‘ทักษิณ’ ยัน ไม่มีการปรับ ‘พีระพันธุ์’ ออกจากครม. บอกวันก่อนคุยกันเรื่องลดค่าไฟ คุยกันรู้เรื่อง เล็งเดินหน้าปรับลดค่าไฟให้เหลือ 3.70 บาท

ที่จ.เชียงราย นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ภายหลังการปราศรัยหาเสียงเพื่อช่วยนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัคร นายก อบจ.เชียงราย พรรคเพื่อไทย หาเสียงเลือกตั้ง ถึงการลดค่าไฟให้เหลือ 3.70 บาทต่อหน่วยว่า ตนดูแล้วว่าสามารถรีดไขทันจากค่าไฟได้ และสามารถลดค่าไฟได้อีก ทั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ พิจารณาแล้วและจะเรียกทุกคน รวมถึงภาคเอกชน ประชุม เพื่อให้ทุกคนเต็มใจยอมรับกับการรีดไขมันครั้งนี้ เพื่อให้ทุกฝ่ายช่วยกัน หากประชาชนจน เอกชนไม่มีรวย ถ้าอยากรวย ต้องให้ชาวบ้านหายจน ทั้งนี้ตนได้นั่งคุยกับนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พลังงานแล้วเมื่อวันก่อนเพื่อหาทางช่วยกัน

เมื่อถามถึงกระแสข่าวว่านายพีระพันธุ์จะถูกปรับออกจากรัฐบาล นายทักษิณ กล่าวว่า  "อ๋อ ไม่มี คุยกันรู้เรื่องไม่มีอะไรเลย พีระพันธุ์เขาเป็นคนตั้งใจ รู้จักกันมานาน เคยมีความคุ้นเคยกัน รู้เรื่องทุกเรื่อง"

เมื่อถามย้ำว่า น.ส.แพทองธาร เปรยเรื่องของการปรับคณะรัฐมนตรี ในช่วงนี้ใช่หรือไม่ นายทักษิณ กล่าวว่า "ไม่มีเลย วันนั้นคุยกัน เขาบอกว่า อิ๊งค์ ยังสบาย ๆ ถ้าทำงานกับ ครม. ชุดนี้ ไม่มีปัญหา ยังไปกันได้ดี"

เมื่อถามว่ายังอยู่ยาวได้ใช่หรือไม่ นายทักษิณกล่าวว่า ยังไม่มีเหตุปัจจัย

นายทักษิณ ยังกล่าวย้ำด้วยว่าในปี2568 รัฐบาลต้องทำงานอย่างหนัก โดยต้องมองโครงสร้างของปัญหาเศรษฐกิจ และเร่งแก้ไข เช่นเม็ดเงินที่ไม่ได้อยู่ในระบบ ทำให้หล่อเลี้ยงเศรษฐกิจไม่ได้ ขณะเดียวกันต้องพัฒนาคนในระบบเศรษฐกิจว่าจะส่งเสริมความรู้ความสามารถ ที่มีอยู่ รวมถึงอุตสาหกรรมท่องเที่ยว

"เมื่อเม็ดเงินมีคนรองรับ ระบบไปได้ ก็ต้องทำพร้อม ๆ กัน พร้อมยอมรับว่าอาจจะต้องมีเรื่องของการใช้จ่ายภาครัฐเมกกะโปรเจคบ้าง โดยนายกฯกำลังเรียกประชุมหลายฝ่าย เพื่อที่จะตกผลึกในวิธีการทำงาน ให้บรรลุเป้าหมาย และต้องยอมรับว่ากลไกของรัฐปัจจุบัน เปลี่ยนไปจากเดิมอุ้ยอ้ายขึ้น และอำนาจไปอยู่กับราชการ ต้องอาศัยความร่วมมือ" นายทักษิณ กล่าว

ขณะที่ในช่วงกล่าวปราศรัยหาเสียงบนเวที นายทักษิณ กล่าวว่า เดิมตนไม่ค่อยเท่าไหร่กับการเมืองท้องถิ่นเพราะเคยเป็นรัฐบาลจากพรรคการเมืองใหญ่ แต่เมื่อได้กลับมาก็มุ่งจะขับเคลื่อนเศรษฐกิจ สร้างอาชีพและรายได้ให้ประชาชน จึงอยากให้ประชาชนเลือกนางสลักจฤฎดิ์ให้เข้าไปทำงานประสานกับนายกรัฐมนตรี โดยในส่วนของรัฐบาลจะมีการจ่ายเงินให้ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปทั่วประเทศประมาณ 3 ล้านคน คนละ 10,000 บาทในวันที่ 29 ม.ค.นี้ ใช้งบประมาณ 30,000 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ รวมทั้งยังอยู่ระหว่างปรับโครงสร้างการผ่อนบ้านและรถด้วย

อดีตนายกรัฐมนตรีที่พ้นโทษกลับประเทศไทยกล่าวต่อว่าตนไม่อยู่บ้านนานถึง 17-18 ปี เมื่อกลับมาพบว่าระบบที่เคยทำไว้เสียหายหมด จึงกลับมาคิดว่าจะทำอย่างไรและเห็นว่าการฟื้นเศรษฐกิจต่างจังหวัดสำคัญ ถ้าคนชนบทมีกินมีใช้เศรษฐกิจประเทศก็จะเดินหน้า เพราะทุกวันนี้ประชาชนไม่มีเงินใช้ ขาดสภาพคล่อง ร้านค้าปลีกต่างจังหวัดก็แย่ เพราะมีแต่ห้างสรรพสินค้าหรือร้านใหญ่ที่มาจากกรุงเทพฯ เงินก็ไหลเข้าสู่ส่วนกลางหมด สินค้าเกษตรขายไม่ได้ ฯลฯ

ดังนั้นตนจึงตั้งใจแก้ปัญหาโดยพัฒนาในสิ่งที่ชาวบ้านเก่งอยู่แล้ว เช่น งานหัตถกรรม ดนตรี เกษตรกรรม ฯลฯ รัฐบาลจะนำมหาวิทยาลัยเชื่อมกับ อบจ.สร้างงานสร้างรายได้ จะมีการเจียระไนหาคนไทยที่เก่งๆ ทั่วประเทศ ทั้งที่มีบุคลิกเป็นนางแบบ ทำอาหารเก่ง เป็นนักศิลปะ มีฝีมือหัตถกรรม ฯลฯ สิ่งนี้เกิดขึ้นในปีนี้ ปี 2568 นี้ กลไกสำคัญอยู่ที่ อบจ. จึงขอให้เลือกนางสลักจฤฎดิ์เพื่อให้ค้นหาเพชรเม็ดงามในเชียงรายต่อไป

นายทักษิณกล่าวว่ายามว่างได้เข้าไปดูโซเชียลมีเดียได้เห็นบางคนชีวิตน่าจะเหลือน้อยลงไปทุกที เดี๋ยวก็จะแขวนคอตายแล้ว เพราะชีวิตมองโลกแย่หมด อีกไม่กี่วันตนจะเอาเชือกไปให้มัน เพราะเช้าและสายก็ด่ารัฐบาลหมด มีอยู่แค่ 4-5 ตัว พวกนี้สงสัยอยากได้เชือก

อย่างไรก็ตาม เราจะทำในสิ่งสร้างสรรค์มากกว่าโดยใช้โซเชียลอย่างติ๊กต็อกมาขายของให้ชาวบ้าน โซเชียลจึงควรใช้ในทางสร้างสรรค์ แต่มีเพียงไม่กี่ตัวเท่านั้นที่เข้ามาแล้วก็ด่าอย่างเดียวทำไมไม่ด่าพ่อแม่มันบ้าง ตนจึงรู้สึกสมเพชเพราะลักษณะพวกนี้เหมือน "แตงไม่ขึ้นซ้าง" (แตงไม่เลื้อยขึ้นนั่งร้าน)

นายทักษิณยังกล่าวต่อด้วยว่า เมื่อครั้งตนยังไม่เล่นการเมืองก็สบายดีอยู่ กระทั่งปี 2536 ก็มีเงินถึง 6 หมื่นล้านแล้ว พอเล่นการเมืองจึงหมดไปเรื่อย ๆ พวกควายยังมาด่าตนอีก พ่อมึงไม่รู้หรือไง ตนรวยมาตั้งแต่ปี 2535-36 แล้ว ตนคิดแบบคนสมัยใหม่แต่คนรุ่นเก่ากลับด่าตนสารพัด มีอยู่คนบอกว่าตนสร้างความวุ่นวายเพราะแค้นตนมาตั้งแต่ปี 44 ที่บ้านของเขาหน่วยเลือกตั้งมี 450 คน เลือกเขาเพียงแค่ 47 คน ประชาชนยังไม่เลือกเลย

นายทักษิณกล่าวด้วยว่าตนได้ตั้งตำแหน่งให้ตัวเองคือ สทร.หมายถึง “เสือกทุกเรื่อง” เมื่อไปพบปัญหาที่ไหนก็จะส่งให้รัฐบาล พอดีมีนายกรัฐมนตรีที่เคยตามตนมาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ ขณะหาเสียงตอนตั้งพรรคไทยรักไทยก็ยังยืนดูตนอยู่ ตอนไปประชุมเอเปกที่ชิลีก็ไปด้วย ซึมซับการเมืองและรักพี่น้องประชาชน จึงเข้ามาทำงานทั้ง ๆ ที่เขาก็สบายอยู่แล้ว

“ผมจึงมั่นใจว่าพรรคเพื่อไทยโดยการนำของนายกฯ อุ๊งอิ๊งจะแก้ไขปัญหาประเทศได้ โดยตั้งเป้าว่าปี 2568 ทุกฝ่ายจะทำงานให้หนักและเศรษฐกิจดีขึ้น และปี 2569 เปรียบเหมือนเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตได้ จากนั้นขอเวลาอีก 2 ปีหนี้ประเทศจะลดลง”

นายทักษิณกล่าวถึงเรื่องยาเสพติดว่าเกิดจากในเมียนมามีการสู้รบกัน บางกลุ่มจึงขายยาเสพติดเพื่อนำเงินไปซื้ออาวุธและมีแก๊งคอลเซ็นเตอร์อยู่แล้ว ดังนั้นในปี 2568 นี้จะจัดการให้เรียบ ส่วนเรื่องการพนันออนไลน์นั้นมีคนเข้าไปเล่นมากมาย บางครั้งหลายล้านคนซึ่งไม่สามารถตรวจสอบได้ว่าคนเหล่านี้มีอายุต่ำกว่า 20 ปีหรือไม่ ดังนั้นจึงถึงเวลาจะเอาสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ขึ้นมาบนดิน เพราะถ้าถูกกฎหมายจะเก็บภาษีได้ โกงไม่ได้ อายุต่ำกว่า 20 ปีเล่นไม่ได้ คนที่ติดงอมแงมก็ส่งให้หมอบำบัดได้

“ปัญหายาเสพติด คอลเซ็นเตอร์ การผูกขาด ต้องเอาให้เกลี้ยงหมด”

นายทักษิณพูดถึงเรื่องการใช้พลังงานไฟฟ้าว่าในปี 2568 นี้จะต้องเอาตัวเลขการใช้ไฟให้เหลือเลข 3 ดูแล้วน่าจะให้ถึง 3.70 น่าจะได้ ขณะที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ (กผฟ.) เป็นองค์กรผลิตไฟฟ้าเพื่อขายเอากำไรส่วนหนึ่ง และการไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) และเอกชน ก็จะนำมาจ่ายต่อสุดท้ายประชาชนก็ตายกันพอดี จึงต้องแก้ไขปัญหาและยืนยันให้ค่าไฟฟ้าลดลง เมื่อนั้นสินค้าอื่นๆ ก็จะลดลงตาม เพราะธุรกิจย่อมหวังผลกำไรแต่ไม่ใช่ได้กำไรแล้วอยู่อย่างสุขสบาย สุดท้ายขอให้ประชาชนได้เลือกนางสลักจฤฎดิ์เป็นนายก อบจ.เชียงราย และไปบอกคนอื่นๆ ว่าตนขอให้ช่วยเลือกด้วย

‘ชัยชนะ’ นัด!! ‘กรรมาธิการตำรวจ’ ตรวจสอบด่วน ปม!! ม.สยาม จัดอบรม ‘ตำรวจอาสาชาวจีน’

(5 ม.ค. 68) นายชัยชนะ เดชเดโช สส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการ (กมธ.) การตำรวจ สภาผู้แทนราษฎร ได้นัด กมธ.ประชุม เพื่อตรวจสอบกรณีที่มหาวิทยาลัยสยามจัดอบรมหลักสูตรแจ้งข่าวอาชญากรรมและให้ความรู้กับการป้องกันตนเองกับนักศีกษาต่างชาติ หลังจากที่ปรากฎเป็นข่าวและมีการตรวจสอบซึ่งพบว่าเป็นข้อมูลที่เผยแพร่ผ่านโซเชียลมีเดียเมื่อช่วงต้นปี2568 ว่า ชาวจีนเข้าอบรมเป็นตำรวจอาสา กับกองบังคบการตำรวจนครบาล3 โดยมีการเก็บค่าคอร์สราคา 38,000 บาท และเมื่อจบหลักสูตรจะได้รับใบรังรอง บัตรที่มีโลโก้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

นายชัยชนะ ระบุว่า โดย กมธ.ตำรวจ ได้ส่งหนังสือเชิญ ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ผู้บัญชาการกองบังคับการตำรวจนครบาล3 ผกก.สน.ภาษีเจริญ และอธิบการบดีมหาวิทยาลัยสยาม เข้ามาชี้แจงในวันที่ 9 ม.ค. เวลา 09.30 น. ที่รัฐสภา ทั้งนี้ ถือว่าเป็นการกำหนดวาระประชุมเป็นเรื่องด่วน หลังจากที่ก่อนหน้านี้กำหนดวาระพิจารณาไว้แล้วกรณีที่ น.ส.ชาล็อต ออสติน มิสแกรนด์ถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกหลวงให้โอนเงินจำนวนมาก โดยได้ น.ส.ชาล็อต นายณวัฒน์ อิสไกรศรี รวมถึง ผู้บัญชาการตำรวจไซเบอร์ และ เลขา สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เข้าชี้แจงในวันเดียวกัน

‘คนเสื้อแดง’ เชียงราย แห่รับ!! 'ทักษิณ' เตรียม!! ปราศรัยหาเสียง ‘นายกฯ อบจ.’

(5 ม.ค. 68) เวลา 09.30 น. ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ช่วยหาเสียง ของนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายกอบจ.เชียงราย พรรคเพื่อไทย เดินทางถึงสนามบินแม่ฟ้าหลวง จ.เชียงราย โดยได้ใช้บริการสายการบินพาณิชย์ ก่อนที่จะเดินทางขึ้นเวทีปราศรัยด้วยรถตู้เล็กซัส สีดำ ทะเบียน ขย 111 กรุงเทพมหานคร

จุดแรกช่วงเที่ยงจะไปที่โรงเรียนปล้องวิทยาคม อ.เทิง และโรงเรียนห้วยซ้อวิทยาคม อ.เชียงของ ในช่วงบ่าย จากนั้นในช่วงเย็น นายทักษิณจะขึ้นปราศรัยที่โรงเรียนแม่จันวิทยาคม

ทันทีที่มาถึงนายทักษิณ ได้เดินมาพบกับกลุ่มคนเสื้อแดง จ.เชียงราย ที่มารอให้การต้อนรับ โดยคนเสื้อแดงได้มอบพวงมาลัย ขอกอด และขอถ่ายรูปร่วมกับนายทักษิณ แน่นสนามบินแม่ฟ้าหลวง

‘อดีตบิ๊กข่าวกรอง’ ชำแหละ!! 'เพนกวิน' เสียจุดยืน!! เหมือนซากศพ เดินได้พูดได้

(5 ม.ค. 68) นายนันทิวัฒน์ สามารถ อดีตรองผู้อำนวยการสำนักข่าวกรองแห่งชาติ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Nantiwat Samart ว่า …

เสียอะไร

เพนกวินเสียจุดยืน อะไรคือจุดยืนของเพนกวิน

ที่รู้แน่ๆ เพนกวินทิ้งมวลชนที่ปลุกระดม ให้คนอื่นออกมาร่วมต่อสู้ ไม่ต้องกลัวสู้กับสถาบัน สู้ล้มล้างม.112

แต่ตอนนี้ กวิ้นสบายแล้ว เมกาให้ที่อยู่ ให้ทุนเรียนหนังสือ ให้เงินใช้

ทิ้งมวลชนให้ตกระกำต่อสู้กับคดี 112 นี่คือ ตัวอย่างของผู้นำที่ดีมากๆ คนหนึ่ง

ภาพข่าวเพนกวินเข้าพบ ออท.เมกา แสดงว่า สนิทสนมซี้กันเป็นพิเศษ

ไม่แปลกใจที่เพินกวินไปโผล่เมกา ซุกปีกพญาอินทรีเมกา

นับจากนี้ เพนกวินจะเหมือนซากศพ เดินได้พูดได้แต่หมดความน่าเชื่อถือ

นอกจากจะชวนคนอื่นๆอพยพตามไปอยู่ เมกาใหญ่โตคงพอรับผู้ศรัทธาได้นับหมื่นคน

‘ดร.เสรี’ ชี้!! ประเทศชาติ เป็นเช่นนี้ จะโทษ!! ‘นักการเมือง’ อย่างเดียวไม่ได้

(5 ม.ค. 68) ดร.เสรี วงษ์มณฑา นักวิชาการด้านการตลาดและการสื่อสาร โพสต์เฟซบุ๊กว่า ...

คนรักชาติ หาว่าเขาคลั่งชาติ

คนเป็นนักโทษหนีคดี หาว่าเป็นผู้ต้องหา

เขาต้องเขามาติดคุกตามคำพิพากษาของศาล กลับบอกว่าให้มาแก้ข้อกล่าวหา คดีตัดสินไปแล้ว จะมาแก้ข้อกล่าวหาอะไรอีก

จะให้ทหารจัดการกับยาเสพติดภายใน 6 เดือน มันใช่หน้าที่เขาไหม แล้ว 6 เดือนจะทำได้จริงหรือ พูดไม่คิดเนาะ

สัญญาแล้วทำไม่ได้ ไม่รู้กี่เรื่องแล้ว แต่ประชาชนจำนวนหนึ่ง ก็ยังคงเลือกพวกเขาเข้ามาบริหารบ้านเมือง

ลองพิจารณาหน่อยนะว่าสิ่งที่เขาอยากทำนั้น มันเป็นประโยชน์กับบ้านเมือง กับประชาชน หรือกับพวกเขากันเอง

MOU 44 เพื่อใคร

Entertainment Complex เพื่อใคร

แจกเงินดิจิทัลหวังผลอะไร

คิดดูกันหน่อยนะ จะได้หย่อนบัตรเลือกตั้งให้มีคุณภาพดีกว่านี้ อย่าเลือกเพราะเห็นแก่ได้กันนักเลย

ประเทศชาติเป็นเช่นนี้ โทษนักการเมืองอย่างเดียวไม่ได้ ต้องโทษประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้ามาด้วย ไม่เคยหลาบจำว่าพวกเขาทำตามสัญญาไม่ได้

‘อลงกรณ์’ เป็นกำลังใจให้!! ‘พีระพันธุ์’ ขจัดผูกขาดพลังงาน ขอให้มันจบในรุ่นเรา ชี้!! “คุณไม่ได้เดินเดียวดายคนเดียว” มีคนอีกไม่น้อย ที่พร้อมสนับสนุน ทำดีไม่มีพัง

(5 ม.ค. 68) หลังจากนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานโพสต์ข้อความว่า มีขบวนการปั้นข่าวรุมถล่ม โดยระบุกลุ่มทุนพลังงานไม่พอใจการทำงานของนายพีระพันธุ์ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเมื่อวานนี้ (4 ม.ค. 68)

ปรากฎว่า วันนี้ (5 ม.ค. 68)นายอลงกรณ์ พลบุตร อดีตรัฐมนตรีและสส.พรรคประชาธิปัตย์ ปัจจุบันเป็นประธานสถาบันเอฟเคไอไอ.ไทยแลนด์(FKII Thailand)
และรองประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ พรรคประชาธิปัตย์ได้โพสต์ในเฟสบุ๊กส่วนตัวถึงนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาคโดยมีข้อความดังต่อไปนี้

ถึง คุณพีระพันธุ์

“You will never walk alone”

ขอให้รู้ว่า คุณไม่ได้เดินเดียวดายคนเดียว

แต่มีผมและพวกเราอีกไม่น้อยที่พร้อมสนับสนุนและเป็นกำลังใจ ไม่ใช่เพียงเพราะความเป็นเพื่อนหรือคนที่เคยทำงานใต้ชายคาเดียวกันคือ ‘พรรคประชาธิปัตย์’ มาเกือบ 30 ปี แต่เพราะตรงกันในจุดยืนขจัดการผูกขาด(Anti-Monopoly)โดยเฉพาะการผูกขาดด้านพลังงาน

ประเทศของเรายังมีการผูกขาดทางเศรษฐกิจที่ต้องช่วยกันทลายให้หมดไปเพราะเป็นสาเหตุของปัญหาความเหลื่อมล้ำและการคอรัปชั่นที่ทำให้ประเทศล้าหลังและประชาชนยากจนมาอย่างยาวนาน

ขอให้การผูกขาดจบในรุ่นของเราด้วยเจตจำนงทางการเมือง(Political will)ร่วมกันที่แน่วแน่เพื่อส่งต่อประเทศไทยที่ดีกว่าให้กับลูกหลานของเรา

ทำดีไม่มีพังครับ

อลงกรณ์ พลบุตร

5 มกราคม 2568

‘นิด้าโพล’ เผยผลสำรวจ!! ปชช. เชื่อ ‘อุ๊งอิ๊ง’ อยู่ยาวตลอดทั้งปี มอง!! สถานการณ์การเมืองไทย ยังวุ่นวายต่อไป เหมือนเดิม

(5 ม.ค. 68) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น ‘นิด้าโพล’ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลการสำรวจ ของประชาชน เรื่อง ‘การเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิต ในปี 2568’ ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 16-18 ธันวาคม 2567 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป กระจายทุกภูมิภาค ระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ ทั่วประเทศ รวมจำนวนทั้งสิ้น 1,310 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับการเมือง เศรษฐกิจ และคุณภาพชีวิตของประชาชน ในปี 2568 การสำรวจอาศัยการสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ ‘นิด้าโพล’ สุ่มตัวอย่างแบบหลายขั้นตอน (Multi-stage Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนด ค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามประชาชนถึงสถานการณ์ทางการเมืองไทยโดยทั่วไป ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 50.61 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายเหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 39.92 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายมากขึ้น ร้อยละ 7.33 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะวุ่นวายน้อยลง และร้อยละ 2.14 ระบุว่า สถานการณ์ทางการเมือง จะไม่วุ่นวายเลย

ด้านความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับรัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ในปี 2568 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 51.22 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะอยู่ยาวตลอดทั้งปี รองลงมา ร้อยละ 21.60 ระบุว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี ร้อยละ 15.34 ระบุว่า จะมีการยุบสภา เพื่อเลือกตั้งใหม่ ร้อยละ 15.04 ระบุว่า จะเกิดความแตกแยกในพรรคร่วมรัฐบาล และทำให้รัฐบาลล่ม ร้อยละ 5.88 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะลาออก ร้อยละ 5.73 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนชุมนุมขับไล่ ทำให้ต้องพ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 3.05 ระบุว่า รัฐบาลนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนรัฐประหาร ร้อยละ 2.82 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะโดนคดีความทางการเมืองจนต้องหลุดจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ร้อยละ 1.76 ระบุว่า นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร จะเปิดทางให้นายอนุทิน ชาญวีรกูล เป็นนายกรัฐมนตรีแทน และร้อยละ 1.15 ระบุว่า ไม่ทราบ/ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

สำหรับสถานการณ์ทางเศรษฐกิจไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.35 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 32.82 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะแย่ลง ร้อยละ 21.99 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีขึ้น และร้อยละ 10.84 ระบุว่า สถานการณ์ทางเศรษฐกิจ จะดีเหมือนเดิม

ท้ายที่สุดเมื่อถามถึงคุณภาพชีวิตโดยทั่วไปในสังคมไทย ในปี 2568 เมื่อเทียบกับปี 2567 พบว่า ตัวอย่าง ร้อยละ 34.43 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่เหมือนเดิม รองลงมา ร้อยละ 33.20 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะแย่ลง ร้อยละ 20.46 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะดีขึ้น และร้อยละ 11.91 ระบุว่า คุณภาพชีวิตโดยทั่วไปของคนในสังคมไทย จะดีเหมือนเดิม

หนุ่มโคราชร้อง กกต.ให้ตรวจสอบ ‘เจ๊หน่อย’ ผู้สมัครนายก อบจ.เพื่อไทย โอนงบกว่า 23 ล้านบาทโดยมิชอบ อาจถึงขั้นโดนใบแดง!!

(4 ม.ค. 68) ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา ต.จอหอ อ.เมือง จ.นครราชสีมา นายสุนทร ชาว อ.เมือง จ.นครราชสีมา เดินทางเข้าพบนายสุรพงษ์ ทิพย์โอสถ ผู้อำนวยการสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา เพื่อร้องขอให้ตรวจสอบการกระทำอันอาจจะเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายเลือกตั้งของ นางยลดา หวังศุภกิจโกศล หรือ หน่อย ผู้สมัครนายก อบจ.นครราชสีมา เบอร์ 2 พรรคเพื่อไทย และพวก จำนวน 35 คน ซึ่งเป็นผู้สมัคร ส.อบจ.นครราชสีมา

นายสุนทรกล่าวว่า วันนี้มาในฐานะประชาชนชาวโคราชคนหนึ่ง ซึ่งเป็นผู้มีสิทธิเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.อบจ.ในพื้นที่ อยากเห็นผู้สมัครทุกคนมีความสุจริต โปร่งใส ตรวจสอบได้ จึงเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้สมัคร วันนี้มาร้องเรียนขอให้ กกต.ประจำจังหวัดนครราชสีมา ตรวจสอบคุณสมบัติของนางยลดา อดีตนายก อบจ.นครราชสีมา คนล่าสุด ซึ่งพบว่าขณะดำรงตำแหน่งนายก อบจ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2567 ในการประชุมสภา อบจ.นครราชสีมา สมัยสามัญที่ 2 ครั้งที่ 3 ได้ยื่นญัตติขออนุมัติโอนงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2567 ไปตั้งจ่ายเป็นรายการใหม่ โดยมี ส.อบจ.เข้าร่วมประชุม จำนวน 39 คน ยกมือเห็นชอบตามที่ นายก อบจ.นครราชสีมา เสนอญัตติ จำนวน 36 คน (รวมนายก อบจ.) และงดออกเสียง จำนวน 3 คน

นายสุนทรกล่าวว่า การกระทำดังกล่าวมีลักษณะเป็นการไม่ปฏิบัติตามมาตรา 65 วรรคสอง แห่ง พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 (และแก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 รวมทั้งสิ้น 12 โครงการ เป็นเงินทั้งสิ้น 23,873,918 บาท เนื่องจากในห้วงระยะเวลาดังกล่าวไม่มีภัยธรรมชาติหรือภัยพิบัติแต่อย่างใด

ต่อมา นางยลดาได้ขอลาออกจากตำแหน่งนายก อบจ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 12 ธันวาคม 2567 พร้อมกับ ส.อบจ.ในกลุ่มอีก 15 คน ก่อนจะลงสมัครรับเลือกตั้งนายก อบจ.ในครั้งนี้ ซึ่งการกระทำของนางยลดาและ ส.อบจ.เกี่ยวกับการอนุมัติโครงการดังกล่าว อาจเป็นการกระทำฝ่าฝืนต่อ พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ.2562 (แก้ไขเพิ่มเติม ฉบับที่ 2) พ.ศ.2566 มาตรา 65 ซึ่งมีโทษตาม 126 แห่งกฎหมายดังกล่าวหรือไม่ เนื่องจากหากพบว่ากระทำผิดจริงก็อาจถึงขั้นโดนใบแดงได้เลย วันนี้จึงมาร้องขอให้ กกต.ประจำจังหวัดนครราชสีมา เร่งดำเนินการตรวจสอบ เพราะจะมีผลกระทบต่อความไม่สุจริตในการเลือกตั้งนายก อบจ.และ ส.อบจ.นครราชสีมา ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์นี้

ด้านนายสุรพงษ์เปิดเผยว่า หลังจากเปิดรับสมัครเลือกตั้งนายก อบจ. และ ส.อบจ.นครราชสีมา ระหว่างวันที่ 23-27 ธันวาคม 2567 มีผู้สมัครนายก อบจ.จำนวน 4 คน ประกอบด้วย เบอร์ 1 นายทักษิณ เขื่อนโคกสูง, เบอร์ 2 นางยลดา หวังศุภกิจโกศล, เบอร์ 3 นายมารุต ชุ่มขุนทด และเบอร์ 4 ร.ต.อ.นิติรักษ์ ฟักกระโทก ในส่วนผู้สมัคร ส.อบจ.นครราชสีมา ทั้ง 48 เขต จาก 32 อำเภอ มีผู้สมัครจำนวนทั้งสิ้น 153 คน โดย กกต.ประจำองค์การบริหารส่วนจังหวัดนครราชสีมา ตรวจสอบคุณสมบัติเสร็จสิ้นไปแล้ววันสุดท้ายเมื่อวันที่ 3 มกราคมที่ผ่านมา ผลการตรวจสอบคุณสมบัติปรากฏว่าผู้สมัครนายก อบจ.ทั้ง 4 คน มีคุณสมบัติครบทุกคน

นายสุรพงษ์กล่าวว่า ขณะที่ผู้สมัคร ส.อบจ.จำนวน 153 คน พบว่า ขาดคุณสมบัติไป 3 คน ประกอบไปด้วย ผู้สมัคร ส.อบจ.เขต 2 อ.สีคิ้ว, เขต 1 อ.จักราช และ เขต 1 อ.ชุมพวง ซึ่งผู้สมัครทั้ง 3 รายนี้ ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซ่อมเทศบาล จึงทำให้ขาดสิทธิในการลงสมัครรับเลือกตั้ง ส.อบจ.ในครั้งนี้

ส่วนเรื่องการร้องเรียนขณะนี้มีมาอย่างต่อเนื่อง โดยส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องผู้สมัครร้องเรียนพฤติกรรมของผู้สมัครด้วยกันเอง ที่อาจเป็นการกระทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง ขณะเดียวกัน เรื่องการป้องกันเหตุความรุนแรงในพื้นที่ ขณะนี้ กกต.จังหวัดนครราชสีมา ได้ตั้งชุดสืบสวนข่าว 3 ชุด และชุดเคลื่อนที่เร็ว 6 ชุด ทำงานร่วมกับผู้ตรวจการเลือกตั้งประจำจังหวัดนครราชสีมา 8 คน เพื่อหาข่าวความเคลื่อนไหวของกลุ่มที่อาจจะก่อเหตุความรุนแรง หากมีเบาะแสก็พร้อมประสานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทุก สภ.เข้าไประงับเหตุได้ทันที ซึ่งได้มีการลงพื้นที่ไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 ธันวาคมที่ผ่านมา

‘ดร.อานนท์’ วิจารณ์!! นายกฯ ใส่ผ้าซิ่นกลับหัว ชี้!! บรรพบุรุษชินวัตร เคยมีชื่อเสียง ด้านการค้าผ้า

(4 ม.ค. 68) ผศ.ดร.อานนท์ ศักดิ์วรวิชญ์ อาจารย์ประจำคณะสถิติประยุกต์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) โพสต์ภาพ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สวมชุดผ้าไทย พร้อมด้วยนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรส ร่วมพิธีทำบุญในวันขึ้นปีใหม่ 2568 ที่ทำเนียบรัฐบาล

โดยผศ.ดร.อานนท์ ระบุว่า ชินวัตรไหมไทยเป็นกิจการที่มีชื่อเสียงของตระกูลชินวัตร และดำเนินกิจการมาจนถึงทุกวันนี้ พ่อเลี้ยงเลิศ ชินวัตร ผู้เป็นปู่ นายทักษิณ ชินวัตร ต่างก็เคยค้าผ้าไหมกันมาก่อน

ทำไมลูกหลานสตรีในตระกูลชินวัตรจึงไม่มีความรู้ใด ๆ ในเรื่องผ้าไทย จนไม่รู้จักกระทั่งตีนซิ่น หัวซิ่น สวมใส่สลับไปหมด น่าอับอายขายหน้าถึงบรรพบุรุษว่ามีลูกหลานที่มิได้รับการถ่ายทอดสิ่งดี ๆ เช่นภูมิปัญญา ของบรรพบุรุษ มาแม้แต่น้อย นับว่าเสียชาติเกิดที่เกิดมาในตระกูลชินวัตรโดยแท้


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top