Friday, 16 May 2025
NEWS

ผบ.ตร. นั่งหัวโต๊ะประชุมเข้ม แลกเปลี่ยนข้อมูลกับหน่วยที่เกี่ยวข้อง วางระบบป้องกัน แก้ไขปัญหาภัยออนไลน์ 

พัฒนาระบบรับส่งข้อมูล ผ่านระบบBanking เร่งช่วยเหลือผู้เสียหาย เดินหน้าปราบปรามบัญชีม้า ซิมม้า อย่างจริงจัง  พร้อมประชาสัมพันธ์ประชาชนทำข้อสอบ 80 ข้อ ให้ความรู้การป้องกันภัยหลอกลวงออนไลน์ หวังสร้างภูมิคุ้มกันโจร
 
วันนี้ (22 มิ.ย.66) เวลา 09.00 น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ เป็นประธานการประชุมคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ครั้งที่ 1/2566  โดยมีนายเวทางค์  พ่วงทรัพย์ รองปลัดกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เป็นรองประธาน  พร้อมผู้แทน สำนักงานศาลยุติธรรม, สำนักงานอัยการสูงสุด, ปปง., กรมสอบสวนคดีพิเศษ, ธนาคารแห่งประเทศไทย, สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์, กสทช., สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ, ผู้แทนสมาคมธนาคารไทย และผู้ทรงคุณวุฒิอีก 4 ท่าน เป็นอนุกรรมการ
 
โดยสาระสำคัญในครั้งนี้ ได้วางมาตรการตรวจสอบ พฤติการณ์เหตุอันควรสงสัยที่เกี่ยวข้องกับบัญชีม้า ธุรกรรมต้องสงสัย ซิมม้า การสื่อสารที่ใช้หลอกลวงประชาชน เพื่อนำไปใช้ในการป้องกันมิให้เกิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ในเชิงรุก และหารือเรื่องระบบ ช่องทาง และ วิธีการ รับส่งข้อมูลระหว่างเจ้าหน้าที่ ผู้ให้บริการทั้งด้านการเงินและโทรคมนาคม และผู้เสียหาย
 
โดยที่มติประชุมได้เร่งให้ กสทช. ธนาคาร และหน่วยที่เกี่ยวข้อง ดำเนินการจัดทำระบบ กระบวนการเปิดเผยแลกเปลี่ยนข้อมูลเป็นขั้นตอนให้เสร็จสิ้นโดยเร็ว  พัฒนาระบบ Banking ให้มีช่องทางในการรับแจ้งเหตุฯ เพื่อขับเคลื่อนให้มีประสิทธิภาพในการระงับความเสียหาย ป้องกันปราบปราม และดำเนินคดีกับคนร้ายในคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ดียิ่งขึ้น
 
หลังจากที่ พรก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ได้ประกาศบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.66 ที่ผ่านมา สถิติคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีลดลงได้ระดับหนึ่ง  ลดลงโดยเฉลี่ยจาก 790 เรื่อง/วัน ลงไปเป็น 684 เรื่อง/วัน  การอายัดบัญชีจากเดิมอายัดได้ทันโดยประมาณร้อยละ 6.5 มีประสิทธิภาพเพิ่มสูงขึ้นเป็นร้อยละ 15 เป็นต้น  แต่ทั้งนี้ยังพบปัญหาในทางปฏิบัติ และประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก  จึงต้องเร่งบูรณาการทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมในทิศทางเดียวกัน  ทั้งวิธีการรับแจ้งจากผู้เสียหาย  การอายัด การระงับธุรกรรม การส่งต่อข้อมูล  ตลอดจนการดำเนินคดีให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด
 
ด้านการปราบปราม ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ทุกหน่วยระดมกวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ในห้วงเดือน พ.ค.66 สามารถจับกุมผู้กระผิดได้ 3,366 คดี ผู้ต้องหา 3,262 ราย ซึ่งเป็นความผิดเกี่ยวกับบัญชีม้า 179 คดี ผู้ต้องหา 168 ราย และความผิดเกี่ยวกับซิมม้า 40 คดี ผู้ต้องหา 48 ราย
 
และในด้านการประชาสัมพันธ์ ผบ.ตร. ได้จัดทำข้อสอบ Cyber Vaccine จำนวน 80 ข้อ กระจายทุกพื้นที่ทั่วประเทศ  ให้ประชาชนทดสอบ เป็นการฉีดวัคซีนไซเบอร์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ รูปแบบกลโกงต่างๆ เพื่อสร้างภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ซึ่งประชาชนสามารถเข้าทดสอบได้ผ่าน QR Code (ที่แนบมาพร้อมนี้)
 
ผบ.ตร. เชื่อว่าหลังจากการประชุมขับเคลื่อนในวันนี้ ทุกหน่วยจะได้ร่วมกันแก้ไขปัญหา ข้อขัดข้อง จัดวางระบบการส่งต่อ แลกเปลี่ยนข้อมูล การบังคับใช้กฎหมายและการระงับธุรกรรมต่างๆ ซึ่งจะทำให้การแก้ไขปัญหาอาชญากรรมทางออนไลน์ ได้อย่างทันท่วงที และกล่าวอีกว่า “ขอฝากประชาสัมพันธ์ในกรณีที่ประชาชนได้รับความเสียหายจากคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ให้ติดต่อสายด่วนธนาคารที่ตนเป็นเจ้าของเพื่อระงับบัญชีโดยเร็ว โดยธนาคารจะออก Bank ID ผ่าน sms และขอให้ผู้เสียหายไปแจ้งความกับตำรวจที่ใดก็ได้โดยเร็ว  โดยไม่ต้องคำนึงถึงท้องที่เกิดเหตุ ภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อให้ระงับความเสียหายและดำเนินคดีต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว  หากประสงค์จะแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ทาง https://thaipoliceonline.com  สายด่วน 1441 ปรึกษา-ขอคำแนะนำ 081 866 3000 ตลอด 24 ชั่วโมง”

ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับ พ.ร.บ.ฟอกเงิน รุ่นที่ 1

วันนี้ (22 มิ.ย.66) เวลา 14.00 น. พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการ ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือ ศปปง.ตร. เป็นประธานปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 ประจำปีพุทธศักราช 2566 รุ่นที่ 1 ณ ห้องประชุม โรงแรมคลาสสิก คามีโอ อำเภอเมืองระยอง จังหวัดระยอง 

ทั้งนี้ ศปปง.ตร. ได้จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการปฏิบัติงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 ประจำปีพุทธศักราช 2566 รุ่นที่ 1ในระหว่างวันที่ 19 – 22 มิถุนายน 2566 เพื่อให้ข้าราชการตำรวจที่เข้ารับการอบรมมีความรู้ความสามารถ เข้าใจอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมเสริมสร้างทักษะในการปฏิบัติงานด้านการสืบสวน สอบสวน รวบรวมพยานหลักฐาน ในการดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิด และเพื่อให้เกิดระบบที่เป็นมาตรฐานในการดำเนินคดีด้วยความโปร่งใสและยุติธรรม โดยได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน มีผู้เข้ารับการฝึกอบรมจากกองบัญชาการตำรวจนครบาล ตำรวจภูธรภาค 1 , ภาค 2 , ภาค 7 , ภาค 8 , ภาค 9 และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด รวมทั้งสิ้นจำนวน 116 นาย โดยผู้เข้ารับการอบรมจากหน่วยต่าง ๆ จะเป็นครูต้นแบบ ที่จะนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับข้าราชการตำรวจ ในหน่วยงานสังกัดของตนต่อไป 

ทั้งนี้ ในพิธีปิดโครงการฝึกอบรม ฯ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ ได้มอบประกาศนียบัตร และมอบโอวาทแก่ผู้เข้ารับการฝึกอบรมทั้ง 116 นาย โดยกล่าวว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ตระหนักถึงความสำคัญของการดำเนินคดีที่เกี่ยวกับการฟอกเงิน ซึ่งมีผลกระทบต่อภาครัฐและประชาชน ได้รับความเสียหายเป็นจำนวนมาก โดยข้าราชการตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความรู้ ความเข้าใจอย่างถูกต้อง ถ่องแท้ เกี่ยวกับกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พร้อมเน้นย้ำให้ข้าราชการตำรวจที่เข้ารับการฝึกอบรมทุกนาย นำความรู้ที่ได้รับการโครงการนี้ไปใช้ในการปฏิบัติงานจริงให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และนำความรู้ไปถ่ายทอดให้กับข้าราชการตำรวจในหน่วยของตนต่อไป

‘ดีอีเอส’ เดินหน้าพัฒนากฎหมายดิจิทัลแพลตฟอร์ม เพิ่มความปลอดภัย คุ้มครองประชาชน มีผล 21 ส.ค.นี้

‘ดีอีเอส’ ประกาศ กฎหมาย Digital Platform จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 สิงหาคมที่จะถึงนี้ พร้อมประกาศให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เป็นสื่อกลาง อาทิ โซเชียลมีเดีย อีคอมเมิร์ซ sharing economy บริการสืบค้น (search engine) บริการรวมรวมข่าว โฮสติ้ง คลาวด์ แจ้งการประกอบธุรกิจต่อสำนักงานธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ หรือ ‘ETDA’

นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กล่าวว่า เพื่อรองรับ พ.ร.ฎ.การประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ต้องแจ้งให้ทราบ พ.ศ. 2565 หรือ ‘กฎหมาย Digital Platform’ ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 21 สิงหาคม ที่จะถึงนี้ ซึ่งมีสาระสำคัญที่เกี่ยวข้องกับผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล คือ ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ที่มีรายได้เกิน 50 ล้านบาทต่อปี กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นนิติบุคคล หรือเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี กรณีที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นบุคคลธรรมดา หรือมีจำนวนผู้ใช้บริการเกิน 5,000 รายต่อเดือน มีหน้าที่แจ้งให้ ETDA ทราบก่อนการประกอบธุรกิจ และหากเป็นผู้ประกอบธุรกิจซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักร แต่ให้บริการแก่ผู้ใช้บริการในราชอาณาจักรมีหน้าที่แต่งตั้งผู้ประสานงานในราชอาณาจักร

โดยกฎหมาย Digital Platform จะกำหนดหน้าที่ให้เหมาะสมกับลักษณะของการให้บริการและผลกระทบที่อาจเกิดจากการให้บริการ และกฎหมายนี้จะมีผลใช้บังคับในวันที่ 21 สิงหาคมนี้ ซึ่งผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่ประกอบธุรกิจอยู่ก่อนวันดังกล่าวจะต้องแจ้งให้ ETDA ทราบภายใน 90 วันซึ่งจะตรงกับวันที่ 18 พฤศจิกายน 2566 หากไม่แจ้งภายในเวลาดังกล่าว จะมีโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

“กฎหมาย Digital Platform กำกับดูแลธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล เพื่อให้มีมาตรฐานที่เหมาะสม เพื่อให้ผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัลให้บริการได้อย่างโปร่งใสและเป็นธรรม มีการดูแลผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม และยังเป็นการส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัลได้อย่างยั่งยืน โดยกฎหมายนี้มุ่งเน้นการกำกับดูแลผู้ประกอบธุรกิจบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ดังนั้น ขอย้ำว่าผู้ใช้บริการที่เป็นผู้ขายสินค้าออนไลน์ หรือคนไลฟ์สด หรือคนทำ content เผยแพร่ บนบริการแพลตฟอร์มดิจิทัล ไม่ได้มีหน้าที่ต้องมาแจ้งให้ ETDA ทราบตามกฎหมายนี้แต่อย่างใด” นายชัยวุฒิ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เพื่อให้กฎหมายมีความครบถ้วนและสมบูรณ์ยิ่งขึ้น ETDA จึงได้จัดการประชุมรับฟังความคิดเห็นต่อกฎหมายลำดับรองภายใต้ พ.ร.ฎ. Digital Platform (Public hearing) รวม 4 ครั้ง โดยปัจจุบันได้ดำเนินการมาจนถึงครั้งที่ 4 ในวันจันทร์ที่ 26 มิถุนายน 2566 เกี่ยวกับ (ร่าง) คู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ใช้บริการ ซึ่งจะช่วยแก้ไขปัญหาที่สำคัญจากการใช้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัล เช่น การหลอกลวง การไม่ทราบตัวคนที่ต้องรับผิด เพื่อเป็นการส่งเสริมและสนับสนุนให้ผู้ประกอบธุรกิจจัดทำแนวปฏิบัติที่ดี (Best practice) หรือมีกลไกในการกำกับดูแลตนเองที่เหมาะสม

นอกจากนี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) เปิดโต๊ะหารือ 2 ผู้ให้บริการดิจิทัลแพลตฟอร์ม ‘Pantip – Blockdit’ ถึงวิธีการลงทะเบียนผู้ใช้บริการผ่าน User ID เร่งดัน ‘(ร่าง) คู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ใช้บริการ’ สู่การสร้างกลไกการดูแลตนเอง (Self-regulation) และการดูแลผู้ใช้บริการที่เหมาะสม ภายใต้ กฎหมาย Digital Platform Services ด้วย

พร้อมกันนี้ ในที่ประชุมยังได้มีการพูดคุยกันถึงแนวทางการดูแล ป้องกันและแก้ปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้นแก่ผู้ใช้บริการ ผ่านกลไกการลงทะเบียนก่อนเข้าใช้งาน เนื่องจาก Pantip และ Blockdit ถือเป็นตัวอย่างผู้ให้บริการ social media ที่มีการใช้กลไกการลงทะเบียนของผู้ใช้บริการ หรือ User ID ที่ดีมาอย่างต่อเนื่องและมีบัญชีผู้ใช้บริการที่ยังใช้งานอยู่ในระบบจำนวนมาก จากพูดคุยพบว่า ทั้ง 2 ผู้ให้บริการได้มีการกำหนดวิธีการลงทะเบียนเข้าใช้งานของผู้ใช้บริการที่ค่อนข้างชัดเจน คือ มีการกำหนดระดับความน่าเชื่อถือ ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนก่อนเข้าใช้งานตามความเสี่ยงของการใช้งาน เช่น ถ้าเป็นการใช้งานขั้นพื้นฐานทั่วไปที่มีความเสี่ยงน้อย ก็จะเน้นลงทะเบียนยืนยันตัวตนด้วย ชื่อ-สกุล อีเมล หรือ เบอร์โทรศัพท์ แต่ถ้าหากเป็นการใช้งานที่มีความเสี่ยงมากๆ เช่น ขายสินค้า ก็จะต้องมีการยืนยันตัวตนด้วยชื่อ ที่อยู่ เลขบัตรประชาชน เบอร์โทรศัพท์ หรือยืนยันตัวตนด้วย Digital ID ที่น่าเชื่อถือ อย่าง Digital ID ที่ออกโดยแอปพลิเคชัน ThaiD ของกรมการปกครอง ซึ่งจากการให้บริการของ 2 แพลตฟอร์ม พบว่า คนไทยส่วนใหญ่ค่อนข้างมีความตระหนักในการใช้ข้อมูลส่วนบุคคลในการลงทะเบียน หรือ สมัครเข้าใช้บริการ โดยเฉพาะการกรอกเลขบัตรประชาชนและเลขโทรศัพท์มือถือ เป็นต้น

โดยข้อมูลที่ได้จากการประชุมร่วมครั้งนี้ จะถูกนำไปเป็นส่วนหนึ่งของข้อเสนอแนะที่จะนำไปปรับปรุง ‘(ร่าง) คู่มือการพิสูจน์และยืนยันตัวตนเพื่อลงทะเบียนเป็นผู้ใช้บริการ’ กฎหมายลำดับรองภายใต้ กฎหมาย DPS (Digital Platform Services) ที่จะมีการเปิดเวทีรับฟังความคิดเห็น Public Hearing ในวันที่ 26 มิถุนายนนี้ เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ แก่ผู้ให้บริการในฐานะผู้ประกอบธุรกิจ ในการพิสูจน์และยืนยันตัวตนผู้ใช้บริการ ผ่านการลงทะเบียนการเข้าใช้งาน เพื่อให้ได้บัญชีผู้ใช้บริการที่มีความน่าเชื่อถือ ระบุตัวตนได้ เพื่อเป็นประโยชย์ในการคุ้มครองผู้บริโภค ลดการฉ้อโกงออนไลน์

โดยเนื้อหาของร่างคู่มือฉบับนี้ จะครอบคลุมทั้ง การจัดประเภทผู้ใช้งานที่ควรพิสูจน์และยืนยันตัวตน กำหนดระดับความน่าเชื่อถือของการพิสูจน์และยืนยันตัวตน List ข้อมูลที่จะต้องเก็บรวบรวม แนวทางการตรวจสอบข้อมูล การแสดงสัญลักษณ์หรือข้อความว่าดำเนินการพิสูจน์และยืนยันตัวตนแล้ว โดย (ร่าง) คู่มือ ฉบับดังกล่าว นับเป็นหนึ่งตัวอย่างของการสร้างกลไกการดูแลตนเอง (Self-regulation) ของผู้ให้บริการแพลตฟอร์มดิจิทัลที่เหมาะสม สอดคล้องตามเจตนารมณ์ภายใต้กฎหมายฉบับนี้
 

“สร้างอาชีพ สร้างชีวิต”

มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง “สร้างอาชีพ สร้างชีวิต” ร่วมกับกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่ด้อยโอกาสในพื้นที่ จ.ลำพูน ในโครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรี

วานนี้ (วันที่ 21  มิถุนายน 2566) มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง โดย นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ พร้อมด้วย นางศิริกุล โอภาสวงศ์ กรรมการและเลขาธิการ นายสุรพงษ์ เตชะหรูวิจิตร กรรมการและรองเลขาธิการ นายจารุรัตน์ คุณัตถานนท์ กรรมการและเหรัญญิก นายชาญกิจ วิทยาวรากรณ์ กรรมการ และนางสาวศุภรัตน์ สมบัติเจริญไทย หัวหน้าแผนกส่งเสริมการศึกษาและอาชีพ นำทีมลงพื้นที่จังหวัดลำพูน

มอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้กับสตรีที่มีรายได้น้อย มีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม จำนวน 19 ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 285,340 บาท (สองแสนแปดหมื่นห้าพันสามร้อยสี่สิบบาทถ้วน ) เพื่อให้สามารถประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัวได้อย่างยั่งยืน โดยมี  นางจินตนา จันทร์บำรุง อธิบดีกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว นายชาตรี กิตติธนดิตถ์ รองผู้ว่าราชการจังหวัดลำพูน พร้อมด้วย คณะศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวฯ จังหวัดลำพูน และแขกผู้มีเกียรติ ร่วมในพิธี ณ ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัวเฉลิมพระเกียรติ 72 พรรษา บรมราชินีนาถ จังหวัดลำพูน

พร้อมกันนี้ นางสาวเนาวรัตน์ วรรณศิริ หัวหน้าแผนกหน่วยแพทย์สงเคราะห์ชุมชน นำทีมหน่วยแพทย์ฯ ลงพื้นที่ให้บริการประชาชนฟรี ประกอบด้วย บริการตรวจรักษาโรคทั่วไป จ่ายยา ตรวจวัดสายตาพร้อมแจกแว่น ฯลฯ โดยมีประชาชนเข้ารับบริการเป็นจำนวนมาก

นายวิชิต ชินวงศ์วรกุล รองประธานกรรมการ เปิดเผยว่า สำหรับโครงการส่งเสริมอาชีพเพื่อสตรี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ร่วมกับ กรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยมูลนิธิฯ กำหนดมอบวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพให้แก่สตรีที่มีรายได้น้อย มีภาระหน้าที่ดูแลคนในครอบครัว เป็นแม่เลี้ยงเดี่ยว หรือด้อยโอกาสทางสังคม เป็นผู้มีความรู้ความสามารถ แต่ขาดแคลนวัสดุอุปกรณ์ประกอบอาชีพ รวม 8 ศูนย์เรียนรู้การพัฒนาสตรีและครอบครัว

ได้แก่ จังหวัดนนทบุรี สงขลา ศรีสะเกษ ขอนแก่น ลำพูน ลำปาง เชียงราย และจังหวัดพิษณุโลก ให้ได้มีวัสดุอุปกรณ์ไปประกอบอาชีพเลี้ยงตนเองและครอบครัว เพื่อเป็นการลดปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม สร้างความสุขสู่ชุมชน สังคม และประเทศชาติอย่างยั่งยืนต่อไป โดยนับตั้งแต่เริ่มดำเนินการลงพื้นที่ในเดือนเมษายนจนถึงในวันนี้ มูลนิธิฯ มอบอุปกรณ์ประกอบอาชีพรวมจำนวน 7 แห่ง 40  ราย คิดเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 662,290 บาท (หกแสนหกหมื่นสองพันสองร้อยเก้าสิบบาทถ้วน)

ตลอดระยะเวลากว่า 113 ปี มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ได้ขยายขอบข่ายโครงการต่าง ๆ ออกไปอย่างกว้างขวาง ไม่เพียงแต่บำบัดทุกข์ บำรุงสุข แก่ผู้ตกทุกข์ได้ยากโดยไม่จำกัดเชื้อชาติ  ศาสนา เท่านั้น แต่ยังได้พัฒนาคุณภาพชีวิตอีกในหลาย ๆ ทาง เพื่อเป็นองค์กรสาธารณกุศลที่ช่วยเหลือประชาชนครบวงจรในทุกๆ ด้าน ดังปณิธาน มูลนิธิป่อเต็กตึ๊ง ช่วยชีวิต รักษาชีวิต สร้างชีวิต” ต่อไป

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ สั่งดำเนินคดีครูฝึกสอนกระทำอนาจารเด็ก 6 ขวบในโรงเรียน

จากกรณีเมื่อวันที่ 2 มิ.ย. 66 ด.ช.เอ (นามสมมุติ) อายุ 6 ปี พร้อมผู้ปกครอง ได้เข้าแจ้งความต่อพนักงานสอบสวน สภ.ด่านทับตะโก ภ.จว.ราชบุรี กรณีถูก นายวัชรพล หรือครูเรด ซึ่งเป็นครูฝึกสอนที่โรงเรียนด่านทับตะโก ได้พาไปกระทำอนาจารในห้องน้ำของโรงเรียน ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น 

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ควบคุมสั่งการในการดำเนินคดีกรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ จึงได้สั่งการให้ ผกก.สภ.ด่านทับตะโก รวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดำเนินคดีกับผู้ก่อเหตุโดยเร็ว เนื่องจากเป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ

กรณีดังกล่าว หลังจากได้ส่งตัว ด.ช.เอ ตรวจร่างกายและสอบปากคำร่วมกับสหวิชาชีพแล้วทราบว่า ผู้ต้องหาซึ่งเป็นครูฝึกสอน ได้หลอกพา ด.ช.เอ ไปเข้าห้องน้ำ แล้วกระทำอนาจารในสถานที่ดังกล่าว จากนั้นได้ข่มขู่มิให้บอกผู้อื่น พนักงานสอบสวนจึงได้รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติหมายจับต่อศาลจังหวัดราชบุรี และสามารถจับกุมตัว นายวัชรพล หรือครูเรด ส่ง สภ.ด่านทับตะโก ดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน ข่มขืนกระทำชำเราเด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นอยู่ในภาวะที่ไม่สามารถขัดขืนได้ โดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม กระทำอนาจารแก่เด็กอายุยังไม่เกินสิบสามปีโดยเด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม กระทำอนาจารแก่ศิษย์ซึ่งอยู่ในความดูแล โดยใช้อำนาจครอบงำผิดคลองธรรม พาเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปีไปเพื่อการอนาจาร แม้เด็กนั้นจะยินยอมหรือไม่ก็ตาม โดยปราศจากเหตุอันสมควร พรากเด็กอายุยังไม่เกินสิบห้าปี ไปเสียจากบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือดูแลเพื่อการอนาจาร และกระทำหรือละเว้นการกระทำอันเป็นการทารุณกรรม ต่อร่างกายหรือจิตใจของเด็ก

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า คดีดังกล่าวเป็นคดีที่ประชาชนและสื่อมวลชนให้ความสนใจ เนื่องจากเป็นคดีที่เด็กซึ่งอายุเพียง 6 ขวบ ถูกครูที่โรงเรียน ซึ่งถือเป็นบุคคลใกล้ชิดที่เด็กไว้วางใจ พาไปกระทำอนาจาร ภายในห้องน้ำของโรงเรียน ซึ่งเป็นสถานที่ที่เด็กควรอยู่อย่างปลอดภัยและได้รับความคุ้มครอง

หลังทราบเหตุได้กำชับให้พนักงานสอบสวนเก็บรวบรวมพยานหลักฐานโดยละเอียดเพื่อดำเนินคดีกับผู้ต้องหารายนี้โดยเด็ดขาด และขอประชาสัมพันธ์แจ้งไปยังพี่น้องประชาชน ให้ช่วยกันดูแลบุตรหลาน หมั่นสอบถามและให้ความสนใจต่อการเปลี่ยนแปลงทางพฤติกรรมของเด็ก และระมัดระวังคนร้ายที่อาจแอบแฝงมาในรูปแบบของคนที่น่าไว้วางใจ หากมีเบาะแสการกระทำผิดดังกล่าวสามารถแจ้งผ่านหมายเลข 1599 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง

‘สมเด็จพระสังฆราช’ ขอบิณฑบาตคนไทย ไม่ทิ้งลักษณะพิเศษ ช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ของชาติ ให้คงไว้ซึ่งเมืองแห่งรอยยิ้ม

(22 มิ.ย. 66) เจ้าพระคุณ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก เสด็จลงพระอุโบสถ วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ประทานพระวโรกาสให้นายธีระพงษ์ วงศ์ศิวะวิลาส ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยผู้แทนคณะกรรมการอำนวยการจัดงานฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก 26 มิถุนายน 2566 เฝ้าถวายสักการะ ขอประทานอาราธนาให้ทรงประพรมน้ำพระพุทธมนต์และทรงโปรยดอกไม้บนเข็มที่ระลึกส่วนที่ได้มีการผลิตเพิ่มเติมอันเป็นส่วนครบจำนวนผลิต เพื่อเป็นสวัสดิมงคลแก่ผู้ได้บริจาคบูชา และเฝ้าถวายปัจจัยหลังหักค่าใช้จ่ายจากการจำหน่ายเข็มที่ระลึกเพื่อโดยเสด็จพระกุศลตามพระอัธยาศัย เมื่อวันที่ 21 มิถุนายนที่ผ่านมา

โอกาสนี้ เจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ประทานพระสัมโมทนียกถา ความตอนหนึ่งว่า “อาตมภาพขออนุโมทนาสาธุการ ที่ท่านปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีและท่านสาธุชนทุกท่าน มีเมตตามาแสดงมุทิตาจิตในโอกาสวันคล้ายวันเกิดของอาตมภาพ และยังนำเข็มที่ระลึก และปัจจัยมามอบให้ ขอแจ้งให้ทราบว่าปัจจัยเหล่านี้ที่ถวายมาทั้งหมด จะให้ไว้เป็นของส่วนรวม เพื่อประโยชน์ในการสร้างสถานปฏิบัติธรรม และการกุศลต่างๆ ไม่ใช่ของส่วนตัว ซึ่งก็ได้ทำเช่นนี้ตลอดมา

คนไทยเรามีลักษณะพิเศษ คือ ‘รอยยิ้ม’ เวลาเรามอง เราก็มองกันตรงๆ ด้วยความปรารถนาดี เสียดายที่สมัยนี้คนชอบมองกันแบบไม่เป็นมิตร จ้องจะหาเรื่องกัน มองด้วยหางตา มองอย่างตาขวาง อาตมาขอบิณฑบาตเถิด อย่าได้มองกันและกันด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร ขอให้ยิ้มแย้มแจ่มใสให้กัน หัวเราะสนุกสนานกัน ด้วยสายตาที่เป็นมิตร ถ้าจะมองก็มองตรงๆ อย่างตรงไปตรงมา จะไม่ทะเลาะกัน ช่วยกันรักษาเอกลักษณ์ของชาติไทย คือความปรารถนาดี ไมตรีจิต และรอยยิ้มไว้ให้ได้ตลอดไป ให้เด็กรุ่นต่อๆ ไปได้มีคุณสมบัติของความปรารถนาดีในแววตา ให้แผ่นดินไทยเป็นแผ่นดินแห่งรอยยิ้ม

อย่างที่เรามาพบกันนี้ ทุกคนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส นี่คือลักษณะคนไทย อาตมาเคยเดินทางไปมาหลายที่ทั่วโลก ทั้งใกล้และไกล บางทีเห็นผู้คนมองกันอย่างหวาดระแวง เป็นพวกเขา เป็นพวกเรา เป็นกลุ่มนั้น เป็นกลุ่มนี้ ไม่ไว้ใจกัน อยู่กันอย่างอึดอัดไม่สบายใจ ไม่มองกันด้วยท่าทีเป็นมิตรแบบตรงไปตรงมา ขออย่าให้ลักษณะแบบนั้นเกิดขึ้นในบ้านเมืองของเราเลย ขอบิณฑบาต และขอให้ทุกท่านซึ่งล้วนแต่เป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่สำคัญกันทั้งนั้น ช่วยกันทำให้บ้านเมืองของเราเป็นเมืองยิ้มต่อไป อย่าให้เปลี่ยนแปลงไป”

อนึ่ง วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม จะเปิดให้สาธุชนเข้าถวายเครื่องสักการะและลงนามถวายสักการะหน้าพระรูปเจ้าพระคุณ สมเด็จพระสังฆราช ในวันจันทร์ ที่ 19 ถึงวันอาทิตย์ ที่ 25 มิถุนายน 2566 เวลา 09.00 ถึง 16.00 น. ณ พระวิหาร พร้อมทั้งมีโต๊ะให้ร่วมบริจาคเพื่อรับเข็มที่ระลึกดังกล่าว สำหรับผู้โดยเสด็จพระกุศลเข็มละ 300 บาท หรือร่วมบริจาคโดยเสด็จพระกุศล และรับเข็มที่ระลึกได้ที่ห้างบิ๊กซีทุกสาขาทั่วประเทศ ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

และวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ยังเปิดให้เข้าบริจาคโดยเสด็จพระกุศล บูชาพระกริ่งและพระชัยวัฒน์ ‘อายุวัฒน์’ ณ อาคารภุชงค์ประทานวิทยาสิทธิ์ 1 ทุกวันตั้งแต่วันที่ 19 ถึง 30 มิถุนายน 2566 และทุกวันเสาร์-อาทิตย์ของเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2566 เวลา 13.00 ถึง 17.00 น.

‘นนอ.ไทย’ คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จากการแข่งขันอากาศยานไร้คนขับนานาชาติ

(21 มิ.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นักเรียนนายเรืออากาศ (นนอ.)ได้เข้าร่วมการแข่งขัน อากาศยานไร้คนขับนานาชาติ (AUVSI SUAS 2023) ณ รัฐแมริแลนด์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ในชื่อ ‘ทีม Pegasus’ ตัวแทนหนึ่งเดียวจากประเทศไทย และได้สร้างผลงานระดับโลก โดยได้ คว้ารางวัลรองชนะเลิศอันดับที่ 1 จากผู้เข้าแข่งขันทั้งหมด 71 ทีมทั่วโลก

โดยได้ประกาศผลการแข่งขันอย่างเป็นทางการ ของนักเรียนนายเรืออากาศ ‘ทีม Pegasus’ ซึ่งสามารถคว้า รางวัลคะแนนรวมรองชนะเลิศอันดับที่ 1 และรางวัลชนะเลิศ Flight Readiness Review (VDO clip presentation) ในการแข่งขันอากาศยานไร้คนขับนานาชาติโครงการ ASSOCIATION FOR UNMANNED VEHICLE SYSTEMS INTERNATIONAL STUDENT UNMANNED AERIAL SYSTEMS COMPETIITIONS (AUVSI SUAS 2023) เมื่อวันที่ 21 มิ.ย. พ.ศ.66

สำหรับ ผู้ที่ชนะเลิศ (อันดับ 1) จากประเทศตุรกี รองชนะเลิศ (อันดับ 2 ประเทศไทย) รองชนะเลิศ (อันดับ 3 ประเทศอินเดีย) อันดับ 4 ประเทศอังกฤษ และ อันดับ 5 ประเทศซาอุดีอาระเบีย

‘เนติวิทย์’ ขอพรเสด็จพ่อ ร.5 คุ้มครอง ‘หยก-กลุ่มนักเรียนเลว’ ให้ปฏิรูปการศึกษาไทยสำเร็จ พร้อมขอพระองค์ดลใจน้องๆ เรียนต่อจุฬา

เมื่อวันที่ 20 มิ.ย. 66 นายเนติวิทย์ โชติภัทร์ไพศาล นักเคลื่อนไหวกิจกรรมทางการเมือง โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

“วันนี้เวลา 18 นาฬิกา 15 นาที ผมได้เดินทางไปสักการะพระบรมรูปเสด็จพ่อ ร.5 ที่ลานพระบรมสองรัชกาลของจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นสถานที่ที่ผมคุ้นเคยเป็นอย่างดี (โดยยืน มิได้หมอบกราบแต่อย่างใด เพราะจะขัดพระบรมราชโองการของพระองค์)

ในการนี้ผมได้ขอพรเสด็จพ่อ ขอให้พระบารมีคุ้มครองรักษาน้องหยกและนักเรียนเลวคนอื่นๆ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลงระบบการศึกษาไทยให้ประสบความสำเร็จ

ขอให้พระองค์ดลใจน้องๆ เหล่านี้ให้มาศึกษาต่อที่จุฬาฯ เพื่อสืบสานพระราชปณิธานของพระองค์ในการทำให้จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยเป็นสถาบันอุดมศึกษาที่รับฟังเสียงของนิสิตนักศึกษาและชุมชน ไม่ให้มีใครต้องถูกไล่ที่อีก รวมถึงรับใช้สังคมและประชาชนอย่างที่ควรจะเป็นซึ่งผู้บริหารจุฬาฯ ไม่เคยทำได้ ไม่เคยเป็นแบบอย่างได้ และคงไม่สนใจจะทำด้วย”

‘เด็กจีน’ แห่เรียน ‘ภาษาไทย’ คึกคัก หลังมีการปรับหลักสูตร เพื่อพัฒนาบุคคลากร จบไปมีบริษัทจ่อรอรับเข้าทำงานทันที

เมื่อไม่นานนี้ สำนักข่าวซินหัว, หนานหนิง รายงานว่า บรรดานักศึกษาชาวจีนผู้รักการเรียนภาษาไทยจากสถาบันอุดมศึกษาในเขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วง จำนวน 19 แห่ง ต่างงัดทักษะความสามารถด้านภาษาไทยออกมาโชว์กันอย่างเต็มที่ ณ การแข่งขันสุนทรพจน์ภาษาไทยระดับอุดมศึกษาครั้งที่ 16 ซึ่งจัดโดยมหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี (Guangxi University for Nationalities) เมื่อไม่นานนี้ โดยการแข่งขันในปีนี้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มนักศึกษาวิชาเอกภาษาไทย และนักศึกษาที่ไม่ได้เรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอก

ไม่กี่ปีที่ผ่านมา การเรียนการสอนภาษาไทยในจีนคึกคักมากขึ้น โดยมีการปรับเปลี่ยนให้ทันตามกระแสแห่งยุคสมัย และทิศทางการพัฒนาความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศอยู่เสมอ เพื่อพัฒนาบุคคลากรที่มีทั้งความสามารถด้านภาษา มีความรู้ความเข้าใจ และมีความรู้สึกที่ดีต่อประเทศไทย

‘ฉินซิ่วหง’ คณบดีวิทยาลัยภาษาและวัฒนธรรมเอเชียอาคเนย์ มหาวิทยาลัยชนชาติกว่างซี กล่าวว่า นักศึกษาที่เข้าร่วมการแข่งขันส่วนมากเป็นนักศึกษาชั้นปีที่ 2 หรือ 3 และหัวข้อการกล่าวสุนทรพจน์และการแข่งขันรายการอื่นๆ ในแต่ละปี จะอิงจากสถานการณ์และกระแสความต้องการของตลาดในปัจจุบัน เช่น กระแสอีคอมเมิร์ซข้ามพรมแดน

ฉิน กล่าวว่า “เราคัดเลือกหัวข้อ เช่น หมอนยางพารา ทุเรียน และสินค้าไทยอื่นๆ ที่ชาวจีนสนใจ แล้วให้นักศึกษาแนะนำในรูปแบบการไลฟ์สด นักศึกษาที่ได้รับรางวัลบางคนอาจเซ็นสัญญากับบริษัทที่เกี่ยวข้องได้เลยทันที” พร้อมเสริมว่า ปีนี้การท่องเที่ยวจีน-ไทยกำลังฟื้นตัวอย่างเป็นลำดับ การแนะนำวัฒนธรรมไทย อาหารไทย สถานที่ท่องเที่ยวในไทย จึงเป็นส่วนหนึ่งของหัวข้อการแข่งขัน

รายงานระบุว่า ตลาดงานในปัจจุบันต้องการบุคคลากรที่มีทั้งทักษะภาษาและความรู้ด้านวิชาชีพอื่นๆ ด้วย เช่นความรู้ด้านกฎหมายและการบริหารจัดการ มหาวิทยาลัยภาษาหลายแห่งในจีนจึงมุ่งสร้างบุคคลากรที่เก่งหลายด้านในคนเดียว ผ่านการเสริมหลักสูตรวิชาชีพอื่น ซึ่งทำให้หลังเรียนจบผู้เรียนจะได้รับวุฒิปริญญาสองใบ หรือมีประกาศนียบัตรรับรองความสามารถทางวิขาชีพเพิ่มเติม

ช่วงที่โรคโควิด-19 ระบาด การแลกเปลี่ยนระหว่างจีน-ไทยเผชิญข้อจำกัด หลายสถาบันจึงเริ่มพัฒนาหลักสูตรการสอนภาษาไทยออนไลน์ ขณะที่เว็บไซต์จีนบางแห่งก็มีการสอนภาษาไทยในรูปแบบของการไลฟ์สดและคลิปวิดีโอสั้น ซึ่งกระตุ้นกระแสความนิยมภาษาไทยได้ไม่น้อย ฉิน กล่าวว่า “เยาวชนคนรุ่นใหม่ในจีนนิยมชมชอบ ‘วัฒนธรรมไทย’ และการเรียนภาษาไทย หลังละครไทยกลายเป็นกระแสในจีน” พร้อมเสริมว่าอุตสาหกรรมภาพยนตร์และโทรทัศน์นั้นเป็นสะพานเชื่อมโยงคนรุ่นใหม่ของทั้งสองประเทศ

‘โอวม่าน’ ผู้อำนวยการภาควิชาภาษาไทยของวิทยาลัยฯ ให้ข้อมูลว่าตำแหน่งงานด้านภาษาไทยที่หลายบริษัทติดต่อมาให้ประกาศให้ในปีนี้ มีมากกว่าจำนวนนักศึกษาเอกภาษาไทยทั้งหมดของมหาวิทยาลัย

‘หยางเย่าหง’ นักศึกษาชั้นปีที่ 3 ผู้ชนะเลิศอันดับหนึ่งในกลุ่มผู้แข่งขันที่เรียนภาษาไทยเป็นวิชาเอก เริ่มเรียนภาษาไทยด้วยตนเองเมื่อ 8 ปีก่อน ตั้งแต่ยังเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น “ผมคิดว่าภาษาไทยสนุกมาก มีความคล้ายคลึงหลายอย่างกับภาษาเฉาซ่าน (แต้จิ๋ว) บ้านเกิดของผม”

‘หวงเหม่ยเสีย’ ผู้จบการศึกษาสาขาเอกภาษาไทยจากมหาวิทยาลัยชนชาติยูนนาน (Yunnan Nationalities University) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งผู้ช่วยประธานบริหาร ประจำสาขากว่างซีของเครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่าการได้ไปเรียนที่ประเทศไทยในช่วงชั้นปีที่ 3 ได้ช่วยเปิดโลกทัศน์และทำให้ภาษาไทยของเธอพัฒนาไปอีกขั้น พร้อมเล่าประสบการณ์ความประทับใจที่มีต่อครูชาวไทย

ด้านเบญจมาศ ตันเวทยานนท์ กงสุลใหญ่ ณ นครหนานหนิง กล่าวว่าภาษาเป็นสะพานเชื่อมระหว่างกัน และเป็นกระบวนการการเรียนรู้ร่วมกันระหว่างสองวัฒนธรรม ซึ่งตนรู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้เห็นนักศึกษาชาวจีนเรียนภาษาไทยและเข้าใจประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ พร้อมแสดงความหวังว่าบุคคลากรคุณภาพเหล่านี้จะมีส่วนช่วยส่งเสริมความร่วมมือในด้านการศึกษา การค้า การลงทุน และอื่นๆ ระหว่างสองประเทศต่อไป

‘บิ๊กป้อม’ เคาะ!! ‘EIA รถไฟรางคู่สายใต้’ งบ 5.7 หมื่นล้าน เชื่อมต่อ ‘สุราษฎร์ฯ–หาดใหญ่–สงขลา’ ระยะทาง 321 กม.

เมื่อไม่นานนี้ พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ผ่านระบบ VTC ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด โดยที่ประชุมรับทราบเรื่องสำคัญ ประกอบด้วย รายงานสถานการณ์มลพิษฯ ปี 2565 สรุป คุณภาพน้ำ ทั้งแหล่งผิวดิน น้ำทะเลชายและน้ำบาดาล โดยรวมอยู่ในเกณฑ์คุณภาพดี คุณภาพอากาศและเสียงมีแนวโน้มดีขึ้นขยะมูลฝอยชุมชนของเสียและสารอันตรายพบว่าขยะมูลฝอยเพิ่มขึ้นมีการขัดแยกและกำจัดขยะถูกต้องเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันของเสียอันตรายและวัตถุอันตรายมีปริมาณเพิ่มขึ้นกากอุตสาหกรรมที่มีอันตรายมีการแจ้งและนำเข้าสู่ระบบการจัดการเพิ่มขึ้นมูลฝอยติดเชื้อมีปริมาณเพิ่มขึ้นและได้รับการกำจัดอย่างถูกต้องเพิ่มขึ้น

ต่อจากนั้น ที่ประชุมได้ร่วมพิจารณาและให้ความเห็นชอบ รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม (EIA) โครงการอ่างเก็บน้ำแม่คำ อำเภอแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย โครงการก่อสร้างรถไฟรางคู่ ช่วงสุราษฎร์ธานี – ชุมทางหาดใหญ่ – สงขลา นอกจากนั้น ยังให้ความเห็นชอบการปรับปรุงมาตรฐานควบคุมการปล่อยทิ้งอากาศเสียจากโรงไฟฟ้า เพื่อควบคุมและแก้ปัญหามลพิษด้านฝุ่นละออง

โดยรองนายกรัฐมนตรี กล่าวขอบคุณ คณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ ที่ร่วมกันทำหน้าที่ให้ข้อคิดเห็นและมุมมองต่างๆที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ต่อเนื่องที่ผ่านมา พร้อมย้ำโครงการสาธารณะขนาดใหญ่ ที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวม ขอให้ใช้ความรอบคอบทั้งหลักวิชาการและสภาพจริง รวมทั้งต้องยึดประโยชน์ส่วนรวมและรับฟังข้อคิดเห็นของประชาชนในพื้นที่อย่างรอบด้าน

พร้อมกำชับ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมถึงปัญหาสถานการณ์มลพิษ ทั้งคุณภาพน้ำ อากาศและเสียง รวมทั้งขยะมูลฝอยชุมชน ของเสียและวัตถุอันตราย บางพื้นที่ที่อยู่ในเกณฑ์เสื่อมโทรม จำเป็นต้องให้น้ำหนักเข้าไปแก้ปัญหาให้ทั่วถึง สำหรับการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมขนาดกลางและขนาดย่อม รวมทั้งการทำการเกษตรที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้การปล่อยปริมาณน้ำเสียลงผิวดินเพิ่ม ประกอบกับระบบบำบัดน้ำเสียรวมชุมชนที่ไม่เพียงพอและไม่สามารถรองรับ ถือเป็นเรื่องสำคัญ ที่ต้องประสานการทำงานร่วมกันมากขึ้น โดยขอให้มีแผนงาน มาตรการรองรับและมีการกำกับที่เป็นรูปธรรม ทั้งนี้ ขอให้กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม นำผลการประชุมดังกล่าว เสนอคณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบ และดูแลกำกับโครงการต่างๆ ให้เป็นไปตามที่กำหนด

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ แถลงผลความคืบหน้าการขยายผลคดีเว็บพนันออนไลน์ ดำเนินคดีนายตำรวจใหญ่เป็นนายทุนเบื้องหลัง

จากกรณีเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 66 กรณีนายเชิดเกียรติ ศักดิ์ศรี อายุ 24 ปี ผู้เสียหายได้มาร้องขอความเป็นธรรมต่อ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. กรณีถูกกลุ่มผู้ต้องหาจำนวน 7 คน อุ้มจากที่พักย่านลาดพร้าว กรุงเทพฯ ไปทำร้ายร่างกายและทวงเงิน และได้เอาทรัพย์สินของผู้เสียหายเป็นเงินสด โทรศัพท์มือถือและแทปเล็ต รวมมูลค่าประมาณ 100,000 บาท

โดยมูลหนี้มีความเกี่ยวข้องกับการลักลอบเปิดเว็บพนันออนไลน์ เหตุเกิดเมื่อวันที่ 12 ม.ค.66 ในพื้นที่ สน.โชคชัย ซึ่งสามารถจับกุมผู้ต้องหาที่ก่อเหตุได้ครบทั้ง 7 คน รวมทั้งยังดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ให้ความช่วยเหลือในการค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของผู้เสียหายส่งให้กลุ่มผู้ก่อเหตุอีก 1 ราย ตามที่สื่อมวลชนและโซเชียลมีเดียได้นำเสนอไปแล้วนั้น 

กรณีดังกล่าว พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่สืบสวนเร่งดำเนินการสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ที่เกี่ยวข้องกับเว็บพนันดังกล่าวด้วย เนื่องจากผู้เสียหายให้ข้อมูลว่า เว็บพนันดังกล่าวมีนายตำรวจเกี่ยวข้องอยู่เบื้องหลังด้วย โดยให้ดำเนินการสืบสวนความเชื่อมโยงและไล่เส้นเงินจากผู้เกี่ยวข้อง และดำเนินคดีโดยเด็ดขาดทั้งหมด

เบื้องต้นในส่วนของคดีปล้นทรัพย์นั้น ได้สรุปสำนวนฟ้องเสนอพนักงานอัยการแล้ว คดีอยู่ในชั้นศาล และในส่วนของสำนวนคดี ป.ป.ช.ซึ่งดำเนินคดีกับเจ้าหน้าที่รัฐที่ค้นข้อมูลทะเบียนราษฎร์นั้น ป.ป.ช.ได้พิจารณาชี้มูลความผิดและส่งให้ ภ.จว.สระแก้ว ดำเนินการตามกฎหมายแล้ว 

เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนได้ดำเนินการตรวจสอบเส้นทางการเงินจากกลุ่มผู้ต้องหาดังกล่าวพบว่า เว็บไซต์การพนันที่เกี่ยวข้องมี 3 เว็บไซต์ ได้แก่ sexy789 red789 และ blue789 โดยมีการแบ่งหน้าที่กันทำอย่างชัดเจนในการเป็นแอดมิน และการจัดหาบัญชีม้า เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถรวบรวมพยานหลักฐานและดำเนินคดีกับผู้ต้องหาได้เพิ่มเติมจำนวน 9 ราย โดยได้จับกุมและแจ้งข้อกล่าวครบแล้วทั้งหมด

ประกอบด้วย
1. พล.ต.ต.เอกภพ อายุ 52 ปี (เจ้าของเว็บ)
2. พ.ต.อ.ปวริศ  อายุ 41 ปี (จัดหาบัญชีม้า)
3. น.ส.พัชวัญญ์ อายุ 39 ปี (ซุปเปอร์แอดมิน)
4. นายมนตรี   อายุ 39 ปี (ซุปเปอร์แอดมิน)
5. น.ส.อมรรัตน์   อายุ 26 ปี (จัดหาบัญชีม้า)
6. นายสนธิ์  อายุ 57 ปี (บัญชีม้า)
7. นางวันเพ็ญ   อายุ 59 ปี (บัญชีม้า)
8. นายคมเดช   อายุ 32 ปี (บัญชีม้า)
9. น.ส.กนกวรรณ อายุ 37 ปี (บัญชีม้า)

โดยจะดำเนินคดีในความผิดฐาน ร่วมกันจัดให้มีการเล่น หรือทำอุบายล่อ ช่วยประกาศโฆษณาหรือชักชวนโดยทางตรงหรือทางอ้อมให้ผู้อื่นเข้าเล่นหรือเข้าพนันในการเล่นพนันทางสื่ออิเล็กทรอนิกส์โดยมิได้รับอนุญาตจากเจ้าพนักงาน และสมคบโดยการตกลงกันตั้งแต่สองคนขึ้นไปเพื่อกระทำความผิดฐานฟอกเงิน

และได้มีการกระทำความผิดฐานฟอกเงินเพราะเหตุที่ได้มีการสมคบกันโดยการโอน รับโอน หรือเปลี่ยนสภาพทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิดเพื่อซุกซ่อนหรือปกปิดแหล่งที่ของทรัพย์สินนั้นหรือกระทำด้วยประการใดๆเพื่อปกปิดหรืออำพรางลักษณะที่แท้จริงการได้มา แหล่งที่ตั้ง การจำหน่าย การโอน การได้สิทธิใดๆ ซึ่งทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด ได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สิน โดยรู้ว่าในขณะได้มา ครอบครอง หรือใช้ทรัพย์สินนั้นว่าเป็นทรัพย์สินที่เกี่ยวกับการกระทำความผิด และร่วมกันฟอกเงิน นอกจากนี้ยังได้ส่งเรื่องให้ทาง ป.ป.ง. ทราบและพิจารณาดำเนินการในการตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อยึดอายัดในขั้นต่อไปแล้ว

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ฯ กล่าวว่า หลังจากที่ได้มีการจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาทั้ง 6 คนที่ได้ก่อเหตุอุกฉกรรจ์ในการอุ้มผู้เสียหายเพื่อนำไปทวงเงินได้แล้วนั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนได้มีการขยายผลดำเนินคดีกับเว็บไซต์การพนันออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวด้วย โดยได้ข้อมูลจากผู้เสียหายว่า มีนายตำรวจอยู่เบื้องหลังการดำเนินการดังกล่าว

จึงได้กำชับเจ้าหน้าที่สืบสวนและพนักงานสอบสวน ให้มีการรวบรวมพยานหลักฐานโดยละเอียด และให้นำตัวผู้ที่เกี่ยวข้องมาดำเนินคดีทุกราย แม้จะเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจยศใดก็ตาม ทั้งนี้ขอยืนยันว่า จะมีการดำเนินคดีกับผู้ต้องหาครบทุกคน ไม่มียกเว้นแน่นอน

IMD’ ขยับขีดความสามารถแข่งขันไทยดีขึ้น 3 อันดับอยู่ที่ 30 จาก 64

IMD’ ขยับขีดความสามารถแข่งขันไทยดีขึ้น 3 อันดับอยู่ที่ 30 จาก 64 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ชี้คะแนนหลายด้านดีขึ้นทั้งสมรรถนะเศรษฐกิจ ประสิทธิภาพภาครัฐ - ธุรกิจ และโครงสร้างพื้นฐาน

สมาคมการจัดการธุรกิจแห่งประเทศไทย หรือ ‘TMA’ ได้เผยผลการจัดอันดับความสามารถในการแข่งขันของประเทศจาก World Competitiveness Center ของ International Institute for Management Development หรือ ‘IMD’ สวิตเซอร์แลนด์ ประจำปี 2566 ไทยปรับอันดับดีขึ้น 3 อันดับจากปีที่แล้ว มาอยู่ที่อันดับ 30 จาก 64 เขตเศรษฐกิจในปีนี้ 

ทั้งนี้เมื่อพิจารณาปัจจัย 4 ด้านที่ใช้ในการจัดอันดับ ไทยมีขีดความสามารถในการแข่งขันดีขึ้นจากปีที่แล้วในทุกด้าน ได้แก่
    
1.) สมรรถนะทางเศรษฐกิจ (Economic Performance) : ภาพรวมอันดับดีขึ้นจากปี 2565 ถึง 18 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 16 ในปี 2566 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยการลงทุนระหว่างประเทศ (International Investment) ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 11 อันดับ และการค้าระหว่างประเทศ (International Trade) ที่ไทยอันดับดีขึ้นถึง 8 อันดับ จากปีก่อน 

2.) ประสิทธิภาพของภาครัฐ (Government Efficiency) : อันดับดีขึ้นจากปี 2565 ถึง 7 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 24 ในปี 2566 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยกรอบการบริหารภาครัฐ (Institutional Framework) และกฎหมายธุรกิจ (Business Legislation) ที่ทั้ง 2 ปัจจัยย่อยนี้ ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 7 อันดับ

3.) ประสิทธิภาพของภาคธุรกิจ (Business Efficiency) : ภาพรวมอันดับดีขึ้นจากปี 2565 ถึง 7 อันดับ มาอยู่ที่อันดับ 23 ในปี 2566 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยผลิตภาพและประสิทธิภาพ (Productivity & Efficiency) ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 9 อันดับ

4.) โครงสร้างพื้นฐาน (Infrastructure) : อันดับดีขึ้น 1 อันดับ จากปี 2565 มาอยู่ที่อันดับ 43 ในปี 2566 สาเหตุหลักจากปัจจัยย่อยโครงสร้างด้านเทคโนโลยี (Technological Infrastructure) ที่ไทยอันดับดีขึ้นจากปีก่อนถึง 9 อันดับ

โดยเมื่อเทียบกับในอาเซียนไทยอยู่อันดับที่ 3 รองจากสิงคโปร์ ที่อยู่อันดับ 4 และมาเลเซีย อยู่อันดับที่ 27 ของโลก
 

‘น้องปาล์มมี่’ ช่วยแม่ขาย ‘น้ำลำไย’ เมนูคลายร้อนสุดฮิต ใช้ลำไยวันละ 70 กิโล ขายได้ 400 แก้ว สร้างรายได้ละวันหมื่น!!

ขนมาเท่าไรก็ขายหมด!! น้อง ม.6 ช่วยแม่หาเงิน ขายน้ำลำไย สร้างรายได้หลักหมื่นต่อวัน!!
ช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา น้ำลำไย ถือเป็นเมนูคลายร้อนที่ได้รับความนิยมและยังฮอตฮิตไม่สร่าง กลายเป็นอาชีพ ขายน้ำลำไย ที่สร้างรายได้ได้ดีอาชีพหนึ่งเลยทีเดียว

เมื่อไม่นานนี้ ‘น้องปาล์มมี่’ น.ส.อภิสรา โกมลวัฒนะ สาวน้อยวัย 18 ปี จากโรงเรียนสาธิต “พิบูลบำเพ็ญ” มหาวิทยาลัยบูรพา ผู้ใช้เวลาว่างจากการเรียน มาขายน้ำลำไยในตลาดนัดกับครอบครัว ทำยอดขายต่อวันหลักหมื่น!!

น้องปาล์มมี่ เล่าว่า ปัจจุบันตนเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 6 สายวิทย์-คณิต ที่โรงเรียนสาธิตพิบูลบำเพ็ญ มหาวิทยาลัยบูรพา โดยตั้งใจจะสอบเข้าในคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ เพราะชอบวาดรูป นอกจากเรียน-ติวหนังสือ และซ้อมวอลเลย์บอลแล้ว เมื่อมีเวลาว่างก็ไปช่วยแม่ขายน้ำพริกไข่ปูที่ตลาดนัดเป็นปกติอยู่แล้ว

กระทั่งช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมากระแสของ น้ำลำไย ได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก น้องปาล์มมี่จึงนำไอเดียที่ได้เห็นไปพูดคุยกับคุณแม่และคนที่บ้าน

“ปกติคุณแม่ขายน้ำพริกไข่ปูอยู่ที่ตลาดนัดอยู่แล้วค่ะ แล้วหนูเป็นคนชอบเล่นโซเชียล ก็ไปเห็นว่า ช่วงนี้คนเขานิยมน้ำลำไยกัน ใน TikTok นี่ดังมาก เลยเอาไปให้แม่ดูและคุยกันว่า มาลองทำกินทำขายดีไหม เพราะหนูก็อยากกินด้วย แล้วถ้าทำขายมันก็น่าจะรุ่งนะ เพราะในตลาดนัดที่แม่ขายอยู่ ณ ตอนนั้น ยังไม่มีร้านน้ำลำไยขายเลย พอคุยกันเสร็จแม่ก็บอกลองดูก็ได้ เขาก็อยากหาอะไรใหม่ๆ มาขายเหมือนกัน เพราะน้ำพริกไข่ปูมันก็ไม่ได้ขายดีเหมือนเมื่อก่อนแล้ว ก็เลยเปิดเน็ตดูว่าคนอื่นๆ เขาทำน้ำลำไยกันยังไง ให้พ่อให้พี่ให้น้องช่วยกันชิม ช่วยกันทำช่วยกันปรับสูตร ใช้เวลา 1 อาทิตย์ค่ะ ก็ได้สูตรที่ลงตัว ก็ไปขายกับแม่ที่ตลาดนัดเลย ตอนนี้ก็เปิดมาได้ 5 เดือนแล้วค่ะ” น้องปาล์มมี่ กล่าว

โดยร้านน้ำลำไยของน้องปาล์มมี่ ใช้ลำไยสายพันธุ์พวงทองในการทำ เพราะน้องบอกว่า ลำไยพันธุ์นี้รสชาติหวานและหอมกว่าพันธุ์อื่นๆ

“วันแรกที่ขายเลย เตรียมลำไยไปแค่ 10 กิโลเท่านั้นค่ะ ออกจากบ้านตั้งร้านบ่าย 2 โมง ประมาณ 5 โมงก็ขายหมดแล้วค่ะ มันเกินคาด เพราะหนูกับแม่ไปตั้งร้านเร็วด้วย ก็จะได้ลูกค้ากลุ่มแม่ค้าพ่อค้าที่เขามาตั้งร้านกันมาซื้อเป็นกลุ่มแรกๆ วันต่อๆ ไปก็เตรียมของเพิ่มขึ้นทีละนิดๆ จนปัจจุบัน ใช้ลำไยประมาณวันละ 70 กิโลค่ะ หนูขายแก้วละ 40 บาท ถ้าใส่ขวดหรือถุงก็ 50 บาท มันก็ขายได้ประมาณ 300-400 แก้วต่อวัน” น้องปาล์มมี่ กล่าว

ในเรื่องการลงทุน น้องปาล์มมี่ บอกว่า ส่วนนี้น้องไม่ทราบตัวเลขแน่ชัด เพราะคุณแม่เป็นคนจัดการทั้งหมด และได้บอกมาว่า ใน 1 วันที่ลงทุนซื้อของทำน้ำลำไย ลงทุนในเรื่อง ลำไย 70 กก. x 150 บาท น้ำตาล 600 บาท เตย 120 บาท ถุงแก้ว สติกเกอร์ 500 บาท และ น้ำแข็ง ประมาณ 1,000 บาท

“จริงๆ มันก็รู้สึกเหนื่อยนะคะ แต่ว่ามันสนุก เพราะเวลาไปตั้งร้านขาย เพื่อนๆ ก็จะแวะมาหากันเยอะ แต่ถ้าเรียนเสร็จกลับบ้านมาเฉยๆ มันก็เบื่อค่ะ” น้องปาล์มมี่ กล่าว

นอกจากกิจการน้ำลำไยที่ทำอยู่ น้องปาล์มมี่ยังเผยอีกว่า คุณแม่ได้ทดลองทำน้ำลำไยที่ผสมใบเตยลงไป เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ให้ลูกค้า อีกทั้งยังมีแพลนจะต่อยอดทำเป็นรถ Food Truck เพื่อเปิดเป็นร้านสาขา 2 ด้วย

พิกัดร้าน น้ำลำไยสด ของน้องปาล์มมี่อยู่ที่ ตลาดโต้รุ่ง จังหวัดชลบุรี หรือสอบถามได้ที่เบอร์ 095-141-6428

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 รุดเยี่ยมให้กำลังใจ 2 ครอบครัวไทยพุทธ หลังเกิดเหตุลอบยิง เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย เร่งติดตามจับกุมผู้ก่อเหตุมาดำเนินคดีทางกฎหมาย

วันนี้ 21 มิถุนายน 2566 เวลา 15.00 น. ณ วัดทรายทอง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 พร้อมด้วย พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส/ ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15/ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

ตลอดจนหน่วยงานราชการในพื้นที่ เดินทางให้กำลังใจครอบครัวผู้เสียชีวิตเหตุคนร้ายลอบยิงชาวบ้านไทยพุทธ ขณะขับขี่รถจักรยานยนต์ 2 คัน เพื่อไปหาของป่า เป็นเหตุให้ประชาชนเสียชีวิต 2 ราย คือนายประเทือง พรหมทอง อายุ 42 ปี และนายนิวัฒน์ สังข์ทอง อายุ 55 ปี ประชาชนบ้านป่ากุง ตำบลรือเสาะ อำเภอรือเสาะจังหวัดนราธิวาส ซึ่งทั้ง 2 ราย เป็นผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้านหมู่ที่ 6 และเป็นสมาชิกโครงการราษฏรอาสารักษาหมู่บ้าน (อรบ.) กองพัน อรบ. รือเสาะ ซึ่งภายในงาน ยังมีพี่น้องประชาชนมุสลิมในพื้นที่ได้เดินทางมาร่วมแสดงความเสียใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ตลอดจนให้กำลังใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิตอีกด้วย 

โดยแม่ทัพภาคที่ 4 ได้พบปะพูดคุยให้กำลังใจ ตลอดจนสอบถามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับหน่วยในพื้นที่รับผิดชอบ พร้อมมอบเงินช่วยเหลือเกี่ยวกับการจัดการศพเบื้องต้น ก่อนจะสั่งการหน่วย ปรับมาจากการรักษาความปลอดภัยเป้าหมายอ่อนแอโดยเฉพาะกลุ่มไทยพุทธให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น เร่งตรวจสอบพื้นที่เกิดเหตุ ปิดกั้นเส้นทางเข้า - ออก ไม่ให้ประชาชนหรือผู้ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามายังบริเวณจุดเกิดเหตุ หวั่นอันตรายหรือเกิดเหตุซ้ำซ้อน ช่วยกันดูแลพื้นที่ รวมทั้งตั้งจุดตรวจ จุดสกัด ทั้งเส้นทางหลัก เส้นทางรอง เพื่อสกัดกั้นการหลบหนีของกลุ่มผู้ก่อเหตุรุนแรง พร้อมรวบรวมหลักฐาน ติดตามคนรายที่ก่อเหตุมาดำเนินการตามกระบวนการทางกฎหมายอย่างเร่งด่วน 

นอกจากนี้ ยังกำชับให้เจ้าหน้าที่ ส่วนที่เกี่ยวข้องได้ทำความเข้าใจกับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ในการเข้าไปหาของป่า รวมทั้งมาตรการต่างๆ และให้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยจุดเสี่ยง เฝ้าระวังไม่ให้เกิดเหตุการณ์กับพี่น้องประชาชนผู้บริสุทธิ์อีก 

อย่างไรก็ตาม แม่ทัพภาคที่ 4 ได้ฝากไปยัง ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น  กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน รวมถึงพี่น้องประชาชน ได้ช่วยเป็นหูเป็น หากพบเห็นสิ่งผิดปกติหรือบุคคลต้องสงสัย สามารถแจ้งหน่วยเฉพาะกิจในพื้นที่ หรือแจ้งเบาะแสสายตรงหาแม่ทัพภาคที่ 4 ได้ที่หมายเลขโทรศัพท์  061 - 1732999 ได้ตลอด 24 ชั่วโมง ทั้งนี้ จะมีการรดน้ำศพ นายประเทือง พรหมทอง  และนายนิวัฒน์ สังข์ทอง ในวันพรุ้งนี้ (22 มิถุนายน 2566) ณ วัดทรายทอง อำเภอรือเสาะ จังหวัดนราธิวาส มีพิธีสวดพระอภิธรรมศพทุกคืน และจะมีพิธีฌาปนกิจ ในวันที่ 25 มิถุนายน 2566 นี้
ข่าว.แวดาโอ๊ะ หะไร / อัสมา บินมะนุ จ.นราธิวาส

ผบ.ตร. มอบรางวัลแก่ผู้กองฮีโร่ช่วยหญิงชราป่วยติดเตียงจากเหตุบ้านเพลิงไหม้และตำรวจด่านตรวจแอลกอฮอล์จับกุมผู้ก่อเหตุอุ้มทำร้ายร่างกายพร้อมอาวุธปืนและกระสุนปืนเพียบ

วันนี้ (21 มิ.ย.66) เวลา 11.45 น. ที่ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ  พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบเกียรติบัตรโครงการ “ทำดี มีรางวัล” ให้แก่ข้าราชการตำรวจทั้งหมด 14 ราย 

พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ฯ กล่าวว่า สำหรับโครงการ “ทำดี มีรางวัล” 
นั้นเป็นโครงการที่มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับข้าราชการตำรวจและประชาชนที่ประกอบคุณงามความดีมีจิตสาธารณะ จนเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนข้าราชการตำรวจที่มุ่งมั่นทุ่มเททำงานจนมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ สร้างชื่อเสียงให้แก่หน่วยงาน และในกรณีนี้คือ
เหตุการณ์แรก กรณี “ตํารวจวิ่งฝ่าเปลวเพลิงช่วยชีวิตผู้ป่วยติดเตียง” ผู้ที่ทําความดี คือ ร.ต.อ.ชูศักดิ์ แสงรูจี รองสารวัตรป้องกันปราบปราม สถานีตํารวจนครบาล ทองหล่อ

โดยเหตุการณ์เกิดเมื่อวันที่ 14 มิ.ย 66 เวลาประมาณ 13.30 น. เจ้าหน้าที่ตํารวจได้รับแจ้งเหตุเพลิงไหม้ จึงได้นํากําลังไปยังที่เกิดเหตุซึ่งเป็นบ้านลักษณะทาวเฮ้าส์ และเมื่อทราบว่ามีผู้ป่วยติดเตียงติดอยู่ภายใน ร.ต.อ.ชูศักดิ์ฯ จึงได้ประเมินสถานการณ์และตัดสินใจวิ่งฝ่ากลุ่มควันและเปลวเพลิง เข้าไปภายในบ้าน และทําการช่วยเหลือโดยอุ้มหญิงผู้ป่วยติดเตียงที่กําลังสําลักควันไฟดิ้นรนช่วยเหลือตัวเองออกมาได้อย่างปลอดภัย คลิปวีดีโอการช่วยชีวิตดังกล่าว ถูกส่งต่อไปในโลกสังคมออนไลน์ ได้รับกระแสชื่นชมเป็นอย่างมาก 

และเหตุการณ์ที่ 2 กรณี “จับคนร้ายที่ด่านตรวจวัดแอลกอฮอล์” ของเจ้าหน้าที่ตํารวจ งานสายตรวจ1 กองบังคับการตํารวจราจร โดยเมื่อวันที่ 20 มิ.ย.66 เมื่อเวลาประมาณ 00.30 น. ขณะที่เจ้าหน้าที่ ตํารวจปฏิบัติหน้าที่ตั้งด่านจุดตรวจวัดแอลกอฮอล์ บริเวณถนนร่มเกล้า เขตมีนบุรี กรุงเทพมหานคร พบรถยนต์ต้องสงสัย 2 คัน ขับผ่านมาจึงเรียกให้หยุดเพื่อตรวจสอบ พบว่ามีชายตะโกนส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือออกมาจากรถเชฟโรเลตสีขาว เจ้าหน้าที่จึงเข้าไปทําการตรวจสอบ โดยระหว่างนั้น ชายฉกรรจทั้ง 5 คน ที่โดยสารมาในรถทั้ง 2 คัน พยายามวิ่งหลบหนี แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจสามารถจับกุมไว้ได้ทั้งหมดที่บริเวณจุดดังกล่าว

เมื่อเจ้าหน้าที่ตำรวจทําการตรวจค้นรถทั้ง 2 คัน พบอาวุธปืนสั้นและปืนลูกซอง รวม 6 กระบอก เครื่องกระสุนปืน 61 นัด และรถทั้ง 2 คัน ใช้ทะเบียนรถยนต์ปลอม จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาไปสอบสวนที่ สน.มีนบุรี จากการ สอบสวนในเบื้องต้น ได้ข้อมูลว่าผู้เสียหายและผู้ต้องหารู้จักกัน โดยผู้เสียหายถูกทําร้ายร่างกายแล้วพาขึ้นรถมา ซึ่งเจ้าหน้าที่ตํารวจจะได้สอบสวนในรายละเอียดอีกครั้ง

ผบ.ตร.กล่าวอีกว่า “ตนขอชื่นชมในความกล้าหาญ ที่ให้การช่วยเหลืออย่างรวดเร็ว และทันท่วงที ตนจึงได้มอบใบประกาศเกียรติคุณและรางวัลตามโครงการ “ทำดี มีรางวัล” และเงินรางวัล รวมทั้งสิ้น 25,000 บาท เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจเป็นแบบอย่างที่ดีแก่สังคม ซึ่งโครงการนี้เป็นโครงการที่จะมอบรางวัลให้กับข้าราชการตำรวจหรือประชาชนที่ปฏิบัติหน้าที่ดีเด่น ทำงานเชิงรุก เพื่อความสงบสุขของประชาชน ประกอบคุณงามความดี ช่วยเหลือประชาชน หรือทางราชการ ประพฤติตนดี คิดถึงประโยชน์ส่วนรวมและช่วยเหลือประชาชนจนเป็นที่ยอมรับต่อสังคม”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top