Friday, 16 May 2025
NEWS

ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธานเปิดการฝึกอบรมเสริมทักษะ พ.ร.บ.ฟอกเงิน แก่ข้าราชการตำรวจ รุ่นที่ 2 เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่มีมาตรฐานเดียวกัน  

พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะรองผู้อำนวยการศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เป็นประธานเปิดการเปิดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 ประจำปีพุทธศักราช 2566 รุ่นที่ 2 ณ ห้องประชุม โรงแรมคลาสสิก คามีโอ้ จังหวัดระยอง โดยมี นาย กมลศิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย ผู้ช่วยเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 2 , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 3 , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 , รองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 6 , รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , รองผู้บัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี หรือ สอท. , รองผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง และผู้บังคับการกฎหมายและคดี ตำรวจภุธรภาค 5 ร่วมพิธี 

โดยการฝึกอบรมครั้งนี้ มีข้าราชการตำรวจผู้เข้ารับการอบรมจากตำรวจภูธรภาค 3 , 4 , 5 ,6 , กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง , กองบัญชาการ สอท. และสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง จำนวน 116 คน ทั้งนี้ โครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของข้าราชการตำรวจ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 ประจำปีพุทธศักราช 2566 เป็นโครงการที่ศูนย์ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน สำนักงานตำรวจแห่งชาติ จัดขึ้นครั้งนี้เป็นรุ่นที่ 2 ระหว่างวันที่ 27-30 มิถุนายน 2566 เพื่อให้ความรู้แก่ข้าราชการตำรวจผู้ปฏิบัติหน่วยงานต่าง ๆ ในสังกัดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เกี่ยวกับพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน พุทธศักราช 2542 อาทิ  การดำเนินคดีฟอกเงินและชั้นตอนในกระบวนการของศาล แนวปฏิบัติที่ถูกต้องในทุกมิติ  การประสานงานกับสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. เทคนิคการสืบสวนสอบสวนเพื่อนำไปสู่คดีอาญาฐานฟอกเงิน เป็นต้น เพื่อพัฒนาการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจด้านการป้องกันปราบปรามการฟอกเงินให้มีประสิทธิภาพและเห็นผลเป็นรูปธรรมมากยิ่งขึ้น 

ทั้งนี้ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ กล่าวว่า สํานักงานตํารวจแห่งชาติ ตระหนักถึงความสําคัญของการดําเนินคดีมูลฐาน การสืบทรัพย์ การวบรวมพยานหลักฐานเพื่อดําเนินคดีอาญาฟอกเงิน ซึ่งนําไปสู่การดําเนินการจับกุม ขยายผล และการยึดอายัดทรัพย์ทางแพ่ง นําทรัพย์ที่ได้จากการกระทําความผิดมาช่วยบรรเทาความความเสียหายแก่ประชาชน จึงได้าเนินการจัดโครงการนี้ ขึ้นมา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้ผู้เข้ารับการอบรมมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน อํานาจหน้าที่ที่รับผิดชอบ พร้อมเสริมสร้างทักษะในการปฏิบัติงานด้านการสืบสวนสอบสวน  รวบรวมพยานหลักฐาน และการดําเนินคดีกับผู้กระทําความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและ ปราบปรามการฟอกเงิน ด้วยความโปร่งใส เป็นไปตามมาตรฐานเดียวกัน

ผบ.ตร. ออกแบบทดสอบให้ความรู้เบื้องต้นแก่ประชาชนเพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและการหลอกลวงออนไลน์ เป็นการสร้างวัคซีนไซเบอร์ หวังสร้างภูมิคุ้มกันโจรแก่ประชาชน

วันที่ 28 มิ.ย. เวลา 11.30 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พ.ต.ท. ธ เทพ ไชยชาญบุตร รองโฆษก เชิญชวนให้ประชาชนทำแบบทดสอบความรู้เบื้องต้นเพื่อการป้องกันแก้ไขปัญหาอาชญากรรมและหลอกลวงออนไลน์ ตร. เป็นการทดสอบและเพิ่มพูนระดับความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ 

รองโฆษก ตร. เปิดเผยว่า แม้ว่าหลังจากที่ พรก.มาตรการป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี พ.ศ.2566 ได้ประกาศบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 17 มี.ค.66 ที่ผ่านมา สถิติคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยีลดลงได้ระดับหนึ่ง  แต่ทั้งนี้ยังพบปัญหาในทางปฏิบัติ และประชาชนตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก  จึงต้องเร่งบูรณาการทุกภาคส่วนแก้ไขปัญหาอย่างเป็นรูปธรรมในทิศทางเดียวกัน  ทั้งวิธีการรับแจ้งจากผู้เสียหาย  การอายัด  การระงับธุรกรรม การส่งต่อข้อมูล  ตลอดจนการดำเนินคดีให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด   

พ.ต.ท. ธ เทพ กล่าวต่อไปว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ได้จัดทำแบบทดสอบ Cyber Vaccine จำนวน 80 ข้อ โดยจัดทำเป็นลิงก์ออนไลน์ให้ประชาชนสแกน QR Code ทำบททดสอบ เป็นการฉีดวัคซีนไซเบอร์ เพื่อสร้างความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับการหลอกลวงออนไลน์ รูปแบบกลโกงต่างๆ โดยเน้นในเรื่องแผนประทุษกรรมคนร้ายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน วิธีการรับมือ วิธีการตรวจสอบ หลักคิดเพื่อมิให้ตกเป็นเหยื่อ และความรู้กฏหมายที่เกี่ยวข้อง ซึ่งประชาชนสามารถเข้าทดสอบได้ผ่าน QR Code ที่แนบมาพร้อมนี้

รองโฆษก ตร. เพิ่มเติมว่า ผบ.ตร.  ได้เน้นย้ำให้มีการประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนทราบว่า “ในกรณีที่ประชาชนได้รับความเสียหายจากคดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ขอให้ติดต่อสายด่วนธนาคารที่ตนเป็นเจ้าของเพื่อระงับบัญชีโดยเร็ว โดยธนาคารจะออก Bank ID ผ่านข้อความ sms และขอให้ผู้เสียหายไปแจ้งความกับตำรวจที่ใดก็ได้โดยเร็ว  โดยไม่ต้องคำนึงถึงท้องที่เกิดเหตุภายใน 72 ชั่วโมง เพื่อให้ระงับความเสียหายอย่างทันท่วงทีและดำเนินคดีต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว  ทั้งนี้ หากประชาชนประสงค์จะแจ้งความออนไลน์คดีอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ได้ทาง https://thaipoliceonline.com  สายด่วน 1441 หรือโทรศัพท์สอบถาม ปรึกษา ขอคำแนะนำได้ที่หมายเลขโทรศัพท์ 081 866 3000 ตลอด 24 ชั่วโมง”

ไทย สมายล์ บัส เดินหน้าสร้างความเชื่อมั่นด้านความปลอดภัย อบรมทั้งคนขับรถเมล์ไฟฟ้า และพนักงานให้บริการ เน้นมาตรฐานให้บริการแบบมืออาชีพ

เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2566 กลุ่ม ไทย สมายล์ กรุ๊ป บริษัท ไทย สมายล์ บัส จำกัดจัดอบรมให้ความสำคัญด้านความปลอดภัย รวมถึงมารยาทที่ดีในการให้บริการกับผู้โดยสาร โดยบริษัทฯ ได้ส่งผู้บริหารประจำอู่รถ เจ้าหน้าที่ด้านความปลอดภัย พนักงานขับรถเมล์ไฟฟ้า รวมถึงพนักงานด้านการบริการ กว่า 40 คน เข้ารับอบรม หลักสูตร  Growth Mindset ทักษะและความรู้ความสามารถของเราสามารถพัฒนาได้ผ่านการเรียนรู้และการพยายามฝึกฝน ไม่มีอะไรที่อยู่เหนือความพยายามและความตั้งใจเพื่อปรับเปลี่ยนทัศนคติและพฤติกรรมในการทำงานด้านการบริการเป็นมืออาชีพ สร้างจิตสำนึกการบริการที่ดี

นอกจากนี้ ยังได้เสริมความรู้ด้านเทคนิคและข้อปฏิบัติตามหลักการขับรถที่ถูกต้อง เช่น ทักษะการขับรถที่ปลอดภัย, การขับรถในสถานการณ์ต่าง ๆ อย่างไร เพื่อไม่ให้เกิดอุบัติเหตุ, การบำรุงดูแลรักษารถ รวมถึงกฎระเบียบและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง เพื่อเป็นการเตรียมความพร้อมก่อนการให้บริการจริง และการสร้างระบบขนส่งมวลชนในอนาคตที่ดี  และ ก้าวเป็นระบบขนส่งชั้นนำระดับภูมิประเทศ ยกระดับมาตรฐานในอาเชียนก็ว่าได้ ไทย สมายล์ บัส เล็งเห็นความสำคัญของการพัฒนาระบบขนส่งมวลชนเป็นหัวใจสำคัญของการให้บริการ ดังนั้น ไทย สมายล์บัส ไม่เคยหยุดคิดและคงเดินหน้าพัฒนาระบบให้มีมาตรฐานที่ดีที่สุด ส่งต่อให้ผู้ที่ใช้บริการ รถเมล์โดยสารเกิดความรู้สึก สะดวก สะอาด และปลอดภัย อุ่นใจแก่ผู้โดยสารทุกท่าน 

ไทย สมายล์ บัส ขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า ทางเราให้ความสำคัญในเรื่องความปลอดภัย มารยาทการให้บริการที่ดีต่อผู้ใช้บริการ รวมถึงเพิ่มมาตรการที่เข้มงวดอย่างต่อเนื่อง มีการจัดอบรมพนักงานอย่างสม่ำเสมอ เพื่อพัฒนาคุณภาพการบริการขนส่งสาธารณะให้มีคุณภาพ สะดวก สบาย สะอาด ปลอดภัย 

หากพบเห็นการปฏิบัติ ในการให้บริการที่ไม่สุภาพของพนักงาน หรือพนักงานขับรถ ขับรถเร็ว ส่งผลให้เกิดความไม่ปลอดภัย สามารถแจ้งข้อมูลได้ที่ call center 02-1131019 ทางบริษัทฯ จะรีบดำเนินการแก้ไขเพื่อให้เกิดมาตรฐานความปลอดภัยสูงสุด ดังสโลแกนที่ว่า “เดินทางด้วยรอยยิ้ม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม"

รอง ผบ.ตร./ผอ.ศจร.ตร. สั่งการ ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาแข่งรถในทางผู้ขับขี่รถปอร์เช่ และมินิคูเปอร์ ที่ขับขี่เฉี่ยวชนจนเกิดอุบัติเหตุต่อเนื่อง ล่าสุดแจ้งข้อหาเป็นที่เรียบร้อย

รอง ผบ.ตร./ผอ.ศจร.ตร. สั่งการ ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหาแข่งรถในทางผู้ขับขี่รถปอร์เช่ และมินิคูเปอร์ ที่ขับขี่เฉี่ยวชนจนเกิดอุบัติเหตุต่อเนื่อง ล่าสุดแจ้งข้อหาเป็นที่เรียบร้อย

พล.ต.ท.นิธิธร จินตกานนท์ ผู้บัญชาการประจำสำนักงานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ในฐานะหัวหน้าคณะทำงานเสริมสร้างภาพลักษณ์ตำรวจจราจร ศูนย์บริหารงานจราจร สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ศจร.ตร.) กล่าวว่า ตามที่ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ สั่งการให้ตำรวจภูธรภาค 2 กำชับให้ พล.ต.ต.นเรวิช สุคนธวิท ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดฉะเชิงเทรา ลงไปกำกับดูแลคดีด้วยตัวเอง กรณีอุบัติเหตุรถมินิคูเปอร์เฉี่ยวชนกับรถเก๋งปอร์เช่ จนเสียหลักพุ่งเข้าร้านขายใบกระท่อม แล้วทับรถจักรยานยนต์เสียหายอีก 1 คัน บริเวณริมถนน 304 ฉะเชิงเทรา-พนมสารคาม ก่อนจะหมุนไปชนกับรถรับส่งนักเรียนพลิกคว่ำ มีเด็กได้รับบาดเจ็บจำนวนมากพร้อมทั้งให้ดำเนินการตามกรอบของกฏหมายทุกมาตราที่เข้าข่ายกระทำผิดอย่างเคร่งครัด โปร่งใสตรงไปตรงมา เพื่อมิให้เป็นเยี่ยงอย่างต่อไป พร้อมรายงานความคืบหน้าให้ทราบเป็นระยะจนคดีถึงที่สุด นั้น
วานนี้ (26 มิ.ย.66) เวลา 18.00 น. พล.ต.ต.นเรวิช สุคนธวิท ผบก.ภ.จว.ฉะเชิงเทรา และ พ.ต.อ.สาธิต มิตรรัก ผกก.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา พร้อมพนักงานสอบสวน ดำเนินการแจ้งข้อกล่าวหา ผู้ขับขี่รถเก๋งยี่ห้อปอร์เช่ และผู้ขับขี่รถยนต์เก๋งยี่ห้อมินิคูเปอร์  ในความผิดฐาน “ขับรถแข่งขันในทางสาธารณะโดยไม่ได้รับอนุญาตและขับรถโดยไม่คำนึงถึงความปลอดภัยหรือความเดือนร้อนของผู้อื่นและขับรถโดยประมาทหรือน่าหวาดเสียวและอาจเกิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สิน และขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้เฉี่ยวชนรถผู้อื่นเสียหายและมีผู้ได้รับอันตรายแก่กายสาหัสและทรัพย์สินเสียหายและขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด”ผู้ต้องหาทั้งสองรับทราบข้อกล่าวหาแล้ว พนักงานสอบสวนจะได้ดำเนินการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐาน และมีความเห็นทางคดี ส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองต่อไป ทั้งนี้ ได้รับแจ้งจาก ผกก.สภ.เมืองฉะเชิงเทรา ว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 คน มีความสำนึกผิดที่เป็นผู้กระทำให้เหตุดังกล่าวเกิดขึ้น มีเด็ก ๆ ได้รับบาดเจ็บจำนวนหลายราย โดยเบื้องต้นได้เข้าไปเยียวยาดูแลขวัญกำลังใจให้กับเด็ก ๆ ผู้ได้รับบาดเจ็บในส่วนหนึ่งแล้ว

นอกจากนี้ พล.ต.ท.นิธิธร ฯ กล่าวว่า สำหรับเหตุการณ์ครั้งนี้ประกอบด้วยความผิด คือ  1. ฐานแข่งรถในทาง ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับตั้งแต่ 5,000 - 10,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ / 2. ผู้ใดขับรถในลักษณะที่เห็นได้ว่าไม่คำนึงถึงความปลอดภัยในชีวิตหรือร่างกายของผู้อื่น ตามพระราชบัญญัติจราจรทางบก พ.ศ. 2522 และที่แก้ไขเพิ่มเติม มาตรา 43 (8) ประกอบมาตรา 158/1 ต้องระวางโทษจำคุก ไม่เกิน 1 ปี หรือปรับตั้งแต่ 5,000 บาท ถึง 20,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ / และ 3. ความผิดฐานขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นได้รับอันตรายสาหัส ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 300 มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งหากมีทรัพย์สินเสียหายจากการที่รถยนต์เฉี่ยวชน ผู้ขับขี่จะเข้าข่ายความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา ฐานทำให้เสียทรัพย์ ตามมาตรา 358 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 60,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากโทษทางอาญาแล้วก็ยังต้องชดใช้ค่าสินไหมทดแทนทางแพ่งให้กับผู้เสียหายด้วย

พล.ต.ท.นิธิธรฯ เปิดเผยว่า จากการสอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานในคดีนั้น พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศจร.ตร. สั่งการให้พนักงานสอบสวนรวมรวมพยานหลักฐานกล้องวงจรปิดในจุดต่างๆ ที่สามารถพิสูจน์การกระทำความผิดของผู้ขับขี่ทั้ง 2 คัน ที่เข้าข่ายเป็นกระกระทำความผิดฐานแข่งรถในทาง และความผิดฐานต่างๆ ให้ครบถ้วนเพื่อจะได้มีพยานหลักฐานเพียงพอในการดำเนินคดีแจ้งข้อกล่าวหากับ ผู้ต้องหาทั้งสองคนซึ่งเป็นฝ่ายกระทำผิด และจะได้สอบสวนรวบรวมพยานหลักฐานและมีความเห็นทางคดี ส่งฟ้องผู้ต้องหาทั้งสองต่อไป ซึ่ง พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และ พล.ต.อ.รอย ฯ กำชับตำรวจให้พร้อมเป็นที่พึ่ง สร้างความเชื่อมั่น เชื่อถือศรัทธาให้ประชาชน และบังคับใช้กฎหมายที่อย่างเคร่งครัด เพื่อนำไปสู่การลดอุบัติเหตุบนท้องถนนในที่สุด และเพื่อไม่ให้เป็นเยี่ยงอย่างในการกระทำผิดในรายต่อๆ ไป

 

สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เตือนภัยออนไลน์ “แอบอ้าง ดร.ณัฐวุฒิ ให้ลงทุนซื้อหุ้นต่างประเทศ ได้เงินไป 6 ล้านบาท” และขอเชิญชวนประชาชนทำแบบทดสอบ วัดระดับ “วัคซีนไซเบอร์”

เนื่องจากในรอบสัปดาห์  มีการรับแจ้งความออนไลน์คดีแอบอ้างบุคคลที่มีชื่อเสียงและเป็นเจ้าของบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนแล้วหลอกลวงให้ลงทุน สร้างความเสียหายกับพี่น้องประชาชน พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. เป็นห่วงพี่น้องประชาชน ที่อาจจะตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ จึงมอบหมายให้ พล.ต.อ.สมพงษ์ ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.  หัวหน้าคณะทำงานสร้างเสริมภูมิคุ้มกันต้านภัยอาชญากรรมทางเทคโนโลยีและ พล.ต.ท.ธัชชัย ปิตะนีละบุตร ผู้ช่วย ผบ.ตร. พร้อมด้วยคณะทำงาน แถลงข่าวเตือนภัย เมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2566 เวลา 13.30 น. ณ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ

พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง  ที่ปรึกษาพิเศษ ตร.กล่าวว่าในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา (18-24 มิ.ย.2566)  มีสถิติการรับแจ้งความคดีออนไลน์มากที่สุดยังเป็นคดีเดิมๆ 5 อันดับ ได้แก่  อันดับ 1)  คดีหลอกลวงซื้อขายสินค้าหรือบริการ 2) คดีหลอกลวงให้โอนเงินเพื่อทำงานหารายได้พิเศษ   3) คดีหลอกลวงให้กู้เงิน 4) คดีข่มขู่ทางทางโทรศัพท์ให้เกิดความกลัวแล้วหลอกให้โอนเงิน (Call Center) และ 5) คดีหลอกลวงให้ลงทุนผ่านระบบคอมพิวเตอร์ สำหรับคดีออนไลน์ที่คนร้ายนำมาหลอกลวงซ้ำเติมประชาชนในช่วงนี้  คือ การแอบอ้าง อาจารย์ ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ หลอกให้โอนเงินลงทุน  

ซึ่งถือเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วนต้องย้ำเตือนให้ประชาชนได้รับทราบ จึงได้เชิญอาจารย์ ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ มาร่วมแถลงข่าวในครั้งนี้ด้วย

พล.ต.ต.ชูศักดิ์ ขนาดนิด   ผบก.ตอท.บช.สอท. กล่าวถึงรายละเอียดภัยออนไลน์ที่คนร้ายแอบอ้าง อาจารย์ ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ หลอกให้โอนเงินลงทุน  “ซื้อหุ้นต่างประเทศ สูญเงิน 6 ล้าน”

โดยคนร้ายใช้วิธียิงโฆษณาใน Facebook โดยแอบอ้างใช้รูปและชื่อ ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ชักชวนให้ลงทุน มีผลตอบแทนสูงมาก เหยื่อหลงเชื่อ กดลิงก์เพิ่มเพื่อนไลน์ Open Chat ที่มีสมาชิกอยู่เป็นจำนวนมาก มีคนร้ายแอบอ้าง ดร.ณัฐวัฒิฯเป็นหัวหน้ากลุ่ม มีคนร้ายอีกคนเป็นเลขา มีหน้าม้าส่วนหนึ่ง ที่เหลือเป็น Bot(โปรแกรมอัตโนมัติ) คนร้ายแนะนำให้เหยื่อลงทุนซื้อหุ้นไทย เหยื่อหลงเชื่อและได้เปิดพอร์ตหุ้นกับธนาคารหรือโบรกเกอร์ของจริง  แล้วเลือกซื้อหุ้นที่ถูกแนะนำ แต่ไม่สามารถซื้อได้ เนื่องจากธนาคารหรือโบรกเกอร์แจ้งว่าหุ้นมีราคาต่ำเกินไป  คนร้ายที่เป็นเลขาจึงแนะนำให้ลงทุนซื้อหุ้นต่างประเทศ   ผ่านแพลตฟอร์มของคนร้าย   อ้างผลตอบแทนสูงกว่าหุ้นไทย    

โดยให้กดลิงก์ดาวน์โหลดแอปพลิเคชันปลอม(Taining)  จากนั้นแนะนำให้ลงทุนซื้อหุ้นให้ผลตอบแทน 25% และเร่งรัดให้รีบซื้อเป็นเงินหลัก 100,000 บาท หากเหยื่อลงทุนหลัก 10,000 บาท คนร้ายจะอ้างว่าเป็นการเสียโอกาส  เนื่องจากตลาดต่างประเทศมีแรงหนุนขาขึ้น อีกทั้งคนร้ายมีข่าววงในว่าหากลงทุนช่วงนี้จะได้รับผลตอบแทนสูง เหยื่อหลงเชื่อโอนเงินไปยังบัญชีม้า เป็นการลงทุนครั้งแรก และส่งสลิปการโอนเงินในกลุ่มไลน์ คนร้ายที่เป็นเลขาแสดงให้เห็นในไลน์ว่าได้ลงทะเบียนรับแล้วและจะเป็นผู้กรอกเงินลงทุนในระบบเอง (ในระบบแสดงยอดเงินลงทุนและผลตอบแทนให้เหยื่อเห็นว่าได้กำไร) ต่อมาคนร้ายหลอกให้ลงทุนเพิ่ม  

โดยเอาผลตอบแทนสูงมาจูงใจ  และอ้างว่าจะทำให้หุ้นยกตัวสูงขึ้นด้วย ขณะเดียวกันจะมีหน้าม้าคอยแนะนำ  กดดันให้ลงทุนไปพร้อมๆ กัน และถ้าถอนการลงทุนเร็วเกินไป  จะทำให้คนอื่นไม่สามารถลงทุนต่อไปได้ เหยื่อหลงเชื่อลงทุนซื้อหุ้นเพิ่ม เมื่อเหยื่อกดถอนเงิน  คนร้ายจะอ้างว่าใส่เลขบัญชีผิด เขียนบันทึกช่วยจำไม่ถูกต้อง ใส่รหัสถอนเงินผิด กดถอนเงินยอดสูงเกินไปจนระบบล๊อค  ทุกครั้งที่อ้างจะให้โอนเงินเพิ่ม  และบอกว่าสามารถถอนคืนได้ทั้งหมด สุดท้ายเหยื่อเสียเงินไป 6 ล้านบาท

จุดสังเกต
1.  การโอนเงินลงทุนหรือทำภารกิจใดๆ ที่ใช้เงินน้อย  รายได้ดี  มีผลตอบแทนหรือค่าคอมมิชชันสูง  ไม่มีอยู่จริง หากผลตอบแทนหรือค่าคอมมิชชันสูงมากขนาดนี้  คนร้ายคงโอนเงินลงทุนหรือทำภารกิจด้วยตนเอง 

2. ในการลงทุนหรือทำภารกิจ  คนร้ายให้เหยื่อกดลิงก์เข้าเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชันปลอมที่คนร้ายสร้างขึ้นมาให้เหมือนของจริง  และเมื่อเหยื่อโอนเงินทำภารกิจ ในระบบจะขึ้นยอดเงินแสดงให้เหยื่อหลงเชื่อว่าเป็นยอดเงินจริง ซึ่งความจริงแล้วเป็นเพียงตัวเลขในอากาศที่คนร้ายนำมาหลอกให้เหยื่อหลงเชื่อเท่านั้น

3. บัญชีธนาคาร(บัญชีม้า) เป็นบัญชีบุคคลธรรมดา  ไม่ใช่บัญชีชื่อหน่วยงานหรือองค์กร
วิธีป้องกัน

       1. ไม่เปิดอ่านหรือ กดลิงก์โฆษณาแปลกปลอม หรือกดเพิ่มเพื่อนไลน์ในรูปแบบสแกน QR Code หรือเพิ่มเพื่อนไลน์ทาง ID Line จากคนที่ไม่น่าเชื่อถือ
        2. หากต้องการติดตั้งแอปพลิเคชันใด ๆ ควรโหลดและติดตั้งจาก Google Play store หรือ Apple Store  เท่านั้น  อย่าเชื่อคำแนะนำของคนร้ายให้กดเข้าบราวเซอร์อื่น
       3. ควรลงทุนในบริษัทหรือผู้ให้บริการในตลาดทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. โดยตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  https://www.set.or.th
อาจารย์ ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์ ประธานกรรมการ บริษัท หลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด กล่าวว่า  ได้มีคนร้ายแอบอ้างชื่อ โดยใช้ชื่อไลน์ว่า “ดร.ณัฐวุฒิ รุ่งวงษ์” “ดร.ณัฐวุฒิ”  “Dr.Nattawut” “DR.Wut” และ “Dr.Nat” แล้วเปิดกลุ่มไลน์ หรือไลน์ open chat ในชื่อต่างๆ เช่น Global Stock รวยหุ้นเด่น รวยหุ้นเด่น 2 เศรษฐีหุ้น เป็นต้น ดึงคนเข้าร่วมกลุ่ม แล้วหลอกลวงให้โอนเงิน 10,000 บาท บ้าง 100,000 บาท บ้าง อ้างว่าจะนำเงินไปลงทุนหุ้นต่างประเทศให้ผลตอบแทนสูง บางรายตกเป็นเหยื่อสูญเงิน 6 ล้านบาท และเหยื่อบางคนถูกหลอกก็ให้โอนเงินไปเทรดคริปโตเคอเรนซี อ้างว่าให้ผลตอบแทนสูง จึงขอแจ้งเตือนว่าการกระทำดังกล่าว  เป็นการหลอกลวงของคนร้ายทั้งสิ้น ขอยืนยันว่าไม่เคยมีธุรกิจด้านการลงทุนดังกล่าวข้างต้น เนื่องจากการชักชวนให้ประชาชนโอนเงินมาร่วมลงทุนในหุ้นต่างประเทศ และคริปโตเคอเรนซี่ ต้องมีใบอนุญาตจัดการการลงทุนจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ในกองทุนต่างประเทศ และสินทรัพย์ดิจิตอล

ซึ่ง ดร.ณัฐวุฒิฯ ไม่มีใบอนุญาตนี้แต่อย่างใด และก่อนจะโอนเงินให้เข้าใจก่อนว่าควรมีการยืนยันตัวตนว่าเป็น ดร.ณัฐวุฒิฯ จริงๆ หากให้โอนเงินในนามบุคคลอื่นที่ไม่ใช่ชื่อบัญชี ดร.ณัฐวุฒิฯ หรือบัญชีของบริษัทหลักทรัพย์ที่ปรึกษาการลงทุน ต้นธารคอร์ปอเรชั่น จำกัด ที่ ดร.ณัฐวุฒิฯ เป็นประธาน ก็ต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่า เป็นคนร้ายอย่างแน่นอน สำหรับช่องทาง official ติดต่อ ดร.ณัฐวุฒิฯ มีดังนี้ Facebook : http://fb.com/tontancorp Youtube : https://goo.gl/J9u1jm สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม รายงานการแอบอ้างเป็น ดร.ณัฐวุฒิฯ ได้ที่ Line@ : https://goo.gl/ybfAvJ

พล.ต.ต.ฐายุฏฐ์  จันทร์ถาวร รอง ผบช.สอท. กล่าวว่า พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. มีความห่วงใยพี่น้องประชาชน จึงได้จัดทำแบบทดสอบ วัดระดับ วัคซีนไซเบอร์ จำนวน 80 ข้อ เพื่อให้พี่น้องประชาชนได้ตรวจสอบความรู้ด้านอาชญากรรมไซเบอร์ เมื่อทำการทดสอบเสร็จแล้ว ให้กดส่ง และกดขอดูคะแนนผลการทดสอบได้เลย  หากทำข้อใดผิด  จะมีการเฉลยข้อที่ถูกต้องให้เพื่อนำไปเป็นความรู้ต่อไป  หากพี่น้องประชาชนได้ทำการทดสอบความรู้ทั้ง 80 ข้อแล้ว  เชื่อว่าพี่น้องประชาชนจะมีภูมิคุ้มกันหรือมีวัคซีนไซเบอร์เพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน  จึงขอประชาชนสัมพันธ์เชิญชวนให้พี่น้องประชาชนได้ทดสอบความรู้ ตามแบบทดสอบวัคซีนไซเบอร์ (สำหรับประชาชน) ได้ทั้ง QR Code และตามลิงก์นี้
https://docs.google.com/forms/d/e/1FAIpQLSdXTV39hEH-GK-Tn4Fpmrpk3JLm-_djslp3ZvrV0i5gaQ-l-Q/viewform?pli=1


พล.ต.อ.สมพงษ์  ชิงดวง  กล่าวเพิ่มเติมว่าแบบทดสอบ  วัคซีนไซเบอร์ ทั้ง 80 ข้อ   ได้รวบรวมมาจากกลโกงของคนร้ายและสิ่งที่ประชาชนควรรู้  จึงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องประชาชนได้ทำแบบทดสอบวัดความรู้ เพื่อเป็นภูมิคุ้มกันภัยออนไลน์อีกทางหนึ่ง และขอให้บอกต่อเพื่อทำแบบทดสอบจะได้มีภูมิคุ้มกันภัยกันทุกคน สำหรับภัยออนไลน์ที่คนร้ายนำมาหลอกลวงเพื่อให้เหยื่อโอนเงินมาลงทุนนั้นมีหลายรูปแบบ  และคนร้ายได้พัฒนารูปแบบใหม่ๆ ดังนั้นจึงขอแจ้งเตือนพี่น้องประชาชนให้ได้รับรู้ข้อมูลข่าวสารถึงวิธีการของคนร้าย จุดสังเกต และวิธีป้องกัน จะได้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ และหากต้องการลงทุนในการเทรดหุ้น ควรลงทุนในบริษัทหรือผู้ให้บริการในตลาดทุนที่อยู่ภายใต้การกำกับดูแลของ ก.ล.ต. โดยตรวจสอบได้จากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย  https://www.set.or.th  และเพื่อให้รู้เท่าทันภัยออนไลน์ในรูปแบบใหม่  สามารถติดตามข้อมูลการแจ้งเตือนภัยออนไลน์ได้จาก เว็บไซต์ และเพจ เตือนภัยออนไลน์ หรือโทรสายด่วน 1441

ฉะเชิงเทรา-ปตท.มอบเงินสนับสนุนโครงการซ่อมแซมบ้านผู้ยากไร้ เฉลิมพระเกียรติ อ.บางปะกง

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน  2566 นายชาญยุทธ เสือจุ้ย ผู้อำนวยการโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบก จากบางปะกงไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้ นายอุทัย มหิทธิมหาวงษ์  ผู้จัดการมวลชนสัมพันธ์ คุณกฤษฏา วงค์คุรุเสถียร รองผู้จัดการ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่วิศกรรมและบริหารโครงการและทีมงานโครงการ

เข้าพบ  นายขจรเกียรติ รักพานิชมณี ผู้ว่าราชการจังหวัดฉะเชิงเทรา นางปิติมา รักพานิชมณี นายกเหล่ากาชาดจังหวัดฉะเชิงเทรา พลังงานจังหวัดฉะเชิงเทรา เพื่อแจ้งแผนการดำเนินงานโครงการฯ ความก้าวหน้าการดำเนินงานที่ผ่านมา และคำสั่งคณะกรรมการกำกับฯ

พร้อมมอบเงินงบประมาณสนับสนุนซ่อมแซมบ้านผู้ยากไร้ (เฉลิมพระเกียรติ)  9 ตำบลที่อยู่ในพื้นที่อำเภอบางปะกง ที่มีโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบนบกจากบางปะกงไปโรงไฟฟ้าพระนครใต้พาดผ่าน จำนวน 180,000 บาท ทั้งนี้ผู้บริหารและพนักงานโครงการระบบท่อส่งก๊าซธรรมชาติบางปะกง มีแผนจะเข้าร่วมกิจกรรมCSR จิตอาสาร่วมกับอำเภอบางปะกง เพื่อเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างประชาชนกับหน่วยงานราชการในพื้นที่ดำเนินงานโครงการของ บริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน).

“เกษตรฯ.”จับมือญี่ปุ่นเดินหน้าโครงการแปรรูปสาหร่ายเป็นน้ำมันชีวภาพและผลิตภัณฑ์มูลค่าสูง

นายอลงกรณ์ พลบุตร ที่ปรึกษารัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์เปิดเผยวันนี้ภายหลังเป็นประธานการประชุมโครงการผลิตน้ำมันจากสาหร่ายและแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์มูลค่าสูงโดยมีผู้เข้าร่วมประชุมประกอบด้วยดร.อังศุธรมหิทธิกุล ผู้จัดการสถาบันนวัตกรรมและบ่มเพาะธุรกิจ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) นายณัฐพล วชิรโรจน์ สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย (วว.) น.ส.มนทกานติ ท้ามติ้น ผอ.ศูนย์ศึกษาการพัฒนาอ่าวคุ้งกระเบนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ จ.จันทบุรี  ผู้แทนกรมประมง  พลเรือเอก ดร.สมัย ใจอินทร์ อดีตผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษกองทัพเรือและกรรมการมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทย นส.สภาวรรณ พลบุตร ผู้แทนมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท(Worldview Climate Foundation , Thailand) นายโชติ พืงเจริญพงศ์ คณะทำงานที่ปรึกษารัฐมนตรีเกษตร นายมาซาฮิโร คาบาชิมา (Mr. Masahiro Kabashima)ผู้แทนบริษัทชิโตเซะผู้ผลิตน้ำมันจากสาหร่ายรายแรกของประเทศญี่ปุ่นว่า ที่ประชุม ได้ร่วมหารือความร่วมมือโครงการผลิตน้ำมันจากสาหร่าย และผลิตภัณฑ์จากสาหร่ายสู่เกษตรมูลค่าสูง ทั้งนี้ ผู้แทนบริษัทชิโตเซะผู้ผลิตน้ำมันจากสาหร่ายรายแรกของประเทศญี่ปุ่นยินดีที่จะสนับสนุนความรู้และประสบการณ์ของบริษัทที่ได้วิจัยพัฒนาการเพาะเลี้ยงสาหร่ายผลิตเป็นน้ำมันรวมทั้งการแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆมากว่า10ปีและพร้อมจะมาลงทุนในประเทศไทยโดยการสนับสนุนของรัฐบาลญี่ปุ่น

นายอลงกรณ์กล่าวว่า ดร.เฉลิมชัย ศรีอ่อน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีนโยบายส่งเสริมสาหร่ายเป็นพืชเศรษฐกิจตัวใหม่ กรมประมงจึงดำเนินการรวบรวมผลงานวิจัยและพัฒนาสาหร่ายและเริ่มสนับสนุนให้เกษตรกรและภาคเอกชนเพาะเลี้ยงสาหร่ายเพื่อทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศมาใช้ในการบริโภค อุตสาหกรรมอาหารและอุตสาหกรรมอื่นๆ รวมทั้งการผลิตเป็นน้ำมันชีวภาพ นอกจากนี้ตนยังได้ประชุมหารือกับสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทยขอให้นำสาหร่ายที่เพาะเลี้ยงในประเทศใช้ทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทบางจากได้พัฒนาสาหร่ายเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆเช่นเวชสำอางค์ อาหารเสริม ส่วนปตท.ร่วมกับ”วว.”(สถาบันวิจัยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งประเทศไทย Thailand Institute of Scientific and Technological Research (TISTR)จัดตั้งศูนย์ความเป็นเลิศด้านสาหร่าย(Algal Excellent Center- ALEC)ทำการวิจัยและพัฒนาสาหร่ายน้ำจืดเป็นน้ำมันแต่ยังมีต้นทุนสูงหากได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้สร้างความร่วมมืออย่างใกล้ชิดหรือร่วมลงทุนวิจัยพัฒนาต่อยอดเทคโนโลยีกับทางญี่ปุ่นซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสาหร่ายสู่เกษตรมูลค่าสูงได้อย่างเป็นรูปธรรมโดยเร็ว

ยิ่งกว่านั้น สาหร่ายยังเป็นพืชที่ดูดซับคาร์บอนไดออกไซด์ได้มากกว่าต้นไม้หลายเท่าช่วยลดก๊าซเรือนกระจกลดโลกร้อนสร้างคาร์บอนเครดิตให้กับประเทศไทยจึงได้เชิญมูลนิธิเวิลด์วิว ไคลเมท(Worldview Climate Foundation , Thailand)และมูลนิธิสถาบันพลังงานทางเลือกแห่งประเทศไทยมาช่วยขับเคลื่อนโครงการพัฒนาสาหร่ายและมอบหมายให้กรมประมงจัดประชุมเชิงปฏิบัติการเรื่องการพัฒนาสายพันธุ์และแปรรูปสาหร่ายเป็นน้ำมันชีวภาพและเกษตรมูลค่าสูงในเร็วๆนี้เพื่อเร่งการนำสาหร่ายมาสร้างอาชีพและใช้ประโยชน์ในด้านต่างๆ.

พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ เร่งแก้ประวัติอาชญากร “ลบประวัติ ล้างความผิด คืนชีวิตให้ประชาชน”พร้อมแถลงผลการปรับปรุงระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 การพิมพ์ลายนิ้วมือ พ.ศ. 2566

ด้วยปรากฎว่าปัจจุบันสังคมให้ความสำคัญต่อการตรวจสอบประวัติของบุคคลมากขึ้น หน่วยงานต่าง ๆ  ทั้งภาครัฐ และเอกชน มีความต้องการบุคคลที่ปราศจากประวัติอาชญากรรมเข้าทำงานในองค์กร/บริษัทของตน จึงมีการกำหนดหลักเกณฑ์ในการตรวจสอบคุณสมบัติต่าง ๆ ซึ่งประชาชนต้องแสดงผลการตรวจสอบประวัติอาชญากรรมประกอบในการสมัครงานด้วย ประชาชนซึ่งเคยมีประวัติถูกฟ้องคดีอาญา แต่ศาลยกฟ้อง จะยังมีประวัติอาชญากรรมอยู่ในฐานข้อมูลของกองทะเบียนประวัติอาชญากร ทำให้อาจถูกตัดสิทธิ์ ไม่ได้รับการพิจารณาเข้าทำงาน ขาดโอกาสในการกลับไปใช้ชีวิตใหม่เฉกเช่นประชาชนคนอื่น 

ในการนี้ พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ หักพาล รอง ผบ.ตร. ได้เล็งเห็นความสำคัญของเรื่องดังกล่าว จึงได้มอบหมายให้ สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ โดยกองทะเบียนประวัติอาชญากรเร่งศึกษาและแก้ไขระเบียบฯ ในเรื่องดังกล่าว เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติสุขได้ในสังคม  และเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานด้านการทะเบียนประวัติอาชญากรของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ให้อยู่ในระดับมาตรฐานสากล สอดคล้องและเหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันอย่างเร่งด่วน โดยล่าสุดสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้ประกาศใช้ระเบียบสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ว่าด้วยประมวลระเบียบการตำรวจไม่เกี่ยวกับคดี ลักษณะที่ 32 การพิมพ์ลายนิ้วมือ พ.ศ. 2566 แล้ว เมื่อ 27 เมษายน 2566 ซึ่งปัจจุบันระเบียบฉบับนี้มีผลบังคับใช้แล้ว เมื่อ 27 พฤษภาคม 2566 


พล.ต.อ.สุรเชษฐ์ กล่าวว่า เดิมตามระเบียบการปฏิบัติของตำรวจนั้นได้กำหนดให้นำข้อมูลและลายพิมพ์นิ้วมือผู้ต้องหามาจัดเก็บลงในฐานข้อมูลทะเบียนประวัติอาชญากรไว้ก่อน แม้ต่อมาพนักงานอัยการจะมีคำสั่งไม่ฟ้องหรือศาลมีคำพิพากษายกฟ้อง ก็ไม่ได้นำรายชื่อของผู้ต้องหาหรือจำเลยนั้นออกจากทะเบียนประวัติอาชญากรโดยอัตโนมัติ แต่สถานีตำรวจเจ้าของคดีต้องรายงานผลคดีมายังกองทะเบียนประวัติอาชญากรเพื่อคัดชื่อออก ซึ่งทำให้ประชาชนได้รับความเดือดร้อน จึงได้มีการจัดทำโครงการ “ลบประวัติ ล้างความผิด คืนชีวิตให้ประชาชน” เพื่อคืนความเป็นธรรมให้แก่ประชาชนผู้บริสุทธิ์ให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตตามปกติสุขได้ในสังคม  โดยระเบียบฉบับนี้มีการแก้ไขปรับปรุงการจัดเก็บประวัติบุคคลออกเป็น 3 ทะเบียน ได้แก่ 
• ทะเบียนประวัติผู้ต้องหา คือข้อมูลบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดอาญา แต่ยังมิได้ถูกฟ้องต่อศาล หรือฟ้องต่อศาลแต่คดียังไม่ถึงที่สุด ห้ามเปิดเผย เว้นแต่ใช้เพื่องานสืบสวนสอบสวน งานสำนักพระราชวัง งานสมัครเข้ารับราชการ

• ทะเบียนประวัติผู้กระทำความผิดที่มิใช่อาชญากร คือ ข้อมูลบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด โดยศาลลงโทษ จำคุกไม่เกิน   1 เดือน หรือรอการลงโทษ หรือมีเพียงโทษปรับ หรือกักขัง รวมถึงกระทำผิดโดยประมาท ห้ามเปิดเผยทั่วไปเว้นแต่ใช้เพื่อ งานสืบสวนสอบสวน งานขออนุญาตตามที่กฎหมายกำหนด

• ทะเบียนประวัติอาชญากร คือ ข้อมูลบุคคลที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดว่าได้กระทำความผิด โดยศาลลงโทษ จำคุกเกินกว่า 1 เดือนขึ้นไป โดยไม่รอการลงโทษ ยกเว้นการกระทำผิดโดยประมาท

รวมถึงกำหนดหลักเกณฑ์ในการลบหรือถอนประวัติอาชญากรของบุคคลที่ถูกบันทึกไว้ในประวัติอาชญากร ให้สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชนอีกด้วยที่เข้าหลักเกณฑ์ตามระเบียบ เช่น เมื่อศาลยกฟ้อง อัยการมีคำสั่งเด็ดขาดไม่ฟ้อง เป็นต้น โดยเมื่อมีการแบ่งทะเบียนในการจัดเก็บข้อมูลตามระเบียบฯ นี้ จะทำให้มีบุคคลที่มีชื่ออยู่ในทะเบียนประวัติอาชญากรเพียง 3,708,359 ราย จากทั้งหมด 13,079,324 ราย

ผบ.ตร.พร้อมครอบครัวกิตติประภัสร์ มอบเงินทำบุญ 21 ล้านบาท ที่ได้จากงานพระราชทานเพลิงศพคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ ให้ รพ.ตำรวจ และรพ.รามาธิบดี เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อสวัสดิ์ ด้วยการส่งต่อกำลังบุญช่วยเหลือผู้ป่วยและสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางก

 

วันนี้ (27 มิ.ย.66) เวลา 10.00 น. ณ ห้องพรหมนอก อาคาร 1 ชั้น 2 สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และคุณแม่บัวลอย กิตติประภัสร์ พร้อมครอบครัวคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ มอบเงิน 21 ล้านบาทให้แก่ รพ.รามาธิบดีและ รพ.ตำรวจ โดยมี รศ.นพ.สุรศักดิ์ ลีลาอุดมลิปิ ผอ.รพ.รามาธิบดีและกรรมการบริหารมูลนิธิรามาธิบดี และ พล.ต.ท.โสภณรัชต์ สิงหจารุ นายแพทย์ใหญ่ (สบ 8) รพ.ตร.เป็นผู้รับมอบ พร้อมด้วยบุคคลากรทางการแพทย์ แขกผู้มีเกียรติเข้าร่วม

สืบเนื่องจาก ผบ.ตร.และคุณแม่บัวลอย กิตติประภัสร์ พร้อมครอบครัวคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ มีความประสงค์จะนำเงินทำบุญที่ได้จากงานพระราชทานเพลิงของคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ จำนวน 21 ล้านบาท บริจาคให้โรงพยาบาลตำรวจและโรงพยาบาลรามาธิบดี โดยแบ่งเป็น มอบให้ มูลนิธิรามาธิบดี 11 ล้านบาท ได้แก่ ทุนโครงการอาคารโรงพยาบาลรามาธิบดีและย่านนวัตกรรมโยธี 5 ล้านบาท ทุนเพื่อผู้ป่วยโรคหัวใจล้มเหลว 5 ล้านบาท ทุนโครงการทุนการศึกษารามาธิบดีเพื่อนักศึกษาแพทย์และพยาบาล 1 ล้านบาท


มอบให้มูลนิธิโรงพยาบาลตำรวจในพระบรมราชินูปถัมภ์ จำนวน 10 ล้านบาท เพื่อเป็นทุนเรื่มต้นในการจัดซื้อเครื่องเพทซีทีสแกน (PET/CT SCAN) เพื่อประสิทธิภาพสูงในการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็ง ซึ่งถือเป็นกองทุนเริ่มต้นของการระดมจัดซื้อเครื่องดังกล่าวที่มีมูลค่าประมาณ 140 ล้านบาท สำหรับเงินร่วมทำบุญส่วนที่จะเหลือจะได้นำไปบริจาคให้ รพ.และบริจาคเพื่อการกุศลต่อไป

ทั้งนี้ ผบ.ตร.และคุณแม่บัวลอย กิตติประภัสร์ พร้อมครอบครัวคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ ได้ขอบคุณแขกผู้มีเกียรติทุกท่านเป็นอย่างสูง สำหรับปัจจัยที่ร่วมทำบุญในงานพระราชทานเพลิงของคุณพ่อสวัสดิ์ กิตติประภัสร์ ซึ่งได้นำมาบริจาคให้แก่โรงพยาบาลทั้งหมด โดยไม่หักค่าใช้จ่ายการจัดงาน เพื่ออุทิศส่วนกุศลให้คุณพ่อสวัสดิ์ ส่งต่อกำลังบุญในการช่วยผู้ป่วยและสนับสนุนการปฏิบัติงานของบุคลากรทางการแพทย์ต่อไป

สมุทรปราการ-ทีฆายุโก โหตุ สังฆราชา “พระครูแจ้” เจ้าอาวาสวัดดังบางพลี!! แจกข้าวสารกว่า 1,000 ถุง เนื่องในโอกาสฉลองพระชนมายุ 8 รอบ สมเด็จพระสังฆราชฯ

เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก (อัมพร อมฺพโร) สมเด็จพระสังฆราชองค์ที่ 20 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ มีพระนามเดิมว่า อัมพร ประสัตถพงศ์ ประสูติเมื่อวันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2470 ตรงกับแรม 12 ค่ำ เดือน 7 ปีเถาะ ณ ตำบลบางป่า อำเภอเมืองราชบุรี จังหวัดราชบุรี

ทางวัดบางพลีใหญ่กลาง ต.บางพลีใหญ่ อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ โดยท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง น้อมสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ จึงได้ประกอบพิธีแจกข้าวสารแก่เด็กนักเรียน จำนวนกว่า 1,000 ถุง เนื่องในโอกาสวันคล้ายวันประสูติ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

ประกอบกับ ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูแจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง มีจิตเมตตาแก่น้องๆหนูๆ นักเรียนโรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง โดยท่านพระครูแจ้ ท่านได้นำข้าวสารถุงละ 5 กิโลกรัม ที่ได้รับมอบจากทางครอบครัว “เลิศอริยานันท์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท อริยะอีควิปเม้นท์ จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้ทางครอบครัว เลิศอริยานันท์ ได้นำข้าวสาร จำนวน 1,100 ถุง พร้อมด้วย น้ำดื่ม อีกจำนวน 1,100 แพค นำมาถวายให้กับท่านพระครูแจ้

จากนั้น ท่านพระครูปลัดสุวัฒนศีลคุณ (พระครูเเจ้) เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง ได้ประสานไปยังผู้อำนวยการโรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง เพื่อที่จะมอบข้าวสารให้แก่น้องๆ หนูๆ นักเรียนทุกคน นำไปให้ผู้ปกครองหุงข้าวกินที่บ้าน เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของผู้ปกครองได้ในระดับนึง โดย ท่านพระครูแจ้ได้มอบข้าวสาร ถุงละ 5 กิโลกรัม มอบให้แก่เด็กนักเรียนชั้นประถมศึกษา ตั้งแต่ชั้น ป.1 ถึงชั้น ป.6  โรงเรียนวัดบางพลีใหญ่กลาง จำนวนทั้งสิ้น 1,080 คน คนละ 1 กระสอบ อีกทั้ง ยังได้มอบข้าวสารให้กับสื่อมวลชนที่ได้ไปร่วมทำข่าว อีกคนละ 1 กระสอบ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระและนำกับไปหุงกินที่บ้าน

โดยท่าน พระครูแจ้ เจ้าอาวาสวัดบางพลีใหญ่กลาง กล่าวว่า ข้าวสาร และสิ่งของต่างๆ ที่ทางญาติโยมได้นำมาถวายนั้น ทางวัดบางพลีใหญ่กลางจะนำสิ่งของเหล่านั้น นำไปมอบให้กับเด็กนักเรียนรวมถึงนำไปช่วยเหลือญาติโยมที่ยากจนในเขตพื้นที่ต่างๆ ตลอดจนปัจจัยที่ญาติโยมได้นำมาถวายก็จะนำไปสมทบทุนก่อสร้างอาคารเรียนให้กับนักเรียนทางภาคใต้ ที่ตอนนี้กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่คาดว่าคงแล้วเสร็จภายในปี 2566 นี้

อย่างไรก็ตาม ขออนุโมทนาบุญกับญาติโยมทุกคนที่มีจิตเมตตา นำข้าวสาร อาหารแห้ง รวมถึงน้ำดื่ม และปัจจัยที่นำมาถวายให้กับทางวัดบางพลีใหญ่กลางใน ครั้งนี้ สิ่งของทุกอย่างก็จะนำไปต่อยอดนำไปบริจาคให้กับญาติโยมที่ยากจนและเป็นทุนการศึกษาให้แก่เด็กนักเรียนที่เรียนดีแต่มีฐานะยากจนต่อไป ดั้งคำที่ว่า ถวายให้ฉันมา ฉันก็แจกหมด

คิว-ข่าวสมุทรปราการ รายงาน
 

หมอคนดัง โพสต์ติง แอร์การบินไทย ยืนค้ำหัวให้บริการ ดาราดังโผล่เมนต์ตอบ หมดเวลาให้คนมานั่ง-หมอบคลานแล้ว

เป็นเรื่องราวที่สังคมออนไลน์กำลังให้ความสนใจ และถกเถียงกันเป็นจำนวนมาก เมื่อ รศ.ดร.นพ.วัชรพล อเล็กซองดร์ กำเนิดศิริ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Dr. Med. Watcharaphol Alexandre Kamnerdsiri ถึงเรื่องการให้บริการบนสายการบิน เมื่อวันที่ 23 มิ.ย.ที่ผ่านมา ความว่า

สวัสดีครับ ผมเพิ่งบินมาถึงโจฮันเนสเบิร์กเมื่อเช้านี้ โดยจะอยู่ที่นี่ 2 คืน และวันเสาร์ผมก็จะบินไปยังเกาะเซนต์เฮเลน่า ตามที่วางแผนไว้

ผมเคยเขียนถึงสายการบินไทยและการบริการ 2 มาตรฐานที่เกิดขึ้นในเครื่องตอนที่ผมบินกลับจากปารีสมากรุงเทพฯ กับการบินไทยครั้งล่าสุด ในโพสต์ก่อนหน้า

ในโพสต์นี้ ผมจึงอยากนำเสนอว่า สายการบินลุฟท์ฮันซ่า (LH) ปฏิบัติกับผมอย่างเท่าเทียมกับผู้โดยสารท่านอื่น โดยมาตราฐานการบริการเดียวกันทั้งลำ
ต้องบอกว่า ตั๋วสายการบินไทยนั้นแพงมาก และการบริการก็ไม่ได้เด่น ออกจะไปทางด้อยเสียด้วยซ้ำ

ผมเคยชอบสายการบินไทย ตั้งแต่ก่อน TG จะควบรวมกิจการกับเดินอากาศไทย (TA) แต่หลังจากนั้น การบินไทยก็ดิ่งลงใน performance มีอย่างเดียวที่เพิ่มขึ้นคือราคา
สำหรับ สายการบินลุฟท์ฮันซ่า คือ ในเที่ยวบินมาโจฮันเนสเบิร์กเที่ยวนี้ ผู้โดยสารเต็มทุกคลาส (F/C/Y) แต่การบริการกลับทำได้ตามมาตรฐานดีมาก

ถึงผมจะเป็นผู้โดยสารเอเชีย แต่คุณแอร์เข้ามานั่งรับออเดอร์ ไม่ยืนค้ำหัวผมต่างกับแอร์การบินไทยที่ยืนค้ำหัวผมและคนไทยท่านอื่น แต่กับฝรั่งหัวทองสามารถนั่งลงบริการอย่างดี ผมเชื่อว่า ถ้าการบินไทยให้บริการอย่างเท่าเทียมกับผู้โดยสารทุกคน ไม่แปลกแยก จะได้ใจผู้โดยสารคนไทยไปเต็ม ๆ เลย

ปล. ผมเพิ่มรูปในโพสต์ 2 รูปสุดท้าย เพื่อเปรียบเทียบระหว่างการให้การบริการของพนักงานต้อนรับสายการบินไทย ในการให้บริการผู้โดยสารชาวไทยกับผู้โดยสารชาวต่างชาติ บนเครื่องการบินไทยไฟล์ทล่าสุดของผม ให้ FC ได้พิจารณา เมื่อเทียบกับการให้บริการผู้โดยสารของพนักงานต้อนรับสายการบินลุฟท์ฮันซ่าในโพสต์นี้

ติเพื่อก่อนะครับ อยากให้การบินไทยรักผู้โดยสารไทยเพิ่มขึ้นมาบ้าง หรือแค่ให้เท่าเทียมกับผู้โดยสารชาวต่างชาติ ไม่ให้เกิดความรู้สึกเปรียบเทียบ ก็ยังดี

ด้าน กระติ๊บ ชวัลกร นักแสดงชื่อดัง เข้ามาแสดงความคิดเห็นด้วย โดยว่า “หมดเวลาให้คนมานั่ง หมอบ คลาน บริการแล้วค่ะ หน้าที่ของแอร์คือ ดูแลผู้โดยสารให้ปลอดภัยไม่ได้มาเป็นทาสคลานเข่าค่ะ ถ้าอยากให้คนหมอบ ประเคน แนะนำให้ไปบวชเป็นพระค่ะ”

ตำรวจไซเบอร์​จับเครือข่ายอ้างเป็นตำรวจเมืองบุรีรัมย์ หลอกโอนเงินตรวจสอบ เหยื่อสูญเกือบ 2 ล้าน

กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้สั่งให้กวาดล้างอาชญากรรมทางเทคโนโลยี

​สืบเนื่องจากผู้เสียหายถูกคนร้ายโทรมาอ้างว่าเป็นเจ้าหน้าที่ธนาคารกรุงเทพ แจ้งว่ามีการเอาข้อมูลผู้เสียหายไปเปิดใช้บัตรเครดิตและค้างชำระ ให้ผู้เสียหายแจ้งความออนไลน์โดยให้โอนสายไปยังคนร้ายที่อ้างตัวเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ จากนั้นได้ให้ผู้เสียหายแอดไลน์ชื่อ “สถานีตำรวจภูธรเมืองบุรีรัมย์” และได้คุยกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ต่อมาคนร้ายได้โอนสายให้ผู้เสียหายพูดคุยกับผู้กำกับการ สถานีตำรวจภูธรเมืองเชียงราย เพื่อให้ผู้เสียหายหลงเชื่อว่าเหตุการณ์ที่สนทนากันเป็นเรื่องจริง ซึ่งคนร้ายได้หว่านล้อมข่มขู่ผู้เสียหายให้เกิดความกลัวว่าจะต้องถูกดำเนินคดี โดยผู้เสียหายต้องโอนเงินเพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ จากพฤติกรรมของคนร้ายแก๊งคอลเซ็นเตอร์ดังกล่าว จึงทำให้ผู้เสียหายหลงเชื่อโอนเงินเข้าบัญชีของกลุ่มคนร้ายหลายครั้ง ผู้เสียหายเห็นว่าผิดปกติ เชื่อว่าถูกกลุ่มมิจฉาชีพหลอกลวง จึงแจ้งความดำเนินคดี จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบรับแจ้งความออนไลน์ เรื่องขบวนการคอลเซ็นเตอร์แอบอ้างเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองบุรีรัมย์ พบความเชื่อมโยง 11 Case ID เสียหายรวมกว่า 1,876,000 บาท

​ต่อมาเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมได้สืบสวนว่า น.ส.ปราถนา (ขอสงวนนามสกุล) อายุ 44 ปี พักอาศัยในพื้นที่จังหวัดปทุมธานี จนกระทั่งวันที่ 25 มิถุนายน 2566 เวลาประมาณ 15.30 น. เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ได้รับแจ้งจากสายลับ พบหญิงที่มีรูปพรรณสัณฐานตรงกับ น.ส.ปราถนาฯ จึงเดินทางไปตรวจสอบ และเข้าจับกุม ในความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงประชาชนโดยการแสดงตนเป็นคนอื่น,นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ซึ่งข้อมูล
คอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน”

เบื้องต้น ผู้ต้องหาให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้จัดทำบันทึก
การจับกุม และนำตัวส่งพนักงานสอบสวน กก.1 บก.สอท.5 เพื่อดำเนินการตามกฏหมายต่อไป

ผลการปฏิบัติภายใต้การอำนวยการของ  พล.ต.ต.ชรินทร์ โกพัฒน์ตา ผบก.สอท.5 , พ.ต.อ.ศุภกร ธัญญกรรม ผกก.1 บก.สอท.5, ได้สั่งการ พ.ต.ท.ปริพล นาคลำภา สว.กก.1 บก.สอท.5 พร้อมชุดสืบสวนดำเนินการจับกุม

‘มจธ.’ ให้การสนับสนุน ทุนการศึกษา ‘น้องช่อฟ้า’ ย้ำเจตนา ต้องไม่มีนักศึกษาผู้ใดออกไป เพราะไม่มีค่าเล่าเรียน

ประกาศมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ตามที่ปรากฏเป็นข่าวสื่อมวลชนกรณีน้องช่อฟ้า สอบติด 5 มหาวิทยาลัยชื่อดัง ตัดสินใจเลือกเรียนมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า แต่คุณพ่อไม่มีเงินส่งลูกเรียนนั้น

มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี (มจธ.) โดยกลุ่มงานช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษา ได้ทราบเรื่องและประสานไปยังน้องช่อฟ้าในทันทีเพื่อสอบถามรายละเอียด และได้ตรวจสอบในระบบฐานข้อมูนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแล้ว ทราบว่าน้องช่อฟ้าได้ยืนยันสิทธิ์เป็นนักศึกษาเข้าศึกษาต่อที่ภาควิชาวิศวกรรมระบบควบคุมและเครื่องมือวัด คณะวิศวกรรมศาสตร์ 
มจธ. พร้อมให้การช่วยเหลือและสนับสนุนการเรียนรู้ของนักศึกษาในทุกด้านอย่างต่อเนื่อง มีกลไก ในการสนับสนุนทุนการศึกษาที่เหมาะสมกับนักศึกษาทุกคนและติดตามการศึกษาของนักศึกษาจนกระทั่งสำเร็จการศึกษา ตามเจตนารมณ์ของมหาวิทยาลัยที่จะไม่มีนักศึกษาผู้ใดต้องออกไปเพราะไม่มีค่าเล่าเรียน และขอใช้โอกาสนี้ขอบคุณประชาชนและหน่วยงานต่างๆ ที่ได้ร่วมกันช่วยเหลือครอบครัวของนักศึกษา

ทั้งนี้ หากนักศึกษาเป็นผู้ที่ได้รับความเดือดร้อน หรือพบเห็นเพื่อนที่ได้รับความเดือดร้อน สามารถประสานเพิ่มเติมได้ที่ กลุ่มงานช่วยเหลือทางการเงินแก่นักศึกษา โทร. 0-24708097-8, 0-24708107 อีเมล [email protected]

ผบ.ทรภ.1 รับการเยี่ยมคำนับ จาก ผู้ช่วยทูตทหารเรือสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย และผู้บังคับการเรือ USS Rafael Peralta (DDG-115)

วันที่ 26 มิถุนายน 2566 พลเรือโท พิชัย ล้อชูสกุล ผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 (ผบ.ทรภ.1) มอบหมายให้ พลเรือตรี อนุพงษ์ ทะประสพ รองผู้บัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 รับการเยี่ยมคำนับจาก น.อ. Hugh Winkel ผู้ช่วยทูตทหารเรือสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย และ น.ท.Charles T. Cooper ผู้บังคับการเรือ USS Rafael Peralta (DDG-115) พร้อมคณะ เพื่อหารือ เกี่ยวกับการฝึก PASSEX (ทร.ไทย-ทร.สหรัฐ) ณ ห้องรับรองเกาะหลัก กองบัญชาการทัพเรือภาคที่ 1 อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี อีกทั้ง เป็นการแสดงออกถึงความสัมพันธ์อันดี ของทั้งสองประเทศ อีกด้วย

นิราช/นันทพล ทิพย์ศรี ก012 ชลบุรี 

บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU) ระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเพื่อสร้างท้องถิ่นปลอดบุหรี่พื้นที่แม่จันพื้นที่แม่สายและส่วนราชการในพื้นที่

เมื่อวันที่ 26 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมานาย วรายุทธ ค่อมบุญ นายอำเภอแม่จันมอบหมายให้นาย สุทธิรัตน์ แสงเพ็ญจันทร์ หัวหน้ากลุ่มงานบริหารงานปกครองอำเภอแม่จันเป็นประธานเปิดบันทึกข้อตกลงความร่วมมือ(MOU)เพื่อสร้างความร่วมมือระหว่างองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นให้ปลอดบุหรี่ในเขตพื้นที่อำเภอแม่จัน3ตำบลและพื้นที่อำเภอแม่สาย1ตำบล2องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและส่วนราชการในพื้นที่ประกอบด้วยเทศบาลตำบลแม่ไร่ เทศบาลตำบลแม่จัน เทศบาลตำบลสายน้ำคำ2 เทศบาลตำบลห้วยไคร้ องค์การบริหารส่วนตำบลห้วยไคร้ โรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลแม่ไร่ จังหวัดเชียงรายสืบเนื่องจากกรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่นได้กำหนดให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นดำเนินการควบคุมผลิตภัณฆ์ยาสูบตามพระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฆ์ยาสูบ พ.ศ.2560เป็นส่วนหนึ่งในการประเมินประสิทธิภาพขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นประจำปี2565ซึ่งองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นมีพันธกิจหนึ่งในการบริหารสาธารณะมีศักยภาพและทรัพยากรในการป้องกันปัญหาอันเกิดจากการสูบบุหรี่ของประชากรในพื้นที่ที่รับผิดชอบโดยจากข้อมูลพบว่า9ใน10ของคนไทยที่สูบบุหรี่กระจายอยู่ตามจังหวัดต่างๆการ

สูบบุหรี่เป็นปัจจัยเสี่ยงสุขภาพที่สำคัญที่สุดที่ครึ่งหนึ่งของคนที่ไม่เลิกสูบจะป่วยและเสียชีวิตก่อนเวลาเป็นภาระต่อครอบครัวและระบบบริการสุขภาพของจังหวัดวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความร่วมมือความเข้าใจและสร้างกระแสความตื่นตัวในการขับเคลื่อนงานควบคุมการบริโภคยาสูบในกลุ่มองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นในแต่ละพื้นที่ต่อไป

สันติ วงศ์สุนันท์/ผู้สื่อข่าวเชียงราย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top