Wednesday, 30 April 2025
NEWS

สะเทือนหวยใต้ดิน!! ครม. ไฟเขียว ออกหวยแบบใหม่ 6 และ 3 หลัก เล็งขายใบละ 20-40 บาท จ่ายไม่ต่ำกว่าบาทละ 70

(14 มี.ค.66) พ.ท.หนุน ศันสนาคม ผู้อำนวยการสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล เปิดภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ที่ประชุมครม.เห็นชอบตามที่กระทรวงการคลังเสนอ ในการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล คือ สลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 6 หลัก (L6) และสลากกินแบ่งรัฐบาลแบบตัวเลข 3 หลัก (N3) โดยที่ประชุม ได้สั่งการให้สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ไปจัดทำร่างประกาศกำหนดประเภทและรูปแบบสลากกินแบ่งรัฐบาลรูปแบบใหม่ เพื่อนำมาเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาเห็นชอบอีกครั้ง

ทั้งนี้ การจัดทำประกาศสลากรูปแบบใหม่ สำนักงานสลากฯ ได้จัดทำแล้วเสร็จทั้งหมดแล้ว แต่ในชั้นการเสนอ ครม. เป็นการนำเนื้อหาสาระสำคัญ เข้าพิจารณาเห็นชอบก่อน ซึ่งที่ประชุม ครม. ต้องการให้สำนักงานสลากฯ เสนอประกาศฉบับเต็มให้พิจารณาด้วย ซึ่งสำนักงานสลากฯ จะไปพิจารณาเตรียมนำกลับเข้ามาเสนอ ครม.อีกครั้งโดยเร็วที่สุด และเชื่อว่าไม่มีผลกระทบให้ล่าช้า แม้จะเป็นรัฐบาลรักษาการก็ยังสามารถเห็นชอบรายละเอียด ตามที่ ครม.ได้เห็นชอบในหลักการไปแล้วได้

“ครม.วันนี้เป็นเพียงเห็นชอบในหลักการให้สำนักงานออกผลิตภัณฑ์ใหม่ได้ หลังจากนี้ก็ต้องไปจัดทำประกาศ เพื่อมาเสนอ ครม.อีกครั้งหนึ่ง ส่วนรูปแบบเกมการเล่น การจ่ายเงินรางวัล ราคาสลาก ไม่มีการเสนอให้ ครม.พิจารณา เพราะเป็นรายละเอียด รูปแบบ ที่สำนักงานสลากฯ ต้องไปพิจารณากำหนดหลังจากนี้” พ.ท.หนุน กล่าว

มีรายงานว่า ที่ประชุม ครม. เห็นชอบในหลักการออกตามที่กระทรวงการคลังและสำนักงานสลากฯ เสนอ โดยให้ความห่วงใยใน 3 ประเด็น คือ 1.จะสามารถควบคุมราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลได้หรือไม่ โดยสำนักงานสลากฯชี้แจงว่า สามารถควบคุมได้ จากที่ผ่านมามีการออกผลิตภัณฑ์สลากหลายประเภท ก็สามารถช่วยลดราคาสลากกินแบ่งรัฐบาลลงมาได้

2.จะช่วยลดปัญหาหวยใต้ดินหรือไม่ สำนักงานสลากฯ ชี้แจงว่า ว่าจะสามารถลดได้ เพราะการซื้อสลาก 1 ใบ มีสิทธิ์ถูกรางวัลถึง 4 รางวัล คือ 3 ตัวตรง 3 ตัวสลับ 2 ตัวตรง และ แจ็คพ็อต ซึ่งต่างจากหวยใต้ดินที่ซื้อ 1 ครั้งลุ้นเพียง 1 รางวัล และ 3.จะช่วยเหลือผู้มีรายได้น้อย และ ตัวแทน เพิ่มขึ้นหรือไม่ ซึ่งสำนักงานสลากฯ ชี้แจงว่า การขายสลากตัวเลข 3 หลัก จะมีเพิ่มตัวแทนจำหน่าย จากสลากกินแบ่งรัฐบาลในปัจจุบัน

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้นายธนวรรธน์  พลวิชัย กรรมการและโฆษกคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาล ออกมาระบุถึงสลากรูปแบบใหม่ได้แก่ ลอตเตอรี่ 6 หรือแอล 6 และสลากเลข 3 หลักหรือเอ็น 3 หลังจากสำนักงานสลากฯ ได้เปิดรับฟังความคิดเห็นจากประชาชน และได้ดำเนินการแก้ไขรายละเอียดเรียบร้อยแล้ว หาก ครม.เห็นชอบ จะสามารถดำเนินการขายได้ภายใน 6 เดือน หรือไม่เกินไตรมาส 3 ปีนี้ แต่สิ่งที่จะพิจารณาใหม่คือ ราคาขาย จากเดิมที่ใบละ 50 บาท อาจเป็นใบละ 20 หรือ 40 บาท เพื่อสู้ราคาหวยใต้ดิน โดยสัดส่วนการจ่ายเงินรางวัลยังเท่าเดิมคือ ขั้นต่ำที่ถูกรางวัลไม่ต่ำกว่าบาทละ 70 บาท

สำหรับสลาก L6 - N3 คือ สลากรูปแบบใหม่ที่สำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาลเตรียมที่จะนำออกมาจำหน่ายในรูปแบบดิจิทัล เพื่อทดแทนสลากดิจิทัลที่ปัจจุบันนำสลากใบมาสแกนหรือถ่ายภาพมาจำหน่ายผ่านระบบดิจิทัลในแอปพลิเคชันเป๋าตัง ซึ่งได้ดำเนินการมาระยะหนึ่งแล้ว เพื่อเป็นหนึ่งในแนวทางการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคา โดยสลากดิจิทัลถูกกำหนดให้ขายในราคาไม่เกิน 80 บาท โดยการออกรางวัลจะอิงกับการออกรางวัลในปัจจุบัน

‘พงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์’ ถอดบทเรียนอวสาน Silicon Valley Bank  โอกาส ‘โดมิโนเอฟเฟกต์’ เป็นไปได้แค่ไหน?

จากกรณี สหรัฐอเมริกา สั่งปิดกิจการ Silicon Valley Bank (SVB) ซึ่งเป็นธนาคารขนาดใหญ่อันดับที่ 16 ของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยมีสินทรัพย์ประมาณ 200,000 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นเงินไทยประมาณ 7 ล้านล้านบาท เกิดปัญหาสภาพคล่องทางการเงิน ทำให้ลูกค้าเจ้าของบัญชีแห่ถอนเงิน จนทางการต้องสั่งปิดกิจการ และให้ Federal Deposit Insurance Corporation (FDIC) ซึ่งเป็นสถาบันที่ให้ประกันเงินฝากจากความล้มเหลวของธนาคาร มาเป็นผู้ดูแลสินทรัพย์ของ SVB โดยจะขายสินทรัพย์ของธนาคารเพื่อจ่ายเงินคืนให้แก่ผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ธนาคาร จากกระแสข่าวดังกล่าวสร้างความตื่นตัวให้กับภาคเศรษฐกิจ การเงิน การธนาคารของไทย รวมถึงคำถามจากประชาชนผู้ฝากเงินกับธนาคารในประเทศไทยว่าจะเกิดเหตุการณ์เช่นนี้ได้หรือไม่ 

ทีมข่าว THE STATES TIMES ได้สัมภาษณ์ คุณพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อดีตรองปลัดกระทรวงการคลัง ถึงกรณีดังกล่าวว่าจะมีผลกระทบวงกว้างต่อโลกและประเทศไทยแค่ไหน โดยกล่าวว่า “SVB เริ่มมีฐานะการเงินเลวร้ายลง โดยเฉพาะในช่วงที่อัตราดอกเบี้ยสหรัฐฯ ปรับขึ้น SVB จึงพยายามที่จะเพิ่มทุนจดทะเบียน ประมาณ 2.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ เพื่อให้มีชีวิตอยู่ต่อได้ แต่ก็ไม่สามารถเพิ่มทุนได้  ทำให้แผนการเพิ่มทุนจึงล้มไป ส่งผลให้หุ้น SVB ตกต่ำลงอย่างมาก ลดลง 60% ในครั้งแรก และลดลงอีก 70%” 

ส่วนสาเหตุที่ SVB ถูกปิดกิจการนั้น คุณพงษ์ภาณุ กล่าวว่า “SVB ทำหน้าที่เป็นนายธนาคารของธุรกิจ Startup ในสหรัฐอเมริกา ย่าน Silicon Valley ซึ่งเป็นย่านธุรกิจไฮเทค โดย SVB ปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจเหล่านี้ ซึ่งเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง ธนาคารทั่วไปจะไม่ปล่อย เพราะธุรกิจ Startup ไม่มีทรัพย์สินเพียงพอที่จะมาวางเป็นหลักประกันเงินกู้ให้แบงก์ โดย Silicon Valley ในช่วงที่ผ่านมาก่อนดอกเบี้ยจะปรับขึ้น มีธุรกิจที่ขยายตัวเร็วมาก มีเงินฝากเพิ่มและปล่อยสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม เงินฝากเพิ่มขึ้นมากกว่าสินเชื่อ เพราะตอนนั้นสภาพคล่องในธุรกิจไฮเทค ค่อนข้างสูง เกิด Mix & Match ระหว่างเงินฝากกับสินเชื่อ สภาพคล่องที่มีมากเกินไปโดยนำไปลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ถึง 2 ใน 3 ของสินทรัพย์ที่แบงก์มีอยู่ ปล่อยเป็นสินเชื่อเพียง 1 ใน 3 ซึ่งเป็นสถานะของแบงก์ SVB ในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤต

“พอปี 2022 โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ได้ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็ว เพื่อต่อต้านเงินเฟ้อที่เกิดในสหรัฐอเมริกาอย่างไม่มีทางเลือก เพราะต้องควบคุมเงินเฟ้อตามที่วางเป้าหมายไว้ เมื่อดอกเบี้ยในสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว พันธบัตรที่ธนาคาร SVB ลงทุนไป ตอนเริ่มลงทุนรัฐบาลสหรัฐฯ ดอกเบี้ยต่ำ ราคาพันธบัตรแพง เมื่อดอกเบี้ยขึ้น ราคาพันธบัตรก็ลดลง แม้ว่าพันธบัตรรัฐบาลจะไม่มีความเสี่ยงทางด้านเครดิต แต่อย่างไรก็ตามมีความเสี่ยงทางด้านดอกเบี้ย ถ้าดอกเบี้ยขึ้นแรง ก็จะทำให้ราคาพันธบัตรลดลง พอ SVB เริ่มมีปัญหา จึงจำเป็นต้องขายพันธบัตรนี้ออกไป เพื่อนำเงินมาใช้จุนเจือสภาพคล่องของตัวเองโดยขายพันธบัตรราคาถูก ทำให้ SVB ขาดทุนจำนวนมาก ถึง 2,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จึงพยายามเพิ่มทุนโดยเสนอ FDIC ปรากฏว่าเพิ่มทุนไม่สำเร็จ จึงเป็นที่มาของการปิดกิจการ ไม่สามารถชำระคืนเงินผู้ฝากได้ โดยสรุปแล้ว SVB ประสบปัญหาขาดทุนจากการลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลซึ่งมีความเสี่ยงด้านอัตราดอกเบี้ย”

เมื่อถามถึงความกังวลในระดับโลกว่ามีโอกาสเกิดโดมิโนหรือวิกฤติเศรษฐกิจรอบใหม่หรือไม่? คุณพงษ์ภาณุ กล่าวว่า “ไม่น่าจะมีโอกาสสูงนัก แต่ไม่ใช่ว่าจะไม่มีโอกาส SVB เป็นแบงก์ที่ปล่อยสินเชื่อน้อย ลงทุนตราสารการเงินค่อนข้างเยอะ แบงก์โดยทั่วไป ถ้าดูงบดุลแบงก์ ทางด้านหนี้สินแบงก์มีเงินฝากจากประชาชนเข้ามา แล้วนำเงินฝากไปปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจ ไปปล่อยลงทุนในหลักทรัพย์ ซึ่ง SVB ปล่อยสินเชื่อน้อย ลงทุนเยอะ แต่แบงก์อื่นๆในสหรัฐอเมริกาจะปล่อยสินเชื่อมากกว่าลงทุน เพราะฉะนั้นสินเชื่อสามารถปรับดอกเบี้ยให้ขึ้นได้ ถ้าเกิดลงทุนในหลักทรัพย์ที่เป็น FIXED INCOME ดอกเบี้ยไม่ขึ้น แต่ถ้าเป็นพันธบัตรระยะยาว ดอกเบี้ยคงที่ เพราะฉะนั้นราคาจึงต้องปรับตัวลดลง แบงก์ส่วนใหญ่ในสหรัฐอเมริกา เป็นแบงก์ที่ปล่อยสินเชื่อ สามารถมีความยืดหยุ่นได้มากกว่า SVB เป็นสิ่งที่คิดว่าไม่น่าจะเกิดเหตุการณ์นี้ลุกลามไปยังแบงก์อื่นๆ อาจจะจำกัดอยู่แค่แบงก์ SVB” 

เมื่อถามว่า ประเทศไทยควรถอดบทเรียนจากกรณีข้างต้นเพื่อรับมือได้อย่างไร? คุณพงษ์ภาณุ กล่าวว่า “ประเทศไทยหนีไม่พ้นกับการที่ดอกเบี้ยปรับขึ้น จากที่เป็นดอกเบี้ยขาขึ้น ประเทศไทยมีหนี้ครัวเรือนประมาณ 90% ของ GDP หนี้ของประชาชน หนี้ของครัวเรือนสูง ดอกเบี้ยขึ้นเมื่อไหร่ หนี้เหล่านี้ก็พร้อมที่จะเป็นหนี้เสียได้ทุกเมื่อ ในขณะที่หนี้รัฐบาล ซึ่งอยู่ในรูปของพันธบัตรรัฐบาล ก็มีอยู่มากพอสมควร ปัจจุบัน 60% ของ GDP โดยหนี้ส่วนใหญ่ถูกถือโดยสถาบันการเงิน เมื่อดอกเบี้ยขึ้น สถาบันการเงินจะต้องปรับราคาของพันธบัตรเหล่านี้ แม้จะไม่มีความเสี่ยงกับเครดิตเหล่านี้ แต่มีความเสี่ยงทางด้านอัตราดอกเบี้ยอยู่ เพราะฉะนั้น สิ่งที่จะต้องใช้เป็นบทเรียน คือ การปรับดอกเบี้ยขึ้นมีผลกระทบอย่างกว้างขวาง ไม่ใช่ในภาคธุรกิจจริงเท่านั้น แต่สถาบันการเงินซึ่งเป็นผู้ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาลจำนวนมาก จะต้องบริหารจัดการความเสี่ยงนี้อย่างเต็มที่ 

ไทยแลนด์กระหึ่มโลก!! ‘เกาะหมาก’ คว้าอันดับ 2 รางวัลระดับโลก   ด้าน ‘การจัดการ-ฟื้นฟู’ จาก ‘ITB Berlin 2023’

อพท. เผย ‘เกาะหมาก’ จ.ตราด คว้ารางวัลระดับโลก “2023 GREEN DESTINATIONS STORY AWARDS” ด้านการจัดการและการฟื้นฟู โดยได้รางวัลอันดับ 2 รองจาก NORMANDIE ประเทศฝรั่งเศส

เพจ Dasta Thailand ขององค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน (องค์การมหาชน) หรือ อพท. เปิดเผยว่า ‘เกาะหมาก’ จ.ตราด คว้ารางวัลระดับโลก ‘2023 GREEN DESTINATIONS STORY AWARDS’ ในประเภท Governance, Reset and Recovery (ระบบการจัดการและการฟื้นฟู) โดยรางวัลในประเภทนี้มี 3 รางวัลได้แก่ อันดับ 1 คือ NORMANDIE จากประเทศฝรั่งเศส อันดับ 2 เกาะหมาก จากประเทศไทย และอันดับ 3 OGUNI TOWN จากประเทศญี่ปุ่น ซึ่งผู้จัดได้คัดเลือกแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับการประกาศให้เป็นสุดยอดแหล่งท่องเที่ยวยั่งยืน 100 แห่งของโลก ในปี 2565 (2022 Green Destinations Top 100 Stories)

ทั้งนี้ นาวาอากาศเอก อธิคุณ คงมี ผู้อำนวยการองค์การบริหารการพัฒนาพื้นที่พิเศษเพื่อการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน หรือ อพท. และ นายนล สุวัจนานนท์ นายกองค์การบริหารส่วนตำบลเกาะหมาก จังหวัดตราด ได้เข้ารับรางวัลดังกล่าวที่จัดขึ้น ในงานมหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก หรือ ‘ITB Berlin 2023’ ซึ่งเป็นงานมหกรรมส่งเสริมการขายทางการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีประเทศจากภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกเข้าร่วมจัดแสดงและนำเสนอขายสินค้าและบริการทางการท่องเที่ยว รวมถึงการเจรจาธุรกิจทางการท่องเที่ยว

สำหรับเกาะหมาก เป็นเกาะขนาดกลางแห่งหมู่เกาะช้าง ทะเลตราด ตั้งอยู่ระหว่างเกาะช้างกับเกาะกูด บนเกาะมีอ่าวและหาดหลายแห่งที่น่าสนใจและเหมาะแก่การท่องเที่ยว เช่น “อ่าวนิด” เป็นที่ตั้งของชุมชนใหญ่ ‘อ่าวสวนใหญ่’ เป็นอ่าวโค้งยาวน่ายล ‘อ่าวโล่ง’ ที่รอบข้างร่มรื่นเขียวครึ้มไปด้วยสวนยางพารา ในหลาย ๆ หาดหลาย ๆ อ่าวจะมีการสร้างสะพานเทียบเรือ (ของที่พัก) ทอดยาว ถือเป็นจุดถ่ายรูปและเสน่ห์อันโดดเด่นของเกาะหมาก

อีกทั้งเกาะหมากยังเป็นจุดเชื่อมโยงไปยังเกาะอื่น ๆ เพื่อทำกิจกรรมต่าง ๆ เช่น ดำน้ำดูประติมากรรมช้างใต้ทะเล ดำน้ำดูปะการังเกาะยักษ์ หมู่เกาะรังได้อีกด้วย

รถทัวร์ลง ‘ครูไพบูลย์’ หลังผุดคอนเทนต์ เอาช็อกโกแลตผสมเหล้า ให้น้องหมากิน

ทำเอาคนรักสุนัขเห็นแล้วถึงกับทนไม่ไหว อัดคลิปติ๊กต๊อกต่อว่า ‘ครูไพบูลย์ แสงเดือน’ สามีของนักร้องสาว ‘กระต่าย พรรณนิภา’ ที่ก่อนหน้านี้ลงคลิปแกล้งน้องหมา 2 ตัวที่บ้าน เพราะน้องหมาดื้อ โดยการให้ช็อกโกแลตผสมเหล้าให้น้องหมากิน แม้ตอนนี้คลิปต้นฉบับของทางติ๊กต๊อกครูไพบูลย์จะลบทิ้งไปแล้ว แต่ก็มีคนมือไวเซฟคลิปดังกล่าวเอาไว้และนำมาโพสต์เป็นประเด็นในโลกโซเชียล

โดยคนที่นำคลิปดังกล่าวมาโพสต์นั้น ได้เขียนข้อความว่า ‘อะ มันสมควรไหม? แล้วคนถ่ายนี่กะจะไม่ห้าม ก็ว่าอยู่ทำไมไปกันได้ สงสารหมาโว้ย!! ว่าไผปึก มาดูนี่มา" งานนี้คนเข้ามากระหน่ำต่อว่า ครูไพบูลย์ กันมากมาย เช่น อย่าว่าแต่ใส่เหล้าเลย เขาไม่ให้หมากินช็อกโกแลตด้วยซ้ำ, หมากินช็อกโกแลตไม่ได้ระวังชักหรือหัวใจเต้นผิดปกติ, น้องกินช็อกโกแลตไม่ได้ โอ๊ยยสู, บ่ได้เรียนหนังสืออีหลีตั๊วนิ, อยากเลี้ยงแต่ไม่รู้วิธีเลี้ยง"

สวธ.ปฐมนิเทศน้องๆเยาวชน สมาชิกวงดุริยางค์เยาวชนไทย ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย และวงดุริยางค์เครื่องลมเยาวชนไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566

น้องๆเยาวชน  ที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการและผู้ทรงคุณวุฒิ เข้ารับการปฐมนิเทศ สมาชิกวงดุริยางค์เยาวชนไทย ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์  คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทยและวงดุริยางค์เครื่องลมเยาวชนไทย ประจำปีงบประมาณ  พ.ศ. 2566 โดยมี นางสาววราพรรณ  ชัยชนะศิริ  รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธาน โอกาสนี้  นายสาโรจน์  เล้าเจริญสมบัติ  ผู้เชี่ยวชาญด้านภูมิปัญญา  นายกสมาคมดนตรีและมาร์ชชิ่งอาร์ทสากล วาทยกร คณะผู้เชี่ยวชาญ และคณะนักดนตรี ร่วมงาน ณ ห้องแกลลอรี่ ๕ ชั้น ๑ หอศิลป์แห่งชาติ   
  
วันที่ ๑๑ มีนาคม ๒๕๖๖ เวลา ๑๐.๐๐ น. นางสาววราพรรณ  ชัยชนะศิริ  รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม  รับมอบหมายจากท่านอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม เป็นประธานการปฐมนิเทศสมาชิกวงดุริยางค์เยาวชนไทย ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย และวงดุริยางค์เครื่องลมเยาวชนไทย ประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2566 ซึ่งมีน้องๆเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือกจากคณะกรรมการ รวม 475 คน ร่วมฟังการปฐมนิเทศ  โอกาสนี้ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้กล่าวแสดงความยินดีกับน้องๆเยาวชนที่ผ่านการคัดเลือก และขอเป็นกำลังใจให้กับเยาวชนทุกคนในวันนี้ ขอขอบคุณท่านวาทยากร คณะผู้เชี่ยวชาญและผู้ปกครองทุกท่าน ที่มีส่วนผลักดันและร่วมกันนำพาคณะนักดนตรี นักร้องของเราไปสู่ความสำเร็จในทุกๆด้านดังที่หวังไว้ทุกประการ  จากนั้นได้กล่าวให้โอวาทว่า  “วงดุริยางค์เยาวชนไทย ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ หรือ Thai  Youth  Orchestra (TYO)  คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย หรือ Thai  Youth  Chio (TYC) และวงดุริยางค์เครื่องลมเยาวชนไทย หรือ Thai Youth Winds (TYW)  ถือว่าเป็นตัวแทนของคณะเยาวชน ระดับชาติ ที่เข้าร่วมกิจกรรมการแสดงในโอกาสต่างๆ ของรัฐบาลและเอกชนทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งคณะนักดนตรี นักร้อง จะมีผลงานดีมากน้อยเพียงใดนั้น ก็ขึ้นอยู่กับเยาวชนทุกคนที่ผ่านการสอบคัดเลือกในที่นี้  จะต้องหมั่นฝึกฝน มีระเบียบวินัย มีความรับผิดชอบ เพื่อพัฒนาตนเองและพัฒนาศักยภาพ ให้ทัดเทียมนานาประเทศต่อไป”
 
จากนั้น นางณัฐภา บุญงาม  ผู้อำนวยการศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย กล่าวว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม ได้ดำเนินโครงการพัฒนา วงดุริยางค์เยาวชนไทย ในพระอุปถัมภ์ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ คณะนักร้องประสานเสียงเยาวชนไทย  วงดุริยางค์เครื่องลมเยาวชนไทย  มาอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทุกปี การดำเนินโครงการดังกล่าว กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ได้บูรณาการร่วมกับมูลนิธิส่งเสริมดนตรีสากลเยาวชน  สมาคมขับร้องประสานเสียงแห่งประเทศไทย  สมาคมดนตรีและ มาร์ชชิ่งอาร์ทสากล  โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อพัฒนาเยาวชนด้านดนตรีสากลและขับร้องประสานเสียง ที่มีอายุไม่เกิน ๒๕ ปี  ให้ได้รับการถ่ายทอดทักษะความรู้ด้านดนตรีสากล และขับร้องประสานเสียงจากผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้าน  ซึ่งจะทำให้เยาวชนได้พัฒนาทักษะ สร้างเสริมประสบการณ์  

สวธ. ขอเชิญชวนน้อง ๆ ยุวชนไทย เข้าร่วมกิจกรรม “ค่ายการ์ตูนวัฒนธรรมไทยสร้างสรรค์ยุวชน”

นายโกวิท ผกามาศ อธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.)  เปิดเผยว่า กรมส่งเสริมวัฒนธรรม กระทรวงวัฒนธรรม และบริษัท ซี พี ออลล์ จำกัด (มหาชน) ร่วมกับ สมาคมการ์ตูนไทย จัดกิจกรรมอบรม “ค่ายการ์ตูนวัฒนธรรมไทยสร้างสรรค์ยุวชน” รุ่นที่ ๗๗ และ ๗๘ เพื่อส่งเสริมทักษะการวาดภาพการ์ตูนของยุวชนไทยเป็นพื้นฐานงานศิลปศึกษา และยังเป็นการปลูกฝังค่านิยม คุณธรรม จริยธรรม ระเบียบวินัย วัฒนธรรมไทยแก่ยุวชนให้ประพฤติปฏิบัติสิ่งที่ดีงาม ระหว่างที่ได้เรียนรู้การอยู่ร่วมกัน รวมถึงส่งเสริมการใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ระหว่างปิดภาคเรียนด้วย 

อธิบดีฯ กล่าวต่อว่า กิจกรรมดังกล่าว เปิดรับสมัครยุวชนตั้งแต่อายุ ๗-๑๖ ปี โดยแบ่งออกเป็น ๒ รุ่นด้วยกัน ได้แก่ รุ่นที่ ๗๗ “วาดจินตนาการ การ์ตูนเปลี่ยนโลก” ระหว่างวันที่ ๑๔-๑๗ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ และรุ่นที่ ๗๘ “เส้นสายสีสัน การ์ตูนเล่าเรื่อง” ระหว่างวันที่ ๒๑-๒๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๖๖ ตั้งแต่เวลา ๐๙.๐๐-๑๕.๓๐ น. ณ ห้องประชุม ๑ ห้องประชุม ๒ และห้องนิทรรศการหมุนเวียน ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย 

เชียงใหม่-มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ เข้าศึกษาดูงาน CAMT

มหาวิทยาลัยราชภัฏวไลยอลงกรณ์ฯ เข้าศึกษาดูงานระบบการจัดการความรู้ตามมาตรฐาน ISO 30401 และ แลกเปลี่ยนเรียนรู้ในหัว TQA และ EdPEx ของ CAMT นำทีมดำเนินกิจกรรมโดยศูนย์ KIND BY CAMT วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

วันที่ 13 มีนาคม 2566 ศูนย์ KIND BY CAMT และหลักสูตรการจัดการความรู้และนวัตกรรม วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ จัดกิจกรรมศึกษาดูงาน ณวิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี ให้แก่ทีมผู้บริหารและบุคลากร จากมหาวิทยาลัย ราชภัฏวไลยอลงกรณ์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ภายใต้โครงการพัฒนาองค์กรสู่องค์กรแห่งการเรียนรู้”นำทีมโดย คณบดี วิทยาลัยศิลปะสื่อฯ ผศ.ดร.วรวิชญ์ จันทร์ฉาย ได้กล่าวต้อนรับและแชร์ความรู้ในหัวข้อ TQA และ EdPEx และแลกเปลี่ยนเรียนรู้สร้างความร่วมมือด้านการจัดการความรู้สู่องค์กรสู่ความเป็นเลิศ นำโดย อาจารย์ ดร.อัจฉรา คำอักษร ผู้ปฏิบัติหน้าที่ช่วยคณบดี ด้านการบริหารระบบ ISO 30401 วิทยาลัยศิลปะ สื่อ และเทคโนโลยี มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ พร้อมแนะนำศูนย์ KIND BY CAMT 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติร่วมกับคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ จัดโครงการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ “การรับแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่”

ตามที่ รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย หมวด 16 การปฏิรูปประเทศ ได้กำหนดเป้าหมายหลักของการปฏิรูปประเทศ พร้อมทั้งได้กำหนดหลักการและแนวทางการปฏิรูปประเทศ รวมถึงมีพระราชบัญญัติ
แผนและขั้นตอนการดำเนินการปฏิรูปประเทศ พ.ศ. 2560  และประกาศสำนักนายกรัฐมนตรี เรื่อง การประกาศแผนการปฏิรูปประเทศ เพื่อมุ่งเน้นการปรับเปลี่ยนในเชิงโครงสร้าง วิธีการ และกระบวนการ หรือกฎระเบียบ
ที่สำคัญเพื่อให้การดำเนินงานของทุกภาคส่วนเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และบรรลุผลอันพึงประสงค์
ตามรัฐธรรมนูญ โดยกำหนดให้วุฒิสภามีหน้าที่และอำนาจในการติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ นั้น 


โดยเมื่อวันที่ 10 ก.ย.62  ที่ประชุมวุฒิสภาได้มีมติตั้งแต่งคณะกรรมาธิการการกฎหมาย 
การยุติธรรม และการตำรวจ วุฒิสภาขึ้น โดยให้มีอำนาจหน้าที่ในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ กระทำกิจการ พิจารณาสอบหาข้อเท็จจริง หรือศึกษาเรื่องใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการตามนโยบายด้านกฎหมาย 
การบริหารงานยุติธรรม กระบวนการยุติธรรม การตำรวจ อัยการ และราชทัณฑ์ การปฏิบัติหน้าที่ให้เป็นไปตามกฎหมาย ป้องกัน และรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ การสร้างความเท่าเทียมในการเข้าถึงกระบวนการยุติธรรม การพัฒนากลไกและวิธีการปฏิบัติงานกิจการตำรวจให้มีประสิทธิภาพ ร่วมถึงการพิจารณาศึกษา ติดตาม เสนอแนะ และเร่งรัดการปฏิรูปประเทศ และแผนแม่บทภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ


โดยในส่วนของคณะกรรมาธิการการกฎหมายฯ ได้ตระหนักถึงความสำคัญในการขับเคลื่อนและผลักดันการปฏิรูปประเทศด้านกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้บังเกิดผลอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในเรื่องของการแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่ ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ประชาชนให้เข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้โดยง่ายและรวดเร็วยิ่งขึ้น อีกทั้งเพื่อเป็นการลดค่าใช้จ่ายในการเดินทางมาแจ้งความ ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ จึงกำหนดให้มีการจัดการสัมมนาเชิงปฏิบัติการ ในหัวเรื่อง “การรับแจ้งความร้องทุกข์ต่างท้องที่” ขึ้น ในวันอังคาร ที่ 14 มี.ค.66 ตั้งแต่เวลา 09.00-12.00 น. ณ ห้องศรียานนท์ ชั้น 2 อาคาร 1 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยมี พล.ต.อ.ชัชวาลย์  สุขสมจิตร์ ประธานคณะกรรมาธิการการกฎหมาย การยุติธรรม และการตำรวจ เป็นประธานในพิธีเปิดการสัมมนาฯ พร้อมด้วย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะผู้บังคับบัญชาระดับสูงของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าร่วมพิธีฯ 

ผบ.ตร. เร่งรัดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะภัยออนไลน์ ที่เกิดขึ้น และสร้างความตระหนักรู้เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้แก่ประชาชน

ตามนโยบายของรัฐบาล โดย ฯพณฯ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี  ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. เร่งรัดป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีโดยเฉพาะภัยออนไลน์ ที่เกิดขึ้น  และสร้างความตระหนักรู้เพื่อเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์ให้แก่ประชาชนนั้น 


วันนี้ (14 มี.ค.66) เวลา 10.00 น. สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.ท.สมพงษ์ ชิงดวง  ผู้ช่วย ผบ.ตร./หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พร้อมด้วยคณะทำงาน ได้ร่วมกันแถลงข่าว   เกี่ยวกับสถิติการรับแจ้งความออนไลน์ในรอบปีที่ผ่านมา   และภัยออนไลน์ที่เกิดขึ้นใหม่ในรอบสัปดาห์ เพื่อประชาสัมพันธ์ให้ประชาชนได้มีภูมิป้องกันภัยออนไลน์   ไม่ตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ  โดยมีรายละเอียด ดังนี้  


ในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา(1 มี.ค.2565-11 มี.ค.2566) พบว่ามีการรับแจ้งความคดีออนไลน์ 10 อันดับแรก ได้แก่ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 73,252 เคส/955,427,866 บาท 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม  29,945 เคส/3,323,194,517 บาท 3) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน   24,821 เคส/1,034,104,918 บาท 4) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ (call center) 20,013 เคส/3,505,338,808 บาท 5) คดีหลอกให้ลงทุน(ที่ไม่เข้าลักษณะฉ้อโกงประชาชน)16,460 เคส/7,661,884,637 บาท  6) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า(เป็นขบวนการ)8,036 เคส/57,293,969 บาท 7) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 7,285 เคส/  254,219,605 บาท 8) คดีหลอกให้โอนเงิน(ไม่เป็นขบวนการ) 5,286 เคส/  369,123,851 บาท 9) คดีหลอกให้รักแล้วลงทุน 3,201 เคส/  1,556,536,563 บาท และ 10)หมิ่นประมาท ดูหมิ่น 3,171 เคส/  11,641,372 บาท รวมทั้งปีมีผู้แจ้งความ 218,210 เคส มูลค่าความเสียหายรวม 31,579,305,746 บาท  


ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (5-11 มี.ค.2566)  พบว่ามีการรับแจ้งความคดีออนไลน์  5 อันดับแรก   ได้แก่ 1) คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้า 2,184 เคส/19,075,526.61 บาท     2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อหารายได้จากการทำกิจกรรม 758 เคส/87,227,644.38 บาท    3) คดีหลอกลวงทางโทรศัพท์ที่เป็นขบวนการ(call center)739 เคส/87,227,644.38  บาท  4) คดีหลอกให้กู้เงินแต่ไม่ได้เงิน 576 เคส/  23,697,409.86 บาท  และ 5) คดีหลอกเป็นบุคคลอื่นเพื่อยืมเงิน 312 เคส/8,273,770.68  บาท รวมทั้งสัปดาห์มีผู้แจ้งความ  5,787  เคส/มูลค่าความเสียหายรวม 377,284,886  บาท  

 
จากสถิติรับแจ้งความออนไลน์ทั้งรอบปีและรอบสัปดาห์ข้างต้นพบว่า สถิติอันดับ 1-4  ยังคงอยู่ในลำดับต้นๆเหมือนเดิม จึงขอเตือนประชาชนไม่ให้หลงเชื่อและตกเป็นเหยื่อแก๊งค์มิจฉาชีพดังกล่าว  
ภัยออนไลน์ที่น่าสนใจและเกิดขึ้นมากในรอบสัปดาห์ คือ คดีแก๊งค์ call center แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่กระทรวงการคลังและได้โทรศัพท์หาผู้เสียหายให้ตรวจสอบสิทธิ์บัตรสวัสดิการแห่งรัฐใน Website กระทรวงการคลัง จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายเพิ่มเพื่อนใน line ช่วงนี้คนร้ายส่ง link กระทรวงการคลังปลอมให้ผู้เสียหายกดเข้าไป ต่อมาคนร้ายได้ให้ผู้เสียหายกดที่โลโก้ของกระทรวงการคลังมุมขวามือ  ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเป็นเจ้าหน้าที่จากกระทรวงการคลังจริง  จึงยินยอมกด link  เข้า Website ปลอม และกรอกข้อมูลชื่อ นามสกุล หมายเลขโทรศัพท์  ซึ่งเป็นข้อมูลส่วนตัวในระบบ  และใส่รหัสยืนยันตัวตน  เลข 6 หลัก  ต่อมาผู้เสียหายกรอกเลข OTP 6 หลักให้คนร้ายเพิ่มเติม เป็นเหตุให้ผู้เสียหายถูกควบคุมโทรศัพท์และถูกดูดเงินออกไป จึงขอประชาสัมพันธ์ว่าจงมีสติไม่หลงเชื่อ ไม่กรอกหรือให้ข้อมูลส่วนตัวผ่านช่องทางออนไลน์และทางโทรศัพท์    

ไม่ควรกระทำการใดๆใน  Website   หรือ  Application ที่ไม่น่าเชื่อถือ ไม่กด link แปลกปลอม และไม่ดาวน์โหลด Application ที่ไม่ผ่านการยืนยันโดยแพลตฟอร์มที่น่าเชื่อถือ   

‘จีน’ เตรียมออกวีซ่า ให้ชาวต่างชาติ 15 มี.ค.นี้ หลังปิดพรหมแดนนานกว่า 3 ปี

จีนเริ่มออกวีซ่าให้ชาวต่างชาติใหม่อีกครั้ง ดีเดย์ 15 มี.ค.นี้

สถานเอกอัครราชทูตจีนในสหรัฐอเมริกาออกแถลงการณ์ระบุว่า จีนจะเริ่มออกวีซ่าประเภทต่าง ๆ ให้กับชาวต่างชาติอีกครั้ง ตั้งแต่วันที่ 15 มีนาคมนี้ หลังจากที่มีการปิดพรมแดนนานเกือบ 3 ปีภายใต้มาตรการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างเข้มงวด

แถลงการณ์ของสถานทูตจีนในสหรัฐระบุว่า จีนจะยกเลิกข้อจำกัดด้านวีซ่าสำหรับสถานที่ต่าง ๆ รวมถึงเกาะไห่หนานและเรือสำราญที่แล่นผ่านท่าเรือเซี่ยงไฮ้ นอกจากนี้ การเดินทางเข้ากวางตุ้งโดยไม่ต้องขอวีซ่าสำหรับชาวต่างชาติจากฮ่องกงและมาเก๊าก็จะกลับมามีผลใช้อีกครั้งหนึ่งด้วยเช่นกัน
จีนได้ยกเลิกนโยบายโควิดเป็นศูนย์ในเดือนธันวาคมปีก่อน และเปิดพรมแดนในเดือนมกราคม ซึ่งทำให้มีการเดินทางเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่ผู้นำประเทศได้ส่งสัญญาณถึงชัยชนะเหนือการแพร่ระบาดของโควิด-19

สืบนครบาลตามแกะรอยรวบ “บัวลอยไข่หวาน” หญิงสาวที่เปิดบัญชีม้าให้แก๊งคอลเซ็นเตอร์ หลอกเหยื่อ เป็นทั้งไปรษณีย์ไทย และตำรวจ สร้างความเสียหายหลายล้านบาท

วันที่ 14 มีนาคม พล.ต.ต.ธีรเดช  ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. / หัวหน้าชุด PCT ชุดปฏิบัติการ 5 แถลงผลการปฏิบัติงาน นำโดย พ.ต.อ.สมบูรณ์ สุขศรีดาวเดือน ผกก.สส.3 บก.สส.บช.น. พ.ต.ต.วรุตม์ คำหล้า สว.ฯ พร้อมเจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.3 บก.สส.บช.น. ทำการจับกุม น.ส.วิชุดา วรธาราปกรณ์ อายุ 44 ปี อยู่ที่บ้านเลขที่ 120/46 ซอยสายไหม 20 แขวงสายไหม เขตสายไหม กรุงเทพฯตามหมายจับศาลจังหวัดกำแพงเพชร ที่ 313/2565 ลงวันที่ 27 ธันวาคม 2565 ข้อหาร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น, ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอม

นอกจากนี้ยังมีหมายจับของศาลจังหวัดธัญบุรี หมายจับที่ 50/2566 ลงวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2566 และศาลจังหวัดเชียงใหม่ หมายจับที่ 43/2566  ลงวันที่ 19 มกราคม 2566

พฤติการณ์เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคม 2565 น.ส.วิชุดาได้พบเห็นโพสต์ในเฟซบุ๊คชักชวนให้ทำงานในลักษณะว่า “ใครร้อนเงินทักมา” โพสต์โดยผู้ใช้เฟซบุ๊คชื่อ “บัวลอยไข่หวาน ไม่เพิ่มน้ำตาลไม่ใส่กะทิ” ซึ่งขณะนั้น น.ส.วิชุดามีภาระต้องเลี้ยงดูลูก 2 คน ด้วยตัวคนเดียว จึงติดต่อไปเพื่อหาเงินผ่านช่องทางดังกล่าว ต่อมาได้เปิดบัญชีธนาคารจำนวน 8 บัญชี พร้อมลงทะเบียนหมายเลขโทรศัพท์ผูกบัญชีให้กับผู้ใช้เฟซบุ๊คดังกล่าว ได้รับเงินค่าตอบแทนบัญชีละ 500 บาท

“อลงกรณ์”ปลื้มเกษตรกรขานรับนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งเป้าเป็นพรรคขวัญใจเกษตรกรผู้นำแห่งการปฏิรูปภาคเกษตร

แย้มเตรียมคลอดนโยบายชุดต่อไปยกระดับเมืองเกษตรเป็นเมืองอาหารพลิกโฉมหน้าภาคเกษตรครั้งใหญ่นำไทยสู่มหาอำนาจทางอาหารของโลก

นายอลงกรณ์ พลบุตร รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ประธานคณะกรรมการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์พรรคและที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตรฯ.เขียนในเฟสบุ๊คและไลน์วันนี้ว่าหลังจากพรรคประชาธิปัตย์ประกาศ 16 นโยบาย 2ชุดแรก ภายใต้ยุทธศาสตร์ สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติปรากฎว่ามีเสียงสะท้อนผ่านช่องทางเฟสบุ้ค-ไลน์และเวที”ฟัง-คิด-ทำ”ตอบรับจากผู้นำเกษตรกร ผู้นำชาวนากลุ่มต่างๆ  เช่น ศูนย์ข้าวชุมชน เกษตรแปลงใหญ่ กลุ่มเกษตรกรรุ่นใหม่(Young Smart Farmer) กลุ่มแม่บ้านเกษตรสหกรณ์ สถาบันเกษตรกร วิสาหกิจชุมชน อาสาสมัครเกษตร(อกม.)ภาคเอกชนภาควิชาการ โดยแสดงความเชื่อมั่นในศักยภาพการบริหารแบบทำได้ไวทำได้จริงของพรรคตลอด4ปีที่ผ่านมา


โดยเฉพาะนโยบายประกันรายได้เกษตรกร นโยบายเทคโนโลยีเกษตรอินเตอร์เน็ตฟรี1ล้านจุดทุกหมู่บ้าน นโยบายธนาคารหมู่บ้านธนาคารชุมชน2ล้าน นโยบายยกระดับเกษตรแปลงใหญ่3ล้านบาท นโยบายชาวนารับ30,000บาทต่อครัวเรือน นโยบายปลดล็อคพรก.ประมง นโยบายองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น1แสนบาท นโยบายค่าตอบแทนอกม.1พันบาท


นโยบายนมโรงเรียน365วัน เป็นต้นโดยมองว่าเป็นนโยบายที่สามารถเพิ่มรายได้เพิ่มผลผลิตแก้หนี้แก้จนได้ในระดับฐานรากของประเทศซึ่งครอบคลุมครอบครัวเกษตรกรกว่า 20 ล้านคนภายใต้ยุทธศาสตร์สร้างเงิน สร้างคน สร้างชาติเป็นแนวทางการพัฒนาภาคเกษตรกรรมเชิงโครงสร้างและระบบแบบครบวงจรอย่างยั่งยืนซึ่งภาคเกษตรเป็นหนึ่งในศักยภาพสำคัญที่สุดของประเทศไทยที่มีขีดความสามารถในการแข่งขันระดับโลก
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ระบุด้วยว่า ยังมีนโยบายชุดต่อไปที่จะเป็นคานงัดการปฏิรูปภาคเกษตรสู่เกษตรมูลค่าสูงเพื่อยกระดับประเทศไทยจากเมืองเกษตรเป็นเมืองอาหาร ด้วย


“เราตั้งเป้าให้ประชาธิปัตย์เป็นพรรคขวัญใจเกษตรกรเป็นพรรคผู้นำการปฏิรูปภาคเกษตรจึงประกาศนโยบาย2ชุดแรกมุ่งเน้นการสนับสนุนส่งเสริมภาคเกษตรกรรมและเกษตรกรเป็นสำคัญครอบคลุมทั้งสาขาพืช ประมงและปศุสัตว์


เป็นการสานต่อผลงานการปฏิรูปภาคเกษตรกรรมของไทยตลอด4ปีที่พรรคประชาธิปัตย์บริหารกระทรวงเกษตรและกระทรวงพาณิชย์โดยการนำของหัวหน้าพรรค นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีพาณิชย์และ ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน เลขาธิการพรรคและรัฐมนตรีเกษตรและสหกรณ์


เช่นการจัดตั้งศูนย์เทคโนโลยีเกษตรและนวัตกรรม(AIC: Agritech and Innovation Center) 77 จังหวัด การจัดตั้งศูนย์ข้อมูลเกษตรแห่งชาติ (National Agriculture Big Data Center) การพัฒนาอาหารแห่งอนาคต การยกระดับคุณภาพและมาตรฐานสินค้าเกษตร การพัฒนาเกษตรแปลงย่อยเป็นเกษตรแปลงใหญ่ การส่งเสริมเกษตรอัจฉริยะ การพัฒนาเกษตรกรรมยั่งยืนในเมือง การส่วเสริมเกษตรอินทรีย์ การจัดตั้งองค์กรชุมชนประมงท้องถิ่น การพัฒนาปศุสัตว์ครบวงจร การพัฒนาผลไม้จนส่งออกทุเรียนผลสดทะลุแสนล้านบาทเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์และการส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารกว่า1.2ล้านล้านบาทต่อปีจนเป็นประเทศผู้ส่งออกสินค้าเกษตรและอาหารอันดับ13ของโลกแม้เผขิญกับผลกระทบและอุปสรรคจากวิกฤติโควิดและสงครามรัสเซีย-ยูเครนโดยใช้ยุทธศาสตร์เทคโนโลยีเกษตร4.0และยุทธศาสตร์ตลาดนำการผลิตสู่เกษตรมูลค่าสูง เป็นต้น

‘ผบ.ตร’ สั่งลุย!! ยกระดับแก้ปัญหาฝุ่น ‘PM 2.5’ วอนปชช. เลี่ยงใช้รถควันดำ-งดเผาในที่โล่งแจ้ง

‘ผบ.ตร.เอาจริง’ สั่งตำรวจคุมเข้มยกระดับแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 เร่งบังคับใช้กม. รถควันดำ ลักลอบเผา โรงงาน การก่อสร้าง ที่ก่อเกิดมลพิษ เน้นบูรณาการร่วมทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาทุกมิติ ตามนโยบายรัฐบาล

(14 มี.ค.66)  พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง โฆษก ตร. เปิดเผยว่า ตามข้อสั่งการความห่วงใยของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีต่อประชาชนกับสถานการณ์ฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินมาตรฐานที่เกิดขึ้น โดยให้ทุกหน่วยบูรณาการยกระดับร่วมกันแก้ไขปัญหาทุกมิติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ขานรับนโยบาย สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด ตร.ยกระดับเพิ่มมาตรการตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายแก้ปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก (PM 2.5) เกินมาตรฐาน ที่มีมาจากหลายสาเหตุทั้ง การคมนาคมขนส่ง การเผาในที่โล่งแจ้ง การเกิดไฟป่า ภาคอุตสาหกรรม การก่อสร้าง และหมอกควันต่างๆ ผบ.ตร.ได้มีวิทยุสั่งการ ไปยังทุกหน่วยให้ดำเนินการดังนี้

1.เพิ่มความเข้มตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมาย อย่างเข้มงวดกับผู้ที่นำรถยนต์ที่มีลักษณะปล่อยพิษควันดำมาใช้บนถนน ออกคำสั่งห้ามใช้รถที่ก่อให้เกิดมลพิษ รวมทั้งบูรณาการร่วมกับขนส่ง หน่วยที่เกี่ยวข้องทั้งภาครัฐและเอกชน สนับสนุนด้านเครื่องมืออุปกรณ์ เพื่อบังคับใช้กฎหมายอย่างเคร่งครัด

2.เพิ่มมาตรการตรวจสอบบังคับใช้กฎหมาย กับผู้ประกอบการโรงงานอุตสาหกรรมไม่ให้ปล่อยมลพิษทางอากาศ และการก่อสร้างที่ก่อให้เกิดฝุ่น

3.ตรวจสอบและบังคับใช้กฎหมายกับผู้ลักลอบเผาพืชไร่และพื้นที่เพาะปลูก การเผาในที่โล่งแจ้ง และกิจการที่ก่อให้เกิดอันตราย

แค่ทุบทำร้าย!! ‘เพจดัง’ เผยคลิปไม่ใช่เหตุ ‘สุ่มแทง’ ชี้!!ไม่มีการแทง มีแค่ทุบกับต่อย

เพจ "Drama-addict" เผยอีกมุมในเหตุการณ์ "สุ่มแทงคน" ในประเทศญี่ปุ่น พร้อมนำคลิปจากกล้องวงจรปิดมาให้ดู พบอาจเป็นเพียงหญิงสติไม่ดีไล่ทำร้ายร่างกายคนอื่น อีกทั้งชื่นชมกล้องวงจรปิดชัดแจ๋วจริงๆ

จากกรณีเพจ "ที่นี่เที่ยว ญี่ปุ่น" โพสต์เตือนหลังตนเองพบเหตุการณ์สุ่มแทงคนในประเทศญี่ปุ่น ก่อนจะมีเพจเกี่ยวกับเที่ยวญี่ปุ่นเพจอื่น ๆ แย้งว่าไม่จริงไม่มีเหตการณ์นั้น สุดท้ายเพจต้นทางได้ทำการลบโพสต์ดังกล่าวทิ้งไป พร้อมกับยืนยันว่าเห็นเหตุการณ์จริง ๆ

อย่างไรก็ตาม วันนี้ (14 มี.ค.) เพจ "Drama-addict" ได้ออกมาโพสต์คลิปวันเกิดเหตุลงในเพจ ก่อนจะพบความจริงว่าเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายอาจไม่ได้หนักถึงขั้นใช้อาวุธแทงแต่อาจเพียงแต่ไล่ทุบตีเฉยๆ ทั้งนี้ "Drama-addict" ได้ระบุข้อความว่า

เจริญชัย หนุน ENTEC ” ร่วมวิจัยนวัตกรรม นำเทคโนโลยี AI สร้างมูลค่าเพิ่ม น้ำมันปาล์ม สู่ น้ำมันหม้อแปลง เกรด พรีเมียม สู่ตลาด BCG ที่แรกของโลก

บริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ร่วมมือวิจัยนวัตกรรมกับ ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ โดยการพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม และนำร่องการทดสอบภาคสนามเชิงบูรณาการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน ภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model)


ดร. บุญญาวัณย์ อยู่สุข หัวหน้าทีมวิจัยเทคโนโลยีเชื้อเพลิงสะอาดและเคมีขั้นสูง ศูนย์เทคโนโลยีพลังงานแห่งชาติ (ENTEC) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ กล่าว  ขอขอบคุณทางบริษัท เจริญชัยหม้อแปลงไฟฟ้า จำกัด ที่ร่วมโครงการวิจัยครั้งนี้และขอขอบคุณความร่วมมือจากผู้ร่วมทุนในหลายภาคส่วนที่เป็นองค์กรหลักในอุตสาหกรรมน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้า ตั้งแต่ผู้ที่มีศักยภาพในการผลิตและจำหน่ายน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพ ผู้ใช้งานหลักของหม้อแปลงไฟฟ้าของประเทศอย่างการไฟฟ้าทั้ง 3 แห่ง คือ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) การไฟฟ้านครหลวง (กฟน.) และ การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) ร่วมทั้งหน่วยงานจัดทำมาตรฐานสินค้าของประเทศ  เรียกได้ว่าเป็นการบูรณาการร่วมกันของทุกภาคส่วนเพื่อขับเคลื่อนผลงานวิจัยและผลักดันให้เกิดการใช้งานผลิตภัณฑ์น้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพจากน้ำมันปาล์ม   เชิงพาณิชน์อย่างแพร่หลายภายในประเทศของเรา ความร่วมมือนี้จะส่งผลให้การดำเนินวิจัยเป็นไปอย่างครบวงจร มีแผนและผลการดำเนินงานที่ชัดเจน ผลิตภัณฑ์ที่พัฒนาขึ้นมีแนวทางการขับเคลื่อนผลการวิจัยให้สามารถไปสู่การใช้ประโยชน์ได้อย่างครบวงจร


ดร.ศุภกิตติ์  โชติโก อาจารย์ประจำภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี  กล่าวถึงความร่วมมือในครั้งนี้ การวิจัยและส่งเสริมการพัฒนาน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม นำร่องการทดสอบภาคสนามเชิงบูรณาการ เพื่อผลักดันให้เกิดการใช้งานเชิงพาณิชย์อย่างยั่งยืน จะช่วยยกระดับให้ผลผลิตทางการเกษตรถูกแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ในภาคอุตสาหกรรมมูลค่าสูงด้วยเทคโนโลยีที่พัฒนาขึ้นภายในประเทศ รวมทั้งช่วยกระตุ้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจใหม่ทางด้านสนับสนุนเกษตรกรปาล์มน้ำมัน และเป็นแนวทางหลักที่สามารถนำพาปาล์มน้ำมันไทยไปสู่จุดมุ่งหมายในการพัฒนาอย่างยั่งยืนและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โครงการวิจัยนี้มีเป้าหมายที่จะเป็นส่วนหนึ่งในการขับเคลื่อนประเทศไทยไปสู่การพัฒนาอย่างยั่งยืนภายใต้โมเดลเศรษฐกิจ BCG (BCG Economy Model) โดย สร้างฐานข้อมูลและองค์ความรู้เกี่ยวกับคุณสมบัติของน้ำมันหม้อแปลงไฟฟ้าชีวภาพชนิดติดไฟยากจากน้ำมันปาล์ม เพื่อใช้เป็นแนวทางในการสร้างมาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรม (มอก.) ของประเทศต่อไป ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญต่อการส่งเสริมการใช้งานภายในประเทศและ  การทำตลาดในต่างประเทศ อีกทั้งยัง เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ให้มีศักยภาพในการเป็นเจ้าของเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญต่อการสร้างและผลักดันอุตสาหกรรมใหม่ที่มีมาตรฐานคุณภาพและมีมูลค่าสูงกว่าอุตสาหกรรมเดิมจากพืชเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ ก่อให้เกิดความยั่งยืนทางด้านสังคมและสิ่งแวดล้อม รวมถึงสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศไทย 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top