Friday, 27 June 2025
NEWS FEED

'มิน อ่อง หล่าย' ลัดฟ้าพบ 'ปูติน' ฉลุยปิดดีลซื้อน้ำมัน พร้อมจ่าย 'รูเบิล-สกุลอื่นๆ' ที่รัสเซียพอใจจะรับ

นายพล มิน อ่อง หล่าย ผู้นำรัฐบาลทหารพม่า เดินทางไปเข้าร่วมประชุมในงาน Eastern Economic Forum (EEF) ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกปีที่เมืองวลาดิวอสตอค ทางฝั่งตะวันออกของรัสเซีย เพื่อพบกับ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย ซึ่งเป็นการพบกันครั้งแรกนับตั้งแต่การเกิดเหตุรัฐประหารในพม่าตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ 2021 เป็นต้นมา 

การพบปะระหว่าง 2 ผู้นำ ที่เป็นศูนย์รวมการคว่ำบาตรจากชาติตะวันตก เป็นการคุยกันแบบทวิภาคี นอกรอบจากงานประชุม EEF โดยทั้ง 2 ผู้นำตั้งใจหารือด้านความร่วมมือทางการค้า และยกระดับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นขึ้นไปอีก โดย นายพล มิน อ่อง หล่าย ได้กล่าวยกย่องผู้นำรัสเซียว่า มีบทบาทเป็นผู้นำโลกในการสร้างเสถียรภาพในระดับนานาชาติ   

ในการประชุม มีการพูดคุยถึงความร่วมมือด้านเศรษฐกิจ การค้าอย่างกว้างขวาง แต่สิ่งที่เป็นไฮไลท์ของการพบปะกันคือข้อตกลงในการซื้อ-ขายน้ำมัน ระหว่างพม่าและรัสเซีย ที่สามารถปิดดีลได้ทันทีหลังงานประชุม

ซึ่งพม่าและรัสเซีย เคยตกลงที่จะซื้อน้ำมันจากรัสเซียไว้ก่อนหน้านี้ตั้งแต่ช่วงเดือนกรกฏาคม แต่ยังไม่พร้อมที่จะชำระเป็นเงินสกุลรูเบิล 

แต่มาครั้งนี้ ผู้นำพม่ายินดีที่จะชำระค่าน้ำมันด้วยเงินรูเบิล หรือสกุลเงินอื่นๆ ที่ทางรัสเซียพอจะรับได้ ซึ่งจะทำให้การซื้อขายได้ง่ายกับทั้งสองฝ่าย เนื่องจากตอนนี้ทั้งสองประเทศมีข้อจำกัดอย่างมากในการเข้าถึง และทำธุรกรรมทางการเงินระหว่างประเทศด้วยเงินสกุลต่างๆ

สวธ. จับมือ GISTDA ลงนาม MOU ประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพให้การบริหารจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม

กรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) กระทรวงวัฒนธรรม ร่วมมือกับ สํานักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) สทอภ. หรือ GISTDA ทำ MOU การประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศเพื่อการบริหารจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเชิงพื้นที่ โดยมีนางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ให้เกียรติเป็นประธานพิธีลงนามระหว่าง นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กับ นางกานดาศรี ลิมปาคม รองผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) พร้อมด้วย นางสาววราพรรณ ชัยชนะศิริ รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม ผู้บริหาร สวธ. และ สทอภ. ร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีฯ เมื่อวันที่ ๗ กันยายน ๒๕๖๕ เวลา ๐๙.๐๐ น. ณ อาคารสำนักพิจารณาภาพยนตร์และวีดิทัศน์ กรมส่งเสริมวัฒนธรรม

นางยุพา ทวีวัฒนะกิจบวร ปลัดกระทรวงวัฒนธรรม ประธานพิธีกล่าวว่า บันทึกข้อตกลงความร่วมมือ ระหว่างกรมส่งเสริมวัฒนธรรม กับ GISTDA ในครั้งนี้ เป็นการนำข้อมูลมรดกภูมิปัญญาทาง วัฒนธรรมของประเทศที่มีอยู่จำนวนมาก มาบริหารจัดการด้วยการประยุกต์ใช้เทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ ในหลายมิติ ทั้งมิติการเปลี่ยนแปลงทางกายภาพอันเป็นเหตุปัจจัยให้มรดกภูมิปัญญาฯ มีความเสี่ยงใกล้สูญหาย หรือยังคงปฏิบัติอยู่อย่างแพร่หลาย และมิติของพื้นที่ทั้งแหล่งเรียนรู้ทางวัฒนธรรม พื้นที่ปฏิบัติของมรดกภูมิปัญญาณฯ รวมถึงมิติของความยั่งยืนบนความหลากหลายทางวัฒนธรรม เช่น การใช้ข้อมูลจากภาพถ่ายดาวเทียมที่เป็นข้อมูลเชิงประจักษ์ มาเป็นฐานข้อมูลในการออกแบบ หรือ วางแผนพัฒนา ฟื้นฟู สืบสาน รักษาและต่อยอดต่อไป ตลอดจนร่วมกันสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมผ่านฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศ โดยมีเป้าหมายในการสร้างความตระหนักให้ชุมชน และทุกภาคส่วนได้เห็นคุณค่า สามารถดำเนินงานร่วมกัน และมีส่วนร่วมในกระบวนการสืบสาน พัฒนา ต่อยอดให้มีมูลค่าเพิ่มเป็น soft power เป็นพลังที่สร้างความยั่งยืนทางเศรษฐกิจให้ท้องถิ่นและประเทศ ต่อไป

ด้าน นางสาวลิปิการ์ กำลังชัย รองอธิบดีกรมส่งเสริมวัฒนธรรม (สวธ.) เปิดเผยว่า การลงนามบันทึกข้อตกลงความร่วมมือกับ สทอภ. หรือ GISTDA ฉบับนี้ ด้วยสวธ.มีภารกิจในการส่งเสริม อนุรักษ์ ฟื้นฟู พัฒนา ต่อยอด รวมถึงถ่ายทอดแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ให้ประชาชนได้ตระหนักถึงคุณค่าและความสำคัญของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของชาติ โดยที่ผ่านมามีการประกาศขึ้นทะเบียนมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมอย่างต่อเนื่อง และในปีงบประมาณที่ผ่านมา สวธ.ได้ริเริ่มดำเนินการรวบรวมและจัดทำข้อมูลเชิงพื้นที่ภูมิศาสตร์ เพื่อให้ข้อมูลเชิงพื้นที่มีจำนวนมากและกระจัดกระจายให้เป็นระบบ สามารถมองเห็นมิติของมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมผ่านข้อมูลแผนที่ เพื่อการวิเคราะห์ข้อมูลเบื้องต้น โดยเป็นการประยุกต์ใช้ศาสตร์สารสนเทศที่เน้นการบูรณาการเทคโนโลยีทางด้านการสำรวจ การทำแผนที่ และการวิเคราะห์ข้อมูลเชิงพื้นที่เข้าด้วยกัน

“ในขอบเขตความร่วมมือที่จะมีขึ้นตาม MOU นี้ สวธ.จะดำเนินการสนับสนุนข้อมูลด้านวิชาการ เช่น ข้อมูลสารัตถะมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมที่ได้รวบรวมไว้ และข้อมูลอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง ซึ่งอยู่ในความรับผิดชอบของ สวธ. และสามารถเผยแพร่ได้ให้แก่ สทอภ. ด้วยการเชื่อมต่อข้อมูลในรูปแบบต่าง ๆ เพื่อนำไปใช้ในการปกป้องคุ้มครองมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม ตามที่เห็นชอบร่วมกัน  ส่วน สทอภ. หรือ GISTDA จะสนับสนุนข้อมูลจากดาวเทียมและข้อมูลภูมิสารสนเทศที่อยู่ในคลัง (Archive) ซึ่งเป็นข้อมูลที่ใช้ภายใต้โครงการความร่วมมือเพื่อนำไปใช้ในการปฏิบัติภารกิจให้แก่ สวธ. ตามที่ทั้งสองฝ่ายเห็นชอบร่วมกัน เพื่อให้กลไกบริหารจัดการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมเชิงพื้นที่มีประสิทธิภาพ  และจะร่วมกันสร้างโครงสร้างพื้นฐานในการพัฒนาเศรษฐกิจวัฒนธรรมผ่านฐานข้อมูลภูมิสารสนเทศเพื่อแสดงลักษณะของพื้นที่ที่มีมรดกภูมิปัญญาฯ ของแต่ละชุมชน ท้องถิ่น ภูมิภาคในรูปแบบต่าง ๆ โดยมีเป้าหมายให้ชุมชนและภาคส่วนสามารถดำเนินงานร่วมกันอย่างมีส่วนร่วมได้ เพื่อลดความเสี่ยงที่มรดกฯ ของพื้นที่จะสูญหาย ให้พร้อมเป็นฐานข้อมูลสามารถนำไปออกแบบ พัฒนา ฟื้นฟู สืบสาน และต่อยอดต่อไป” นางสาวลิปิการ์ เผย

กองทัพเรือ ลงนาม MOU ม.บูรพา โครงการผลิตแพทย์เพิ่ม

น.ท.หญิง ชะรอยบุญ ศาสตรสุข โฆษกกรมแพทย์ทหารเรือ เปิดเผยว่า ในวันที่ 9 กันยายน 2565 เวลา 1000 - 1130 น.จะมีพิธีลงนามบันทึกความเข้าใจระหว่าง กองทัพเรือ กับ มหาวิทยาลัยบูรพา ว่าด้วยความร่วมมือตามโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย ณ ห้องประชุมภูหลวง หอประชุมโรงพยาบาลสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ กรมแพทย์ทหารเรือ 

โดยมี พลเรือโท ชลธร สุวรรณกิตติ เจ้ากรมแพทย์ทหารเรือ และ ดร.วัชรินทร์ กาสลัก อธิการบดีมหาวิทยาลัยบูรพา เป็นผู้ลงนาม มีวัตถุประสงค์เพื่อผลิตนักศึกษาแพทย์ตามโครงการผลิตแพทย์เพิ่มแห่งประเทศไทย และร่วมพัฒนาครุภัณฑ์ สิ่งสนับสนุนในการเรียนการสอน และองค์ความรู้ทางการแพทย์ เพื่อสอดคล้องกับความต้องการของท้องถิ่นและประชาชน โดย รพ.สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์เป็นโรงพยาบาลหลักของกองทัพเรือในพื้นที่สัตหีบ ให้การตรวจรักษาผู้ป่วยโดยแพทย์เฉพาะทางครบทุกสาขา สนับสนุนทางการแพทย์ ดูแลรับส่งผู้บาดเจ็บ เจ็บป่วยจากปฏิบัติการทางทหาร ทั้งในด้านการฝึกและในพื้นที่ปฏิบัติการ มีความพร้อมในการเป็นรพ.หลักในการจัดการเรียนการสอนหลักสูตรแพทยศาสตร์บัณฑิต

ชาวเน็ตมาเลย์ แขวะ!! นายกฯ อิสมาอิล นิยมใช้ของหรูหรา ทั้งที่ปชช. เจอมรสุมค่าครองชีพ

การแต่งกายของนายกรัฐมนตรีอิสมาอิล ซาบรี ยาค็อบ แห่งมาเลเซีย กลายเป็นประเด็นถกเถียงอยู่เสมอเกี่ยวกับเสื้อผ้าหรูหราราคาแพงที่ผู้นำรายนี้เลือกใส่ ล่าสุดมันโหมกระพือความเห็นต่างอีกครั้งบนสื่อสังคมออนไลน์ หลังพบเขาสวมรองเท้าราคาแพงกว่า 5,100 ริงกิต (ประมาณ 41,000 บาท) ในขณะที่ประชาชนในประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ

ในอดีตที่ผ่านมา อิสมาอิล มักถูกวิพากษ์วิจารณ์บ่อยครั้งเกี่ยวกับชุดที่เขาเลือกสวมใส่ ในขณะที่ผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์แสดงความผิดหวังที่นายกรัฐมนตรีรายนี้มักเลือกสวมเครื่องแต่งกายหรูราและมีราคาแพงมาก

เมื่อเร็วๆ นี้ อิสมาอิล พบปะกับ ลอว์เรนซ์ หว่อง รองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์ ที่เมืองปุตราจายา หลังจาก หว่อง เดินทางมาเยือนมาเลเซีย

อย่างไรก็ตาม กลับเป็นเรื่องอื่นที่ดึงดูดความสนใจของผู้คนบนสื่อสังคมออนไลน์ โดยชาวมาเลเซียตาดีบางส่วนสังเกตเห็นนายกรัฐมนตรีของพวกเขา สวมรองเท้าหนังยี่ห้อแอร์แมส ซึ่งระบุราคาบนเว็บไซต์ที่ 5,100 ริงกิต

หลังจากภาพถ่ายนี้ถูกเผยแพร่อย่างกว้างขวางบนสื่อสังคมออนไลน์ ชาวเน็ตหลายคนไม่รีรอที่จะโพสต์ประณามนายกรัฐมนตรีรายนี้ต่อเครื่องแต่งกายที่เขาสวมใส่ ผู้ใช้อินเตอร์เน็ตหลายคนแสดงความสงสัยว่าทำไมเขาถึงรู้สึกจำเป็นต้องสวมร้องเท้าที่มีราคาแพงเช่นนี้ ทั้งที่ในขณะเดียวกันรองนายกรัฐมนตรีของสิงคโปร์เอง ก็ไม่ได้รู้สึกว่าจำเป็นต้องแต่งกายหรูหราแต่อย่างใด

'บิ๊กป้อม' เพิ่ม 7 มาตรการ แก้น้ำท่วมกรุงเทพฯ ทุกหน่วยงานประสานกทม. เข้าช่วยเหลือปชช.

​เมื่อวันที่ 7 ก.ย. 65 ที่ทำเนียบรัฐบาล น.ส.ทิพานัน ศิริชนะ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี รักษาราชการแทนนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการประชุมกองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ห่วงใยพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบฝนตกหนัก ได้กำชับให้บูรณาการทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องภายใต้กองอำนวยการน้ำแห่งชาติ (กอนช.) ทำงานเชิงรุกตาม 13 มาตรการรับมือฤดูฝนที่ได้ประกาศไว้ก่อนหน้านี้อย่างเคร่งครัด

​น.ส.ทิพานัน กล่าวว่า พล.อ.ประวิตรยังมีข้อสั่งการเพิ่มเติมจาก 13 มาตรการเดิม ดังนี้ 

1.) ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ให้ผู้รับผิดชอบแต่ละหน่วยงานมอบหมายให้มีผู้ประสานงานติดตามกับกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะ เพื่อให้สามารถเข้าช่วยเหลือพี่น้องประชาชนได้ทันท่วงที 

2.) แก้ไขปัญหาสิ่งกีดขวางทางน้ำ โดยเร่งกำจัดหญ้าและวัชพืชบริเวณ คลองบางคูเวียง เขตทวีวัฒนา พร้อมประสานงานจังหวัดนนทบุรีเพื่อเปิดทางระบายน้ำให้ไหลได้สะดวก

พม. เป็นเจ้าภาพจัดประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสตรีของเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Women and Economy Forum)

วันนี้ 7 ก.ย. 65 เวลา 09.00 น. "นายจุติ ไกรฤกษ์ " รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เป็นประธานเปิดการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสตรีของเขตเศรษฐกิจเอเปค (APEC Women and Economy Forum) ภายใต้แนวคิด “Women’s Empowerment through the BCG Economy” การเสริมพลังสตรีในทางเศรษฐกิจผ่านแนวคิดเศรษฐกิจ BCG หรือ Bio - Circular - Green Economy ซึ่งกระทรวง พม. โดยกรมกิจการสตรีและสถาบันครอบครัว (สค.) เป็นเจ้าภาพจัดการประชุม ทั้งนี้ มีผู้เข้าร่วมประชุมระดับรัฐมนตรีจากกระทรวงหรือหน่วยงานด้านสตรีและเศรษฐกิจจากเขตเศรษฐกิจเอเปค และคณะผู้แทน ได้แก่ ออสเตรเลีย ปาปัวนิวกินี สิงคโปร์ และจีนไทเป เข้าร่วมประชุมแบบออนไซต์  ส่วนบรูไนดารุสซาลาม แคนาดา จีน อินโดนีเซีย เกาหลี มาเลเซีย เม็กซิโก เวียดนาม และรัฐเซีย เข้าร่วมประชุมรูปแบบออนไลน์  อีกทั้งชิลี ญี่ปุ่น นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ และสหรัฐอเมริกา เข้าร่วมประชุมแบบไฮบริด รวมถึงผู้นำระดับสูงของสำนักงานเลขาธิการเอเปค สภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปค Advisory Council – ABAC) และข้าราชการระดับสูงและภาคเอกชน รวมประมาณ 100 คน เข้าร่วมประชุม ณ True ICON Hall ชั้น 7 ศูนย์การค้าไอคอนสยาม กรุงเทพฯ  ซึ่งในครั้งนี้ "นางพัชรี อาระยฎกุล" ปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เข้าร่วมงานในครั้งนี้ด้วย

นายจุติ กล่าวว่า ในนามของรัฐบาลไทยและประชาชนชาวไทย ตนรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้มีโอกาสต้อนรับรัฐมนตรี หัวหน้าคณะเขตเศรษฐกิจ และผู้เข้าร่วมประชุมทุกท่าน สำหรับการประชุมระดับรัฐมนตรีด้านสตรีของเขตเศรษฐกิจเอเปคครั้งนี้ โดยมีเขตเศรษฐกิจ จำนวน 20 เขต ที่ลงทะเบียนเข้าร่วมการประชุม ในรูปแบบผสมผสาน (A hybrid format) ซึ่งมีผู้เข้าร่วมจำนวนทั้งสิ้น 137 คน ซึ่งตนขอขอบคุณรัฐมนตรี หัวหน้าคณะผู้แทน และผู้บริหาร เอเปค ที่เดินทางมากรุงเทพฯ เพื่อเข้าร่วมการประชุมในวันนี้ด้วยตัวเอง ซึ่งตนหวังว่าทุกท่านจะมีความสุขในช่วงระยะเวลาที่อยู่ในประเทศไทยและประทับใจกับการดูแลต้อนรับ ที่ทางรัฐบาลไทยตั้งใจเตรียมการไว้ให้เป็นอย่างดี ทั้งนี้ การประชุมครั้งนี้เป็นการประชุมที่ได้มาพบปะกันครั้งแรกหลังจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 นับเป็นการประชุมระหว่างประเทศที่มีความสำคัญที่รัฐบาลได้ให้ความสำคัญสำหรับการเสริมพลังและความก้าวหน้าของสตรีและความเท่าเทียมทางเพศในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ภายใต้แผนลา เซเรนา เพื่อสตรีและการเจริญเติบโตที่ครอบคลุม (พ.ศ. 2019 - 2030) วิสัยทัศน์ปุตราจายา 2040 แผนปฏิบัติการและเครื่องมือกลไกต่างๆ ที่เอเปคเห็นชอบร่วมกัน

คนน่าน ขอบคุณ ‘ลุงป้อม’ ทำตามสัญญา ช่วยแก้ไขสะพานชำรุดจาก ‘พายุมู่หลาน’

ชาวบ้าน ขอบคุณ ‘ลุงป้อม’ ทำตามสัญญา แก้ไขสะพานชำรุดจาก ‘พายุมู่หลาน’ จริงใจช่วยปชช. ภายหลังลงพื้นที่ จ.น่าน

เมื่อ 7 ก.ย. 65 พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ชาวบ้าน บ้านทรายทอง หมู่ 8 ต.บ่อ อ.เมืองน่าน จ.น่าน ได้ออกมากล่าวขอบคุณพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความช่วยเหลือ แก้ปัญหาเยียวยา จากผลกระทบของพายุ ‘มู่หลาน’ ที่ผ่านมา ซึ่งพล.อ.ประวิตร ได้เดินทางลงพื้นที่ จ.น่าน เมื่อ 22 ส.ค. 65 เพื่อตรวจเยี่ยมพร้อมให้กำลังใจชาวบ้านในพื้นที่ และแก้ปัญหาเร่งด่วนเกี่ยวกับเส้นทางการสัญจรที่ชาวบ้านใช้เป็นประจำทุกวัน โดยเฉพาะมีสะพานข้ามลำน้ำที่ชำรุด และอาจเกิดอันตรายได้หากไม่รีบแก้ไข

นายกฯ สั่ง 4 หน่วยงานพิจารณาข้อมูลการแบนบุหรี่ไฟฟ้า ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าย้ำต้องฟังเสียงประชาชน

ผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเฮ! หลังนายกฯ สั่งการให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข กระทรวงการคลัง และกรมสรรพสามิต ทบทวนประเด็นการห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้า รวมถึงมอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องระหว่างกัน

นายมาริษ กรัณยวัฒน์ ผู้แทนเครือข่ายผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า กลุ่มลาขาดควันยาสูบ “ECST” และแอดมินเพจ “บุหรี่ไฟฟ้าคืออะไร” ซึ่งมีผู้ติดตามมากกว่า 1 แสนรายเผยภายหลังได้รับหนังสือตอบกลับจากสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ลงวันที่ 29 สิงหาคม 2565 ว่า “ขอขอบคุณนายกรัฐมนตรี ที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพของประชาชนคนไทย โดยเฉพาะผู้สูบบุหรี่กว่า 9.9 ล้านคนที่อาจต้องเสียชีวิตถึงปีละกว่า 7 หมื่นคนเพราะควันจากการเผาไหม้ของการสูบบุหรี่ และไม่ทอดทิ้งผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าซึ่งอาจมีจำนวนมากกว่า 5 แสนคนในปัจจุบัน”

“จดหมายสั่งการจากนายกรัฐมนตรีฉบับนี้เป็นสัญญาณอันดีที่แสดงให้เห็นถึงการเปิดรับฟังเสียงของประชาชนอย่างรอบด้านของท่านนายกฯ มากกว่ารับฟังข้อมูลจากนักวิชาการและแพทย์บางกลุ่มฝ่ายเดียว เพราะที่ผ่านมา การแบนบุหรี่ไฟฟ้าเกิดจากการผลักดันของเอ็นจีโอและแพทย์ที่รับทุน จาก สสส. โดยไม่ได้มีการทบทวนผลกระทบและประสิทธิภาพของการบังคับใช้กฎหมาย ทั้งที่ประเทศไทยมีการแบนบุหรี่ไฟฟ้ามาแล้ว 8 ปี แต่คนใช้เพิ่มมากขึ้นกว่า 600% แถมรัฐบาลยังไม่สามารถป้องกันการเข้าถึงของเยาวชนได้จริง ไม่สามารถเก็บภาษีและควบคุมคุณภาพและความปลอดภัยให้ประชาชนได้ ในขณะที่การลักลอบซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ก็มากขึ้นและยังทำให้เกิดปัญหาการจับกุมรีดไถและการคอรัปชั่น แสดงถึงความล้มเหลวของมาตรการแบนบุหรี่ไฟฟ้า”

รายละเอียดในหนังสือฉบับดังกล่าวระบุว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี รับทราบข้อมูลและได้สั่งการเรื่องดังกล่าว หลังจากก่อนหน้านี้มีกลุ่มแพทย์นำเสนอข้อมูลแต่เพียงด้านเดียวต่อท่านนายกฯ เพื่อให้คงการแบนบุหรี่ไฟฟ้าไว้ โดยมีรายละเอียด ดังนี้
1. ส่งเรื่องให้กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงสาธารณสุข และกรมสรรพสามิต กระทรวงการคลัง พิจารณาและรายงานผลกราบเรียนนายกรัฐมนตรี
2. มอบหมายสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคเป็นหน่วยงานประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงสมาพันธ์เครือข่ายแห่งชาติเพื่อสังคมไทยปลอดบุหรี่ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ และผู้แทนกลุ่ม ECST เพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลและสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องระหว่างกัน

บิ๊กใหม่นำทัพบูรพา 491 และกองปราบ บุกจับผู้ร่วมขบวนการก่อเหตุยิง ทนายมานพ อดีตผู้สมัคร ส.ส.เขต 3 จ.ระยอง

เรื่องเดิม เมื่อวันที่ 15 ส.ค. 65 เวลา 19.07 น. ได้เกิดเหตุ คนร้าย “บุกเดี่ยว” ใช้อาวุธปืนลูกโม่ ขนาด .38 จ่อยิงใส่ นายมานพ เสถียรเขตต์ จำนวน 3 นัด จนเสียชีวิต เหตุเกิดที่ปั๊มน้ำมัน ช.อำนวยทรัพย์ปิโตเลี่ยม เลขที่ 111 ม.4 ต.บ้านค่าย  อ.บ้านค่าย จ.ระยอง พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. จึงได้สั่งการให้ พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร. นำทีมสืบสวนสอบสวน ตามคำสั่ง ตร.ที่ 390/2565 ลงพื้นที่สืบสวนสอบสวน ร่วมกับ บก.ป.บช.ก. บก.สส.ภ.2, บก.สส.ภ.จว.ระยอง, สภ.บ้านค่าย จ.ระยอง เพื่อคลี่คลายคดีนี้ ต่อมา เมื่อวันที่ 30 ส.ค. 65 พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.ได้นำกำลัง ชุดสืบสวนตามคำสั่ง ตร.เปิดปฏิบัติการ บุกจับกุมตัว นายปิติ นิชรัตน์ (มือยิง) ที่ปั๊มน้ำมันคอลเทกซ์ แขวงลาดยาว เขตจตุจักร จังหวัดกรุงเทพ และ จับกุมตัวนายนิติพนธ์ ฉ่ำชื่น (คนพาหลบหนี) ที่ริมถนนภายในหมู่บ้าน หน้าฌาปนสถานบ้านถิ่น ต.บ้านถิ่น อ.เมือง จ.แพร่ นั้น

ต่อมา พล.ต.อ.สุชาติ ธีระสวัสดิ์ รอง ผบ.ตร.ได้ขยายผลจากการจับกุมและนำกำลัง บก.สส.ภ.2 , บก.สส.ภ.จว.ระยอง , กก.2 บก.ป. ปิดล้อมตรวจค้นสถานที่ต้องสงสัยกว่า 8 แห่ง พบพยานหลักฐานที่เกี่ยวข้องในคดีหลายรายการ โดยได้พบพยานหลักฐานชิ้นสำคัญคือ ปืนลูกโม่ ยี่ห้อ สมิทแอนด์เวสสัน สีดำ ขนาด 38 จำนวน 1 กระบอก ที่บ้านเลขที่ 112/45 ม.1 ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง ซึ่งกองพิสูจน์หลักฐานได้ทำการตรวจเปรียบเทียบปืนกระบอกดังกล่าวกับหัวกระสุนที่อยู่ในที่เกิดเหตุแล้วยืนยันว่า “เป็นปืนที่ใช้ก่อเหตุ” ซึ่งปรากฏพยานหลักฐานยืนยันถึง นายเสถียร บุญกล้า อายุ 52 ปี ว่าเป็นผู้จัดหาและสั่งซื้อปืนกระบอกนี้ โดยซื้อมาในช่วงก่อนเกิดเหตุเพียง 10 วัน 

และพล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.ภ.2 พล.ต.ท.จิรภพ ภูริเดช ผบช.ก. จึงเร่งสั่งการให้ พ.ต.อ.เอนก เตาสุภาพ รอง ผบก.ป. และคณะพนักงานสอบสวน รวบรวมพยานหลักฐานขออนุมัติศาลอาญาเพื่อออกหมายจับผู้ต้องหาศาลได้อนุมัติหมายจับนายเสถียร บุญกล้า อายุ 52 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับศาลอาญาที่ 1850/2565 ลงวันที่ 6 ก.ย. 65 ข้อหา “เป็นผู้สนับสนุนให้ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน

'ผอ.ศอ.ปส.ตร.' สั่งเร่งสืบสวนขยายผลเช็คบิลขบวนค้ายาบ้า หลังจาก ตำรวจ สภ.สบปราบรวบคาด่าน 3 ล้านเม็ด

เมื่อวันที่ 7 กันยายน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ(ตร.) พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. และผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ผอ.ศอ.ปส.ตร.) เปิดเผยว่าได้รับรายงานจาก พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย ผบช.ภ.5 และ พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส. ว่า เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 6 ก.ย.2565 ที่ผ่าน เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.สบปราบ จว.ลำปาง ได้จับกุม นายสมชาย มารุ่งเรือง อายุ 40 ปี อยู่ 34/57 ซอยประชาอุทิศ 13 แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร

พร้อมของกลางยาบ้า ยาบ้า จำนวน 15 กระสอบ รวม 3,000,000 เม็ด ซุกซ่อนในรถกระบะโตโยต้า สีเหลือง ทะเบียน ตธ 7950 กทม.จับกุมได้ที่ด่านตรวจสบปราบ ม.15  โดยข้อหามียาเสพติดให้โทษประเภท 1 (เมทแอมเฟตามีนหรือยาบ้า) โดยการมีไว้เพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาตเพื่อการค้า และเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน

โดยจากการสอบสวนผู้ต้องหาเบื้องต้นทราบว่ารับยาบ้าจำนวนดังกล่าวมาจาก จ.พะเยา นำไปส่งที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้สั่งการให้ บช.ปส.ให้ร่วมกับ ภ.5 เร่งสืบสวนขยายผลถึง ผู้เกี่ยวข้องทั้งขบวนการมาดำเนินคดี และรายงานความคืบหน้าให้ทราบผล รวมถึงการตรวจสอบทรัพย์ ซึ่งถ้าหากพบว่าได้มาจากการค้ายาเสพติด ก็จะเสนอให้ต่อคณะกรรมการฟอกเงินฯเพื่อยึดทรัพย์ต่อไป "ผอ.ศอ.ปส.ตร."กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top