Sunday, 15 June 2025
LITE

แลนด์มาร์กใหม่ย่าน ‘บางนา’ เพื่อ ‘คนรักกีฬา-ความบันเทิง’ ใต้ประสบการณ์ ‘ตีกอล์ฟ’ สุดคูล!! พ่วง ‘PLAY-FOOD-FUN’

หลังเลิกงานเมื่อไร สมงสมองก็ไปหมดทุกที งานนี้เลยขอผ่อนความล้าล่าความฟินไปกับกิจกรรมทำคลายเครียดแนวๆ สักหน่อย!! โดยวันนี้ THE STATES TIMES จะขอพามาแนะนำกับแลนด์มาร์กแห่งใหม่ย่านบางนา ที่สามารถมาทำกิจกรรม ทั้งออกกำลังกายชิลๆ หรือจะแวะมาแฮงค์เอาท์เบาๆ กับกลุ่มเพื่อนในที่เดียวก็ไม่ติดที่ ‘Topgolf Megacity’ สนามไดร์ฟกอล์ฟ ที่จัดเต็มทั้ง แสง – สี- เสียง – เทคโนโลยี และชูจุดขายเรื่องอาหารและเครื่องดื่มแบบเต็มพิกัด

ที่นี่เป็นแหล่งความบันเทิงชั้นนำที่รวบรวมความสนุกแบบครบครัน ทั้งกิจกรรมตีกอล์ฟที่มีให้เลือกเล่นหลากหลายรูปแบบ พร้อมทั้งบาร์นั่งชิล และอาหารที่พร้อมเสิร์ฟให้แก่ผู้ที่มาใช้บริการ ในคอนเซปต์ ‘PLAY-FOOD-FUN’ เรียกได้ว่ามาที่นี่ ครบ จบ ในที่เดียวเลยจริงๆ...

สำหรับ ‘Topgolf Megacity’ มีไฮไลต์ที่คนรักกีฬาตีกอล์ฟจะเอ็นจอยได้สุดๆ ภายใต้ความพิเศษของที่นี้นั้น คือ เขามีเกม กีฬา ที่สามารถเล่นได้ทุกเพศทุกวัย ซึ่ง Topgolf Megacity นั้น สร้างอยู่ภายใน Megacity โครงการมิกซ์ยูสที่มีพื้นที่กว่า 400 ไร่ เปิดให้บริการมาแล้วกว่า 70 แห่ง ใน 6 ประเทศ ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, สหราชอาณาจักร, ออสเตรเลีย, เม็กซิโก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ โดยกรุงเทพฯ นั้นถือเป็นแห่งแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เปิดให้บริการเลย!!

โดยความพิเศษของที่นี่นั้น คือการมี ฮิตติ้งเบย์ มากถึง 102 เบย์ แต่ละเบย์จะมีที่นั่งรองรับ อำนวยความสะดวกไว้แก่ผู้ที่มาใช้บริการ มีสนามพัตต์กอล์ฟ 18 หลุมที่เขาเคลมมาเลยว่า ‘ดีที่สุดในกรุงเทพฯ’ และไม่ต้องกังวลในเรื่องของพื้นที่ว่าถ้าไปแล้วจะพอไหม แออัดหรือเปล่า? เรื่องนี้ตัดออกไปได้เลย เพราะเขาเปิดให้บริการทั้งหมด 4 ชั้น ซึ่งพื้นที่แต่ละชั้นนั้นก็กว้างขวางพอสมควรเลย

และยังไม่หมดเพียงเท่านี้ เพราะสนามกอล์ฟแห่งนี้ เขาใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยีแบบใหม่ โดยใช้ ‘ลูกกอล์ฟฝังไมโครชิป’ ทำให้ผู้เล่นสามารถทำคะแนนได้โดยตีลูกกอล์ฟไปยังพื้นเป้าขนาดใหญ่ ที่มี ‘Toptracer’ และ ‘HDTV’ รอบสนามกว่า 300 จอ คอยติดตามความเคลื่อนไหวในการตีของเราและบอกคะแนนในแต่ละรอบให้เราค่ะ

ยิ่งไปกว่านั้นใครที่เบื่อการตีกอล์ฟแบบเก่าๆ ที่นี่ก็มีการตีกอล์ฟผ่านสนามเสมือนจริงด้วย โดยจะมีการจำลองเป็นรูปแบบของเกมให้เลือกในการตีกอล์ฟได้ถึง 14 เกม เรียกได้ว่าคนเล่นเป็นหรือเล่นไม่เป็นก็เอ็นจอยได้ทั้งหมด!!

ไม่เพียงเท่านี้ ที่นี่ยังมีไฮไลต์อย่าง PRIVATE EVENT SPACES, ROOFTOP BAR, WINE & WHISKEY LOUNGE, PATIO INDOOR & OUTDOOR RESTAURANT ไว้ให้บริการเหมาะกับทุกโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการพบปะสังสรรค์ ปาร์ตี้ งานเฉลิมฉลอง การพูดคุยทางธุรกิจ อีกด้วย

ในส่วนของค่าบริการ ถ้าเป็นวันอาทิตย์-วันพฤหัสบดี เริ่มต้นที่ 550 บาทต่อชั่วโมงต่อเบย์ วันศุกร์-เสาร์ เริ่มต้นที่ 650 บาทต่อชั่วโมงต่อเบย์ สามารถรองรับผู้เล่นได้สูงสุดถึง 6 คนเลย หากไปกับกลุ่มเพื่อนหารกันแล้วตกแค่คนละ 100 ต้นๆเท่านั้นเอง!!

ขอเสริมกันอีกนิด สำหรับผู้ที่มาใช้บริการครั้งแรก มีค่าลงทะเบียนแรกเข้าอยู่ที่ 150 บาท

เรียกได้ว่าที่นี่ ‘ลบภาพจำ’ ของการตีกอล์ฟแบบเดิมๆไปเลย ยกให้เป็นแลนด์มาร์กใหม่สำหรับคนรักกีฬาและความบันเทิงที่ควรค่าแก่การมาลองเลยทีเดียว...

สำหรับเวลาให้บริการ : อาทิตย์-พฤหัสบดี 09:00-23:00 น.
ศุกร์-เสาร์ 09:00-24:00 น.

พิกัดการเดินทาง: https://maps.app.goo.gl/EF3rX57uoM9DRg4AA?g_st=ic

ติดต่อสอบถาม: 0-2114-1289 (แนะนำให้โทรมาจองก่อน)
หรือสามารถจองผ่านเว็บไซต์ได้ที่: www.topgolfthailand.com

ขอบคุณรูปภาพสวยๆจาก: https://topgolfthailand.com/about/

ส่องนิสัย ‘ลิซ่า’ ขณะครองบัลลังก์แบรนด์แอมฯ ‘CELINE’ ไม่เคยใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่มีขอ ‘ส่วนลด-สิทธิพิเศษ’

(10 พ.ย.66) จากเพจ 'Lisadailynews - Ldn0327' เผยเบื้องหลังสุดทึ่ง สิ่งที่ลิซ่าทำกับ CELINE แม้จะเป็น แบรนด์แอมบาสเดอร์ ระบุว่า...

มีรายงานถึงพฤติกรรมน่าทึ่งของลิซ่า BLACKPINK ว่า ตั้งแต่เธอรับหน้าที่เป็นแอมบาสเดอร์ของ CELINE ลิซ่าแทบไม่เคยใช้ประโยชน์จากตำแหน่งที่เธอมีเลย

โดยในโพสต์ล่าสุด OP แบ่งปันว่า...แม้ว่าลิซ่าจะสามารถใช้สิทธิพิเศษของแอมบาสเดอร์ได้อย่างง่ายดายซึ่งรวมถึงส่วนลดมากมายสําหรับสินค้า แต่ลิซ่ากลับเลือกที่จะไม่ทํา

[CELINE] ให้สิ่งของแก่เธอ พีอาร์ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ให้เธอทุกปี แต่เธอกลับยังจ่ายเงินของตัวเองซื้อของและเธอซื้อเป็นจำนวนมากทุกครั้ง

เธอใช้บัตรเครดิตส่วนตัว แม้ว่าบริษัท มีการเสนอส่วนลด 40% หรือ 30% ของแอมบาสเดอร์ให้กับเธอแต่ลิซ่าก็ไม่ได้ใช้มัน

นี่มันแสดงให้เห็นว่า ‘ลิซ่า’ ร่ำรวยมากจริงๆ

เมื่อทวีตดังกล่าวถูกแชร์มันได้รับความสนใจในหมู่ BLINKs ทันที

‘แม่ฮ่องสอน’ ชู!! Soft Power รักษ์โลก กับ ‘ประเพณีลอยกระทงสวรรค์ไร้โฟม’ พร้อมชวนเสริมแรงบุญ ในงาน ‘นมัสการพระธาตุดอยกองมู’ 23 - 27 พ.ย. 66

(9 พ.ย. 66) พระสุมณฑ์ศาสนกิตติ์ เจ้าคณะจังหวัดแม่ฮ่องสอน เจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยกองมู กล่าวว่า ในปี 2566 วัดพระธาตุดอยกองมู ร่วมกับคณะศรัทธา ประชาชน และหน่วยงานต่างๆ ร่วมกันจัดงาน นมัสการพระธาตุดอยกองมู กำหนดการระหว่างวันที่ 23 - 27 พฤศจิกายน 2566 นี้

สำหรับประวัติและความเป็นมาของงานประเพณีนมัสการพระธาตุดอยกองมู ได้ปฏิบัติสืบทอดมาตั้งแต่ประมาณปี 2512 เป็นต้นมา โดยมีกิจกรรมต่างๆ เช่น การลอยกระทงสวรรค์ ซึ่งตรงกับประเพณีลอยกระทง ในวันขึ้น 11-15 ค่ำของทุกปี เนื่องด้วยวัดพระธาตุดอยกองมูนั้น อยู่ห่างจากแม่น้ำ ลำคลอง เพราะตั้งอยู่บนภูเขา หลวงพ่อพระครูอนุสารศาสนกรณ์ อดีตเจ้าอาวาสวัดพระธาตุดอยกองมูสมัยนั้น ได้ร่วมกับคณะศรัทธา กรรมการวัด ญาติโยม จัดงานลอยกระทงสวรรค์ขึ้น เพื่อลอยทุกข์โศก โรคภัย สิ่งไม่ดีไม่งาม ไม่ปรารถนา ในหนึ่งปีที่ผ่านมาให้ไปกับกระทงสวรรค์ และเพื่อเป็นการขอขมากับท้องฟ้า สรรพสิ่ง สรรพสัตว์ อันเป็นสิ่งที่มีคุณต่อเราท่านทั้งหลาย ขอบคุณในสิ่งต่าง ๆ ขอบคุณเทวดาฟ้าดิน โดยการลอยกระทงขึ้นไปบนท้องฟ้า โดยได้จัดงานประเพณีนี้มาเป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว

สำหรับในปีนี้ นายเชษฐา โมสิกรัตน์ ผู้ว่าราชการจังหวัดแม่ฮ่องสอน ได้มีดำริให้ "จัดงานลอยกระทงสวรรค์ไร้โฟม สืบสานวัฒนธรรม ใส่ใจสิ่งแวดล้อม"  โดยใช้วัสดุธรรมชาติ นอกจากนั้นยังมีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจ เช่น การบูชาธาตุทั้ง 4 การตักบาตรเท่าอายุ การละเล่น การแสดงของชุมชน และเด็กนักเรียน มีดนตรี และลิเกไทใหญ่ (จ้าดไต) การประกวดดอกไม้ไฟ การประกวดร้องเพลง การประกวดทำกระทงจากใบตอง และวัสดุธรรมชาติ การประกวดการทำก๊อกซอมต่อ และการจัดนิทรรศการพระธาตุดอยกองมู พระธาตุศักดิ์สิทธิ์แห่งเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นต้น

ที่พิเศษในปีนี้ มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ได้ร่วมสนับสนุนการจัดงาน "ปอยเหลิน 12 เดินขึ้นพระธาตุดอยกองมู" ตามกำหนดการดังนี้

วันที่ 25 พฤศจิกายน 2566 
เวลา 09.00 น.เป็นต้นไป จัดทำผ้าห่มองค์พระธาตุดอยกองมู (ผ้าส่างกานห่มกองมู) และประดิษฐ์โคมไฟ เพื่อบูชาพระธาตุ ณ สำนักงานเทศบาลเมืองแม่ฮ่องสอน เชิญร่วมจารึกชื่อ-สกุล และคำอธิษฐานบนผืนผ้าห่มองค์พระธาตุเพื่อความเป็นสิริมงคล

วันที่ 26 พฤศจิกายน 2566 
เวลา 17.00 น.ตั้งขบวนแห่เครื่องสักการะพระธาตุ ผ้าห่มองค์พระธาตุ ( ผ้าส่างกานห่มกองมู ) และโคมไฟบูชาพระธาตุ  
เวลา 17.30 น. เคลื่อนขบวนแห่ไปยังวัดพระธาตุดอยกองมู โดยขึ้นทางบันไดนาค
เวลา 19.00 น. ถวายโคมไฟบูชาพระธาตุดอยกองมู และเชิญเที่ยวงานนมัสการพระธาตุดอยกองมู ณ ลานพระธาตุ

วันที่ 27 พฤศจิกายน 2566 
เวลา 08.49 น. พิธีถวายเครื่องสักการะพระธาตุและผ้าห่มองค์พระธาตุดอยกองมู ( ผ้าส่างกานห่มกองมู )
เวลา 09.30 น.ถวายจตุปัจจัยไทยทาน แก่หัววัดต่าง ๆ เนื่องในงานนมัสการพระธาตุดอยกองมู ณ อาคารผู้สูงอายุ วัดพระธาตุดอยกองมู

10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 ‘ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์’ กลับคืนสู่ประเทศไทย หลังหายกว่า 30 ปี

วันนี้ เมื่อ 35 ปีก่อน ‘ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์’ ปราสาทหินพนมรุ้ง ที่หายไปกว่า 30 ปี ถูกส่งคืนสู่ประเทศไทย หลังการเรียกร้องขอคืนจากสถาบันศิลปะแห่งชิคาโก สหรัฐอเมริกา

ทับหลังนารายณ์บรรทมสินธุ์ โบราณวัตถุสุดล้ำค่า ของประเทศไทย ได้หายไปจากปราสาทหินพนมรุ้ง นานหลายสิบปี โดยสันนิษฐานว่าถูกโจรกรรมไปในช่วงสงครามเวียดนาม ประมาณปี พ.ศ. 2507-2508 ทางกรมศิลปากรในฐานะผู้ดูแลจะได้พยายามค้นหา

กระทั่งวันที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2508 ได้มีรายงานว่ามีการพบชิ้นส่วนด้านซ้ายที่ร้านค้าของเก่า 'Capital Antique' แถวราชประสงค์ กรุงเทพฯ จึงยึดไว้ แต่ก็ไม่พบชิ้นส่วนที่เหลือ

ภายหลังมีคนไปพบ ถูกนำไปจัดแสดงอยู่ที่สถาบันศิลปะชิคาโก ในรัฐอิลลินอยส์ของสหรัฐอเมริกา 

จากนั้น รัฐบาลไทยได้ทำจดหมายขอคืนสองครั้งแต่ไม่สำเร็จ จนชาวไทยในชิคาโก้ได้รวมตัวกันเป็นคณะกรรมการรณรงค์กรณีทับหลังฯ รวบรวมทุนและดำเนินการกดดันด้านสื่อมวลชนจนได้รับการส่งคืนโดยไม่มีเงื่อนไข และส่งกลับมาถึงประเทศไทย เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2531 หลังถูกโจรกรรมไปจากประเทศไทยนานกว่า 30 ปี

‘อาร์ต พศุตม์’ เล่าชีวิตวัยเด็ก รายล้อมด้วยอบายมุข แต่เพราะฟังคำสอนพ่อแม่และดิ้นรนชีวิตจนมีทุกวันนี้

(9 พ.ย.66) ‘อาร์ต-พศุตม์ บานแย้ม’ พระเอกหนุ่มหล่อซิกซ์แพ็กแน่น ที่ช่วงนี้เนื้อหอมมากและกำลังมีกระแสเรื่องความรัก ล่าสุดมาสัมภาษณ์แบบเปิดใจในรายการ WOODY FM ถึงเรื่องราวชีวิตวัยเด็กที่เคยโดนแบ่งชั้นวรรณะจากญาติพี่น้อง จนมีปมด้อยกลายเป็นเด็กเกเรแบบสุดๆ พร้อมทั้งเล่าถึงการมูเตลูกับตัวเอง เผยตอนนี้ยังไม่ได้คิดเรื่องการแต่งงาน หรือหากมีครอบครัวก็คงจะไม่มีลูก ว่า…

>> คุณโตมาในครอบครัวพร้อมหน้าพร้อมตา?

อาร์ต : อบอุ่นมาก อบอุ่นจนร้อน จนบางทีคิดว่าอบอุ่นเกินไป ผมเหมือนไข่ในหินจากเด็กจนถึง ม.1 ถ้าเข้าบ้านเกิน 6 โมงเย็นนี่คือโดนตีแล้ว ทำอะไรผิดก็แล้วแต่จะโดนตียับ ทั้งพ่อและแม่ แต่ผมชอบ จากบทเรียนพวกนี้มันเลยทำให้ผมเป็นคนแบบนี้ กลับไปย้อนวัยเด็กก็คือตอนกลับไปอยู่ที่มหาชัยคือจุดเปลี่ยนชีวิตสุดๆ จากคนเคยดีเปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเท้า

>> คุณพูดถึงตัวคุณเอง?

อาร์ต : ไม่ครับ คนรอบข้างผมกำลังพูดถึงการแบ่งวรรณะของคน จากญาติตัวเอง มาอยู่บ้านญาติสิ เราเคยอยู่บ้านที่มีพื้นที่ 1 ไร่ ให้เรามาอยู่ห้องพื้น 3 เมตรคูณ 3 เมตรแล้วอยู่ 4 คน เด็กๆก็ไม่ได้คิดอะไรก็นอนได้ก็โอเค แต่พอเริ่ม 3-4 เดือนก็เริ่มเหมือนไม่ให้นอนทุบห้องทิ้ง พี่ชายผมต้องไปนอนระเบียงบ้าน นอนกางมุ้งคือฝนสาดก็โดน พ่อแม่ได้ที่จากญาติในบริเวณมหาชัยได้มาห้องขนาด 3 เมตรคูณ 6 เมตร ตู้เสื้อผ้าแบ่งกลาง แล้วมหาชัยมันมีน้ำขึ้นน้ำลง น้ำขึ้นก็นอนไม่ได้ต้องตื่นวิดน้ำ ฝนตกก็นอนไม่ได้ น้ำก็ไหลลงตามผนังลงมา ก็เลยเป็นสาเหตุให้ไม่อยากกลับบ้าน ไปนอนบ้านเพื่อน

>> ที่คุณบอกว่าครอบครัวมีการแบ่งชนชั้นคือแบ่งยังไง คุณรู้ได้ยังไง แล้วเขามาทุบห้องเพราะอะไร พ่อแม่ไม่เล่าให้ฟัง?

อาร์ต : ไม่มีเหตุผล พ่อเป็นคนไม่พูด พ่อเขาเป็นคนรักพี่รักน้อง เขารู้ในจุดที่เขายืนตอนนี้คือพลาดแล้วที่กลับไปอยู่ตรงนั้น แต่ด้วยช่วงนั้นฟองสบู่แตก งานก็ไม่มี ญาติก็เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเท้าเลย เรียกพ่อมาคุยบอกเฮียอายุขนาดนี้แล้วยังไม่มีอะไรเป็นของตัวเองเลยนะ เราฟังแล้วแบบไม่โอเค จนเราเริ่มโตขึ้นในสังคมที่แบบเรารู้ว่าโดนแบ่งชนชั้นวรรณะแล้ว เราไม่มีตังค์ตั้งแต่เด็ก เริ่มเที่ยว เริ่มเกเร เริ่มเป็นหัวโจก เริ่มแข่งมอเตอร์ไซค์ เพื่อเอามากลบปมด้อยของตัวเอง พยายามสร้างตัวตนขึ้นมา แต่อะไรที่ติดคุกไม่ทำ ผมจะเป็นกลุ่มที่เลวแต่มีคุณธรรม

>> ความคิดตรรกะของเด็กคนหนึ่งที่อยู่ล้อมรอบด้วยอบายมุขมากมาย มันก็ต้องมาจากการเฝ้าสอนของผู้ใหญ่?

อาร์ต : ใช่ ย้อนกลับไปตอนแรกที่ผมบอกว่าผมชอบนะ ที่พ่อแม่ตี ผมเคยเห็นตอนอยู่บางลำพู พ่อแม่เขาจะรับเลี้ยงเด็กคุก ที่มาทำงานกับพ่อก็คือเด็กคุกทั้งนั้น ผมเคยเห็นแม้กระทั่งปักเฮโรอีนที่แขนแล้วก็ฟุบลงไปเช้ามาก็อยู่ท่านี้ตายแล้ว ผมเคยไปเล่าในรายการหนึ่งว่าผมเคยเห็นยาไอซ์ก้อนขนาดใหญ่ คนหาว่าผมขี้โม้ แล้วแต่เลย ผมไม่ได้แคร์คอมเมนต์โซเชียล ไม่เชื่อไม่เป็นไรแต่ผมรู้ว่าผมไม่ได้โกหก ผมอยากเป็นแสงสว่างให้คนที่เขาคิดว่าผมไม่ได้โกหก

>> ทำไมเกิดขึ้นบ่อยในชีวิต ที่คุณทำแล้วคนหาว่าคุณโกหก?

อาร์ต : มันเป็นเรื่องที่เหนือธรรมชาติ อย่างเช่นตบปืน พี่จะเชื่อไหมว่าคนตบปืนได้จริงๆ แล้วลั่นข้างหูจริงๆ พี่เชื่อไหม

>> พี่เชื่อว่าทุกอย่างเกิดขึ้นได้บนโลกนี้?

อาร์ต : ใช่ แล้วผมก็บอกทุกคนว่าอย่าทำแบบที่ผมทำ ผมเคยโดนเอาปืนจ่อหัวจริงๆ แล้วผมกระชากลงพื้น มีพยานเห็นประมาณ 13-14 คน แล้วพยานคนหนึ่งเจ้าของเรื่องเป็นข้าราชการอยู่ที่สระบุรี คนนี้ตัวต้นเรื่อง

>> ทุกวันนี้ทราบมาว่าการเดินทางของคุณไปตามที่ต่างๆ มันมีความหมายมากในชีวิต เพราะถ้าเกิดว่าได้มีโอกาสไปกราบไหว้หรือว่าไปมูเตลู เล่าให้ฟังหน่อยว่าตอนนี้ไปในทิศทางไหน?

อาร์ต : ก่อนหน้านี้ 15 ปี ไหว้ทุกที่ ทุกคนลงกระหม่อมได้หมด แล้วผมรู้สึกว่าชีวิตสับสน แล้วผมก็ไปเจอคนหนึ่งเขาก็บอกว่า อาร์ตรู้ไหมว่าจริงๆ การไปมูหลายๆ ที่มันไม่ได้ดี มันเหมือนสีขาว สีดำ สีแดง สีเหลือง มาปนเปกัน จนไม่รู้เลยมันมีสีอะไร อาร์ตควรจะมีคนที่นับถือแค่ 1 คน หรือ 2 คน หรือเป็นพระอาจารย์ ตอนนี้ผมมีพระอาจารย์อยู่ 2 คน คือหลวงพ่อวราห์ กับ หลวงพ่อแป๊ะ วัดสว่างอารมณ์ ซึ่ง 2 องค์นี้ท่านก็เป็นเพื่อนกัน แต่ตอนนี้จะชอบมูกับตัวเอง เช่น นั่งสมาธิขอพรกับตัวเอง ไม่ได้เห็นการขอพรเป็นธุรกิจถ้าได้แล้วจะทำนะ ไม่ทำเลยสวดมนต์ให้คนข้างในเราแข็งแรง ให้เขามีพลัง อฐิษฐานเมตตาจิตต่างๆ นาๆ สร้างกำแพงในตัวเราขึ้นมาเยอะๆ สูงๆ ให้เขามีพลังให้เขาช่วยเราได้ อันนี้ผมว่าตั้งแต่ทำมาเวิร์กสุด แล้วแต่วิจารณญาณคนนะ บางคนก็เชื่อว่าจะมีเทพคุ้มครองตัวเองอยู่แล้ว แต่ถ้าเทพคุ้มครองตัวเราเขาไม่แข็งแรง ก็จะมีหลายคนบอกว่าในเมื่อถ้าเทพศักดิ์สิทธิ์จริงๆ เขาจะมาพึ่งพาอาศัยมนุษย์ทำไม เขาบอกว่าเทพจริง ๆ ไม่สามารถเพิ่มบุญให้ตัวเองได้ ต้องเป็นการที่คนทำให้ แต่เทพจะมาคอยช่วยเหลือเรา ถ้าเราทำเทพในตัวเราให้แข็งแรง เขาก็จะทำให้พลังในตัวเรามีออร่า ผมนั่งสวดมนต์ให้ตัวเอง ผมขออยู่ 2 อย่าง มีสง่า มีบารมี ตอนนี้ผมหมั่นเพียรทำมาประมาณ 8-9 ปีแล้ว

 >> ไม่คิดเรื่องแต่งงาน?

อาร์ต : ไม่มีเลย ไม่มีในหัวเลย ตอนนี้การเลี้ยงเด็ก 1 คนเป็นเรื่องยากมาก แต่ถ้ามีครอบครัวโอกาสมีได้ แต่ถ้ามีลูกคงจะไม่มีแล้ว มันไม่ได้เหมือนยุคที่เราโตมา ที่เด็กจะอยู่ในกรอบของครอบครัว ตอนนี้เลี้ยงเด็ก 1 คน ต้องมีโทรศัพท์ให้เขาแล้ว 1 เครื่อง แล้วในโทรศัพท์มันจะไม่อยู่ในกรอบเราเลย ที่เราจะแบบคุมมันได้ จริงๆ ผมเป็นคนดุนะ เป็นคนค่อนข้างเนี้ยบแต่ใจดี แต่จะพูดบอกหรือห้ามอะไร 2-3 ครั้งแล้วจะไม่พูดอะไรอีก แต่ถ้าเป็นลูกเราไม่ได้ ก็จะพูดอยู่นั่นละ แล้วก็ถ้ามีลูกผู้ชายคงจะติดคุกถ้ามีใครมาทำร้ายลูกเรา เพราะเราเอาคืนแน่นอน หรือถ้ามีลูกผู้หญิงใครมาปล้ำลูกเรา เราก็คงจะเอาตายเหมือนกัน

อดีตสต๊าฟ Celine ยกย่อง 'ลิซ่า' คนดัง 'ถ่อมตัว-ไม่ทรยศแฟนคลับ' 'ซื้อของ' ไม่ต้องเคลียร์พื้นที่ มีอาการป่วยก็ยังใส่เต็มเพื่อแฟนๆ

เมื่อวานนี้ (8 พ.ย.66) จากเพจ ‘Lisadailynews - Ldn0327’ ได้โพสต์ข้อความเกี่ยวกับอดีตสต๊าฟ Celine เล่าเหตุการณ์ที่ตนรู้ประทับใจในตัว ‘ลิซ่า Blackpink’ เมื่อเข้ามาซื้อของในร้าน ว่า…

"ย้อนกลับไปตอนที่ยังทำงานอยู่ ก็ประมาณ 6 โมงกว่าๆ พอดีกำลังจะเลิกกะ แล้วบังเอิญไปเจอลิซ่าที่ร้าน Celine เธอเข้ามาที่ร้านและลองเสื้อผ้ามาใหม่หลายตัว และในที่สุดเธอก็ซื้อกางเกงยีนส์ ชุดฤดูร้อน และน้ำหอม ต่างจากตารางงานของคนดังทั่วไปที่ต้องมีการเคลียร์ล่วงหน้า เธอไปที่นั่นแบบสบาย ๆ ช้อปปิ้งโดยเป็นส่วนหนึ่งของแผนการเดินทางส่วนตัวของเธอกับตัวแทนของเธอ และไม่มีการแจ้งล่วงหน้า นอกจากนี้ LVMH ที่บริษัทไม่อนุญาตให้มีการร้องขอลายเซ็นต์หรือรูปถ่าย

ไม่กี่วันต่อมา ฉันได้เข้าร่วมคอนเสิร์ตของ Blackpink โดยมีลิซ่าเป็นส่วนหนึ่งของวง และบังเอิญฉันได้ที่นั่งใกล้เวทีมากท่าทางของเธอทั้งในและนอกเวทีแตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง บนเวทีเธอเต็มไปด้วยพลังงาน เหมือนกับดวงดาวที่ส่องแสง มันทำให้ฉันตระหนักว่า...ไม่ว่าเธอจะเลือกเส้นทางชีวิตใดก็ตาม อย่างน้อยเมื่อเธอเผชิญหน้ากับผู้ชม เธอก็ทุ่มเทอย่างจริงใจ นั่นคือสิ่งที่ฉันรู้สึก…ฉันไม่สามารถปฏิเสธได้

จริงๆ แล้ว…อาการของลิซ่าไม่ค่อยดีนักในตอนนั้น เธอกินยาแก้ปวดหัวหลายครั้ง เธอปรากฏตัวโดยไม่แต่งหน้า ดูเป็นธรรมชาติ และผิวของเธอก็ซีดอย่างเห็นได้ชัด พนักงานร้านชาวเกาหลีคนหนึ่งของเราถามเธอเป็นภาษาเกาหลีว่าสุขภาพของเธอสบายดีไหม และเธอก็ตอบว่า "โอเค" โดยบอกว่าตารางคอนเสิร์ตที่ยุ่งของเธอทำให้เธอมีเวลาพักผ่อนจำกัด”

9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 อัญเชิญ ‘พระพรหมเอราวัณ’ ประดิษฐานที่หน้าโรงแรมเอราวัณ

วันนี้ เมื่อ 67 ปีก่อน มีพิธีอัญเชิญ ‘พระพรหมเอราวัณ’ ประดิษฐานที่หน้าโรงแรมเอราวัณ แยกราชประสงค์ จึงถือเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน ของทุกปี จะเป็นวันบวงสรวงใหญ่ของพระพรหมเอราวัณ หรือที่เรียกกันว่า ‘วันเกิดพระพรหม’

ย้อนไปเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 ที่สี่แยกราชประสงค์ ได้มีการอัญเชิญองค์ท้าวมหาพรหม มาประดิษฐานบริเวณหน้าโรงแรมเอราวัณ หรือโรงแรมแกรนด์ ไฮแอท เอราวัณ ในปัจจุบัน เพื่อความเป็นสิริมงคลและช่วยปกปักรักษาสถานที่

ที่มาของการตั้งพระพรหมเอราวัณที่บริเวณแยกราชประสงค์เริ่มต้นขึ้นในปี พ.ศ. 2494 พลตำรวจเอก‪เผ่า ศรียานนท์ กำหนดให้มีการก่อสร้าง‪โรงแรมเอราวัณขึ้นบริเวณสี่แยกราชประสงค์ เพื่อรองรับแขกต่างประเทศ ว่ากันว่าในช่วงแรกของการก่อสร้างเกิดอุบัติเหตุขึ้นมากมาย เมื่อการก่อสร้างใกล้แล้วเสร็จ ปลายปี ‪พ.ศ. 2499 ทาง ‪บริษัท สหโรงแรมไทยและการท่องเที่ยว จำกัด ผู้บริหารโรงแรมได้ติดต่อ พลเรือตรี‪หลวงสุวิชานแพทย์ ร.น. นายแพทย์ใหญ่ กองทัพเรือ ผู้ทรงคุณวุฒิในเรื่องการนั่งทางใน เข้าดำเนินการหาฤกษ์วันเปิดโรงแรม

พลเรือตรีหลวงสุวิชานแพทย์ได้ท้วงติงว่า ในการก่อสร้างโรงแรมไม่ได้มีการทำพิธีบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณนั้นก่อน ฤกษ์ในการวางศิลาฤกษ์ของโรงแรมก็ไม่ถูกต้อง อีกทั้งชื่อของโรงแรม ‘เอราวัณ’ นั้น เป็นชื่อของช้างทรงของ‪พระอินทร์ ถือเป็นชื่อที่ศักดิ์สิทธิ์ จำเป็นต้องมี‪การบวงสรวงที่เหมาะสม วิธีการแก้ไขจะต้องขอพรจาก‪พระพรหมเพื่อช่วยให้อุปสรรคหมดไป และจะต้องสร้างศาลพระพรหมขึ้นทันทีหลังจากการก่อสร้างโรงแรมแล้วเสร็จ และสร้างศาลพระภูมิขึ้นไว้ในโรงแรม

จากนั้นจึงได้มีการตั้งศาล ‘พระพรหมเอราวัณ’ ขึ้น ออกแบบตัวศาลโดยนาย‪ระวี ชมเสรี และ ม.ล.‪ปุ่ม มาลากุล องค์ท้าวมหาพรหมปั้นด้วย‪ปูนปลาสเตอร์ปิดทอง ออกแบบและปั้นโดยนาย‪จิตร พิมพ์โกวิท ช่างกองหัตถศิลป์ กรมศิลปากร และอัญเชิญพระพรหมมาประดิษฐานที่หน้าโรงแรมเอราวัณ เมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน พ.ศ. 2499 โรงแรมเอราวัณจึงได้ถือเอาวันที่ 9 พฤศจิกายน ของทุกปีทำพิธีบวงสรวงเทวสถานแห่งนี้เป็นประจำตลอดมา

จากวันที่ศาลพระพรหมถูกตั้งขึ้น ผู้คนทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ ต่างพากันมากราบไหว้ด้วยความเชื่อที่ว่าจะช่วยปัดเป่าอุปสรรคและส่งเสริมโชคลาภและความสำเร็จมาจนถึงทุกวันนี้

‘อ.เจนภพ’ ปลื้มใจ!! ยูเนสโก ยก ‘สุพรรณฯ’ เป็น ‘เมืองสร้างสรรค์ทางดนตรี’ เผย ดีใจที่ได้ช่วยขับเคลื่อนศิลปะเชิงวิชาการ ดัน ‘เพลงลูกทุ่งไทย’ สู่สากล

เมื่อวันที่ 6 พ.ย. 66 นายเจนภพ จบกระบวนวรรณ นักจดหมายเหตุและนักวิชาการเพลงลูกทุ่งไทย ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัว ระบุว่า…

“เมื่อวันที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2566 ‘ยูเนสโก’ ประกาศผลรับรองเมืองสมาชิกเครือข่ายสร้างสรรค์จาก 55 เมืองทั่วโลก ให้ ‘สุพรรณบุรี’ เป็น ‘เมืองสร้างสรรค์ทางดนตรี’

ในฐานะที่เป็นเข็มหมุดเล็กๆ เล่มหนึ่งที่บุกเบิกริเริ่มในเรื่องนี้มาตั้งแต่ต้น ตั้งแต่ ‘เจนภพ จบกระบวนวรรณ’ ประกาศให้ ‘เมืองสุพรรณบุรี’ เป็น ‘เมืองหลวงของเพลงลูกทุ่งไทย’ มาตั้งหลายสิบปีแล้ว

ผมดีใจ ปลื้มใจ หายเหนื่อยไม่น้อย เมื่อได้ยินข่าวนี้ ต่อไปภายหน้าจะเป็นไปเช่นไร คงต้องเป็นภาระหน้าที่ของคนรุ่นใหม่ๆ แล้วกระมัง คนอย่างเจนภพ บุกเบิกมาได้เท่านี้ก็น่าดีใจแล้ว…”

“เมื่อราวๆ วันที่ 3-5 สิงหาคม พ.ศ. 2559 ผมไม่แน่ใจว่าจะยังมีใครจำได้บ้างหรือเปล่า ว่ามีงาน ‘วิถีคนเมืองเหน่อ’ จัดขึ้นที่โรงละครแห่งชาติภาคตะวันตก จ.สุพรรณบุรี และงานนี้นี่เองที่ ผม - เจนภพ จบกระบวนวรรณ ได้นำเสนอ ‘มหกรรมลูกทุ่งเลือดสุพรรณ มหัศจรรย์คนเสียงเหน่อ’ ผมกราบเรียนเชิญ ไวพจน์ เพชรสุพรรณ, ขวัญจิต ศรีประจันต์, ศรเพชร ศรสุพรรณ, สุรชาติ สมบัติเจริญ, สลักจิต ดวงจันทร์, เสมา ทองคำ, เด่นชัย สายสุพรรณ, อัมพร แหวนเพชร, โสนน้อย เมืองสุพรรณ, นงเยาว์ ดาวสุพรรณ, แสงจันทร์ ดาวลอย, นพพร เมืองสุพรรณ, จ่อย ไมค์ทองคำ, แพรวา พัชรี, ศรศรี คีรีพันธุ์ ฯลฯ ขึ้นเวทีแสดงศักยภาพของนักร้องเมืองสุพรรณอย่างเต็มที่

แต่ครั้งกระนั้น ยังเป็นเรื่องของการรวบรวมเอานักร้องสายเลือดสุพรรณเป็นหลัก ยังไม่ได้ลงลึกในเชิงวิชาการสักเท่าไหร่”

“ถ้าท่านจำได้ เมื่อช่วงต้นปี พ.ศ. 2559 ปีเดียวกัน ผมนำเสนอ ‘มหกรรมเพลงนครปฐม’ ที่สถาบันศิลปะและวัฒนธรรม มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลรัตนโกสินทร์ ศาลายา และครั้งกระนั้น คือ งานแสดงดนตรีลูกทุ่งเชิงวิชาการครั้งแรกในเมืองไทย ที่ผมภาคภูมิใจนำเสนอแนวคิดนี้ ถ้าถามผม ผมก็อยากจะทำงานเชิงวิชาการบันเทิงศิลปะอย่างนี้ให้สัญจรไปทุกจังหวัด แล้วแต่โอกาสวาสนาจะเอื้ออำนวย

วันนี้ ผมดีใจกับสุพรรณบุรีที่ได้รับการยกย่องให้เป็น ‘เมืองสร้างสรรค์ทางดนตรี’ ของ องค์การยูเนสโก และผมก็คาดหวังว่า นับจากนี้ไปน่าจะมีงานดนตรีเชิงสร้างสรรค์ดีๆ เกิดขึ้นอีกมากมาย”

“ถ้าไม่รังเกียจความคิดของผม ผมก็อยากจะเสนอแนวคิดงานเชิงวิชาการแบบเจนภพด้วย นั่นคือ ‘มหกรรมเพลงสุพรรณบุรี’ จะเป็นเช่นไร จะเป็นไปได้แค่ไหน ลองฟังรายการ ‘ข้าวเกรียบเพลงเก่า’ ทางช่องยูทูบเสียงศิลปิน บ่ายวันนี้ (6 พ.ย.) ดูก่อนก็ได้ครับ ถูกใจ ถูกต้อง ชอบธรรมแล้วก็ค่อยสนับสนุน แต่หากไม่ใช่ก็ลืมๆ ไปเสียก็ได้ แค่ความคิดของศิลปินแก่ๆ คนหนึ่งก็เท่านั้นเอง”

8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 วันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

วันนี้ เมื่อ 130 ปีก่อน เป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพ พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7

พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระมหากษัตริย์สยาม รัชกาลที่ 7 แห่งราชวงศ์จักรี เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันพุธ แรม 14 ค่ำ เดือน 11 ปีมะเส็ง เวลา 12.25 น. หรือตรงกับวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2436 

พระองค์เป็นพระราชโอรสพระองค์ที่ 96 ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นพระองค์ที่ 14 ในสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ขึ้นเสวยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ เมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2468

โดยตลอดรัชสมัยพระองค์ปฏิบัติพระราชกรณียกิจที่สำคัญหลายด้าน เช่น ด้านการปกครอง โปรดให้ตั้งสภากรรมการองคมนตรี ทรงตรากฎหมายเพื่อควบคุมการค้าขายที่เป็นสาธารณูปโภคและการเงิน ระบบเทศบาล ด้านการศาสนา การศึกษา ประเพณีและวัฒนธรรมนั้น พระองค์โปรดให้สร้างหอพระสมุด ทรงปฏิรูปการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย 

นอกจากนี้ มีการปรับปรุงการศึกษาจนยกระดับมาตรฐานถึงปริญญาตรี ทรงตั้งราชบัณฑิตยสภา โปรดให้จัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์อักษรไทยสมบูรณ์ ชื่อว่า ‘พระไตรปิฎกสยามรัฐ’ เป็นต้น ความไม่พอพระราชหฤทัยและการเพลี่ยงพล้ำในการคัดค้านคณะราษฎรในหลายโอกาสนำไปสู่การสละราชสมบัติ และพระองค์ยังทรงถูกฟ้องคดียึดทรัพย์

สำหรับชีวิตส่วนพระองค์นั้น พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี สวัสดิวัตน์ (ต่อมาเฉลิมพระนามเป็นสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี) ไม่มีพระราชโอรสและพระราชธิดา แต่มีพระราชโอรสบุญธรรมคือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าจิรศักดิ์สุประภาต 

ทั้งนี้พระองค์ทรงสละราชสมบัติเมื่อวันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2478 รวมดำรงสิริราชสมบัติ 9 ปี และเสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 สิริพระชนมพรรษา 47 พรรษา หลังสวรรคต พระองค์ได้รับการยกย่องจากองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (UNESCO) ให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2536 เนื่องในวโรกาสฉลองวันพระราชสมภพครบ 100 ปี พระองค์ทรงได้รับการยกย่องจากนักประวัติศาสตร์บางส่วนว่าเป็น ‘กษัตริย์นักประชาธิปไตย’

‘แบมแบม’ ไม่ทน!! เตรียมเช็กบิลแอนตี้แฟนชอบกุเฟกนิวส์ ลั่น!! คราวนี้เอาจริง อยู่คนละประเทศ ก็จะล่าตัวมาให้ได้

(7 พ.ย.66) ทำเอาเหล่าอากาเซ่ถูกใจเป็นอย่างมากเมื่อ ‘แบมแบม GOT7’ หรือ แบมแบม กันต์พิมุกต์ ภูวกุล ที่เป็นอีกหนึ่งคนที่โดนถ้อยคำว่าร้ายจากชาวเน็ตมาตลอด โดยล่าสุดนี้เจ้าตัว ออกมารีโพสต์ถึงบริษัทต้นสังกัด @BAMBAMxABYSS ระบุข้อความว่า "คุณสามารถทำอะไรกับพวกคนที่พูดจาแย่ๆ และสร้างข่าวปลอมถึงผมได้ไหม ผมเบื่อและทนไม่ไหวแล้ว ใครก็ตามที่มีปัญหากับผม ก็รอดูตอนจบแล้วกันนะ"

ต่อมาเจ้าตัวยังโพสต์ต่อเนื่องว่า ถึงเวลาทำเงินสักหน่อยแล้ว ก่อนที่ผมจะไปทำงานต่อ ขอบอกอะไรหน่อย คราวนี้ผมเอาจริง พวกแอนตี้ฯ คิดว่าผมทำอะไรไม่ได้เพราะอยู่คนละประเทศใช่ไหม ผมจะทำเต็มที่เพื่อตามหาคุณ แล้วมาดูกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น

หลังจากที่แบมแบม ได้โพสต์ข้อความดังกล่าวนั้นเหล่าอากาเซ่ทั้งไทยและต่างประเทศต่างเข้ามาแสดงความคิดเห็นเป็นจำนวนมาก พร้อมทั้งสนับสนุนที่ศิลปินลุกขึ้นมาปกป้องศักดิ์ศรีของตนเองด้วยการฟ้องร้องกลุ่มพวกแอนตี้แฟน พร้อมทั้งส่งกำลังใจให้หนุ่มแบมแบมจัดการคนพวกนี้ได้สำเร็จ

‘สุวัจน์’ ชื่นชม ‘ลุงเปีย’ ครูช่างเรือฉลอมจิ๋วมงคลรายแรกของไทย ยกเป็น ‘ซอฟต์พาวเวอร์’ วิถีชาวประมงไทย ที่ควรอนุรักษ์สืบต่อไป

(7 พ.ย. 66) นายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ประธานพรรคชาติพัฒนากล้า (ชพก.) โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘สุวัจน์ ลิปตพัลลภ - Suwat Liptapanlop’ ระบุว่า…

ชื่นชม 'ลุงเปีย' ครูช่างเรือฉลอมจิ๋ว เรือมงคลรายแรกของไทย

เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ผมมีโอกาสได้เจอกับคุณธนเดช บุญนุ่มผ่อง หรือลุงเปีย ครูช่างเรือฉลอมจิ๋ว เรือมงคล รายแรกของประเทศไทย ที่ห้างบลูพอร์ต หัวหิน

ลุงเปีย เป็น 1 ในครูช่างศิลปหัตถกรรมไทย ซึ่งเกิดมาในครอบครัวชาวประมง และมีความหลงใหลในการต่อเรือมาตั้งแต่เด็ก จนเมื่อเกิดวิกฤตเศรษฐกิจเมื่อปี 40 ลุงเปียได้หันกลับมาศึกษาการต่อเรือจิ๋วอย่างจริงจัง และยึดเป็นอาชีพจนถึงปัจจุบัน

สำหรับเรือฉลอม ในอดีตนิยมใช้เป็นเรือประมงพื้นบ้าน หรือบรรทุกสินค้าไปขายตามหัวเมืองชายทะเล รูปร่างลำเรือคล้ายเรือโป๊ะแต่มีประทุนโค้งกลางลำ ทำจากไม้ไผ่สานขัดแตะมุงด้วยจาก มีต้นกำเนิดในแถบภาคกลาง หรือที่เราคุ้นหูกันกับท่าฉลอม จังหวัดสมุทรสาคร เพราะมีเรือฉลอมจอดอยู่จำนวนมาก 

เรือฉลอม ไม่มีเครื่องยนต์ ใช้ธรรมชาติคือลม และใบเรือในการแล่นเรือ 

ความพิเศษของเรือฉลอมจิ๋วลำนี้ คือ ลุงเปีย ได้นำเอาเลข 9 ใส่เข้าไปเป็นองค์ประกอบของเรือ คือแต่ละด้านของเรือ จะใช้ไม้ทั้งหมด 9 แผ่น เมื่อรวมกัน 2 ด้าน จะเป็น 18 แผ่น ซึ่ง 1 รวมกับ 8 เท่ากับ 9 ความยาวจากเรือไปท้ายเรือ 36 ซม. 3 รวมกับ 6 เท่ากับ 9 ไม้ที่ใช้ต่อเรือทั้งหมดมี 27 แผ่น 2 รวมกับ 7 เท่ากับ 9 ทำให้ทุกสัดส่วนของเรือ คือเลข 9 เลขมงคลทั้งลำ 

เรือฉลอมนี้จึงเป็นเรือฉลอมมงคลรายแรกของประเทศไทย เพราะทุกสัดส่วนตกเลข 9 ทั้งหมด

ไม่เพียงเท่านั้น วิธีการสร้างเรือฉลอมก็ไม่ธรรมดา เพราะใช้ไม้สักทั้งลำ และต้องเป็นไม้สักลายเดียวกันในการประกอบ เพื่อให้ลายไม้ต่อกัน หากวันไหนทำพลาด ต้องทิ้งทั้งแผ่น แล้วทำใหม่ อีกทั้งยังใช้ไม้ไผ่แทนตะปู เพื่อไม่ให้เกิดสนิม ก่อนจะลงแลคเกอร์เป็นขั้นตอนสุดท้าย

เรือฉลอมลำนี้ นอกจากจะเป็นเรือมงคล ที่มีความหมายมงคล ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยเรื่องราวที่ผมประทับใจอีกเรื่องหนึ่งก็คือ ลุงเปีย เปิดสอนให้ผู้ที่สนใจมาเรียนฟรี เพื่ออนุรักษ์การต่อเรือฉลอมจำลองให้คงอยู่ตลอดไป และยังเป็นอาชีพ สร้างรายได้อีกด้วย 

ผมขอแสดงความชื่นชมลุงเปีย ที่สร้างสรรค์ผลงานอันน่าทึ่ง ผมว่านี่จะเป็นอีกหนึ่ง Soft Power ที่แสดงถึงวิถีชีวิตของชาวประมงไทย และทำให้นักท่องเที่ยวรู้จักเมืองไทยมากยิ่งขึ้น จากเรือจิ๋วลำนี้ 

7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 ในหลวง ร.9 เสด็จฯ ในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม

วันนี้ เมื่อ 27 ปีก่อน ในหลวง รัชกาลที่ 9 เสด็จพระราชดำเนินถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค ณ วัดอรุณราชวราราม ในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พุทธศักราช 2539

พระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เสด็จพระราชดำเนินในพระราชพิธีถวายผ้าพระกฐิน โดยกระบวนพยุหยาตราชลมารค ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นหนึ่งในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก พุทธศักราช 2539 ที่จัดขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในวโรกาสที่ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ซึ่งนับเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกของไทยที่ครองราชสมบัติเป็นระยะเวลายาวนานที่สุด โดยทรงมีหมายกำหนดการจัดงานพระราชพิธีกาญจนาภิเษก และงานฉลองสิริราชสมบัติครบ 50 ปี ระหว่างวันที่ 8-10, 12, 14, 23 มิถุนายน, 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 รวมทั้งสิ้น 7 วัน 

ต่อมาในปีพุทธศักราช 2549 จึงมีกำหนดการการแสดงกระบวนเรือพระราชพิธีขึ้นอีกครั้งในวโรกาสพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงครองสิริราชสมบัติครบ 60 ปี ในวันที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2549 โดยเป็นลักษณะของการจัดกระขบวนเรือ มิใช่ ‘การเสด็จพยุหยาตราชลมารค’ เนื่องจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมิได้เสด็จโดยกระบวนเรือแต่อย่างใด

‘โตโน่’ ถ่ายคลิปสมาชิกในบ้าน หลังอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา พร้อมแวะแซว!! ‘ณิชา’ แฟนสาว "คุณเป็นใครมาอยู่บ้านผม?"

(6 พ.ย. 66) เล่นเองเขินกันเองซะงั้น เมื่อนักร้องหนุ่ม ‘โตโน่ ภาคิน’ ควงหวานใจ ‘ณิชา ณัฏฐณิชา’ ที่ว่างจากการถ่ายละครแล้ว เดินทางกลับบ้านเกิดจังหวัดขอนแก่นด้วยกัน พร้อมกับ คุณแม่น้อย สุดลมโชย และ ต้องตา น้องสาว เพื่อไปเป็นกำลังใจเชียร์เจ้าตัวลงสนามแข่งขันฟุตบอล ให้กับสโมสรขอนแก่น เอฟซี ทีมในไทยลีก 3

โดย ‘โตโน่’ ได้โพสต์คลิปผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว แนะนำคนในบ้านที่มารวมตัวกันพร้อมหน้า เริ่มจาก น้องเขย, หลาน, เพื่อนน้องสาว, น้องสาว, คุณแม่ กับหลานตัวน้อยสมาชิกใหม่ ต่อด้วยน้องสาวอีกคนนึง แล้วก็คุณป้าอีก 2 ท่าน

ก่อนจะแพลนกล้องไปที่ ‘ณิชา’ ที่นั่งอยู่บนโซฟาพร้อมกับพูดแซวขำๆ ว่า "ส่วนคุณเป็นใครมาอยู่บ้านผม ฮะคุณเป็นใคร" จากนั้นฝ่ายหญิงได้ยิ้มตอบกลับแบบเขินๆ ว่า "ฉันเป็นเพื่อนต้องตา"

งานนี้แฟนๆ ต่างเข้ามาคอมเมนต์ช่วยตอบคำถามแทนณิชากันยกใหญ่ อาทิ ชั้น…เป็นคู่ชีวิต…ของคุณ, คนสุดท้ายแฟนคนถ่ายมั้ยนะ, คนสุดท้ายสมาชิกใหม่ครอบครัวของผม, แฟนคุณไงคะ, แฟนคุณไง คุณโตโน่, ว้ายๆๆๆๆๆ….. แม่ของลูกปมครับ ฯลฯ

นักแสดงหนุ่ม ‘โอ๊ตมีล’ ร่ำไห้ ถูกช่างตัดผมตัดใบหู เย็บ 7 เข็ม ทางร้านนิ่งเงียบไม่รับผิดชอบใดๆ ลั่น!! ตอนนี้เสียสุขภาพจิตสุดๆ

(6 พ.ย. 66) ผู้ใช้งานติ๊กต็อก (TikTok) ‘Oatmeal’ ซึ่งเป็นของนักแสดงชาย สังกัด เอ็มโฟลว์ เอ็นเตอร์เทนเมนต์ จำกัด ได้ออกมาอัดคลิปพร้อมขอความช่วยเหลือจากพี่ ๆ สื่อมวลชน ระบุข้อความว่า…

"ในวันที่ 28 ก.ย. 2566 ที่ผ่านมา ผมไปรับบริการตัดผมที่ร้านตัดผม ย่านทองหล่อ แล้วเกิดอุบัติเหตุ ช่างตัดผมตัดหู และเย็บไป 7 เข็มครับ หลังจากนั้นทางช่างจ่ายค่ารักษาพยาบาลไป 15,375 บาท และไม่มีการรับผิดชอบอะไรเพิ่มเติมนอกจากนี้ครับ มีการเจรจาไปแล้ว 1 ครั้ง ช่างตัดผมไม่ให้ค่าสินไหมใดๆ ทดแทน

แต่จะให้เงิน 1,500 บาทไปทำประกันที่พ่วงกับบัตรเครดิตครับ ซึ่งผมไม่เข้าใจเหมือนกันว่าจะให้ไปคุ้มครองตอนไหน ในเมื่อผมเจ็บตัวไปแล้ว และบอกว่าจะดูแลเรื่องแผลเป็น แต่พอสังกัดผมทักถามไป ก็ไม่มีการรับผิดชอบใด ๆ กลับเงียบเฉย ตอนนี้ผมเป็นแผลเป็นที่ติ่งหูด้านขวาครับ และเสียสุขภาพจิตมาก ๆ ผมในฐานะนักแสดงตัวเล็ก ๆ คนหนึ่ง ผมไม่สามารถเรียกร้องอะไรได้เลยครับ ทั้ง ๆ ที่ผมโดนตัดหูแท้ ๆ วันนี้ผมจึงรวบรวมความกล้าที่อยากจะติดต่อพี่ ๆ สื่อมวลชนในการขอความช่วยเหลือเพื่อความเป็นธรรมครับ"

'สว.วีระศักดิ์' ชี้ นโยบาย Soft Power ต้องขับเคลื่อนในระยะยาว เพราะมีหลายมิติทับซ้อนกันอยู่

เมื่อวันที่ 3 พ.ย. 66 ที่โรงแรม S31 กรุงเทพฯ SPACEBAR ได้จัดงานเสวนา SOFT POWER ฝันไกลไปได้แค่ไหน? เปิดเวทีระดมความคิดเห็นบุคลากรหลากหลายวงการ มาร่วมสะท้อนมุมมอง กับแนวคิดนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ของรัฐบาล ที่จะผลักดัน SOFT POWER ไทย ให้มีศักยภาพส่งต่อไปถึงความยั่งยืน เพื่อนำไปสู่สายตาชาวโลก

โดยในเวทีดังกล่าว ได้รับเกียรติจาก คุณวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ สมาชิกวุฒิสภาและอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ที่กล่าวถึงประเด็นนี้ไว้ว่า...

ความเป็นไปได้ในการผลักดันนโยบาย 1 ครอบครัว 1 ซอฟต์พาวเวอร์ ว่า นับเป็นครั้งแรกที่ นโยบายซอฟต์พาวเวอร์ ถูกหยิบยกเป็นนโยบายระดับชาติ จากทั้งทางพรรคเพื่อไทยเอง และทุกพรรคที่หาเสียงไว้ช่วงเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งหากอ้างอิงจากนายแพทย์สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี หนึ่งในคณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ กล่าวถึง Roadmap ก็ประเมินว่า อาจจะใช้เวลาถึง 3 ปี ถึงจะเริ่มเป็นรูปธรรมที่จับต้องได้ตามแผน

“นโยบายนี้อาจจะไม่สามารถคาดหวังได้ในระยะเวลาอันรวดเร็ว เพราะเป็นเรื่องที่ต้องขับเคลื่อนในระยะยาว รวมถึงนโยบายนี้มีมิติ 3 ด้านสำคัญ คือ เศรษฐกิจ สังคม การเมือง ทับซ้อนกันอยู่ อย่างประเทศที่ผลักดันซอฟต์พาวเวอร์สำเร็จอย่าง เกาหลีใต้ สำเร็จได้จากนโยบายการเมืองที่แข็งแรงและต่อเนื่อง” วีระศักดิ์ กล่าว


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top