Monday, 9 June 2025
LITE

'ผู้จัดแอน' แจง!! 'โลกหมุนรอบเธอ' โดนถล่มบทป่วย เพราะตั้งใจให้ตัวละครเป็นสีเทา หวัง!! สะท้อนการเติบโต-เรียนรู้ของคนในแต่ละช่วงวัย ที่มักเปลี่ยนไปตามเวลา

(26 ก.ย. 67) หลังจากที่เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนัก สำหรับละครช่องดัง 'โลกหมุนรอบเธอ' ของผู้จัดคนดัง 'แอน ทองประสม' ซึ่งเป็นละครแนว Coming of age การเรียนรู้ชีวิตและก้าวผ่านวัย บนเส้นทางความรัก มิตรภาพ และการเติบโต โดยฉากที่ดรามาหนักใน EP.18 เป็นฉากที่นางเอก 'ตะวัน' รับบทโดย 'โบว์ เมลดา' ที่มีสามีแล้ว เป็นชู้กับพระเอก 'มานะ' รับบทโดย 'เจมส์ จิรายุ' ซึ่งชาวโซเชียลระบุถึงความไม่สมเหตุสมผล อีกทั้งตัวพระ-นางยังทำผิดศีลธรรมรวมไปถึงวิจารณ์ถึงความไม่สมเหตุสมผลของบทละครหลาย ๆ จุด

ซึ่งทางด้านผู้จัดละครอย่าง 'แอน ทองประสม' ได้ออกมาเปิดเผยครั้งแรกในงานแถลงข่าวละครเรื่องใหม่ 'หนึ่งในร้อย' ว่าในฐานะผู้จัดก็มีภาวะเสี่ยงต่าง ๆ จัดการยังไง ก็อย่างที่บอกว่าบางทีเราคาดการณ์ก่อนด้วยว่า เราตั้งใจอยากไปเวย์นี้ ถ้าไปอย่างนี้คนดูน่าจะรับได้ น่าจะเข้าใจ เราก็ต้องคิดในเวย์นี้ก่อน แต่พอทำออกมามันจะมีก้อนบางก้อนที่รับได้มาก ๆ บางจุดรับไม่ได้ มันก็เป็นการเรียนรู้ ถ้าคุยกันด้วยเหตุผลก็จับความคิดเขามาและได้เรียนรู้ว่าต่อไปทำชิ้นงานอะไรจะได้ปรับ แต่ถ้าอันไหนดีอยู่แล้ว แสดงว่าการตัดสินใจของเราเฉียบคมแล้ว แอนก็เอามาประเมินตัวเองไปเรื่อย ๆ เพราะแอนไม่ได้ทำละครให้ตัวเองดูคนเดียว เราก็ต้องฟังความคิดเห็นที่มีเหตุผล แอนก็เอามาใช้ปรับตัวเองไปค่ะ

>>แสดงว่าเราก็ยอมรับทุกคอมเมนต์ที่แนะนำ?

คือจะมีคอมเมนต์ที่เขาให้มุมมองที่ชอบเพราะอะไร อันนี้ก็เป็นคอมเมนต์บวก เราก็เก็บไว้ เราถือว่าอันนี้เราได้แล้ว แต่ถ้าคอมเมนต์ไม่ชอบเลยเพราะเหตุนี้ ๆ เราเข้าใจว่าเขาสงสัยอะไร แต่ถ้าคอมเมนต์ลักษณะโจมตี เกลียดชัง อันนี้แอนจะถือว่าเราไม่สามารถไปควบคุมตรงนั้นได้ ก็ต้องละไว้ ถามว่ามีมั้ยที่รู้สึกว่าทำไม ก็ต้องมีบ้าง คนเรามี on off อยู่แล้ว บางทีเราเหมือนว่าเราโดนผลักออกไปแล้วมีเซ แล้วเราก็ต้องกลับมายืนให้ได้ ชีวิตต้องไปต่อ

>>พอเป็นแอน ทองประสม คนก็คาดหวังมาก?

แอนว่าเขาคาดหวังกับทุกคนนะคะ แต่ของแอนอาจจะโดนเล่นข่าวเยอะหน่อย ก็ไม่แปลก เพราะแอนเป็นนักแสดงด้วย แอนเข้าใจบริบทตรงนี้มาก ๆ

>>ที่ผ่านมาโดนวิพากษ์วิจารณ์เยอะเรื่องบทละคร ‘โลกหมุนรอบเธอ’?

อ๋อ ใช่ จริง ๆ โลกหมุนรอบเธอคือด้วยความตั้งใจโจทย์แรกของทางทีมเราคือเราต้องการนำเสนอตัวละครที่เป็นสีเทา ตัวละครที่มีการเติบโต เรียนรู้ในแต่ละช่วงวัย เช่น เราเป็นเด็ก เราคิดได้เท่านี้ พออีกช่วงวัยหนึ่งเราเติบโต เราเรียนรู้ไปอีกแบบนึง การคิดในแบบวันนั้นมันไม่ใช่แล้ว มันส่งผลลัพธ์อะไรในตอนที่เราโตขึ้น ตัวละครมีความหมุนเวียนเป็นมนุษย์ปกติ แต่พอออกมาบางทีบางการตัดสินใจของตัวละครคนก็จะคิดว่าไม่อยากให้ตัดสินใจแบบนี้ ก็จะไม่ถูกใจเขา เราก็เข้าใจตรงนี้ได้ ถ้าเขาถามและเปิดโอกาสให้เราอธิบาย เราก็จะอธิบายไปว่าเพราะอะไรเขาถึงทำแบบนี้

>>เราคาดการณ์ไหมว่ากระแสสังคมจะตีกลับมาแบบนี้?

แอนคิดว่าเขาคงมีถาม แต่เราไม่ได้คิดถึงความรุนแรงว่าเป็นเบอร์ไหน เราไม่ได้คิดว่าความรุนแรงเบอร์ 10 เรารู้แล้วว่าอาจจะต้องมีสงสัย มีคำถามแน่นอน (พี่แอนบอกแต่วันแรกแล้วว่าตัวละครเป็นสีเทา?) ใช่ค่ะ แต่อย่างที่บอกว่าบางคนอาจจะบอกว่าไม่อยากเห็นคนนี้ตัดสินใจแบบนี้ เข้าใจสุดๆ เลย เพราะว่าเราก็รู้ว่าเขารักของเขา

>>หลายคนบอกว่าอยากให้พระเอกนางเอกเป็นสีขาว ทำถูกต้อง?

ก็ถ้าเราจะทำละครเรื่องต่อไป แอนก็ต้องหาละครที่เป็นเฉดนี้ที่เป็นไปในทางนั้นเลย ก็จะชัดเจนไปเลย ไม่ต้องนำเสนอแบบเทาแค่นั้นเองค่ะ เพราะว่าอันนี้ทำแล้ว มันไปแบบของมันแล้ว ให้มันไปจนจบตรงนั้นไป

>>อยากบอกอะไรกับคนดู ?

อย่างที่บอกว่าแอนเข้าใจและเคารพทุกความคิดเห็นที่เขามีเจตนาที่ดีในการจะฟีดแบ็ก แอนก็จะได้เรียนรู้และจดจำว่าทิศทางแบบนี้เขาอาจจะไม่ค่อยปลื้ม เราในฐานะคนทำก็ต้องการคนดูอยู่แล้ว เราก็ก็จะเอาไว้ปรับตัวเองว่าต่อไปเรานำเสนอก็เลือกเวย์นี้ อาจจะเซฟกว่า วันนึงเราอยากจะทำละครที่เป็นมุมที่ไม่เซฟอีก เราก็ทำการบ้านอีกรูปแบบหนึ่ง ณ เวลานั้นเดี๋ยวมันจะบอกเราเองว่าเราต้องเตรียมตัวยังไง แต่ว่าเราต้องให้เกียรติ ให้พื้นที่กับคนที่เขาชอบด้วย อันนี้เราก็ต้องขอบคุณที่หลายคนยังเข้าใจทิศทาง แต่สำหรับคนที่มีคำถาม แอนก็ได้แต่ค่อย ๆ ย่อยสิ่งที่เขาฟีดแบ็กมาแล้วจดจำไว้ อันไหนปรับได้เราปรับ อันไหนที่เรารู้สึกว่าเป็นกำลังใจแล้วไปต่อแอนก็ไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทีมงานทุกคนตั้งใจทำงานกันร้อยเปอร์เซ็นต์ นักแสดงทุกคนใช้หัวใจเล่นอย่างเต็มที่

26 กันยายน พ.ศ. 2430 ‘ไทย-ญี่ปุ่น’ ลงนามปฏิญญาทางพระราชไมตรี จุดเริ่มความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการ

ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับไทย มีประวัติยาวนานหลายร้อยปี แต่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการโดยการลงนามในปฏิญญาทางไมตรี และการพาณิชย์ เมื่อวันที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2430

จุดเริ่มต้นความสัมพันธ์อันดีในครั้งนั้น ได้ทำให้ไทยและญี่ปุ่น มีระดับความใกล้ชิดที่ราบรื่น จนเกิดความร่วมมือของทั้งสองประเทศครอบคลุมทั้งในด้านเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และวัฒนธรรม เพื่อเสริมสร้างศักยภาพของประเทศ และไทยเองก็ได้มุ่งกระชับความสัมพันธ์ และความร่วมมือกับญี่ปุ่นให้พัฒนาไปสู่ความเป็นหุ้นส่วนทางยุทธศาสตร์และเศรษฐกิจ (strategic and economic partnership)

โดยมีการเยือนสำคัญในระดับพระราชวงศ์ ที่สำคัญ คือในช่วงต้นรัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร พระองค์ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศ เพื่อทรงเจริญสัมพันธไมตรี พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในรัชกาลที่ 9 และหนึ่งในประเทศที่พระองค์เลือกเสด็จพระราชดำเนินเยือน คือ ประเทศญี่ปุ่น ในปี พ.ศ. 2506

ในครั้งนั้น พระองค์ทรงเสด็จเยือนกรุงโตเกียว เมืองนาโงยา จังหวัดเกียวโต และนารา และฝ่ายญี่ปุ่นได้ถวายการต้อนรับ ด้วยการนำเสด็จพระราชดำเนินไปยังโรงงานผลิตกล้องถ่ายรูป และวิทยุ เพื่อทอดพระเนตรเทคโนโลยีการผลิตของญี่ปุ่น ซึ่งชี้ให้เห็นว่าฝ่ายญี่ปุ่นทราบถึงความสนพระราชหฤทัยของพระองค์เป็นอย่างดี

การเสด็จพระราชดำเนินเยือนญี่ปุ่นในครั้งนั้น เป็นจุดเริ่มต้นแห่งพระราชไมตรีของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ ซึ่งในขณะนั้นทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นมกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะ

โดยการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และสมเด็จพระจักรพรรดินีมิชิโกะ เพื่อทรงตอบแทนพระราชไมตรี มกุฎราชกุมารอะกิฮิโตะ พร้อมด้วยเจ้าหญิงมิชิโกะ (พระอิสริยยศในขณะนั้น) ที่ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศไทยอย่างเป็นทางการครั้งแรกในปี พ.ศ. 2507 ซึ่งในครั้งนั้นมีเหตุการณ์อันเป็นที่ระลึกแห่งพระราชไมตรี และพระปรีชาสามารถของสมเด็จพระจักรพรรดิอะกิฮิโตะ และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร และนับเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่งของความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศ

ขณะที่ความสัมพันธ์ระดับประชาชนของทั้งสองประเทศก็มีความใกล้ชิดแนบแน่น โดยปัจจุบัน มีชาวไทยที่พำนักอยู่ในญี่ปุ่นในปี 2019 ประมาณ 86,666 คน ในขณะที่มีชาวญี่ปุ่นที่พำนักอยู่ในประเทศไทยในปี 2021 จำนวน 82,574 คน 

25 กันยายน พ.ศ. 2541 วันสถาปนา ‘มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง’ รำลึกถึง ‘สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี’

‘มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง’ เป็นสถาบันอุดมศึกษาในกำกับของรัฐบาลตั้งอยู่ที่จังหวัดเชียงราย ก่อตั้งเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2541 ภายหลังการเรียกร้องของชาวจังหวัดเชียงรายที่ต้องการมีมหาวิทยาลัยในท้องถิ่น และเพื่อเป็นการระลึกถึงสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี จึงใช้พระราชสมัญญา ‘แม่ฟ้าหลวง’ เป็นชื่อมหาวิทยาลัย

หลังจากที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีเสด็จสู่สวรรคาลัย เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 ประชาชนชาวเชียงรายร่วมกับหน่วยราชการในจังหวัดเชียงรายเห็นพ้องต้องกันว่า โดยที่สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนีทรงมีพระมหากรุณาธิคุณอันยิ่งใหญ่ไพศาลต่ออาณาประชาราษฎร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งประชาชนชาวเชียงรายที่ได้ทรงเลือกจังหวัดเชียงรายเป็นสถานที่สร้างพระตำหนัก หรือบ้านหลังแรกของพระองค์ และทรงริเริ่มโครงการพัฒนาดอยตุง ซึ่งได้นำความเจริญรุ่งเรือง มายังจังหวัดและประเทศชาติอย่างใหญ่หลวง

ฉะนั้น เพื่อแสดงความจงรักภักดีตลอดจนเพื่อสนองพระราชปณิธานของพระองค์ในการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม รวมทั้งการพัฒนาคน จึงได้เสนอให้มีการจัดตั้งมหาวิทยาลัยในจังหวัดเชียงรายต่อรัฐบาลที่มีนายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีการดำเนินการเพื่อการจัดตั้งมหาวิทยาลัยที่จังหวัดเชียงราย ได้มีความคืบหน้าเป็นลำดับ รัฐบาลนายบรรหาร ศิลปอาชา ได้มีมติเมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2539 ให้จัดตั้งสถาบันอุดมศึกษาที่จังหวัดเชียงราย โดยอาจยกฐานะสถาบันราชภัฏเชียงรายขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยก็ได้

ต่อมารัฐบาลพลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ ได้มีมติใหม่ เมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2540 ให้จัดตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง ขึ้นเป็นมหาวิทยาลัยแห่งใหม่ในจังหวัดเชียงราย และได้มีการตราพระราชบัญญัติจัดตั้งมหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงขึ้นเมื่อวันที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2541 ในสมัยรัฐบาลนายชวน หลีกภัย

มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวงได้รับงบประมาณในการดำเนินการเพื่อการเตรียมการจัดตั้ง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2541 และงบประมาณในการดำเนินการก่อสร้างมหาวิทยาลัยในปีงบประมาณ พ.ศ. 2542 เป็นเงินรวมทั้งสิ้น 2,325 ล้านบาท การก่อสร้างตามโครงการระยะแรกเสร็จสมบูรณ์ เมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2547 ใช้เวลาในการก่อสร้างประมาณ 5 ปี บนพื้นที่ 4,997 ไร่ ณ บริเวณดอยแง่ม อำเภอเมืองเชียงราย จังหวัดเชียงราย

‘ลิซ่า’ ประกาศจัดเอเชียทัวร์แฟนมีตติ้งครั้งแรก ปักหมุด ‘ประเทศไทย’ บ้านเกิด 13 พ.ย.นี้

(24 ก.ย. 67) ฮือฮาสนั่นโซเชียล ที่แทบจะบอกได้เลยว่าเซอร์ไพรส์สุด ๆ สำหรับการประกาศตารางทัวร์ แฟนมีตติ้งทั่วเอเชียครั้งแรกของศิลปินสาวระดับโลกสายเลือดไทยอย่าง ‘ลิซ่า ลลิษา มโนบาล’ หรือ ‘ลิซ่า BLACKPINK’ ซีอีโอสาวมากความสามารถของ LLOUD

สำหรับงานแฟนมีตติ้ง ‘LISA Fan Meetup in Asia 2024’ ถือว่าเป็นการจัดแฟนมีตติ้งเดี่ยวครั้งแรก ในการเป็นศิลปินเดี่ยวจากค่าย LLOUD ของเธอ โดยในโซเชียลมีเดียของ ‘LLOUD Co.’ ได้โพสต์ภาพ รวมถึงกำหนดการที่จัดงานมีตติ้งครั้งนี้ ที่จะเกิดขึ้น ใน 5 ประเทศด้วยกัน และปักหมุดที่ประเทศไทยบ้านเกิด ในวันที่ 13 พ.ย. 2567

เอเชียทัวร์ของเธอเริ่มที่สิงคโปร์ ในวันที่ 11 พ.ย. 2567 ต่อด้วยที่กรุงเทพฯ ประเทศไทย 13 พ.ย. 2567 จากนั้นเป็นกรุงจาการ์ตา อินโดนีเซีย วันที่ 15 พ.ย. 2567 ต่อที่เมืองเกาสง ไต้หวัน วันที่ 17 พ.ย. 2567 และปิดท้ายที่ฮ่องกงในวันที่ 19 พ.ย. 2567 นั่นเอง

24 กันยายน วันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันไทย

‘วันมหิดล’ ตรงกับวันที่ 24 กันยายนของทุกปี เป็นวันคล้ายวันสวรรคตของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก พระผู้ได้รับการถวายพระสมัญญาภิไธยจากแพทย์และประชาชนทั่วไปว่า ‘พระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันของไทย’ คณะแพทยศาสตร์สิริราชพยาบาล ได้ขนานนามวันอันเป็นที่ระลึกสำคัญนี้ว่า ‘วันมหิดล’ เพื่อเป็นการถวายสักการะ

‘สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก’ ทรงพระราชสมภพวันที่ 1 มกราคม (ตามปฏิทินเก่าคือ ปี พ.ศ. 2434 แต่ตามปฏิทินใหม่คือ ปี พ.ศ. 2435) เป็นพระราชโอรสในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า มีพระเชษฐา และพระเชษฐภคินีที่ประสูติร่วมพระราชมารดา 7 พระองค์

สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก เป็นพระบรมราชชนกในพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร (รัชกาลที่ 8) และพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (รัชกาลที่ 9) และเป็นพระอัยกาในสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร (รัชกาลที่ 10)

พระองค์มีคุณูปการแก่กิจการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของประเทศไทย ประชาชนโดยทั่วไปคุ้นเคยกับพระนามว่า ‘กรมหลวงสงขลานครินทร์’ หรือ ‘พระราชบิดา’ และบางครั้งก็ปรากฏพระนามว่า ‘เจ้าฟ้าทหารเรือ’ และ ‘พระประทีปแห่งการอนุรักษ์สัตว์น้ำของไทย’ ส่วนชาวต่างประเทศเรียกพระนามว่า ‘เจ้าฟ้ามหิดล’

หลังพระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพสมเด็จพระราชปิตุลาบรมพงศาภิมุข เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช พระองค์ทรงพระประชวร ต้องประทับในพระตำหนักวังสระปทุม และสวรรคตเมื่อวันที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2472 เวลา 16.45 น. เมื่อพระชนมายุ 37 พรรษา 8 เดือน 23 วัน

ด้วยความรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณ ผู้ที่เคยได้รับพระกรุณาในด้านต่าง ๆ จากพระองค์ จึงได้รวบรวมเงินจัดสร้างพระรูปประดิษฐานไว้ ณ โรงพยาบาลศิริราช โดยมอบให้กรมศิลปากรเป็นผู้ดำเนินการสร้าง มี ศาสตราจารย์ศิลป์ พีระศรี เป็นผู้ควบคุม

ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้เสด็จพระราชดำเนินทรงกระทำพิธีเปิด เมื่อวันที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2493 และ ในวันที่ 24 กันยายนปีเดียวกัน นักศึกษาแพทย์ได้ริเริ่มจัดงานขึ้นเป็นครั้งแรก เนื่องในวันคล้ายวันสิ้นพระชนม์ โดยมีพิธีวางพวงมาลา ถวายบังคมพระรูป อ่านคำสดุดีพระเกียรติ เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระองค์

ทางคณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล มหาวิทยาลัยมหิดล ได้ประกาศให้วัน ที่ 24 กันยายน ของทุกปีเป็น ‘วันมหิดล’ ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2494 เป็นต้นมา เพื่อน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณ ในฐานะพระบิดาแห่งการแพทย์แผนปัจจุบันและการสาธารณสุขของไทย

‘พิมพ์มาดา’ ร่วมไว้อาลัย ‘อ๋อม อรรคพันธ์’ หลังจากไปด้วยโรคมะเร็ง พร้อมแชร์ความน่ากลัวของมะเร็ง แนะทุกคนใส่ใจ-ตรวจสุขภาพ

(23 ก.ย. 67) หลังจากที่โรคมะเร็งร้ายได้คร่าชีวิตพระเอกชื่อดัง 'อ๋อม อรรคพันธ์ นะมาตร์' จากไปอย่างไม่มีวันกลับในวัยเพียง 39 ปี สร้างความตกใจให้กับเพื่อน ๆ ในวงการบันเทิง รวมไปถึงเหล่าแฟนละครของพระเอกชื่อดัง 

ด้าน 'พิมพ์' พิมพ์มาดา บริรักษ์ศุภกร หรือ พิมพ์  ZAZA นักร้อง-นักแสดงชื่อดังที่เคยป่วยโรคมะเร็ง ได้ออกมาโพสต์อินสตาแกรมส่วนตัว @pimmada พร้อมระบุข้อความว่า… 

"ไม่มีโอกาสได้รู้จักคุณอ๋อมส่วนตัว แต่พิมพ์ก็เป็นคนนึงที่เคยสัมผัสกับโรคนี้ มันน่ากลัวค่ะ มันพรากคนที่เรารักไปนักต่อนัก พิมพ์ยังคงเป็นผู้โชคดี แต่ก็ไม่มีอะไรการันตีว่ามันจะไม่เกิดขึ้นอีก ยังคงขอเป็นกระบอกเสียงให้ทุกคนใส่ใจสุขภาพ อย่าละเลยนะคะ ไปตรวจสุขภาพกันค่ะ ขอส่งคุณอ๋อมไปพักผ่อนในที่ที่สบายที่สุด เสียใจกับครอบครัวด้วยนะคะ"

เปิดเลนส์ 'Alex and Coni' ยูทูบเบอร์สายท่องเที่ยวต่างชาติ 'ประเทศไทย' ดินแดนแห่งความฝันที่ทำให้พวกเขาหลงเสน่ห์

(23 ก.ย. 67) ไม่นานมานี้ จากช่องยูทูบ 'Alex and Coni' (Alex ชาวเยอรมนี และ Coni ชาวอาร์เจนตินา) คู่รักผู้ชื่นชอบและหลงเสน่ห์ความเป็นไทย ได้นำเสนอคลิปสารคดีเกี่ยวกับเมืองไทย ที่ถ่ายทอดออกมาในแบบที่คนไทยเองได้เห็นแล้วยังต้องทึ่งกับมุมมองของไทยที่แสนงดงาม ทั้งสถานที่ วัฒนธรรม ผู้คน

ทั้งนี้ หากสังเกตให้ดี นับวันประเทศไทย และการท่องเที่ยวไทย จะยิ่งครองใจชาวต่างชาติที่มีโอกาสได้พลัดหลงเข้ามาต้องมนต์เสน่ห์แห่งดินแดนสยาม ดูได้จากชาวต่างชาติจำนวนมาก เริ่มทำคลิปท่องเที่ยวไทย ซึ่งเปรียบเสมือนการโปรโมตไทยจากใจคนที่ได้สัมผัสจริง ๆ มากขึ้น เช่นเดียวกันกับ ช่องยูทูบ Alex and Coni (Alex ชาวเยอรมนี และ Coni ชาวอาร์เจนตินา) 

สำหรับ Alex and Coni ทั้งสองมองว่า เมืองไทยเปรียบเสมือนดินแดนแห่งความฝันที่ต้องจดจำ ที่อยากค้นหา หลังจากได้มีโอกาสสัมผัสเมืองไทยในมิติที่ลึกขึ้น

ทั้งนี้ โดยพื้นฐาน Alex and Coni นั้นเป็นผู้ที่ชื่นชอบการท่องเที่ยวในเชิงของคุณค่า ที่แฝงไปด้วยเรื่องราวทางวัฒนธรรมที่หลากหลาย และถ่ายทอดออกมาผ่านคลิป ด้วยมุมมองต่าง ๆ ดังนี้...

พวกเขามักจะออกสำรวจเมืองผ่านที่มีชีวิตชีวา: หาดทรายที่เงียบสงบ และสิ่งมหัศจรรย์โบราณด้วยภาพโดรนในโรงภาพยนตร์และการตัดต่ออย่างมืออาชีพ 

พวกเขามักถ่ายทอดความรู้เชิงวัฒนธรรม: เจาะลึกประวัติศาสตร์, ประเพณี, และประสบการณ์ในท้อง ถิ่นซึ่งทำให้จุดหมายปลายทางแต่ละแห่งไม่ซ้ำกัน

พวกเขามักถ่ายทอดจากประสบการณ์จริง: โดยติดต่อกับคนท้องถิ่น และเปิดฉากการผจญภัยที่น่าตื่นตาตื่นใจด้วยตัวเองเสมอ

และพวกเขามักถ่ายทอดเนื้อหาเกี่ยวกับการศึกษาและแรงบันดาลใจ: เรียนรู้เกี่ยวกับสถานที่ท่องเที่ยวและได้รับแรงบันดาลใจในการสำรวจโลกผ่านเรื่องราวที่ให้ความรู้และน่าสนใจออกมาเป็นเนื้อหาภาพสวยงาม

นี่คือความน่าสนใจหลังจากคลิปที่ทั้งคู่ได้เริ่มปรากฏสู่สายตาคนไทย เพราะนี่ไม่ใช่แค่การรีวิวไทยแบบผ่านๆ แต่เป็นการนำเสนอประเทศไทยแบบตั้งใจในมิติต่าง ๆ แบบที่คนไทยจำนวนมากยังไม่เคยไปสัมผัสเลยด้วยซ้ำ ตั้งแต่ที่เริ่มอัปเดตคลิปลง YouTube / TikTok และ Instagram ตั้งแต่ 20 มี.ค.2023

ล่าสุดคลิปวิดีโอในชื่อ 'ประเทศไทย | ดินแดนแห่งความฝันที่ถูกลืม' (https://youtu.be/Upn-O-M5Mic?si=u_ZG4yf84UIgYdDm) ซึ่งนำเสนอออกมาเหมือนงานสารคดีชั้นยอดนั้น ก็เหมือนกระจกสะท้อนเมืองไทยในทุกมิติไปสู่สายตาชาวโลก

ตั้งแต่เหนือที่เต็มไปด้วยความวิจิตรแห่งวัดดังภายใต้สถาปัตยกรรมที่อ่อนช้อย งดงาม พร้อมเรื่องราวแห่งที่มาที่ไปอันน่าจดจำ พาดผ่านไปยังภาคใต้ของไทย ที่อุดมไปด้วย ทะเล หาดทราย แสงอาทิตย์ ที่สร้างคลื่นขนาดใหญ่กลืนหัวใจทุกนักท่องเที่ยวต่างชาติที่มีโอกาสได้ทอดกายลงทุกแนบทุกหยดทะเลไทยในแดนใต้

นอกจากนี้ ‘รอยยิ้มแห่งสยาม’ ยังเป็นความงดงามที่ Alex and Coni ได้สัมผัสผ่านน้ำใจคนไทย ที่แทบจะกล้าพูดว่า ชาติใดในโลกก็ยังยากจะเทียบได้ในส่วนนี้

แน่นอนว่า วัฒนธรรมไทย อาหารไทย ความทันสมัยแบบร่วมสมัยของแต่ละจังหวัด และความปลอดภัยในสยามประเทศ ก็เป็นอีกจุดเด่นสำคัญที่ทำให้พวกเขาทั้งสอง ยังคงท่องเที่ยวอยู่ในบ้านเราอย่างต่อเนื่อง

เห็นต่างชาติชื่นชมบ้านเราขนาดนี้ คนไทยก็ขอขอบคุณและเป็นกำลังใจให้ผลงานดี ๆ นี้ มีผู้ติดตามมากขึ้น ๆ

อย่าพลาดวิดีโอใหม่ ๆ ของพวกเขา 'Alex and Coni' ได้ที่ Instagram และ TikTok @alexandconi / YouTube www.youtube.com/@alexandconi

23 กันยายน ของทุกปี ‘วันภาษามือโลก’ (International Day of Sign Languages) ตระหนักถึงความสำคัญของภาษามือ-สิทธิผู้พิการทางการได้ยิน

23 กันยายน ของทุกปี กำหนดให้เป็น ‘วันภาษามือโลก’ โดยองค์การสหประชาชาติ เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษามือ รวมไปถึงเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงสิทธิมนุษยชนของคนหูหนวก

นอกจากนี้วันที่ 23 กันยายน ค.ศ. 1951 ก็เป็นวันก่อตั้งสมาคมคนหูหนวกโลก หรือ WFD ด้วยเช่นกัน ดังนั้นจึงเลือกวันที่ 23 กันยายน เป็นวันภาษามือโลก (International Day of Sign Languages) โดยปรากฏขึ้นอย่างเป็นทางการในงานสัปดาห์คนหูหนวกแห่งชาติ ซึ่งจัดในปี ค.ศ. 2018

จุดประสงค์ในการก่อตั้งวันภาษามือโลก เพื่อสร้างความตระหนักถึงความสำคัญของการใช้ภาษามือ รวมไปถึงเพื่อสร้างความตระหนักรู้ถึงสิทธิมนุษยชนของคนหูหนวกด้วย โดยข้อมูลจากสมาคมคนหูหนวกโลก (WDF) เผยว่า ปัจจุบันมีผู้พิการทางการได้ยินมากกว่า 70 ล้านคนทั่วโลก และกว่า 80% อาศัยอยู่ในประเทศกำลังพัฒนา นั่นหมายความว่า มีภาษามือกว่า 300 ภาษาที่ใช้อยู่ตอนนี้ ซึ่งถือว่ามีความหลากหลายอย่างมาก และเราก็ไม่ควรมองข้ามภาษามือเหล่านี้

ภาษามือของแต่ละประเทศมีวิวัฒนาการที่เป็นอิสระจากกัน คนที่อยากเรียนภาษามือก็จะเข้าเรียนในโรงเรียนโสตศึกษา ซึ่งเป็นโรงเรียนสอนผู้พิการทางการได้ยิน ดังนั้นภาษามือของแต่ละประเทศก็จะแตกต่างจากกัน แม้แต่ประเทศที่มีภาษาพูดใกล้เคียงกันอย่างเช่น สหราชอาณาจักรกับสหรัฐอเมริกา ก็มีภาษามือที่แตกต่างกันลิบลับ จนใช้สื่อสารระหว่างกันไม่ได้ 

ในปีค.ศ. 1973 สมาคมคนหูหนวกโลก (World Federation of the Deaf) ริเริ่มเผยแพร่ชุดคำศัพท์ภาษามือมาตรฐานที่เรียกกันว่า ‘ภาษามือสากล’ เพื่อที่จะให้เป็นภาษากลางของภาษามือ เช่นเดียวกับภาษาเอสเปอรันโตที่ถูกสร้างขึ้นมาเพื่อให้เป็นภาษากลางในโลกของภาษาพูด ทุกวันนี้ในการประชุมระดับนานาชาติ บางครั้งก็ใช้ภาษามือสากลเป็นภาษาหลัก

และเพื่อให้คนหูหนวกสามารถรับรู้ข่าวสารและสามารถเสพสื่อได้อย่างเข้าใจ ทำให้ในปัจจุบันรายการต่าง ๆ ทั้งรายการข่าวและสื่อบันเทิงมักมีล่ามภาษามือคอยบรรยายอยู่มุมล่างขวามือของจอเสมอ

22 กันยายน ‘วันสงขลานครินทร์’ รำลึก ‘ในหลวง ร.9’ พระราชทานชื่อ ‘มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์’ ตามพระนามฐานันดรศักดิ์ ‘สมเด็จพระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์’

วันที่ 22 กันยายน ของทุกปี เป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งคือ ‘วันสงขลานครินทร์’ เพื่อเป็นการรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงโปรดเกล้าฯ พระราชทานชื่อมหาวิทยาลัยภาคใต้ เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2510 ว่า ‘สงขลานครินทร์’ ตามพระนามฐานันดรศักดิ์ของสมเด็จพระราชบิดา เจ้าฟ้ามหิดลอดุลเดช ที่ได้ทรงดำรงพระอิสริยยศฐานันดรศักดิ์เป็น ‘กรมหลวงสงขลานครินทร์’

ย้อนกลับไปเมื่อปี พ.ศ. 2505 รัฐบาลมีนโยบายจัดตั้งมหาวิทยาลัยขึ้นที่ภาคใต้ โดยเริ่มต้นจากการจัดตั้ง ‘วิทยาลัยศิลปศาสตร์และวิทยาศาสตร์’ เพื่อรอการพัฒนาขึ้นเป็นระดับมหาวิทยาลัย 

ต่อมาในปี พ.ศ. 2508 คณะรัฐมนตรีได้มีการอนุมัติหลักการในการจัดตั้งมหาวิทยาลัยในภาคใต้ขึ้นที่ ตำบลรูสะมิแล อำเภอเมือง จังหวัดปัตตานี โดยจะใช้เป็นที่ตั้งของคณะวิศวกรรมศาสตร์ และใช้ชื่ออย่างไม่เป็นทางการว่า ‘มหาวิทยาลัยภาคใต้’ ซึ่งมีสำนักงานชั่วคราวของมหาวิทยาลัยอยู่ที่อาคารคณะวิทยาศาสตร์ มหาวิทยาลัยแพทยศาสตร์ (อาคารคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล ในปัจจุบัน)

หลังจากนั้น คณะกรรมการพัฒนาภาคใต้ โดย พันเอก (พิเศษ) ดร.ถนัด คอมันตร์ นำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ขอพระราชทานชื่อให้แก่มหาวิทยาลัย เพื่อเป็นสิริมงคลแก่มหาวิทยาลัย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้พระราชทานนามมหาวิทยาลัยว่า ‘มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์’ เมื่อวันที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2510 ตามพระนามทรงกรมของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก คือ ‘กรมหลวงสงขลานครินทร์’ และใช้อักษรย่อ ‘ม.อ.’ คืออักษรย่อมาจากพระนาม ‘มหิดลอดุลเดช’ อันเป็นพระนามเดิมของสมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก กรมหลวงสงขลานครินทร์ และทรงพระราชทานตราประจำพระองค์ เป็นตราประจำมหาวิทยาลัย

ดังนั้น มหาวิทยาลัยจึงถือว่าวันที่ 22 กันยายนของทุกปีเป็น ‘วันสงขลานครินทร์’

ต่อมาวันที่ 12 มีนาคม พ.ศ. 2511 ได้มีพระบรมราชโองการประกาศใช้พระราชบัญญัติมหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ขึ้น มหาวิทยาลัยจึงกำหนดให้วันที่ 13 มีนาคมของทุกปีเป็น ‘วันสถาปนามหาวิทยาลัย’

มหาวิทยาลัยมีคติพจน์ว่า ‘ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตนเป็นที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภ ทรัพย์ และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์’ ดอกไม้ประจำมหาวิทยาลัย คือ ดอกศรีตรัง สีประจำมหาวิทยาลัย คือ สีน้ำเงิน

ทั้งนี้ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ อักษรย่อ ม.อ. ไม่ใช่ มอ. ชื่อภาษาอังกฤษ Prince of Songkla University อักษรย่อ PSU (ภาษาอังกฤษใช้ Songkla ซึ่งเขียนเหมือนพระนามประจำพระองค์ แตกต่างจากจังหวัดสงขลาที่ปัจจุบันใช้ภาษาอังกฤษ Songkhla)

‘แอ๊ด คาราบาว’ เปิดตัวสามแขกรับเชิญสุดพิเศษ ‘หงา – ฮิวโก้ – ลิเดีย’ ร่วมแจมใน ADD BAO ACOUSTIC CONCERT 5 ตุลา นี้ ที่ธันเดอร์โดม

(21 ก.ย.67) ใกล้เข้ามาทุกที สำหรับคอนเสิร์ต ADD BAO ACOUSTIC CONCRET (แอ๊ด บาว อะคูสติก คอนเสิร์ต) เดี่ยวคอนเสิร์ตอคูสติกของศิลปินตำนานเพลงเพื่อชีวิต ‘แอ๊ด คาราบาว’ ที่กำลังจะเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคมนี้ ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เรียกได้ว่าเป็นคอนเสิร์ตที่เจ้าตัวทุ่มเทการซ้อมโชว์อย่างหนัก เพื่อแฟนเพลงทุกคน คอนเสิร์ตครั้งนี้ แฟน ๆ ยังจะได้พบกับแขกรับเชิญสุดพิเศษจาก 3 ศิลปินคุณภาพแห่งวงการเพลง หงา สุรชัย จันทิมาธร, ฮิวโก้ จุลจักร จักรพงษ์ และ ลิเดีย ศรัณย์รัชต์ ดีน ที่โคจรมาพบกัน เตรียมสร้างปรากฏการณ์ความสุขสุดยิ่งใหญ่ ในคอนเสิร์ตสุดพิเศษ รูปแบบเวอร์ชั่นอคูสติก โดย แอ๊ด คาราบาว ยังนั่งแท่นควบตำแหน่งโชว์ไดเรกเตอร์ด้วยตัวเอง

ADD BAO ACOUSTIC CONCRET (แอ๊ด บาว อะคูสติก คอนเสิร์ต) จะจัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม นี้ ณ ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี จำหน่ายบัตรแล้วทาง Counter Service All Ticket ในร้าน 7-Eleven ทุกสาขาทั่วประเทศ และเว็บไซต์ AllTicket บัตรราคา 1500 , 3000 และ 4000 บาท พิเศษเฉพาะบัตร 4,000 ได้รับเสื้อที่ระลึก ADD BAO ACOUSTIC ที่หน้างาน 

ติดตามรายละเอียดได้ทางแฟนเพจ ‘ล้อมวงมันส์ Fun Network’ แฟนเพลง แอ๊ด คาราบาว ไม่ควรพลาด!!  

21 กันยายน ของทุกปี กำหนดให้เป็น ‘วันประมงแห่งชาติ’ สนับสนุนคนทำอาชีพประมง ตระหนักถึงความสำคัญ พร้อมสร้างขวัญกำลังใจให้ชาวประมงไทย

วันประมงแห่งชาติ ตรงกับวันที่ 21 กันยายนของทุกปี เพื่อเป็นการสนับสนุนในการทำอาชีพประมง และเป็นที่ระลึก สร้างขวัญกำลังใจในการประกอบอาชีพของชาวประมงไทย

จุดเริ่มต้นของ ‘วันประมงแห่งชาติ’ เกิดจาก ‘สหกรณ์ประมงสมุทรสาคร’ ได้ทําหนังสือลงวันที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2525 ถึงนายกรัฐมนตรี พลเอกเปรม ติณสูลานนท์ เสนอให้รัฐบาลกําหนดวันประมงแห่งชาติขึ้น เพื่อให้เป็นกําลังใจในการประกอบอาชีพและอาสาปกป้องประเทศทางด้านทะเล 

นายกรัฐมนตรีได้มีบัญชาให้สํานักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี มอบให้กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เป็นผู้พิจารณา ซึ่งได้มอบให้ ‘กรมประมง’ เป็นผู้รับเรื่อง เนื่องจากเกี่ยวข้องโดยตรง 

นอกจากนี้สํานักเลขาธิการฯ ได้ขอให้กระทรวงศึกษาธิการ สั่งการให้ราชบัณฑิตยสถานและกรมศิลปากรร่วมกันพิจารณาความเหมาะสมอีกด้วย กรมประมงจึงได้ประสานงานกับกองทัพเรือและมีความเห็นร่วมกันให้ ‘วันสงกรานต์’ ซึ่งประชาชนชาวไทยยึดถือเสมือนเป็นวันขึ้นปีใหม่มาตั้งแต่อดีต เป็นวันที่หยุดปฏิบัติภารกิจประจําวัน ในวันดังกล่าว เพื่อไปทําบุญตักบาตร ปล่อยนก ปล่อยปลา เพื่อความเป็นสิริมงคลและในวันนี้ทางราชการได้ถือว่าเป็น ‘วันขยายพันธุ์ปลาแห่งชาติ’ โดยสนับสนุนให้ประชาชนนําพันธุ์ปลาไปปล่อย ตามแหล่งน้ำต่าง ๆ ในโอกาสที่วันนี้เป็นวันสําคัญวันหนึ่งโดยมีศาสนาเข้ามาเกี่ยวข้อง จึงสมควร กําหนดให้วันที่ 13 เมษายนของทุกปี เป็น ‘วันประมงแห่งชาติ’ เมื่อเดือนมกราคม พ.ศ. 2527 เป็นต้นมา 

นอกจากนี้ยังเห็นสมควรให้หยุดทําการประมง มีการปล่อยปลาในแหล่งน้ำต่าง ๆ รวมทั้งในทะเลด้วย เพื่อเป็นการชดเชยสําหรับการที่ได้ทําการประมงมาตลอดปี 

แต่ในปัจจุบันกรมประมงพิจารณาแล้วเห็นว่าสภาพภูมิอากาศของประเทศไทยโดยรวมในช่วง เดือนเมษายนแล้งมากในทุกจังหวัด แหล่งน้ำธรรมชาติและแหล่งน้ำต่าง ๆ มีปริมาณค่อนข้างน้อย ดังนั้นการปล่อยพันธุ์สัตว์น้ำในช่วงวันที่ 13 เมษายน ซึ่งเป็นช่วงอุณหภูมิอากาศสูงมากพันธุ์สัตว์น้ำ ที่กรมประมงเตรียมมาให้ประชาชนปล่อยมีอัตราการตายสูง เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดือนกันยายน ซึ่งเป็นฤดูฝน แหล่งน้ำต่าง ๆ มีปริมาณน้ำมาก สภาพทางธรรมชาติของแหล่งน้ำเหมาะสมกับการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำวัยอ่อน 

กอปรกับวันที่ 21 กันยายน เป็น ‘วันสถาปนากรมประมง’ ดังนั้นเพื่อเป็นการรําลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก ปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่มีพระราชโองการเมื่อวันที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2469 ตั้ง ‘กรมรักษาสัตว์น้ำ’ ขึ้น ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น ‘กรมประมง’ ดังนั้นจึงมีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2549 กําหนดให้เปลี่ยน ‘วันประมงแห่งชาติ’ จากเดิมวันที่ 13 เมษายน เป็นวันที่ 21 กันยายนของทุกปี ตามที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์เสนอ โดยให้เริ่มตั้งแต่ปี พ.ศ. 2549 เป็นต้นมา

20 กันยายน ของทุกปี กำหนดเป็น ‘วันเยาวชนแห่งชาติ’ รำลึกวันพระราชสมภพ 2 ยุวกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี

วันที่ 20 กันยายนของทุกปี ถือเป็นวันคล้ายวันพระราชสมภพของพระมหากษัตริย์ไทย 2 พระองค์ ได้แก่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2396 

พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร รัชกาลที่ 8 ทรงพระราชสมภพเมื่อ วันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2468 

โดยพระมหากษัตริย์ทั้งสองพระองค์ ได้ขึ้นครองราชสมบัติขณะยังทรงพระเยาว์ 

ทั้งนี้ ประเทศไทย โดยคณะรัฐมนตรี ได้มีมติเห็นชอบให้กำหนดวันที่ 20 กันยายน เป็นวันสำคัญหลายเหตุการณ์ เช่น 

- ปี พ.ศ. 2528 กำหนดให้เป็นวันเยาวชนแห่งชาติ ซึ่งตรงกับที่องค์การสหประชาชาติได้กำหนดให้ปี 2528 เป็นปีเยาวชนสากล และเป็นวันพระราชสมภพและได้ขึ้นครองราชสมบัติขณะยังทรงพระเยาว์ของพระมหากษัตริย์ไทยทั้ง 2 พระองค์

- ปี พ.ศ. 2538 กำหนดเป็นวันอนุรักษ์และรักษาคูคลองแห่งชาติ เนื่องจากเมื่อวันที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2537 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้เสด็จประพาสทางเรือจากท่าน้ำสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ไปจนถึงประตูน้ำท่าไข่ จังหวัดฉะเชิงเทรา รวมระยะทางทั้งสิ้น 72 กิโลเมตร ใช้เวลา 5-6 ชั่วโมง การเสด็จประพาสทางเรือครั้งนี้สร้างความปลื้มปีติแก่พสกนิกรอย่างหาที่สุดมิได้ และเป็นที่มาของความสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณ ที่จะสืบสานปณิธาน และพระราชดำรัสของพระองค์ที่ว่า “คลองแสนแสบเป็นคลองสำคัญในประวัติศาสตร์ ที่สมควรได้รับการดูแลรักษาต่อไป”

- ปี พ.ศ. 2544 กำหนดให้เป็นวันรัฐวิสาหกิจไทย เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงวันคล้ายวันพระราชสมภพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

19 กันยายน พ.ศ. 2417 ‘รัชกาลที่ 5’ โปรดเกล้าฯ จัดตั้ง ‘พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย’ ถือเป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของประเทศไทย

19 กันยายนของทุกปี รัฐบาลได้ประกาศให้เป็น ‘วันพิพิธภัณฑ์ไทย’ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5

เมื่อปี พ.ศ. 2538 รัฐบาลได้ประกาศให้วันที่ 19 กันยายนของทุกปีเป็น ‘วันพิพิธภัณฑ์ไทย’ เพื่อเป็นการน้อมรำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ที่ทรงเห็นความสำคัญของพิพิธภัณฑสถาน ซึ่งพระองค์ได้โปรดเกล้าฯ ให้จัดตั้ง พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย ขึ้นในวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 และเสด็จพระราชดำเนินไปเปิดพิพิธภัณฑ์ด้วยพระองค์เอง

‘พิพิธภัณฑสถานหอคองคอเดีย’ หรือ ‘หอมิวเซียม’ เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งแรกของไทย โดยสร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2417 ในสมัยรัชกาลที่ 5 ที่หอคองคอเดีย หรือศาลาสหทัยสมาคม ซึ่งเป็นอาคารใหม่ภายในพระบรมมหาราชวัง จัดแสดงศิลปะโบราณ วัตถุของไทย ของพระมหากษัตริย์ และต่างประเทศ สิ่งเหล่านี้ ได้บอกเล่าเรื่องราววิถีชีวิตของคนรุ่นก่อน ผ่านกาลเวลามานับร้อยปี และได้เปิดให้ประชาชนได้เข้าชมเป็นครั้งแรก เมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2417 เพื่อได้ศึกษา ได้เรียนรู้รากเหง้าตัวของเราเองมากขึ้น

เปิดตัวชุดประจำชาติ 'โอปอล สุชาตา' ใน MUT 2024 แรงบันดาลใจจาก 'สมเด็จพระมหาเทวีศรีสุริโยไท'

(18 ก.ย. 67) มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 เปิดตัวชุดประจำชาติ (National Costume) ‘สยามมานุสตรี’ ของ ‘โอปอล สุชาตา ช่วงศรี’ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 ตัวแทนสาวไทยในการเข้าร่วมการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2024 ที่จะจัดขึ้นที่ประเทศเม็กซิโก ในเดือนพฤศจิกายนที่จะถึงนี้

โดยในปีนี้ทางกอง TPN ตัดสินใจเลือก ชุดสยามมานุสตรี ที่ได้รับแรงบันดาลใจมากจากพระราชพงศาวดารกล่าวถึง ครั้งสมเด็จพระมหาเทวีศรีสุริโยไท ทรงกระทำยุทธหัตถีกลางสมรภูมิอย่างหาญกล้า ทรงเป็นวีรสตรีที่ละพระชนม์ชีพเพื่อเป็นตัวแทนปกป้องบ้านเมือง นี่คือตัวอย่างของพลังที่ไร้ขีดจำกัดของผู้นำหญิงของไทยที่มีมาแต่โบราณ ตอกย้ำความสามารถในการเป็นผู้นำด้วยความหาญกล้าของหญิงไทย นำมาสู่แรงบันดาลใจในการออกแบบชุดสยามมานุสตรี โดยใช้เทคนิคงานหัตถศิลป์ชั้นสูง รวมถึงงานประดับปีกแมลงทับอันวิจิตรบรรจงรวมผู้เชี่ยวชาญและครูช่างครบทุกแขนง นับเป็นความภาคภูมิใจและพลังในการขับเคลื่อนงานศิลปาชีพของไทยสู่สายตาชาวโลก

ซึ่งเป็นชุดที่โอปอลสวมใส่ขึ้นอวดความสวยอลังการในการประกวดมิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 และเป็น 1 ใน 10 ชุดที่ดีที่สุดในรอบการประกวดดังกล่าว ผลงานการออกแบบโดย คุณบุหลัน ปั้นบรรจง ร่วมสร้างสรรค์โดยสมาคมภริยาช่างสิบหมู่

ย้อนชมชุดประจำชาติในยุคของ TPN Global

ปี 2023
‘ชุดเทวสตรี ศรีอโยธยา’ ได้รับแรงบันดาลจากรูปปั้น ‘พระแม่ธรณี’ ในช่วงยุคอยุธยาที่สามและสี่ของอาณาจักรสยามที่มีอยู่ในช่วงทศวรรษที่ 14 ถึง 18 

แม่ธรณีในประวัติศาสตร์พุทธไทย ถูกนับถือเป็นอย่างสูงและได้รับบูชาตลอดประวัติศาสตร์ไทย กล่าวถึงความเชื่อว่าตั้งอยู่ในดินแดนที่ทรงพระพรมความอุดมสมบูรณ์และความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติ เป็นแทนความสำคัญของธรรมชาติต่อมนุษย์และแสดงถึงการปกป้องดินและความรุ่งเรืองของมันที่คนไทยเก็บไว้ในใจ ประดับประดาเครื่องแต่งกายด้วยเครื่องประดับ ที่ถูกสร้างให้เหมือนกับรูปปั้นจากอาณาจักรอยุธยา จิวเวลรีรวมกับการใช้ลวดเส้น และใช้สีหินและพลอยคำที่มีค่าเพื่อสอดคล้องกับข้อมูลธรณีวิทยาที่บันทึกไว้จริงจากสมัยนั้น ออกแบบโดย คุณกมลรส ทูลภิรมย์ จากห้องเสื้อทรงเสน่ห์ผ้าลายอย่าง

ปี 2022
‘ชุดสงกรานต์เทวี’ สัญลักษณ์ของเทศกาลสงกรานต์ ซึ่งได้แรงบันดาลใจมาจากนางสงกรานต์ ประจำปี 2566 ‘นางกิมิทาเทวี’ ซึ่งเป็นหนึ่งในเทพธิดาทั้งเจ็ดของท้าวกบิลพรหม

ลวดลายของชุดได้แรงบันดาลใจมาจากหัตถศิลป์ หัตถกรรม ผ้าทอโบราณ ผ้าทอลายน้ำไหล ประดับตกแต่งด้วยงานปัก ลูกปัด คริสตัล เลื่อม และขวดน้ำที่เหลือใช้จากการบริโภค นำมาประยุกต์ให้มีความทันสมัย พร้อมขันเงินที่ทำโดยช่างฝีมือคนไทย สื่อถึงการรดน้ำดำหัวผู้ใหญ่ การเล่นน้ำ หรือใช้ในชีวิตประจำวัน แสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิต วัฒนธรรม ประเพณี ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่มีความประณีตสร้างสรรค์ รวมถึงสะท้อนให้เห็นถึงความสุข ความรัก ความอ่อนน้อมถ่อมตน และความงดงามที่สืบทอดต่อกันมาอย่างช้านานอีกด้วย ออกแบบโดย คุณแชมป์ พีรณัฐ วิริยะ ดีไซเนอร์เจ้าของแบรนด์ Ciqure

ปี 2021
‘ชุดนางคาด’ แรงบันดาลใจมาจากพลังเลือดนักสู้ในตัวหญิงสาว ผ่านรูปแบบศิลปะการต่อสู้ไทยโบราณอย่างมวยคาดเชือก ประยุกต์ให้เข้ากับความเป็นสากล ดุจดังพลังความหาญกล้า ผสมความงามของหญิงสาว ผ่านเส้นเชือกที่ร้อยต่อถักทอประดับโลหะคาดไปกับหมัดและร่างกายของสาวงาม เป็นพลังสำคัญที่จะประกาศให้ทั้งโลกได้เห็นถึงวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์และพลังนักสู้ของคนไทย 

ไม่เพียงเท่านั้นนางคาดยังแสดงให้คุณเห็นว่านางงามว่าเป็นได้มากกว่าภาพลักษณ์ที่สวยงาม อีกนัยสำคัญของคำว่า ‘คาด’ คือการนำพลังใจจากคนไทยทั้งประเทศเรียงร้อยรวมกันอย่างเหนียวแน่น เพื่อส่งใจเชียร์ตัวแทนสาวไทยอย่างแอนชิลี ผลงานออกแบบโดย คุณจาตุรณ แร่เพชร ซึ่งเป็นผู้ชนะเลิศในการออกแบบชุดประจำชาติ จากบรรดาดีไซเนอร์ที่ส่งแบบเข้าประกวดกว่า 200 ชุดบนเวทีมิสยูนิเวิร์ส 2021

ปี 2020
‘ชุดไตรรงค์อนงค์นาถสุพรรณมัจฉา’ หรือ ชุดปลากัดไทย แรงบันดาลใจมาจากนางสุพรรณมัจฉา นางในวรรณคดีเรื่องรามเกียรติ์ โดยได้นำความงามสง่าของนางสุพรรณมัจฉาแต่ปรับโฉมออกมาให้เป็นความงามของปลากัดไทย สัตว์น้ำประจำชาติที่ทรงคุณค่าและมีสีสันสวยงาม เสริมความโดดเด่นด้วยสีสันของธงไตรรงค์ลงบนครีบอันพลิ้วไหว 

ซึ่งลวดลายดังกล่าวเป็นลายเสมือนจริงของปลากัดหางสั้นลายธงชาติ ที่ขึ้นชื่อว่ามีราคาสูงสุดในประวัติศาสตร์ไทย ที่รู้จักกันในนามเจ้าไตรรงค์ ออกแบบโดย คุณอัครัช ภูษณพงษ์ หรือ อาร์ทอัครัช เนรมิตศิลป์ นักออกแบบชุดประจำชาติบนเวทีนางงาม ที่มีผลงานประจักษ์มาแล้วหลายเวที

ปี 2019
‘ชุดผีตาโขน’ แรงบันดาลใจมาจากเอกลักษณ์ท้องถิ่นอย่างประเพณีผีตาโขน ของอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย นำเสนอลวดลายผ้าของภาคอีสาน ผ่านกระบวนการปักหลายเทคนิคเพื่อให้ความรู้สึกตระการตา ตัวชุดมีการนำวัสดุเหลือใช้อย่างเช่น ถุงก๊อปแก๊ปหลากสี ช้อนพลาสติก ขวดน้ำอัดลมพลาสติกสีเขียว เชือกฟาง หลอดดูดน้ำ ตะกร้าพลาสติกที่พังแล้ว ลูกโป่ง และพรมเช็ดเท้าสานแบบบาง มาเพิ่มคุณค่าในรูปแบบของงานศิลปะรีไซเคิล 

ซึ่งได้รับร่วมแรงร่วมใจกันจัดหาของกลุ่มแฟนนางงาม ตัวหน้ากากผีตาโขน ถูกออกแบบให้มีความสูงอยู่ที่ระดับ 2.5 เมตร จุดเด่นให้ครอบศีรษะลักษณะคล้ายหวดนึ่งข้าวเหนียว ใบหน้ายาว จมูกโค้งงอ ตกแต่งความงามให้สื่อถึงความบันเทิงและสนุกสนาน ออกแบบโดย คุณอลงกรณ์ กองอิน ผู้ชนะเลิศจากการแข่งขันประกวดชุดประจำชาติในโครงการ ความเป็นไทยร่วมสมัยที่ฟ้าใสจะใส่ไปคว้ามง

ซึ่งทั้ง 5 ชุดประจำชาติ ในปี 2019-2023 ซึ่งอยู่ในยุคของ TPN Global ยังไม่เคยมีชุดไหนได้รับรางวัลชุดประจำชาติยอดเยี่ยม ดังนั้น ‘ชุดสยามมานุสตรี’ ที่ ‘โอปอล สุชาตา ช่วงศรี’ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2024 จะสวมใส่ขึ้นในรอบ National Costume ในการประกวดมิสยูนิเวิร์ส 2024 ครั้งนี้ จึงเป็นอีกหนึ่งความหวังของแฟนนางงาม ว่าประเทศไทยจะสามารถคว้ารางวัลมาได้ หลังจากที่ตัวแทนสาวไทย ‘แนท อนิพรณ์ เฉลิมบูรณะวงศ์’ มิสยูนิเวิร์สไทยแลนด์ 2015 เคยคว้ามาได้จาก ‘ชุดตุ๊กตุ๊ก ไทยแลนด์’

'บุ๋ม-ปนัดดา' เดินหน้าช่วยน้ำท่วม ไม่หวั่นแม้ตั้งครรภ์ 7 เดือน เมินคนแซะดาราทำดี ชี้!! จิตใจผู้ประสบภัยหลังน้ำลดสำคัญกว่า

ขณะนี้ประเทศกำลังเจอวิกฤตน้ำท่วมครั้งใหญ่ คนบันเทิงและคนทั่วไป ต่างโอนเงินร่วมบริจาคผ่านองค์กรทำดี เพื่อช่วยเหลือพี่น้องชาวเหนืออย่างต่อเนื่อง และเป็นจำนวนมาก บางรายโอนช่วยเงียบ ๆ ไม่บอกใครจนโดนดรามา ถึงขั้น ‘บุ๋ม ปนัดดา วงศ์ผู้ดี’ ออกมาโต้แทน 

เมื่อวานนี้ (17 ก.ย. 67) บุ๋ม ปนัดดา รวมตัวเฉพาะกิจนักร้องลูกทุ่ง และ องค์กรทำดี เพื่อไลฟ์สดเพื่อหารายได้ไปช่วยฟื้นฟูโรงเรียนที่ถูกน้ำท่วมในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ณ เซียร์รังสิต เจ้าตัวก็ขอเปิดใจทุกเรื่อง ลั่น ทนไม่ได้หากใครมาแซะคนทำดี พร้อมยันไม่ต้องห่วงเรื่องอุ้มท้องโตลงพื้นที่ เพราะผัวอนุญาต

“เราก็พยายามจะหาทุนอย่างเพราะเรายังลงพื้นที่อยู่นะคะ เมื่อเช้าเราก็ดูแลที่พะเยา แล้วก็มาหนองคายต่อ แต่เชียงรายเราก็ยังดูแลพื้นที่อยู่ โรงครัวต่าง ๆ เพราะยังมีผู้ประสบภัยอยู่ หลังจากนี้เรายังมีการฟื้นฟูอีก 50 โรงเรียนเลยนะคะ แต่ละโรงเรียนก็เกือบหลักแสนนะคะ ยังไม่รวมกับเสื้อผ้าเด็ก ๆ อีก มันเป็นสิ่งที่เราต้องสู้กันต่อค่ะ น้ำท่วมว่าหนักแล้วนะ แต่พอไปดูสภาพหลังน้ำท่วมแล้วหนักยิ่งกว่า เพราะน้ำท่วมคราวนี้มันมาพร้อมโคลน มันมาพร้อมความเสียหาย อย่าเรียกว่าเริ่มต้นใหม่เลย เรียกว่าติดลบดีกว่า
บางหลังรากฐานล่างก็ต้องออกหมดเลยค่ะ อย่างที่สุโขทัยพื้นบ้านหายไปหมดเลย เรายังมีอะไรที่ต้องฟื้นฟูกันอีกเยอะค่ะ”

“คนในพื้นที่ตอนนี้สภาพจิตใจก็แย่ค่ะ ล่าสุดก็ได้มีทีมจิตแพทย์เข้าไปดูแลสภาพจิตใจกันด้วย เพราะคนตอนนี้กลายเป็นซึมเศร้า น่าสงสารมากเลย เพราะภาพที่เขาดูน้ำท่วมอยู่หน้าบ้าน แล้วมันเวิ้งว้างไม่มีความช่วยเหลือเข้าไป อันนั้นคือสภาพจิตใจที่แย่สำหรับพวกเขาแล้ว หลาย ๆ บ้านมองสภาพบ้านตัวเองที่มันไม่เหลืออะไรเลยแม้กระทั่งตอม่อ ค่าผ่อนรถ ค่าผ่อนมอเตอร์ไซค์มันยังเดินต่อ แต่สิ่งที่สร้างรายได้ให้เขามันไม่มีเลย บางบ้านเฟอร์นิเจอร์ไม่เหลือสักชิ้นนะคะ กลายเป็นบ้านโล่ง ๆ เปล่า ๆ แล้วแถมยังต้องทำความสะอาดบ้าน น้ำสะอาดก็ไม่มี นี่คือสภาพติดลบของประชาชนในพื้นที่ค่ะ”

“ทีนี้พอเราได้ลงพื้นที่จริง ๆ เราถึงได้เห็นสภาพจิตใจของพวกเขา เราถึงรู้ว่าเขายังต้องการความช่วยเหลืออีกเยอะมาก ๆ อย่างเมื่อวานบุ๋มดูแลศูนย์พักพิง มีอยู่ประมาณเกือบ 200 คน ซึ่งมีคนแก่และเด็กเยอะมาก กลายเป็นว่าน้ำสะอาดก็ไม่มี เขาก็ไม่ได้อาบน้ำกัน ช่วงแรก ๆ ใช้เทียนกัน 4 วันเต็ม ๆ แล้วตอนนี้อุปกรณ์เครื่องมือทำอาหารบุ๋มก็ต้องส่งไป ส่งกันทุก ๆ วันค่ะ ถ้าคุณเป็นคนทำกับข้าว เป็นแม่ครัวทำอาหารน่าจะรู้ดีกว่าค่าใช้จ่ายมันขนาดไหน แล้วมีทั้งหมด 3 โรงครัวใหญ่ เราดูแลคนเยอะมากค่ะ”

>>ทำมูลนิธิ 10 ปี ครั้งนี้ครั้งแรกที่ไม่เข้าเนื้อ ไม่สนดรามา สนว่าประชาชนจะได้อะไร

“อยากจะบอกว่าทำมูลนิธิมา 10 ปีนี่เป็นครั้งแรกที่ไม่เข้าเนื้อ (หัวเราะ) เพราะตั้งแต่โควิดตอนนั้นบุ๋มก็ควักไป 5 ล้าน แล้วน้ำท่วมก็ไม่ใช่แค่แม่สายนะ องค์กรทำดีเราดูแลมาตั้งแต่เทิงแม่ต๋ำ เดือนกว่าแล้วนะคะ แล้วไปแพร่ ไปน่าน ไปสุโขทัย ไปอยุธยา กลับมาขึ้นแม่สายต่อแล้วตอนนี้อยู่หนองคาย ซึ่งหลังจากนี้บุ๋มก็ต้องบินไปหนองคายต่อ เราดูแลมาเดือนนึงเต็ม ๆ แล้วค่ะที่แช่น้ำกันมา ค่าใช้จ่ายที่เราต้องดูแลในแต่ละวันเยอะมากค่ะ ดังนั้นนี่คือครั้งแรกค่ะที่ไม่เข้าเนื้อ ที่ผ่านมาคือเงินบุ๋มหมด รถที่ใช้วิ่งที่ใช้ลากเรือนี่ ดิฉันไม่ได้ใช้โซลาร์เซลล์ค่ะ ดิฉันใช้น้ำมัน (หัวเราะ) ผัดกับข้าว ทำโรงครัวเป็นพัน ๆ กล่องต่อวัน เราต้องใช้น้ำมัน ต้องใช้แก๊สค่ะ ค่ากล่องใส่ข้าวอีก”

“มีคนบอก ค่าใช้จ่ายอะไรบ้างเหรอ ไอ้คนที่ถามนี่ไม่ได้บริจาคหรอกบุ๋มเชื่อ แต่คนที่บริจาคเขาไม่พูดหรอกค่ะ เพราะเขารู้ว่าเราทำอะไรบ้าง เขาดูตารางงานของบุ๋มในแต่ละวันก็รู้ ข้อเสียของบุ๋มคือถ่ายรูปไม่เก่ง บุ๋มไม่ค่อยถ่ายรูปลงเท่าไหร่ เพราะทีมงานเราลงอยู่ในน้ำค่ะ เพื่อเอาของใส่เรือให้ได้มากที่สุด ดังนั้นทีมงานไม่สามารถควักมือถือมาถ่ายรูปได้ว่าเราทำอะไรอยู่ตอนนั้น แต่สิ่งที่เราเจอคือเราได้รับสิ่งของจากหลาย ๆ หน่วยงาน ทั้งภาครัฐและเอกชน ตอนนี้บนดอยต่าง ๆ เราส่งของถึงแล้วนะคะเรามีมอเตอร์ไซค์วิบาก มีรถออฟโร้ด ทีมที่มาเป็นอาสาสมัครให้กับเรา มาร่วมกับองค์กรทำดี ทุกคนมาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน บุ๋มก็เลยไม่ได้โพสต์อะไร เพราะตอนนี้บุ๋มไม่สนดรามาค่ะ แต่เราจะสนว่าประชาชนได้อะไรมากกว่า”

>>ทีมอาสาขององค์กรทำดีมีเกือบร้อยชีวิต

“ถ้าทีมขององค์กรทำดีก็เกือบ 100 ชีวิต แต่ถ้าทีมอาสาสมัครตอนนี้เยอะมาก เพราะมีหน่วยงานบริษัทบ้าง มีมหาวิทยาลัยบ้าง แต่เราก็ต้องซัปพอร์ตในเรื่องของอุปกรณ์ น้ำยาทำความสะอาด และค่าเดินทางของพวกเขา ค่าอาหารอะไรต่าง ๆ เราก็ต้องดูแลพวกเขาตรงนี้ด้วย”

“เอาง่าย ๆ ว่าถ้าน้ำยังท่วมอยู่เราก็ยังไปเรื่อย ๆ ของพวกเรา เพราะเดี๋ยวจะบอกว่าช่วยแต่เชียงรายเหรอ เราก็ต้องไปทุกที่ เพราะทุกที่เดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือหมด แม้กระทั่งพื้นที่ที่แห้งไปแล้ว อย่างสุโขทัย อยุธยา หรือแม้กระทั่งเทิงแม่ต๋ำ แต่ความเสียหายมันยังอยู่ค่ะ ไม่ใช่ว่าน้ำแห้งแล้วจบค่ะ เรายังต้องช่วยเขาต่อ บุ๋มอยากขอบคุณทุกพลังค่ะ 1 บาทของคุณ 1 ล้านบาทของคุณมันคือพลังอันยิ่งใหญ่ค่ะเพราะเรือเราพัง รถเราพัง เราเลยรู้สึกมันไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าน้ำใจของทุกคนที่ส่งมาให้กับบุ๋ม ขอบคุณมาก ๆ ที่ทุกคนเชื่อในตัวบุ๋ม ขอบคุณมาก ๆ ที่เชื่อในองค์กรทำดี ในการที่เราจะส่งต่อทุกอย่าง ทุกบาท ทุกสตางค์ให้ถึงพี่น้องประชาชนให้ได้มากที่สุดค่ะ”

>>ไม่กล้าคิดเรื่องเงินสมทบทุน แค่มีคนให้ก็ดีใจแล้ว ขอบคุณดาราออกมาช่วยกันเยอะเป็นล้าน ๆ ครั้ง

“ไม่รู้ ไม่กล้าคิดเลย แค่มีคนมาดิฉันก็ดีใจแล้ว ไม่กล้าตั้งเป้าอะไรเลย เพราะว่าตอนนี้เงินมาก็เงินออกค่ะ (หัวเราะ) อยากให้มาเป็นบัญชีดิฉันจังเลย อย่างวันนี้เราก็ไม่คาดคิดว่าจะมีศิลปินดารามาเยอะขนาดนี้ ตอนแรกคิดว่าน่าจะสัก 2 ชม. จบ แต่ตอนนี้ไม่ได้แล้ว”

“และมีน้อง ๆ ดารามากันอีกเยอะมาก ก็อยากจะขอบคุณเป็นล้าน ๆ ครั้งจริง ๆ ค่ะ ขอบคุณที่มาช่วยประชาชนค่ะ“

>>แซะคนทำดี ทนไม่ได้

“คือใครที่แซะบุ๋ม บุ๋มทนได้นะ แต่ถ้าแซะคนทำดี บุ๋มทนไม่ได้ บางทีน้องเขาไม่ได้ออกตัว น้องเขาไม่ได้พูดอะไร อย่างน้องชมพู่ (อารยา เอ ฮาร์เก็ต) เขาบอกว่าหนูต้องจ่ายเท่าไหร่ให้พี่ไม่ลงน้ำ (หัวเราะ) เราคุยกันทางไลน์ บุ๋มก็บอกว่าไม่เรียกร้องเลย แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือเรือเราแตกหลังจากที่เจอคลื่นแรง เราต้องซื้อเรือใหม่ เขาบอกโอเคได้ งั้นหนูให้แม่ล้านนึง เงินเข้ามาก็ออกไปทันที เพราะเราก็เอาไปช่วยเหลือคนต่อ ก็เป็นสิ่งที่อยากขอบคุณจริง ๆ ค่ะ อยากบอกว่าคนที่ไม่ออกนามมีอีกเยอะนะคะ คุณอย่าไปแซะเขาเลยค่ะ ถ้ามีเวลาว่างนะ ช่วยกันหาดีกว่าว่าโรงเรียนไหนยังเดือดร้อน ประชาชนตรงไหนยังเดือดร้อน แล้วส่งมาที่องค์กรทำดี เรามาช่วยเหลือกันดีกว่า อย่ามัวแต่แซะคนนั้นคนนี้เลย ใช้สื่อให้เป็นประโยชน์กันดีกว่า“

>> รับอุ้มท้อง 7 เดือนลงพื้นที่ ไม่ได้นอน กลับมาเลือดกำเดาไหล แต่ยังไงก็รักลูกที่สุด ไม่ต้องห่วง ยังหาหมอปกติ เดี๋ยวผัวดุ ถ้าผัวยังอนุญาตให้ไป ก็สบายใจได้

“ตอนที่ลงแม่สายยอมรับว่าไม่ได้นอนค่ะ กลับมาก็เลือดกำเดาไหล เพราะเราไม่ค่อยได้ดื่มน้ำ ในพื้นที่ห้องน้ำไม่มี แต่หลังจากนั้นก็กลับมาดูแลตัวเองแล้วค่ะ ยังไงดิฉันก็ต้องรักลูกดิฉันมากที่สุดค่ะ ไม่ต้องห่วง ส่วนที่มีคนบอกว่าไม่ยอมไปหาหมอ หาอยู่ค่ะ หมอสูตินารีนัดสิ้นเดือนค่ะ ไม่ต้องห่วง ๆ เดี๋ยวผัวดุค่ะ ไม่ได้ค่ะ (หัวเราะ) จริง ๆ ที่บ้านก็ยังไม่ค่อยห่วง ก็ถ้าขนาดสามีดิฉันยังปล่อยดิฉันไปได้ พวกคุณก็สบายใจได้ค่ะ (ยิ้ม) นี่หลายคนตั้งชื่อให้ลูกดิฉันแล้วนะคะ ชื่อน้องน้ำใจบ้าง น้ำเหนือบ้าง แต่น้ำเหนือคงไม่ได้ เดี๋ยวอีสานน้อยใจ (หัวเราะ)”

>>หมอห้ามลงน้ำลึกเกินมดลูก หวั่นติดเชื้อ

“คุณหมอห้ามลงน้ำลึกค่ะ ลึกห้ามเกินมดลูก เพราะเขากลัวติดเชื้อ แต่ที่ผ่านมาก็ไม่เกินค่ะ ยังอยู่แค่เข่า แต่ ณ ตอนนี้แค่เข่าทีมงานก็ไม่ให้แล้วค่ะ ทีมงานก็ให้เป็นแม่ย่านางนั่งสั่งการอยู่บนเรือไป”

>>แฮปปี้ถูกลอตเตอรี่ แต่ได้เงินมาก็ออกหมด

“เราได้ที่ดินเป็นมูลนิธิสาขา 2 ที่ลำปางนะคะ อันนี้ตั้งใจจะทำเป็นพื้นที่ในการช่วยเป็นบ้านพักพิงให้กับผู้หญิงและเด็กที่โดนทำร้ายร่างกาย โดนข่มขืนมา พอเราได้บ้านปุ๊บ ดิฉันก็โพสต์เลขที่บ้านค่ะ 237 ก็ไม่คิดหรอกว่าจะออกจริง ๆ งวดที่แล้วดิฉันก็ยืนอยู่ตรงรถกู้ภัยของดิฉันนี่แหละ แล้วก็ออกอีก ชาวบ้านก็เลยบอกว่าแม่บุ๋มให้โชคเยอะมาก แต่ถ้าจะให้ดีคุณให้ดิฉันบ้างก็ได้นะคะ (หัวเราะ)”

“ดิฉันไม่เคยได้โชคอะไรอย่างนี้เลย มีแค่เมื่อวานแหละค่ะที่ถูก 2 ใบ เงินที่ได้ก็เอาไปเป็นค่าน้ำให้กับศูนย์พักพิงไปเรียบร้อยแล้วค่ะ ได้มาก็ออกไปค่ะ ยังไงก็ขอบคุณมาก ๆ เลยนะคะสำหรับทุกคนที่เป็นพลังน้ำใจให้กับบุ๋ม ขอบคุณสื่อมวลชน ขอบคุณศิลปินดาราทุก ๆ คน บุ๋มเชื่อว่าทุกคนทำในสิ่งที่ตัวเองทำได้ แล้วมันกลายเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่จริง ๆ ค่ะ ขอบคุณที่เชื่อในองค์กรทำดีค่ะ”


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top