Sunday, 20 April 2025
POLITICS NEWS

นายหัวไทร ลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ประเมินแล้ว ขอฟันธง!! เขียนชื่อแปะข้างฝาได้เลย ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ นายกฯ อบจ.สงขลา

(26 ม.ค. 68) เข้าสู่โค้งสุดท้าย ถ้าเป็นมวยก็ยกฟ้าปลายๆแล้วสำหรับศึกชิงเก้าอี้นายกฯอบจ.สงขลา ที่มีคนหาญกล้าลงชิงมากถึง 9 คนที่ถือเป็นประวัติการณ์ที่มีคนลงสมัครมากถึงขนาดนี้

เกมเดินมาถึงยกสุดท้ายแล้วสำหรับศึกชิงนายกฯ อบจ.สงขลา เริ่มเห็นเค้าเห็นลางว่า ใครจะเดินเข้าสู่ชัยชนะ ใครจะตกสวรรค์บ้าง

สำหรับ #นายหัวไทร ที่เฝ้าติดตามข้อมูลมาอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ก่อนสมัครรับเลือกตั้ง หลังสมัครรับเลือกตั้ง รวมทั้งเดินทางลงพื้นที่เก็บข้อมูลอย่างต่อเนื่อง ก็พอประเมินออกว่า ใครจะเข้าวิน

วินาทีฟันธงได้เลยครับว่า ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร เด็กบ้านปะโอ อ.สิงหนคร น่าจะได้รับความไว้วางใจจากชาวสงขลาให้เป็นนายกฯอบจ.คนต่อไป ต่อจาก ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ ที่ตัดสินใจไม่ไปต่อ

ไม่ใช่นั่งชี้นอนชี้แต่มีเหตุผลในการฟันธง ประการแรก คือความพร้อมของสุพิศเอง ที่มีความมุ่งมั่นตั้งใจสูงมากในการเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลาบ้านเกิด ยอมเสียสละหน้าที่ราชการในตำแหน่งอธิบดี ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายสำหรับคนที่ไต่เต้าจาก ซี 1 จนได้ ซี 10 กับอายุราชการที่ยังมีอีกหลายปี โอกาสคว้าเก้าอี้ปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ก็ยังมีอยู่ แต่สุพิศ ก้าวกระโดดออกมาเสี่ยงลงชิงเก้าอี้นายกฯ อบจ.

ประการต่อมาสุพิศมีความพร้อมด้านทุนทรัพย์ ที่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาจากธุรกิจรับเหมาก่อสร้างรับช่วงต่อมาจากพ่อ ได้ทำงานรับเหมาใหญ่หลายงาน ทั้งงานในกรมชลประทาน และงานอื่นๆ จนถือว่าเป็นคนร่ำรวยคนหนึ่งของสงขลา

ประการที่สาม ด้วยหน้าที่การงาน และฐานะ ยอมสร้างบารมีขึ้นมาได้ เป็นที่ยอมรับของแวดวงราชการ และธุรกิจ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับการมีบริวารแวดล้อม เครือข่ายมากมายที่พร้อมสนับสนุนผลักดัน

ประการที่สี่ ต้องยอมรับความจริงว่า สุพิศลงสมัครได้รับการสนับสนุนด้วยดีจาก ‘นายกฯชาย เดชอิศม์ ขาวทอง’ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์ รมช.สาธารณะสุข แม้จะอยู่ห่างๆสำหรับการเลือกตั้งครั้งนี้ แต่เป็นการห่างในเชิงยุทธวิธี เช่นเดียวกับ ‘พี่จ่า-นิพนธ์ บุญญามณี’ อดีต รมช.มหาดไทย อดีตนายกฯอบจ.สงขลา ที่รักษาระยะห่าง แต่การเมืองมันกรี๊งกร้างกันได้ แต่มีสมยศ พลายด้วง สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ออกหน้าในพื้นที่อยู่แล้ว

ประการที่ห้า นโยบายบางอย่างถือว่าโดดเด่นในการสร้างเมือง เช่น ถนน อบจ.ต้องไม่เป็นหลุมเป็นบ่อแม้แต่หลุมเดียว และต้องชื่นชมในการหยิบนโยบายบางเรื่องของนายกฯไพเจนมาทำต่อ สานต่อ เมื่อเห็นว่าเป็นนโยบายที่ดี เช่น พลิกนาร้างเป็นสวนปาล์ม เป็นต้น

แม้อาจจะขัดใจอยู่บ้างในช่วงแรกสำหรับการใช้สื่อโซเชี่ยลหาเสียงเข้าถึงผู้มีสิทธิ์เลือกตั้ง เข้าใจว่าเป็นช่วงการปรับตัว แต่ช่วงหลังใช้สื่อมากขึ้น กระแสดีขึ้น

สำหรับผู้สมัครคนอื่นๆ ผมเชื่อตาม ‘นิด้าโพล’

นิด้าโพล สำรวจพบ ‘สุพิศ’ มีคะแนนนิยมสูงสุด ตามด้วย ‘นิรันดร์’ นายกฯแบบมาอันดับ 3

นิด้าโพลทำการสำรวจความคิดเห็นของชาวสงขลาต่อการเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.) ซึ่งมีผู้ลงสมัครมากถึง 9 คน

ผลการสำรวจพบว่า ชาวสงขลา 26.36% เชื่อว่านายสุพิศ พิทักษ์ธรรม จากกลุ่มสงขลาพลังใหม่น่าจะมีโอกาสได้รับเลือก ซึ่งเป็นเปอร์เซ็นต์ที่มากกว่าทุกคน

ตามด้วยนายนิรันดร์ จินดานาค จากพรรคประชาชน 16.44% ซึ่งห่างจากนายสุพิศถึง 10%

นายประสงค์ บริรักษ์ นายกแบน จากทีมสงขลาเข้มแข็ง ได้แค่ 14.13%

ส่วนคนอื่นๆคะแนนอยู่ที่ 1-5% เท่านั้น แต่ยังมีอึก 25.54% ที่ยังไม่ตัดใจว่าจะเลือกใคร

วันนี้วันที่ 19 แล้ว มีเวลาเหลือสำหรับการหาเสียงแค่ 12 วัน เพราะจะมีการหย่อนบัตรลงคะแนนในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ ถ้าไม่มีอุบัติเหตุทางการเมือง กินขนมเชื่อก่อนได้เลยว่า นายสุพิศน่าจะได้รับเลือกให้เป็นนายกฯ อบจ.สงขลา เว้นเสียแต่ว่า นายสุพิศสดุดขาตัวเอง ซึ่งในทางการเมืองวันเดียวก็มีโอกาสพลิกได้ ถ้าผิดพลาด กระแสจะไปเร็วมาก

ในสถานการณ์นี้นายสุพิศต้องประคองสถานการณ์ให้ได้ รักษาระดับเอาไว้ และสร้างกระแสดีดตัวเองให้พุ่งนำไว้เรื่อยๆ จนถึงวันหย่อนบัตร ก็เรียก ‘นายกฯ สุพิศ’ไว้ก่อนได้เลย

‘ลอรี่ พงศ์พล’ เผย!! ‘รมว.เอกนัฏ’ ยืนยัน!! ไม่เคยเกรงกลัว ‘ทุนสามานย์’ ย้ำชัด!! จะทำเพื่อประชาชน ไม่ยอมก้มหัวให้ธุรกิจสีเทา ที่เอาเปรียบประเทศ

(25 ม.ค. 68) ‘ลอรี่’ พงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ได้โพสต์ข้อความ โดยได้ระบุว่า ...

300ล้าน หรือประเมินค่ามิได้? 

วันแรกที่รมว.เอกนัฏ เข้ารับตำแหน่งได้ประกาศ #เซฟอุตสาหกรรมไทย 5เดือนให้หลัง กลายเป็นปชช.ต้องประกาศช่วย #เซฟรมวอุตสาหกรรม แทนที่ เกิดอะไรขึ้น?

เพราะการทำงานปะฉะดะเอาจริง พร้อมพังโรงงานเถื่อนข้ามชาติ ทำให้ถูกกลุ่มทุนเทาลงขัน จ่าย300ล้าน เพื่อสกัดเก้าอี้ รมว.เอกนัฏ

ที่แท้แล้ว ‘เก้าอี้’ รัฐมนตรีนี้มีค่าเท่าไหร่
1) ถ้านั่งเก้าอี้ รมว. เพื่อช่วยฟอกขาวโรงต่างชาติ เคลียร์โรงงานที่ทำผิด ล็อคสเปคให้ใบอนุญาตพวกพ้อง กดเครื่องคิดเลขออกมา อาจจะ300ล้านหรือมากกว่า

2) นั่งเก้าอี้ รมว. เพื่อบังคับใช้กฎหมาย ลงโทษคนทำผิด เพื่อให้โรงงานสีขาว ธุรกิจในประเทศไปต่อได้, ปฏิเสธความช่วยเหลือที่สร้างความฉิบหายให้ประเทศ, ปิดโรงงานน้ำตาล, จับสินค้าไม่ได้มาตรฐานเอาเปรียบผู้บริโภค

ราคาเท่าไหร่.. คำตอบคือเก้าอี้นี้ = 0บาท เพราะไม่ได้ผลประโยชน์อะไร แถมมีศัตรูผู้มีอิทธิพลอีกเพียบ แต่เก้าอี้ตัวนี้ ได้สร้างมูลค่าให้กับอุตสาหกรรมในประเทศ, SME, เซฟความเป็นอยู่ปชช. อย่าง 'ประเมินค่ามิได้'

หลังถูกข่มขู่ ผมในฐานะเลขานุการรัฐมนตรี ยืนยันว่ารมว.เอกนัฏ พร้อมพันธุ์ และทีมงานไม่มีเกรงกลัว จะสู้รบอย่างเต็มที่ ไม่ยอมก้มหัวให้กับธุรกิจสีเทาที่เอาเปรียบประเทศ ไม่จำนนกับการทุจริตคอร์รัปชันกลั่นแกล้งคนที่สู้เพื่อรักษาผลประโยชน์ให้ประชาชนคนไทย

ทางกลับกันจะใช้ความต่ำตมเหล่านี้เป็นบันได ยกระดับการทำงาน ควบคุมภาคอุตสาหกรรมให้ใสสะอาด โปร่งใส รับใช้ประชาชน อย่างที่ทีมสุดซอยของ รมว.ยังเดินหน้ากวาดล้างทุนเทา โรงงานเถื่อนไม่มีหยุด ล่าสุดก็ปิดโรงงานขนขยะอิเล็กโทรนิกส์ผิดกฎหมายที่ฉะเชิงเทรา เพิ่มอีก3โรง

‘ทุนสามานย์ อำนาจมืด อิทธิพลแทรกแซง’ สิ่งเหล่านี้คือศัตรูที่เซาะกร่อนบ่อนทำลายบ้านเมือง ระบบราชการ อุตสาหกรรมไทย..ในขณะที่ชายบนเก้าอี้ยังชื่อ 'เอกนัฏ' เราพร้อม 'พัง' ให้หมดไปซะที

เก็บ300ล้านของพี่ไว้ชอปปิ้งเก้าอี้ ที่โฮมโปรเถอะครับ

‘ป.ป.ช.’ เผย ‘หมออ๋อง’ พ้น สส. แจ้ง!! เก็บเงินสดหลักพันบาท มีห้องชุด - ตึกแถว 3 ชั้นครึ่ง มีหนี้สินอีก 1.5 ล้านบาท

(25 ม.ค. 68) สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินของ ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และผู้ดำรงตำแหน่งระดับสูง กรณีเข้ารับตำแหน่ง จำนวน 31 คน และกรณีพ้นจากตำแหน่ง จำนวน 8 คน

ที่น่าสนใจรายของ นายปดิพัทธ์ สันติภาดา สส.พิษณุโลก กรณีพ้นจากตำแหน่งเมื่อวันที่ 7 ส.ค. 2567 แจ้งมีทรัพย์สิน 9,399,081 บาท ได้แก่ เงินสด 2 พันบาท เงินฝาก 26,463 บาท เงินลงทุน 451,288 บาท โรงเรือนและสิ่งปลูกสร้าง 8,690,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 229,330 บาท มีหนี้สิน 1,513,346 บาท มีรายได้รวมต่อปีโดยประมาณ 1,270,378 บาท เป็นเงินเดือน 1,170,378 บาท ขายรถกระบะ 1 แสนบาท รายจ่ายรวม 495,956 บาท

ส่วนนางปิยนุช สันติภาดา คู่สมรส เจ้าของกิจการ ‘อายตานิค พิษณุโลก’ มีทรัพย์สิน 2,544,121 บาท ได้แก่ เงินสด 5 พันบาท เงินฝาก 521,059 บาท เงินลงทุน 812,427 บาท ยานพาหนะ 863,000 บาท สิทธิและสัมปทาน 75,634 บาท ทรัพย์สินอื่น (ราคาตั้งแต่สองแสนบาทขึ้นไป) 267,000 บาท มีหนี้สิน 824,948 บาท รายได้รวม 373,312 บาท รายจ่ายรวม 256,046 บาท

บุตรที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ มีทรัพย์สิน 133,910 บาท ได้แก่ เงินสด 2,900 บาท เงินฝาก 110,984 บาท สิทธิและสัมปทาน 20,026 บาท ไม่มีหนี้สิน มีรายจ่ายรวม 182,000 บาท
รวมทั้งหมดมีทรัพย์สินทั้งสิ้น 12,077,113 บาท มีหนี้สินทั้งสิ้น 2,338,295 บาท

ทั้งนี้นางปิยนุช แจ้งในส่วนเงินลงทุนว่า มีร้านค้าอายตานิคพิษณุโลก ได้มาเมื่อ 24 ก.พ. 2563 มูลค่า 1 แสนบาท และถือหุ้นใน หจก.หวานสุภาพ ได้มาเมื่อ 3 ก.ค. 2566 มูลค่า 5 แสนบาท

มาตรการเด็ดสู้ PM2.5!! ให้ปชช.นั่งรถไฟฟ้า-ขสมก.ฟรี 7 วัน 25-31 ม.ค. นี้ คาดใช้งบกว่า 100 ล้าน ชดเชยผู้ประกอบการ

(24 ม.ค.68) รัฐบาลขอแสดงความมุ่งมั่นในการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM2.5 ที่สร้างผลกระทบต่อสุขภาพของประชาชนอย่างเร่งด่วน! นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เปิดเผยถึงมาตรการใหม่ในการลดมลพิษฝุ่นในกรุงเทพมหานครที่ได้รับคำสั่งจากนายกรัฐมนตรี โดยตั้งแต่วันที่ 25 มกราคม – 31 มกราคมนี้ จะให้ประชาชนสามารถใช้บริการรถไฟฟ้าทุกสายและรถขนส่ง ขสมก. ฟรีตลอด 7 วัน!

พร้อมกันนี้ รัฐบาลยังได้เตรียมงบกลางมูลค่า 140 ล้านบาท เพื่อชดเชยให้กับผู้ประกอบการรถไฟฟ้า เช่น BTS และ BEM ตามรายได้ที่สูญเสียจากการให้บริการฟรีในช่วงนี้ ซึ่งมาตรการนี้ถือเป็นความพยายามในการกระตุ้นให้ประชาชนเลือกใช้บริการขนส่งสาธารณะมากขึ้น ช่วยลดการใช้รถยนต์ส่วนตัว ลดฝุ่นควันในอากาศ และเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกคนในสังคม

นอกจากนี้ กระทรวงคมนาคมยังได้จัดตั้งจุดตรวจจับควันดำทั้งหมด 8 จุด เพื่อควบคุมและลดมลพิษทางอากาศอย่างเข้มงวด โดยมีจุดตรวจในหลายพื้นที่สำคัญของกรุงเทพฯ เช่น หน้าพิวเจอพาร์ครังสิต, ท่าเรือคลองเตย, หน้าสวนจตุจักร, และอีกหลายจุดสำคัญ รวมถึงการลงพื้นที่ของรัฐมนตรีที่ท่าเรือคลองเตยในวันนี้ เวลา 15.30 น.

ทางกระทรวงคาดการณ์ว่า มาตรการนี้จะช่วยเพิ่มการใช้บริการรถสาธารณะได้ถึง 20-30% และจะมีการประเมินผลหลังจาก 7 วัน ว่าจะขยายเวลาออกไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ค่าฝุ่น PM2.5 และการตอบรับจากประชาชน

นักเขียนชื่อดัง ชี้ ประชาธิปไตยแบบ 'สามนิ้ว' ไม่มีจริง หลังสหรัฐฯ ที่ยกเป็นต้นแบบถูก ‘ทรัมป์‘ สั่งจำกัดขยะแห่งเสรีภาพส่วนเกิน

(24 ม.ค. 68) นายปฏิพล อภิญญาณกุล นักเขียนชื่อดัง เผยแพร่บทความลงบนเฟซบุ๊กชื่อ Padipon Apinyankul มีเนื้อหาดังนี้ ประชาธิปไตยแบบ 'สามนิ้ว' .. ไม่มีจริง

สหรัฐอเมริกา เป็นประเทศเสรีที่คนกลุ่มหนึ่งยกย่องจนเกินเหตุ  ปั้นแต่งลวง ว่าด้วยเสรีภาพ สามารถแสดงออก ขู่ ด่า เรียกร้อง และต่าง ๆ นานาได้เสรี

ประชาธิปไตยแบบ 'สามนิ้ว' คืออะไร  ? .. 

คือความคิดเฉพาะกลุ่ม ที่ว่า ปัจเจกชนเป็นใหญ่กว่าสาธารณชน และปัจเจกชนมีสิทธิเสรีภาพ มากกว่ากฎหมายที่เขียนเอาไว้ 

แล้วโยงว่า กฎหมายที่เขียนไม่ตรงกับสิ่งที่ตนคิด จึงไม่ใช่กฎหมายประชาธิปไตย

จริง ๆ แล้ว ประชาธิปไตย 100 % ไม่เคยเกิดขึ้นจริงบนโลกใบนี้ เพราะ มันจะทำให้เกิดความวุ่นวาย ทุกคนจำมีเสรีภาพเท่าที่ข้อจำกัดของกฎหมายขีดกรอบเอาไว้

สังคมที่ดี ประเทศที่อยู่ได้ ต้องมีประชาธิปไตยที่เหมาะสม ที่ถูกออกแบบโดยมีกลวิธีควบคุม บังคับ .. ไม่ใช่เป็นแบบประชาธิปไตย 100 %

โดนัลด์ ทรัมป์ คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นถึงการพุ่งเป้าแก้ปัญหาประชาธิปไตย ที่ให้เสรีภาพมากเกินไปของสหรัฐอเมริกาในช่วงเวลาที่ผ่านมา  

ได้สร้างปัญหาขยะทางสังคม ขยะทางการบริหาร ขยะทางการเงินและทางการเมือง นานไว้จนแก้ไม่ได้

ทรัมป์จึงลงมือ จำกัดขยะแห่งเสรีภาพส่วนเกินต่าง ๆ เหล่านั้น 

เริ่มต้นจาก ถอนตัวออกจากข้อตกลงปารีส เกี่ยวกับการลดโลกร้อน.. 

สหรัฐเป็นเมืองอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ พลังงานถ่านหิน พลังงานไฟฟ้า พลังงานอื่น ๆ คือสิ่งที่สหรัฐต้องใช้

ควบคู่กัน สหรัฐกำลังพิจารณาระงับรถยนต์ไฟฟ้าของจีน เพราะรถยนต์ไฟฟ้าจีนเข้ามาตีตลาดสหรัฐ จนรถยนต์สันดาป (รถที่ใช้น้ำมัน) ของสหรัฐขายไม่ออก

การถอนตัวจากข้อตกลงโลกร้อน .. บวกกับการปิดกั้นรถยนต์ไฟฟ้า เท่ากับทำให้อุตสาหกรรมรถยนต์สันดาปของสหรัฐฟื้นจากซากศพ

ช่วยโลกร้อน แต่อุตสาหกรรมของสหรัฐแตก ประชาชนสหรัฐเดือดร้อน แล้วจะช่วยโลกร้อนทำไม .. 

เด่นสุด ซึ่งเป็นที่กรี๊ดกร๊าด เจี๊ยวจ๊าว ก็คือ 'การยกเลิกความหลากหลายทางเพศ' หรือยกเลิก LGBTQI+  

ทรัมป์ เซ็นกฎหมายให้หน่วยงานของรัฐทั้งหมดยอมรับเพียงแค่ 2 เพศ คือ 'ชาย และ หญิง'

การออกเอกสารต่าง ๆ บัตรประชาชน พาสปอร์ต ฯลฯ  ต้องระบุเพียง ชาย หรือ หญิงจะระบุช่องความหลากหลายทางเพศ แบบสมัยโจ ไบเดน.. ไม่ได้ 

และทรัมป์ยังรณรงค์ให้องค์กรเอกชน บริษัทเอกชน ทำตามนี้.. 

ความหลากหลายทางเพศ คือส่วนเกินเกะกะทำให้ประชาธิปไตยวุ่นวาย ในสายตาทรัมป์

ไม่แค่นั้น ยังมีการตรวจสอบการใช้เงินภาษีของรัฐ ว่าต้องไม่เอาไปส่งเสริม หรือสนับสนุน เกี่ยวกับกิจกรรมอัตลักษณ์ทางเพศต่าง ๆ

นี้ไง คือประเทศประชาธิปไตย ที่กลุ่มสามนิ้วเคยยกย่อง และอ้างเอาเป็นตัวบทแม่แบบ

สังคมต้องมีขอบกำหนด เหมือนกรอบรูป หรือขอบหนังสือ ล้นขอบก็เลอะเทอะ .. เช่นเดียวกับสิทธิเสรีภาพ

ประชาธิปไตยเกินไป ก็มีปัญหา .. พบว่ามีผู้ลี้ภัย ผู้หนีเข้ามา เต็มประเทศ ไร้บ้านนอนข้างถนนเต็มไปหมด

ทรัมป์จึงประกาศจะจัดการไล่ออกไป กั้นพรมแดน 

มีบางนักวิเคราะห์ บอกว่า ทรัมป์มีแนวคิดแบบจักรวรรดินิยม .. 

บ้างวิเคราะห์ไปไกลถึงกับว่า ความคิดการต้องการควบคุมทุกอย่างของทรัมป์ คล้ายกับ สีจิ้นผิง ปธน.ของจีน

นักวิเคราะห์เช่นนี้ คงเป็นหนึ่งในพวกประชาธิปไตยแบบ 'สามนิ้ว' .. .. น่าขันยิ่ง

การเปรียบเทียบแนวคิดของทรัมป์ ไปในทิศทางกับสีจิ้นผิง เป็นลักษณะของ อคตินิยม  

... คือเมื่อฝ่ายที่ตนยกขึ้นเชิดชูเป็นสัญลักษณ์ในใจ ทำไม่ได้ ทำไม่ดี ไม่ถูกใจตน .. ก็หาเรื่องโยงใยเข้ากับฝ่ายที่ตนเองไม่ชอบ เพื่อด้อยค่า

ประมาณพวกขี้แพ้ น้อยใจ แล้วประชด

หรือถ้าคิดเล่น ๆ ในมุมกลับ เพื่อตอบโต้นักวิเคราะห์พวกนั้น ว่า

ทรัมป์อยู่ในประเทศส้ม แต่ทรัมป์ดันเป็นสลิ่ม

ส้มเอาแต่เรียกร้อง แต่ไม่ยอมทำ ถึงทำก็ไร้ความสามารถ .. สลิ่มทรัมป์จึงอึดอัดกับวิถีทางของประเทศตนเอง

เมื่อทรัมป์ เห็นสีจิ้นผิงไปไหนมาไหน แลดูยิ่งใหญ่ .. แต่ไฉนตัวเอง ยิ่งดู ยิ่งต่ำ

ทรัมป์จึงยอมรับไม่ได้ ..

เพราะสีจิ้นผิงไปไหนมาไหน มีแต่คนยกมือขึ้น 5 นิ้ว โบกทักทาย

แต่ทรัมป์ไปไหนมาไหน เห็นคนยกแต่นิ้วกลาง ทักทาย

ไม่เอาแล้วประชาธิปไตย .. 
ทรัมป์จึงอยากลองเป็นคอมมิวนิสต์บ้าง

‘เอกนัฏ‘ ลั่น เดินหน้าทำเพื่อผลประโยชน์ประเทศชาติ หลังแฉกลางสภา! มีไอ้โม่งจ้องย้าย ‘รัฐมนตรี’ ค่าตัว 200-300 ล้าน

‘เอกนัฏ’แฉกลางสภาฯไอ้โม่งจ้องย้าย‘รัฐมนตรี’ ค่าตัว 200-300 ล้าน ลั่นไม่กลัว มีหน้าที่ยึดประโยชน์ส่วนรวม แจงตอบกระทู้เปล่าเลือกปฏิบัติปิด‘โรงงานน้ำตาล’ที่อุดรธานี แจงผลสอบรับซื้ออ้อยเผา 40% เป็นนโยบายรัฐบาล ช่วยลดปัญหาฝุ่นพิษ ไร้เส้นแบ่งระหว่างพรรค

(23 ม.ค. 68) ที่รัฐสภา ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ที่มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ทำหน้าที่ประธานการประชุม พิจารณากระทู้ถามสดของนายธีระชัย แสนแก้ว สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทยเรื่องการปิดโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี จ.อุดรธานี ถามนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รมว.อุตสาหกรรมว่า เป็นการเลือกปฏิบัติหรือไม่ เนื่องจากพื้นที่ที่พบว่ามีรับซื้ออ้อยเผาสูงกว่า จ.อุดรธานี ไม่พบการสั่งปิดโรงงานเพราะรับซื้ออ้อยเผาเกิน 25%

ด้านนายเอกนัฏ ชี้แจงว่า ยืนยันว่าไม่มีการเลือกปฏิบัติแน่นอน และตั้งแต่ตนทำหน้าที่รมว.อุตสาหกรรม ไม่ใช่นั่งเฉยๆในห้องแอร์ แต่ได้ลงพื้นที่ตรวจจับและจัดระบบใหม่ในภาคอุตสาหกรรม ปัญหากากอุตสาหกรรม สินค้าด้อยคุณภาพนำเข้าประเทศ ตนสั่งปิดและจับ ดำเนินคดีเด็ดขาด

“ส่วนกรณีที่มีการวางค่าตัวไว้ว่ามีเงิน 200-300 ล้านบาท เพื่อย้ายรัฐมนตรี ผมไม่กลัวเพราะผมมีหน้าที่ที่ต้องการรักษาประโยชน์ของส่วนรวม” นายเอกนัฏ กล่าว 

นายเอกนัฏ กล่าวว่า ทั้งนี้การช่วยเหลืออ้อยสด 120 บาท เสนอเข้าครม.เมื่อเดือนพ.ย. 67  แต่ขณะนี้ ครม. ยังไม่มีมติ อย่างไรก็ดีแนวทางที่จะดำเนินการนั้นต้องการสร้างมูลค่าเศรษฐกิจ ที่ให้ของเหลืออ้อย เช่น ใบ ชานอ้อย ไปผลิตไฟฟ้าเพื่อจำหน่าย เพื่อให้เกษตรกรตัดใบส่งขายให้โรงงานหากกำหนดราคาที่เป็นธรรม โรงงานจะได้ และเกษตรกรมีรายได้เสริม โดยการวางระบบดังกล่าวจะทำให้ทันก่อนฤดูกาลหน้าที่จะเปิดหีบอ้อย

“การปิดโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี เป็นภารกิจของรัฐบาล ช่วยลดฝุ่นPM 2.5 ที่เป็นปัญหาระดับประเทศ โดยการแก้ปัญหาดังกล่าวไม่มีเส้นแบ่งระหว่างพรรคการเมืองหรือ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงใด แต่เป็นภารกิจที่นายกฯ ให้ความสำคัญ ทั้งนี้เป็นความตั้งใจของผมที่ต้องการให้ลดการเผาอ้อย โดยล่าสุดพบอัตราการเผาอยู่ที่ 11% ที่ถือว่าต่ำที่สุดบางทีการตัดสินใจไม่ง่าย แต่ต้องช่วยกัน โดยแก้ปัญหามีต้นทุนที่ต้องจ่าย สำหรับโรงงานน้ำตาลไทยอุดรธานี ที่ถูกปิด อุตสาหกรรมจังหวัดเข้าตรวจสอบพบว่ามีการรับซื้ออ้อยสูงสุดปริมาณ 4แสนตัน พบเป็นเปอร์เซ็นต์ที่ซื้ออ้อยเผา40% ถือว่าสูงสุด ” นายเอกนัฏ ชี้แจง

นายเอกนัฏ กล่าวต่อว่า สำหรับมาตรการในปีนี้ชัดเจนตั้งแต่ ต.ค. 67 ได้แจ้งในการประชุมคณะกรรมการอ้อยและน้ำตาลทราย มีโรงงานและเกษตรกร เมื่อต.ค.67 มีการขอความร่วมมืองดการเผา เกินวันละ 25% และให้โรงงานรับซื้ออ้อยเผาเกิน 25%  ทั้งนี้มีมติ ครม.ที่ส่งมาถึงตน ขอให้กระทรวงเพิ่มมาตรการงดรับอ้อยเผาโดยสิ้นเชิง  ทั้งนี้ปัญหาการไม่รับซื้ออ้อยเผาที่จ.อุดรธานี ตนได้ช่วยแก้ปัญหาและทราบว่ามีการเคลียร์อ้อยที่ค้างการรับซื้อทั้งหมดแล้ว ส่วนที่พบว่ามีอ้อยเน่านั้นจะมีมาตรการเยียวยาต่อไป

‘ลอรี่‘ สวน ‘เท้ง’ ศึกษาให้ดีก่อนโบ้ยรัฐบาลปล่อยประ ย้ำ ก.อุตฯ ลดอ้อยเผา - ลด PM 2.5 ได้มากสุดใน ประวัติศาสตร์

(23 ม.ค. 68) นายพงศ์พล ยอดเมืองเจริญ เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมและโฆษกกระทรวงอุตสาหกรรม เปิดเผยถึงกรณีมีการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลจากนายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน รัฐบาลปล่อยปละให้มีการเผาพื้นที่เกษตรมากกว่าปีไหนๆ อันเป็นสาเหตุให้เกิด PM2.5 ว่า 

ในฐานะที่ทางกระทรวงอุตสาหกรรมเป็นหน่วยงานที่กำกับดูแลพืชอ้อยผ่านการกำกับดูแลโรงงานน้ำตาลนั้น นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรมได้ดำเนินการทุกมาตรการในอำนาจหน้าที่เพื่อลดการเผาอ้อยอย่างเด็ดขาด โดยเฉพาะการปิดหีบอ้อย ช่วงเทศกาลปีใหม่, หยุดรับอ้อยเผาสัปดาห์วันเด็ก, ปิดโรงงานน้ำตาล ที่ก่อให้เกิดความอันตราย ทำให้สัดส่วนของอ้อยเผาต่ำที่สุดในประวัติศาสตร์ คือ อยู่ที่ 17.83% เท่านั้นจากในช่วง 5 ปีก่อนมีสัดส่วนอ้อยเผาถึง 61.1% จึงไม่ใช่อย่างที่มีการกล่าวอ้างว่าพืชทุกชนิดมีการเผาเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากพืชอ้อยมีสัดส่วนการเผาลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ 

สำหรับมาตรการสนับสนุนอ้อยสดจากทางคณะรัฐมนตรีนั้น ขอเรียนว่าเนื่องจากกระทรวงอุตสาหกรรมได้ตระหนักถึงปัญหาการเผาซึ่งก่อให้เกิด PM2.5 จึงได้มีการส่งเรื่องไปถึง ครม. ก่อนฤดูกาลเปิดหีบที่จะรับซื้ออ้อยเข้าโรงงาน ในขณะนี้ยังอยู่ในกรอบระยะเวลาของการพิจารณาซึ่งไม่ได้ล่าช้าแต่อย่างใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเที่ยบกับปี 2563-2565 ที่มีการอนุมัติในช่วงเดือนมิถุนายน ครั้งนี้จึงเป็นครั้งแรกที่มีช่วงเวลาให้เกษตรกรผูปลูกอ้อยได้มีการเตรียมความพร้อม

นอกจากมาตรการสนับสนุนอ้อยสดที่ได้เสนอให้ทาง ครม. พิจารณาแล้ว ทางกระทรวงอุตสาหกรรมยังได้เพิ่มเติมการสนับสนุนใบอ้อยด้วย เพื่อลดการเผาอ้อยอย่างครบวงจร 

จึงขอเรียนไปยังประชาชนเพื่อให้รับรู้รับทราบข้อมูลอย่างรอบด้านต่อไป เพื่อมิให้ข้อมูลที่ขาดเคลื่อนส่งผลเสียต่ออุตสาหกรรมอ้อยและน้ำตาล ที่ทุกภาคส่วนต่างร่วมมือร่วมแรงอย่างเต็มที่เพื่อแก้ปัญหาการเผาอ้อย

‘อนุ กมธ. ขับเคลื่อนนโยบายบริหารราชการรูปแบบพิเศษ’ จี้ ‘กทม.’ ทำงานเชิงรุก บังคับใช้กฎหมายเข้มแก้ฝุ่น PM 2.5

(22 ม.ค. 68) คณะอนุกรรมาธิการศึกษาและติดตามการขับเคลื่อนนโยบายการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ ในคณะกรรมาธิการการกระจายอำนาจ การปกครองส่วนท้องถิ่นและการบริหารราชการรูปแบบพิเศษ สภาผู้แทนราษฎร ได้มีการประชุมเพื่อพิจารณาการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร โดยมีผู้อำนวยการสำนักสิ่งแวดล้อม กรุงเทพมหานคร เข้าร่วมประชุมกับคณะอนุกรรมาธิการ

ที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาและรับฟังข้อมูล ความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ฝุ่น PM 2.5 ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร การจัดทำแผนลดฝุ่นและแผนบริหารจัดการฝุ่น PM 2.5 ตลอดจนการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานคร ซึ่งคณะอนุกรรมาธิการได้เสนอกรณีศึกษาการดำเนินการของต่างประเทศเพื่อเป็นต้นแบบให้กรุงเทพมหานครพัฒนาวิธีการแก้ไขปัญหา PM 2.5 ให้เป็นในเชิงรุกมากขึ้น โดยขอให้กรุงเทพมหานครยึดหลักปฏิบัติเหมือนประเทศเกาหลีใต้ "คุณภาพชีวิตของประชาชนยิ่งใหญ่กว่าเงินตราที่เสียไป (The value of human beings is far greater than that of money)" พร้อมทั้งคณะอนุกรรมาธิการได้มีข้อเสนอแนะให้พิจารณามาตรการ ปิดไซท์ก่อสร้างเพื่อเป็นการกดดันรถบรรทุกที่ปล่อยควันดำในทางอ้อม และติดตั้งป้ายเตือนค่าฝุ่น PM ในบริเวณสถานที่สาธารณะ เช่น ป้ายรถเมล์ และทางเข้าสวนสาธารณะทุกแห่งเพื่อให้เป็นมาตรการระยะสั้น และสำหรับมาตรการระยะยาว จากที่มีการประกาศกำหนดเขตมลพิษต่ำ Low Emission Zone ซึ่งมีผลบังคับใช้ในวันที่ 23 – 24 มกราคม 2568 นั้น อนุกรรมาธิการขอให้ปรับหลักเกณฑ์ ให้มีความเข้มข้นมากขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหาในเชิงรุกมากกว่านี้

สำหรับเรื่องการปิดโรงเรียน คณะอนุกรรมาธิการได้ตั้งคำถามว่าโรงเรียนที่ปิดไปแล้วมีการเรียนออนไลน์หรือไม่หรือไม่มีการเรียนการสอนเลย ซึ่งก็ได้รับคำตอบว่าในบางโรงเรียนมีการเรียนออนไลน์ และในบางโรงเรียนสามารถจัดการเรียนการสอนชดเชยได้ ซึ่งกรณีนี้หากกรุงเทพมหานครออกประกาศกำหนดพื้นที่ควบคุมเหตุรำคาญ จะสามารถแจ้งผู้ปกครองล่วงหน้าให้เตรียมความพร้อมและแผนรับมือเพื่อป้องกันและแก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่องควบคู่ไปกับการเรียน

นอกจากการพิจารณาปัญหาฝุ่น PM 2.5 ในกรุงเทพมหานครแล้ว คณะอนุกรรมาธิการยังได้มีการพิจารณาการดำเนินโครงการก่อสร้างทางยกระดับอ่อนนุช – ลาดกระบัง ของกรุงเทพมหานคร ซึ่งขณะนี้การดำเนินโครงการยังมีความล่าช้ากว่าแผนที่กำหนด เนื่องจากมีการปรับแบบของโครงการใหม่ และภายหลังเหตุการณ์ทางยกระดับทรุดตัวเมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม 2566 บริษัทผู้รับเหมาก่อสร้างได้ดำเนินการเยียวยากลุ่มผู้ได้รับความเสียหายโดยตรงเสร็จสิ้นทั้งหมดแล้ว เป็นเงินจำนวน 8,280,886 บาท (แปดล้านสองแสนแปดหมื่นแปดร้อยแปดสิบหกบาท) สำหรับกลุ่มผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ดำเนินการเยียวยาเสร็จสิ้นแล้ว 356 ราย คงเหลือ 25 ราย ที่อยู่ระหว่างการเจรจา

คณะอนุกรรมาธิการยังได้มีการพิจารณาเรื่องร้องเรียนขอความเป็นธรรมกรณีการจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรโรยัลปาร์ควิลล์ ซึ่งเมื่อคณะอนุกรรมาธิการรับฟังข้อมูล ข้อเท็จจริงจากผู้เกี่ยวข้องแล้ว ได้แนะนำให้ผู้ร้องประสานงานกับกรมที่ดินเพื่อดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมเอกสารประกอบการยื่นคำขอจัดตั้งนิติบุคคลให้ถูกต้อง ครบถ้วนตามหลักเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนด แล้วจึงยื่นคำขอจัดตั้งนิติบุคคลหมู่บ้านจัดสรรอีกครั้ง

เรื่องสำคัญอีกประการหนึ่งที่คณะอนุกรรมาธิการได้พิจารณาคือปัญหาที่อยู่อาศัยของข้าราชการและลูกจ้างกรุงเทพมหานคร ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมาอาคารสงเคราะห์ไม่เคยได้รับการปรับปรุงซ่อมแซมทั้งระบบ จึงเป็นเหตุให้โครงสร้างอาคารชำรุดทรุดโทรม ระบบสาธารณูปโภคเสื่อมสภาพ เกิดท่อรั่วท่อแตก ระบบความปลอดภัยใช้การไม่ได้ และมีห้องพักชำรุดไม่สามารถจัดคนเข้าพักอาศัยได้กว่าหนึ่งพันห้อง ทั้งนี้ คณะอนุกรรมาธิการเห็นว่าหากกรุงเทพมหานครได้รับการจัดสรรงบประมาณรายจ่ายประจำปี พ.ศ. ๒๕๖๘ เพื่อปรับปรุงอาคารสงเคราะห์ข้าราชการและลูกจ้างประจำของกรุงเทพมหานครให้ครอบคลุมทั้งระบบ จะส่งผลให้การบริหารจัดการเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากจะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการบำรุงและซ่อมแซมอาคารสงเคราะห์ สามารถนำรายรับไปปรับปรุงและพัฒนาสภาพแวดล้อม และสิ่งอำนวยความสะดวกให้ผู้พักอาศัยมีคุณภาพชีวิตที่ดีแล้ว ยังสามารถช่วยบรรเทาความเดือดร้อนด้านที่พักอาศัยให้ข้าราชการและลูกจ้างประจำที่ขึ้นบัญชีรอเข้าพักอาศัยกว่าหนึ่งพันครอบครัว ซึ่งจะเป็นขวัญกำลังใจให้แก่ผู้ปฏิบัติงาน มีแรงขับเคลื่อน และมุ่งมั่นในการปฏิบัติราชการให้แก่กรุงเทพมหานครอย่างเต็มกำลังความสามารถต่อไป

นายกฯ ใช้ AI พูดภาษาจีน สร้างความเชื่อมั่น นทท. จีน เที่ยวไทยปลอดภัย ต้อนรับตรุษจีน

นายกฯ สื่อสารภาษาจีนผ่าน AI สร้างความเข้าใจ และเชื่อมั่นในความปลอดภัยของ นนท.จีนในไทย

(22 ม.ค. 68) นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี สื่อสารถึงนักท่องเที่ยวชาวจีนผ่าน ‘เทคโนโลยี AI’ ที่ช่วยแปลภาษาจากไทยเป็นจีน เพื่อสร้างความเข้าใจและความเชื่อมั่นให้แก่นักท่องเที่ยวชาวจีนถึงความปลอดภัยของการท่องเที่ยวในประเทศไทย

โดยรัฐบาลได้เดินหน้ายกระดับมาตรฐานความปลอดภัยในการเดินทางเข้าประเทศไทย และพัฒนาระบบให้ความช่วยเหลือนักท่องเที่ยว เพื่อต้อนรับนักท่องเที่ยวชาวจีนทุกท่าน พร้อมเชิญชวนพี่น้องชาวจีนเดินทางมาประเทศไทยเพื่อร่วมเฉลิมฉลองเทศกาลตรุษจีนที่จะมาถึงนี้และในโอกาสที่ปีนี้ครบรอบความสัมพันธ์ทางการทูต 50 ปี ระหว่างสาธารณรัฐประชาชนจีนและประเทศไทย

เลขา กกต. แจงปมจัดเลือกตั้ง อบจ. วันเสาร์ที่ 1 ก.พ. 68 อ้างต้องทำให้เสร็จภายใน 45 วัน ทั้งที่ 2 ก.พ. ยังอยู่ในกรอบเวลา

(21 ม.ค. 68) ขอเหตุผลที่ดีของ กกต.ในการจัดเลือกตั้ง อบจ.วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์

ที่ประชุมวุฒิสภาสอบถามสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ว่า ทำไมจัดการเลือกตั้งนายกฯอบจ.และ ส.อบจ.วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ มั้ง ๆ ที่ก่อนหน้ามีการคาดการณ์กันว่า น่าจะเลือกตั้งวันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ และที่ผ่านมาก็จัดเลือกตั้งวันอาทิตย์มาโดยตลอดหลายสิบปีมาแล้ว ก็ไม่เห็นมีปัญหาอะไร

ตามกฎหมายเลือกตั้งผู้บริหารและสมาชิกสภาท้องถิ่นกำหนดไว้ว่า ถ้าลาออก หรือพ้นจากตำแหน่งด้วยเหตุใดก็ตามเว้นหมดวาระ ให้เลือกตั้งใน 60 วัน

แต่ถ้าอยู่จนครบวาระ จะต้องเลือกตั้งใน 45 วัน นายกฯอบจ.และ ส.อบจ.ที่กำลังจะเลือกตั้งใหม่ในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ คือชุดที่อยู่จนครบวาระ 4 ปี เมื่อวันที่ 19 ธันวาคมที่ผ่านมา

แสวง บุญมี เลขาธิการสำนักงาน กกต.อธิบายต่อที่ประชุมวุฒิสภาเพียงสั้นๆว่า

“การเลือกตั้ง 1 ก.พ. นั้น กกต.มีหน้าที่รักษากระบวนการเลือกตั้งให้สำเร็จ หากเกินจากนั้นเวลาที่กฎหมายกำหนด อาจมีคนไปร้องและทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะได้ ดังนั้นต้องรักษากระบวนการการเลือกตั้ง ทั้งนี้ตนเข้าใจคนที่ลงแข่งขันอยากให้ประชาชนมีส่วนร่วม แต่กกต.ต้องรักษาระบบ” นายแสวง ชี้แจง

นายกฯอบจ. และ ส.อบจ.ชุดที่กำลังจะมีการเลือกตั้งใหม่หมดวาระ 19 ธันวาคม นับไป 45 วัน เดือนธันวาคม 11 วัน คือตั้งแต่ 20 ธันวาคม ถึง 31 ธันวาคม เป็น 11 วัน เดือนมกราคม 31 วัน ถ้าเลือกตั้ง 1 กุมภาพันธ์ เท่ากับ 43 วัน ถ้าเลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์ เท่ากับ 44 วัน ยังงัยก็ไม่เกิน 45 วัน

ก็ไม่เข้าใจว่า นายแสวง บุญมี เอาตรรกะอะไรมาอธิบายว่า ต้องรักษากระบวนการเลือกตั้งให้แล้วสำเร็จ คืออะไร หมายถึงอะไร จริงๆ กกต.นอกจากต้องจัดการเลือกตั้งให้สำเร็จแล้ว กกต.ยังมีหน้าที่ในการจัดการเลือกตั้งให้เป็นไปด้วยความบริสุทธิ์ เที่ยงธรรม และชอบด้วยกฎหมาย

แต่การเลือกตั้งที่ผ่านมา เต็มไปด้วยข้อครหาทุจริตการเลือกตั้ง มีการซื้อสิทธิ์ขายเสียงในการเลือกตั้งทุกระดับที่ กกต.จัดให้มีการเลือกตั้ง แม้กระทั่งการเลือก สว.ครั้งที่ผ่านมา ยังมีเรื่องร้องเรียน ฟ้องศาลกันเต็มไปหมดเป็น 100 เรื่อง และถึงขั้นมีการเรียกร้องให้ยุบทิ้ง กกต.ก็มี

อยากจะถามไปยังเลขาฯ กกต.และคณะกรรมการการเลือกตั้งว่า การกำหนดวันลงคะแนนเลือกตั้งนายกฯอบจ.และ ส.อบจ.เป็นการตัดสินใจบนพื้นฐานอะไร เหตุผลที่แท้จริงคืออะไร กลัวคนไปร้องเรียนเรื่องอะไร

ส่วนตัวผมเองฟังแสวงอธิบายต่อ สว.แล้วไม่เข้าใจ เพราะอย่าลืมว่า วันเสาร์ผู้มีสิทธิ์บางคนทำงาน อาจไม่ได้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง อันเป็นการทำให้คนเสียสิทธิ์ ซึ่งเป็นสิทธิ์ขั้นพื้นฐานของระบอบประชาธิปไตย

หาเหตุผลใหม่มาอธิบายเถอะ เหตุผลที่อธิบายสั้นๆ มันฟังไม่ขึ้น อย่าแถไปข้างๆคูๆเลย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top