Tuesday, 3 June 2025
NEWS FEED

กสทช. จัดกิจกรรมปั้นแม่ไก่สร้างเด็กและเยาวชน 'ฅนทันสื่อ'

ชัยภูมิ - เมื่อเร็วๆ นี้ ที่หอประชุมโรงเรียนนาหนองทุ่มวิทยา อ.แก้งคร้อ จ.ชัยภูมิ สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ได้จัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะความรู้เท่าทันสื่อของประชาชนกลุ่มเด็กและเยาวชน “ฅนทันสื่อ” ให้กับโรงเรียนมัธยมศึกษาของจังหวัดชัยภูมิ โดยเชิญวิทยาการผู้สื่อข่าวจังหวัดชัยภูมิ และเจ้าหน้าที่ตำรวจให้ความรู้และป้องภัยอันตรายจากสื่อโซเซียล

นายทรงกลด หิรัญเกิด ผู้อำนวยการโรงเรียนนาหนองทุ่มวิทยา กล่าวว่า นักเรียนโรงเรียนนาหนองทุ่มวิทยา ได้รับโอกาสจากสำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ร่วมกับ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ให้เข้าร่วมกิจกรรมเสริมสร้างทักษะความรู้เท่าทันสื่อของประชาชนกลุ่มเด็กและเยาวชน “ฅนทันสื่อ”เป็นจุดเริ่มต้นส่วนหนึ่ง ที่จะได้นำความรู้จากวิทยากรที่มีความรู้ ความสามารถมาให้ความรู้ แก่เยาวชนเพื่อให้มีทักษะในการเข้าถึงสื่อ และสามารถ วิเคราะห์ ประเมินสื่อ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะเป็นการสร้างภูมิคุ้มกันที่ดีให้กับ เยาวชน และเป็นการปกป้องเยาวชนจากภัยร้ายที่แฝงมากับสื่อและเทคโนโลยีการสื่อสารรูปแบบใหม่ โดยผ่านกิจกรรมต่างๆ เช่น การบรรยายให้ความรู้จาก นายชาตรี ทวีนาท ผู้สื่อข่าวเดลินิวส์ และ พ.ต.ท.สุอารีย์ สาแก้ว รอง ผกก.สืบสวน สภ.แวงใหญ่ จ.ขอนแก่น และการกิจกรรมกลุ่มการเข้าฐานความรู้ เกมการศึกษาการเสวนาและอภิปรายจากผู้เข้าร่วม โดยมีนักเรียนเข้าร่วมกิจกรรมจำนวน 100 คน  

ผศ.นารีนารถ ปานบุญ มหาวิทยาลัยราชภัฎสวนสุนันทา หัวหน้าทีมกิจกรรม กล่าวว่า การจัดกิจกรรมครั้งนี้ ได้รับงบประมาณสนับสนุน จาก กสทช. และ มรภ.สวนสุนันทา เราได้คัดเลือกมหาวิทยาทั่วทุกภูมิภาค จำนวน 9 แห่ง เพื่อมาอบรมที่กรุงเทพฯ เพื่อเป็นแม่ไก่ขยายผลสู่เครือข่ายของแต่ละมหาวิทยาลัยฯ โดยมีกลุ่มเป้าหมายคือสถานศึกษาที่ได้รับการพิจารณาจากมหาวิทยาลัยแม่ไก่ ทั่วทั้งประเทศสถานศึกษาจะได้รับการพิจารณาคัดเลือกเข้าร่วมจัดกิจกรรมรวม 18 โรงเรียน ซึ่งวัตถุประสงค์หลักๆก็คือ ต้องการให้นักเรียนได้มีความรู้ความเข้าใจเข้าใจด้านสื่อ ไม่ตกเป็นเหยื่อของสื่อ และที่สำคัญน้องๆที่เข้าร่วมกิจกรรม จะสามารถนำความรู้ไปขยายผลสู่เพื่อน สถาบันของตนเอง พร้อมทั้งครอบครัว และชุมชน ขยายผลต่อไปเรื่อยๆ 

ส่วน ผศ.ดร.สุนันท์ สีพาย มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ กล่าวว่า มหาวิทยาลัยราชภัฏชัยภูมิ ได้มีโอกาสขับเคลื่อนร่วมกับมหาวิทยาลัยสวนสุนันทา ในการจัดกิจกรรมเสริมสร้างทักษะความรู้เท่าทันสื่อของประชาชนกลุ่มเด็กและเยาวชน “ฅนทันสื่อ” ในครั้งนี้ เป็นโรงเรียนที่ 2 (แห่งที่โรงเรียนแก้งคร้อวิทยา) เราได้ปั้นทีมแม่ไก่ โดยมีคณาจารย์และนักศึกษา เข้ารวมเป็นพี่เลี้ยงให้ความรู้แก่น้องๆ โดยผ่านกิจกรรมที่หลากหลาย และที่สำคัญโรงเรียนที่ผ่านกิจกรรมทั้ง 2 โรงเรียน จะต้องไปขยายผลให้กับโรงเรียนอีกโรงเรียนละ 100 คน นำความรู้ไปขยายผลสู่เพื่อน ครอบครัว และชุมชนต่อไป

ด้านตัวแทนนักเรียนโรงเรียนนาหนองทุ่มวิทยา ที่เข้าร่วมกิจกรรม ได้แสดงความรู้สึกจากการเข้าร่วมกิจกรรมโดยภาคเช้าได้รับรับรู้ถึงช่องทางสื่อและข้อกฏหมายที่พึงระวังไม่ให้ตกเป็นเหยื่อของมิชฉาชีพ ส่วนภาคบ่ายได้เข้าร่วมกิจกรรมกลุ่มอย่างสนุกสนาน ได้ข้อคิด ได้ความรู้ พร้อมที่จะนำไปขยายผลสู่เพื่อนๆ ครอบครัว ชุมชนให้พึงระวังและไม่เปิดโอกาสให้กับสื่อและมิชฉาชีพที่จะมาหลอกลวงเราได้

กฎหมายต้องไม่ล้าหลัง!! ‘ชัยวุฒิ’ ชี้ ปิดกั้นบุหรี่ไฟฟ้าต่อไปไม่ได้แล้ว ย้ำชัด ถึงเวลาทำให้ถูก กม. ช่วยแก้ปัญหารีดส่วย

ชัยวุฒิ’ ซุ่มร่วมเวทีเสวนา กัญชาเสรีแล้ว บุหรี่ไฟฟ้าควรถูกกฎหมายยัง? ย้ำกฎหมายต้องไม่ล้าหลัง

วันนี้ (8 มีนาคม 2566), มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิตจังหวัดปทุมธานี - นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เข้าร่วมงานเสวนาวิชาการ หัวข้อ กัญชาเสรีแล้ว บุหรี่ไฟฟ้าควรถูกกฎหมาย หรือยัง?โดยผู้จัดงานได้กล่าวว่า ปัจจุบันได้เกิดข้อถกเถียงกันอย่างกว้างขวางในประเด็นเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าหลังจากที่มีการประกาศห้าม การนําเข้าและครอบครองบุหรี่ไฟฟ้าออกมาจากทางรัฐบาล โดยมีการแสดงความคิดเห็นกันอย่างมากมาย ที่ว่า บุหรี่ไฟฟ้าควรถูกกฎหมายหรือไม่ ซึ่งก็มีทั้งผู้ที่เห็นด้วย และไม่เห็นด้วย บุหรี่ไฟฟ้าเป็นอุปกรณ์การสูบชนิดหนึ่งที่มีสารเคมีต่าง ๆ ผสมอยู่ซึ่งให้โทษต่อผู้ที่สูบไม่น้อยกว่าบุหรี่มวน อีกทั้งยังเป็นอุปกรณ์ที่ไม่ได้รับการยอมรับตามมาตรฐาน เนื่องจากผิดกฎหมาย แต่ก็ยังพบเห็นการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในที่สาธารณะกันทั่วไปทั้งในและนอก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ 

ขณะที่ นายชัยวุฒิ ได้แสดงความเห็นว่า อยากให้มีการจัดงานเวทีเสวนาแบบนี้ เพื่อส่งเสียงของประชาชนให้ถึงผู้มีอำนาจที่เกี่ยวข้องทั้งหมดเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ตนเชื่อว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีสารที่ก่อให้เกิดอันตราย เช่น นิโคตินต่อร่างกาย แต่หากคิดในมุมอันตรายต่อร่างกายอย่างเดียวหลายเรื่องก็ไปไหนไม่ได้ เพราะภายในกาแฟก็มีคาเฟอีน ซึ่งหากดื่มมาก ๆ ก็เป็นอันตรายต่อร่างกายเหมือนกัน แต่เราควรมองในมุมที่ว่าหากต้องการเลิกสูบบุหรี่จริง แล้วต้องการหาบุหรี่ทางเลือกที่ปลอดภัยกว่า ตนจึงอยากให้สิ่งนี้ถูกกฎหมาย  

โดยนายชัยวุฒิ ได้เน้นย้ำว่า “เราต้องยอมรับว่าการปิดกั้นบุหรี่ไฟฟ้าต่อไปมันล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” ไม่สามารถที่จะตรวจสอบการบริโภคบุหรี่ไฟฟ้าได้ เกิดการรับส่วยเป็นระบบขบวนการ นอกจากนี้นายชัยวุฒิได้แจ้งต่อว่ายังมีฏหมายอีกหลายอย่างที่ล้าหลังที่ประเทศไทยต้องปรับ เช่น การซื้อขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เดลิเวอรี่ หรือ การพนันออนไลน์ที่คนไทยมีการเล่นพนันจริง ๆ แต่เราไม่สามารถปิดกั้นได้ เพราะผู้ให้บริการเปิดระบบข้างนอกประเทศไทย แล้วทำไมเราไม่ลองทำของเราเอง ดังนั้นจึงอยากฝากให้ทุกคนช่วยกันส่งเสียงเรื่องที่ควรแก้ไขให้มีการปรับปรุงต่อไป 

สารพัดข้ออ้าง!! 'เยอรมนี' อ้างเหตุภัยไซเบอร์ ขอเดินตามเกมสหรัฐฯ ร่วมแบนเทคโนโลยี 5G ของ Huawei และ ZTE

กลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที เมื่อสำนักข่าว Zeit Online ของเยอรมนีเปิดเผยว่า ทางรัฐบาลเยอรมนี ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรี โอลาฟ ซอลซ์ มีแผนที่จะประกาศห้ามใช้อุปกรณ์เทคโนโลยี 5G ของบริษัทผู้ผลิต Huawei และ ZTE ของจีน ตามชาติพันธมิตรอย่าง สหรัฐอเมริกา, อังกฤษ, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น 

โดยได้อ้างมติที่พิจารณาร่วมกันระหว่างเจ้าหน้าที่ของกระทรวงมหาดไทย และหน่วยด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ของเยอรมนีที่หารือกันมานานหลายเดือน จนได้ข้อสรุปให้ระงับสัญญาการติดตั้งอุปกรณ์เครือข่ายเทคโนโลยี 5G สัญชาติจีน ด้วยเหตุผลด้านภัยคุกคามความมั่นคงทางไซเบอร์ และความปลอดภัยทางข้อมูลของผู้ใช้งาน 

แต่เหตุผลหลักคือ ความสัมพันธ์ระหว่างบริษัทสัญชาติจีนทั้ง 2 แห่งกับรัฐบาลปักกิ่ง ที่สร้างความไม่ไว้วางใจให้กับมหาอำนาจตะวันตก ที่มองว่าไม่เหมาะสมที่จะใช้เป็นเครือข่ายการคมนาคมยุคใหม่ในประเทศ

ก่อนหน้านี้รัฐบาลได้ตอบตกลงในการติดตั้งระบบเครือข่าย 5G ของบริษัทจีนในประเทศไปแล้วบางส่วน และหากรายงานข่าวของสื่อเยอรมันเป็นความจริง ก็จะครอบคลุมถึงระบบอุปกรณ์ที่ได้ติดตั้งไปแล้วด้วย ที่ต้องรื้อถอนออกไป ซึ่งสร้างความไม่พอใจอย่างมากให้แก่รัฐบาลจีน

นายเซียง ลี่กัง ผู้อำนวยการสำนัก Information Consumption Alliance ในกรุงปักกิ่งกล่าวว่า จนถึงตอนนี้ ยังไม่มีการยืนยันกับทางจีนว่าข่าวนี้เป็นจริงหรือไม่ แต่ถ้าเยอรมนียืนกรานที่จะแบนอุปกรณ์เทคโนโลยี 5G ของจีนจริง จะสร้างผลเสียให้เยอรมนีมากกว่า

เพราะจากข้อมูลของสำนักสำรวจ Strand Consult พบว่าบริษัทเทเลคอมของเยอรมันในคลื่นสัญญาณ 5G จากอุปกรณ์ของ Huawei แล้วถึง 59% แซงหน้าระบบเก่า 4G ที่ใช้อยู่ 57% ไปแล้ว 

และหากต้องรื้อถอนระบบที่ติดตั้งไปแล้วของบริษัทจีน เพื่อวางระบบใหม่หมด รัฐบาลเยอรมนีต้องเสียค่าใช้จ่ายอีกหลายพันล้านยูโรโดยไม่จำเป็น และฟันธงได้เลยว่าไม่มีทางหาผู้รับเหมาประเทศไหนสามารถวางระบบได้ในราคาที่จีนเสนอให้แน่นอน 
 

ขี่ช้างหลบไป!! เท่เกิน! เด็กหญิง ป.4 เมืองตรัง ขี่ม้าไปโรงเรียน ช่วยปรับเปลี่ยนพฤติกรรม มีสมาธิ-การเรียนดีขึ้น

เด็กหญิงชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านทุ่งส้มป่อย อำเภอนาโยง จังหวัดตรัง ขี่ม้าไปเรียนหนังสือโดยมีคุณพ่อคอยขี่ม้าอีกตัวตามประกบ นอกจากจะประหยัดค่าน้ำมันแล้วยังเป็นการออกกำลังกายและฝึกสมาธิได้อีกทางหนึ่งด้วย ด้านผู้อำนวยการโรงเรียนเผยหลังเลี้ยงม้าน้องกลายเป็นจิตอาสาและเด็กเรียน พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ

วันที่ 8 มี.ค.66 ผู้สื่อข่าวประจำ จ.ตรัง รายงานว่า ที่บ้านเลขที่ 65 หมู่ที่ 1 ต.ละมอ อ.นาโยง จ.ตรัง พบ ด.ญ.สุกัลย์ชนก ชัยทอง หรือ น้องหยก อายุ 10 ขวบนักเรียนชั้น ป.4 โรงเรียนบ้านทุ่งส้มป่อย อ.นาโยง จ.ตรัง กำลังขึ้นขี่ม้าลูกผสมสีขาวหม่น อายุประมาณ 6 ปีเพื่อไปเรียนหนังสือ โดยระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนเกือบ 3 กิโลเมตร มีคุณพ่อคือนายจิระพงษ์ ชัยทอง อายุ 49 ปี ขี่ม้าสีน้ำตาล-ดำ คอยตามประกบ เพื่อระวังรถเวลาข้ามถนนให้กับลูกสาว สร้างความฮือฮาให้กับชาวบ้านได้เป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นเด็กผู้หญิงคนแรกในจังหวัดตรังที่ขี่ม้าไปโรงเรียนได้อย่างแคล่วคล่อง ว่องไว โดยใช้เวลาประมาณ 15 นาทีก็ขี่ม้าถึงโรงเรียนแล้วและเมื่อเข้าแถวเคารพธงชาติเสร็จแล้วคุณพ่อของน้องหยก จะพาม้าทั้งสองตัวกลับบ้าน ส่วนช่วงเย็นรถเยอะกลัวว่าไม่ปลอดภัยก็จะขับรถมารับน้องหยกแทน

น้องหยก เริ่มขี่ม้าไปโรงเรียนประมาณ 1 ปีแล้ว แต่ไม่ได้ขี่มาทุกวัน เนื่องจากคุณพ่อไม่ว่างตามมารับมาส่ง แต่หากมีเวลาคุณพ่อก็จะให้น้องหยกขี่ม้ามาโรงเรียนสัปดาห์ละ 1-2 ครั้งเพื่อสร้างความคุ้นเคยกับม้า ประหยัดค่าน้ำมันและได้ออกกำลังกายยามเช้า โดยตลอดสองข้างทาง มีชาวบ้านให้ความสนใจ แห่บันทึกภาพและชื่นชมในความสามารถที่เกินตัวของน้องหยกตลอดทางและที่โรงเรียน น้องหยกกลายเป็นฮีโร่ของเพื่อนๆ ที่ทุกคนต่างอยากจะขี่ม้า โชว์ความเท่เหมือนอย่างน้องหยกบ้าง

สำหรับม้าลูกผสมทั้งสองตัวนี้เจ้าของคือคุณพ่อของน้องหยก ซื้อมาจาก จ.กาญจนบุรี เมื่อ 2 ปีที่แล้ว โดยตัวแรกสีน้ำตาล-ดำ ชื่อซาร่า ซื้อมาในราคา 180,000 บาท ส่วนตัวสีขาวหม่นชื่อจัสติน ราคา 100,000 บาท เป็นม้าเพศเมียทั้งสองตัว อายุประมาณ 6 ปี นิสัยเชื่องมาก ไม่ดุร้าย อ่อนโยน โดยหลังซื้อม้ามาเลี้ยงเพิ่มอีก 2 ตัว น้องหยกก็ตั้งใจหัดขี่ม้าเรื่อยมา จนคุณพ่อวางใจและให้ขี่ม้ามาโรงเรียนได้ โดยน้องหยกยังทำหน้าที่ตัดหญ้าให้ม้า ป้อนหญ้าม้า และอาบน้ำให้ม้า จนกลายเป็นความรักความผูกพัน สมใจคุณพ่อที่อยากให้ลูกสาวทั้งสามคน มีสัก 1 คนที่ชื่นชอบม้าเป็นชีวิตจิตใจเหมือนกับตน ซึ่งที่บ้านของน้องหยก มีม้าทั้งหมด 4 ตัวเป็นม้าพันธุ์พื้นเมือง 2 ตัว และม้าลูกผสม 2 ตัว และน้องหยกขี่ม้ามาโรงเรียนได้ทั้งสองตัวคือจัสตินกับซาร่า

โดยพบว่าหลังจากที่น้องหยกได้ขี่ม้าและคลุกคลีอยู่กับม้าแล้ว ทำให้นิสัยของน้องเปลี่ยนไปในทิศทางที่ดีขึ้น จากลูกคนสุดท้องที่ค่อนข้างเอาแต่ใจตัวเอง ร้องไห้บ่อย กลายเป็นเด็กเรียน ใจเย็น มีสมาธิ มีจิตอาสาสูง ร่าเริงและกล้าแสดงออกมากขึ้น โดยพลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว

นายจิระพงษ์ ชัยทอง คุณพ่อของน้องหยก กล่าวว่า ม้าสีขาวชื่อจัสติน ส่วนสีน้ำตาลชื่อซาร่า ส่วนลูกสาวฝึกขี่ม้ามาปีกว่าแล้ว ซึ่งลูกสาวเห็นตนเลี้ยงและดูเป็นตัวอย่าง ต่อมาจึงหัดขี่เองโดยขี่ไปโรงเรียนมานานเป็นปีแล้ว ซึ่งคุณพ่อต้องตามประกบ ส่วนสาเหตุที่น้องชอบขี่ม้าคงมาจากสายเลือด โดยระยะทางจากบ้านไปโรงเรียนประมาณ 2 กิโลกว่า แต่ขี่ไม่ทุกวันเพราะนอกจากจะประหยัดแล้ว เด็กยังได้ออกกำลังกายไปด้วย โดยมีชาวบ้านชอบและสนับสนุนกันทุกคน ซึ่งเวลาตนไม่อยู่ น้องก็จัดการเองหมด

ส่วน ด.ญ.สุกัลย์ชนก ชัยทอง หรือน้องหยก กล่าวว่า ที่ชอบขี่ม้าเพราะมันคุ้นและน่ารักดี ซึ่งตนก็ต้องเลี้ยงม้าด้วยการอาบน้ำและป้อนหญ้าให้กินด้วย โดยตัวสีขาวที่ขี่ชื่อจัสติน ซึ่งการขี่ม้าทำให้ได้ออกกำลังกายและประหยัดค่าใช้จ่ายไปด้วย ชาวบ้านเห็นแล้วขอถ่ายรูปเยอะมาก ซึ่งจะขี่มามาโรงเรียนนานเท่าไหร่นั้นไม่แน่ใจ แต่ชอบ โดย 1 อาทิตย์จะขี่ม้ามาโรงเรียน 2 ครั้ง ซึ่งตอนแรกก็กลัว แต่ตอนนี้มั่นใจขึ้นมากแล้ว
 

‘กรมทางหลวง’ สั่งผู้รับเหมา หยุดงาน 3 วัน หลังเกิดเหตุ ‘รถเครน’ ล้มขวางถนนพระราม 2

กรมทางหลวง สั่งผู้รับเหมาหยุดงาน 3 วัน ปมเครนสร้างทางยกระดับพระราม 2 ล้มขวางถนน
.
(8 มี.ค.66) รายงานข่าวจาก กรมทางหลวง (ทล.) ระบุว่า จากกรณีเกิดเหตุเครนของโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษหมายเลข 82 หรือ M82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ล้มขวางถนนพระราม 2 ฝั่งขาออกกรุงเทพฯ ต.นาดี อ.เมือง จ.สมุทรสาคร เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566
.
จากการตรวจสอบพบว่า เหตุการณ์ดังกล่าวอยู่ในโครงการ M82 สายทางยกระดับบางขุนเทียน-บ้านแพ้ว ช่วงเอกชัย-บ้านแพ้ว ตอน 3 ขณะนี้ นายเจษฎา พยงค์ศรี นายช่างโครงการดังกล่าว สำนักก่อสร้างสะพาน ได้ส่งหนังสือถึงผู้จัดการ กิจการร่วมค้าวีเอ็น ซึ่งเป็นบริษัทผู้รับเหมา เรื่อง ขอให้ตรวจสอบมาตรฐานความปลอดภัย
.
โดยหนังสือระบุว่า โครงการดังกล่าวเริ่มต้นสัญญาวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 สิ้นสุดสัญญาวันที่ 15 มกราคม 2568 ระยะเวลา 1,080 วัน วงเงิน 1,910,300,000 บาทนั้น
.
ตามที่เกิดอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2566 เวลา 22.50 น. ขณะที่มีการปิดจราจรในทางหลักเพื่อทำงานนั้น ผู้รับจ้างใช้รถเครนยกรถแบคโฮที่จมเลน โดยระหว่างที่ยกนั้นสะลิงของรถเครนได้หลุดออกจากรถแบคโฮ ทำให้บูมรถเครนเหวี่ยงและหักขวางทางคู่ขนาน ช่วง กม.25+500 ด้านขาออก
 

หวั่นสูญพันธุ์!! ‘กลุ่มอนุรักษ์’ วอนช่วยกันดูแล ‘ลูกปูม้า’ หลังพบโพสต์ขายว่อนโซเชียล เพียงตัวละ 5 บาท

เศร้าใจพบการโพสต์ขาย “ลูกปูม้า” ว่อนโซเชียลแค่ตัวละ 5 บาท เชื่อนำเข้าจากต่างจังหวัดแถวภาคกลาง ขณะที่ในพื้นที่ จ.ตรัง พบบ้างประปรายตามตลาดสดต่าง ๆ ด้านกลุ่มอนุรักษ์วอนดูแล หวั่นปูม้าสูญพันธุ์ในอนาคต

เศร้าใจพบมีการโพสต์ขายลูกปูม้าสดว่อนโซเชียล ตัวละ 5 บาท ซึ่งเป็นไซส์ขนาด 30 กว่าตัวโล ซึ่งถือว่าเป็นลูกปูที่ขนาดตัวยังเล็กมาก เชื่อนำเข้าจากต่างจังหวัด โดยเฉพาะจากแถวตลาดมหาชัย จ.สมุทรสาคร จึงมีสินค้าให้สามารถโพสต์ขายเป็นล่ำเป็นสัน โดยบางคนแสดงความคิดเห็นว่า พบเห็นมีการวางขายตามตลาดสดในหลายจังหวัด เช่น สงขลา นครศรีธรรมราช และเชื่อว่ามีทุกจังหวัดที่อยู่ติดชายทะเล

สำหรับใน จ.ตรัง พบการจับลูกปูขายบ้างเช่นกัน เช่น ชาวบ้านที่ไม่ได้เป็นชาวประมงอาชีพ แต่ออกไปวางอวนจับปลา เพื่อนำไปทำอาหาร หรือขายบ้าง หรือบางส่วนออกไปจับโดยใช้วิธีส่องด้วยตะเกียงในเวลากลางคืน ทำให้มีลูกปูม้าถูกนำไปวางขายบ้างประปรายตามตลาดสดต่าง ๆ โดยชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์วอนหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทุกจังหวัดที่อยู่ติดชายฝั่งทะเล ให้กวดขันจับกุมคนทำประมงที่ใช้เครื่องมือขนาดเล็กกว่าขนาดที่กฎหมายกำหนด และขอความร่วมมือให้ผู้บริโภคหยุดการสั่งซื้อ หยุดบริโภค เพราะจะทำให้ปูม้าสูญพันธุ์ในอนาคต

ทั้งนี้ จากการที่ผู้สื่อข่าวได้ลงพื้นที่พบกับชาวประมงพื้นบ้านที่มีอาชีพวางอวนจับปูในพื้นที่ อ.หาดสำราญ จ.ตรัง ซึ่งใช้อวนที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดยปกติปูม้าจะจับได้ชุกชุมในช่วงฤดูมรสุม แต่เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงหน้าแล้ง จำนวนปูม้าจึงลดลง ทำให้ราคาดี มีเท่าไรไม่พอขาย ซึ่งปูม้าไซส์ใหญ่สุดตอนนี้มีราคา กก.ละ 300-350 บาท ไซส์ขนาดกลาง กก.ละ 250 บาท และไซส์ขนาดเล็ก กก.ละ 170 บาท

‘บิ๊กป้อม’ แจ้งชาวนา “ปีนี้ทำนาได้ น้ำไม่ท่วม” ด้านชาวบ้านเฮสนั่น!! ตะโกนเชียร์นั่งนายกฯ

(8 มี.ค.66) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมคณะประกอบด้วย พล.อ.วิชญ์ เทพหัสดิน ณ อยุธยา ประธานที่ปรึกษารองนายกรัฐมนตรี นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม นายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม และ นายวิรัช รัตนเศรษฐ ส.ส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เดินทางลงพื้นที่ตรวจเยี่ยมและติดตามความคืบหน้า แผนบรรเทาอุทกภัยพื้นที่ลุ้มน้ำเจ้าพระยาตอนล่างและแผนงานโครงการพัฒนาแหล่งน้ำที่สำคัญในพื้นที่จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่วัดสะตือพุทธไสยาสน์ ตำบลท่าหลวง อำเภอท่าเรือ โดยว่าที่ผู้สมัคร ส.ส.พระนครศรีอยุธยาของ พปชร.ทั้ง 3 เขต นายโชติวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ ส.ส.สิงห์บุรี พปชร. รวมถึงนางสมทรง เจริญพันธุ์วรกุล นายก อบจ.พระนครศรีอยุธยา มาคอยให้การต้อนรับ

โดย พล.อ.ประวิตร ได้เข้ารับฟังบรรยายสรุปแผนบรรเทาอุทกภัยพื้นที่เจ้าพระยาตอนล่าง และแผนการโครงการพัฒนาแหล่งน้ำ จากนั้น ได้นั่งรถกอล์ฟเพื่อจะไปไหว้พร้อมกับปิดทองพระพุทธไสยาสน์ แต่ปรากฎว่าระหว่างรถกอล์ฟไฟฟ้าออกตัว ได้ออกตัวแรงทำให้คนที่อยู่ตรงนั้นถึงกับตกใจ ซึ่งนายวิรัช รัตนเศรษฐ ที่นั่งอยู่ด้านหลังว่า รถไม่เสถียร แต่คนเสถียร ภายหลังไหว้พระเสร็จแล้ว พล.อ.ประวิตร ได้เข้าไปกราบนมัสการ และถวายดอกไม้และปัจจัยต่อเจ้าอาวาสวัดสะตือ ขณะที่เจ้าอาวาสได้มอบรูปหล่อพระพุทธไสยาสน์ ผ้ายันต์คาถาชินบัญชร ของสมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี ให้แก่ พล.อ.ประวิตร

ขณะที่ภายในงานมีประชาชนที่มารอต้อนรับต่างตะโกนเชียร์ให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป พร้อมกับตะโกน “รักลุงป้อม” โดย พล.อ.ประวิตร มีสีหน้าอารมณ์ดี และยิ้มหลายครั้ง

ต่อมา พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ตนมาติดตามเรื่องน้ำที่ จ.พระนครศรีอยุธยาหลายครั้ง ขอบคุณที่มาต้อนรับตน จะสังเกตเห็นว่า รัฐบาลมีความห่วงใยประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนทั้งอุทกภัย วาตภัย น้ำหลาก น้ำลด รัฐบาลจะเยียวยาให้ประชาชนจนได้รับค่าชดเชยกันตลอด ไม่เคยว่างเว้น เพราะเราเห็นใจประชาชนที่ได้รับผลกระทบ

ไม่รับข้อเสนอ!! ‘บิ๊ก’ ผู้ต้องหาคดี ‘มาเก๊า 888’ ประสานขอมอบตัว ยื่นเงื่อนไขต้องได้ประกันตัว ฟาก ตร. ปฏิเสธรับเงื่อนไข

(8 มี.ค. 66) พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผู้บัญชาการกองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าเครือข่ายคดีมาเก๊า 888 โดยระบุว่า นายกิตติพงษ์ ขจรบุญถาวร หรือบิ๊ก หนึ่งในพี่น้องตระกูล 4 บ. 1 ใน 7 หมายจับรอบล่าสุด พยายามติดต่อเข้ามาขอมอบตัว โดยยื่นเงื่อนไขจะต้องได้รับการประกันตัวในชั้นพนักงานสอบสวน แต่ตำรวจไม่สามารถรับเงื่อนไขนี้ได้ ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นๆ ยังไม่มีการติดต่อเข้ามาอย่างเป็นทางการเหมือนที่มีการนำเสนอข่าวออกไป

ส่วนหมายจับผู้ต้องหาที่เหลือ ตำรวจอยู่ระหว่างการติดตามตัว คาดได้ตัวผู้ต้องหาบางส่วนเร็วๆ นี้ และมีข้อมูลว่าผู้ต้องหา 2 คน มีการเดินทางเข้าออกระหว่างประเทศไทยและประเทศเพื่อนบ้านผ่านช่องทางธรรมชาติหลายครั้ง ส่วนผู้ต้องหาคนอื่นที่หลบหนีหมายจับ ตำรวจอยู่ระหว่างติดตามตัว

ขณะเดียวกัน พนักงานสอบสวนเรียกพยานมาสอบปากคำแล้วหลายสิบปาก คาดว่าภายในสัปดาห์หน้าจะมีข้อมูลเพิ่มเติม ส่วนผู้ต้องหา 4 ใน 13 หมายจับรอบแรก ที่ยังอยู่ระหว่างการหลบหนี ขณะนี้ยังอยู่ระหว่างติดตามจับกุม ยังไม่มีใครประสานเข้ามาขอมอบตัว

'ก้องศักด' เผยยังไร้ข้อสรุปยิงสดซีเกมส์ หลัง ‘กัมพูชา’ คิดค่าลิขสิทธิ์ไทยแพงกว่าเพื่อน

หลังจากก่อนหน้านี้ คณะกรรมการจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กัมพูชา เป็นเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 5-17 พ.ค.2566 ปฏิเสธไม่ได้เรียกค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดมหกรรมกีฬาดังกล่าวกับประเทศไทยสูงถึง 800,000 เหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 24 ล้านบาท

ล่าสุด ‘บิ๊กก้อง’ ดร.ก้องศักด ยอดมณี ผู้ว่าการการกีฬาแห่งประเทศไทย ออกมาเปิดเผยว่า "ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างพูดคุยเพื่อหาทางออก เนื่องจากตัวเลขที่ถูกเรียกค่าลิขสิทธิ์มานั้นตนคงไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้ แต่ก็ถือว่าใกล้เคียงตามรายงานข่าวก่อนหน้านี้ ซึ่งถือว่าสูงเกินไป"

'วัดราชบูรณะ' พิษณุโลก เตรียมแจกข้าวสาร 14 ตัน มอบให้ ปชช.คนละ 5 กิโลกรัม วันที่ 14 มี.ค.นี้

วัดราชบูรณะจังหวัดพิษณุโลกร่วมกับคณะศิษย์จากประเทศไต้หวันเตรียมข้าวสาร 14 ตันแจกให้กับประชาชนคนละ 5 กิโลกรัม วันที่ 14 มีนาคมนี้

วันที่ 8 มีนาคม 2566 พระครูสิทธิธรรมภิวัช เจ้าอาวาสวัดราชบูรณะอำเภอเมืองจังหวัดพิษณุโลกเปิดเผยว่าในวันอังคารที่ 14 มีนาคม 2566 คณะลูกศิษย์จากประเทศไต้หวันมีกำหนดการมาทำพิธีพุทธาภิเษกท้าวมหาพรหม ณ วิหารหลวงพ่อทองดำ วัดราชบูรณะ และในโอกาสนี้คณะลูกศิษย์จากประเทศไต้หวันได้เตรียมข้าวสาร 14 ตัน เพื่อแจกให้กับประชาชนชาวพิษณุโลกเป็นการทำบุญถวายกุศล


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top