Thursday, 5 June 2025
นายหัวไทร

ดวงเมืองคอน กับ ปรากฏการณ์ข่าวน่าละอาย  สส.ทำร้ายประชาชน!! กระทืบนักธุรกิจ

(3 มิ.ย. 68) ปรากฏการณ์ข่าวใหญ่ในเมืองนครศรีฯ “สส.คนดังเมืองนครศรีฯกร่าง กระทืบนักธุรกิจ” นั้นคือหัวข่าวเบื้องต้น

ต่อมานักข่าวในพื้นที่ และสื่อสังคมออนไลน์สืบค้นพบว่า คนก่อเหตุน่าจะเป็น “แทน-ชัยชนะ เดชเดโช” และคณะ ส.อบจ. อันเป็นการก่อเหตุในงานอุปสมบทลูกชายนายกฯอบต.ควนพัง อ.ร่อนพิบูลย์ จ.นครศรีฯ

ปฐมเหตุเกิดจากการนั่งร่วมโต๊ะอาหารระหว่างทีมของ สส.แทน กับเสี่ยเจ้าของร้านวัสดุก่อสร้าง และมีการพูดคุยกันถึงศึกเลือกตั้งนายกฯอบต.ควนพัง ในการเลือกตั้งปลายปี 2568 

แน่นอนว่า การเมืองต้องมีการแข่งขัน และกำลังมีการฟอร์มทีมใหม่ เพื่อลงแข่งกับนายกฯปัจจุบัน ที่สนิทชิดเชื้อกับ สส.แทน จึงมีการเอื้อนเอ่ยเชิงขอร้องไม่ให้มีการส่งทีมลงแข่ง แต่คู่สนทนาที่กำลังฟอร์มทีมสู้ปฏิเสธข้อเรียกร้อง

สุราเม…ออกอาการ เมื่อการพูดคุยไม่รู้เรื่อง ฝ่ามือ 1 ฉาด จึงพุ่งตรงเข้าหน้าของคู่สนทนา และลุกลามถึงขั้นลากไปกระทืบหลังเวทีตามข่าว

กรณีที่เกิดขึ้น ไม่มีใครกล้าพูดกล้าวิจารณ์ พยานในงานบวชก็พากันเงียบกริบ แต่เกิดมวยคู่เอกปรากฏขึ้น “เชาว์ มีขวด” อดีตรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่า เป็นคู่กรณี และคนรู้จัก รวมทั้งอาจจะเป็นคู่แข่งทางการเมืองในอนาคตก็ออกโรงขย่ม สส.แทนทันที ทั้งเรื่องจริยธรรม คุณธรรม คดีอาญายอมความไม่ได้ รับอาสาเป็นทนายความให้เหยื่อ เรียกร้องให้โอนคดีให้กองปราบปรามทำแทนตำรวจในพื้นที่ 

แม้คู่กรณีของ สส.แทนจะถอนแจ้งความในวันเดียวกันกับวันแจ้งความ โดยให้เหตุผลว่าเข้าใจผิด แน่นอนว่า ต้องเกิดจากเหตุไม่ปกติแน่นอน เพราะก่อนหน้านั้น มีข่าวสับสนว่า แจ้งความแล้วยังถูกข่มขู่ให้ถอนแจ้งความ ระดับผู้การฯบอกว่า ไม่มีการแจ้งความ แต่หลักฐานหลุดมาจนได้ “ใบแจ้งความ ใบถอนแจ้งความ” ส่วน สส.แทน ปฏิเสธไม่รู้ ไม่เห็น ไม่มีเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นในพื้นที่

ผมสนใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับเมืองคอน เกิดเหตุร้าย เหตุให้ละอาย เหตุภัยพิบัติขึ้นบ่อยครั้ง จึงไปสืบค้นข้อมูลที่น่าสนใจ ขออนุญาตนำมาเสนอต่อจากข่าวนี้
ใครทำอะไรผิด หรือฝ่าฝืนจารีต ถึงทำให้เมืองนครศรีฯตกต่ำ ไม่เจริญก้าวหน้า

คำถามที่ว่าทำไมเมืองนครศรีธรรมราช “ถึงตกต่ำ” หรือ “ไม่เจริญก้าวหน้า” นั้นเป็นประเด็นที่มีความซับซ้อน และอาจมีหลายปัจจัยเกี่ยวข้อง ทั้งด้านเศรษฐกิจ การเมือง โครงสร้างสังคม รวมถึงความเชื่อทางจิตวิญญาณ เช่นเรื่อง “ดวงเมือง” ที่คุณพูดถึง ซึ่งคนในพื้นที่บางกลุ่มก็มีความเชื่อว่าสิ่งเหล่านี้สัมพันธ์กันอย่างลึกซึ้ง

ต่อไปนี้คือ สาเหตุที่คนทั่วไปหรือกลุ่มนักวิชาการ–นักไสยศาสตร์บางส่วน มองว่าอาจเกี่ยวข้องกับความถดถอยของเมืองนครศรีธรรมราช

 1. ความเชื่อเรื่อง “ลบหลู่ดวงเมือง”
มีความเชื่อในหมู่ชาวนครบางส่วนว่า:
• มีการเปลี่ยนแปลง/เคลื่อนย้าย/ปรับปรุงบริเวณศาลหลักเมือง หรือพระบรมธาตุเจดีย์ โดยไม่เหมาะสมหรือไม่ถูกฤกษ์
• มีบุคคลบางกลุ่มในอดีต “ไม่เคารพต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์” หรือทำพิธีกรรมผิดขั้นตอน
เช่น ความเชื่อว่าถ้ามีผู้ปกครองที่ “ไม่ถูกโฉลกกับดวงเมือง” เมืองจะเจอภัยพิบัติ เศรษฐกิจตกต่ำ หรือการเมืองวุ่นวาย

 2. การเมืองภายในจังหวัดที่แตกแยก
• เมืองนครศรีธรรมราชมีประวัติความขัดแย้งทางการเมืองในท้องถิ่นยาวนาน
• การแข่งขันระหว่างกลุ่มการเมือง/นักธุรกิจ/ผู้มีอิทธิพลในท้องถิ่น อาจทำให้การพัฒนาเมืองล่าช้า หรือไม่ยั่งยืน

 3. โครงสร้างพื้นฐานไม่ทันยุค
แม้เมืองนครฯ จะมีประวัติศาสตร์ยาวนาน แต่ในบางมุมเมืองยังมี:
• ระบบคมนาคมที่ไม่เชื่อมโยงกับศูนย์กลางเศรษฐกิจใหญ่
• ระบบบริการสาธารณะที่ไม่ทันสมัยเท่าเมืองอื่น ๆ ในภาคใต้ เช่น ภูเก็ตหรือสุราษฎร์ฯ

 4. การเปลี่ยนผ่านด้านวัฒนธรรมและจิตวิญญาณ
• หลังยุคบูมของ “จตุคามรามเทพ” (ราวปี 2549–2550) เมืองมีความหวังใหม่ด้านเศรษฐกิจและจิตวิญญาณ
• แต่เมื่อความเชื่อเหล่านั้นถูกมองว่า “กลายเป็นเชิงพาณิชย์” ความศักดิ์สิทธิ์ก็เสื่อมลงในสายตาของบางคน
• บางกลุ่มจึงมองว่าดวงเมือง “อ่อนแรง” เพราะความศรัทธาเสื่อม

 5. ปัญหาเชิงระบบ
• การกระจายอำนาจไม่เพียงพอ: งบประมาณพัฒนาท้องถิ่นมีจำกัด
• การศึกษาหรือนโยบายเศรษฐกิจที่ไม่ตอบโจทย์ท้องถิ่น

สรุป:
ไม่มีใคร “ทำผิดคนเดียว” ที่จะทำให้เมืองนครศรีธรรมราชตกต่ำหรือไม่ก้าวหน้า
แต่ปัจจัยร่วมกันทั้ง คนในเมือง, การบริหารท้องถิ่น, โครงสร้างอำนาจ และ ความเชื่อ/ศรัทธา ล้วนมีบทบาท
เมื่อศึกษาค้นคว้าลึกลงไปจะพบว่า….

ดวงเมืองนครศรีธรรมราชมีความเกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้งกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผู้เป็นปฐมกษัตริย์แห่งอาณาจักรตามพรลิงค์และผู้สถาปนาเมืองนครศรีธรรมราช พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญในการวางรากฐานทางการเมือง ศาสนา และวัฒนธรรมของเมือง

การสถาปนาเมืองและดวงเมือง
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงสถาปนาเมืองนครศรีธรรมราชขึ้นเมื่อประมาณ พ.ศ. 1830 หลังจากอาณาจักรศรีวิชัยล่มสลาย โดยมีการกำหนดดวงเมืองในวันพฤหัสบดี แรม 12 ค่ำ เดือน 3 ปีเถาะ จุลศักราช 649 ซึ่งตรงกับวันสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมืองนี้เป็นการวางรากฐานทางจิตวิญญาณและการปกครองของเมือง

การส่งเสริมพระพุทธศาสนา
พระเจ้าศรีธรรมาโศกราชทรงเป็นผู้ส่งเสริมพระพุทธศาสนาอย่างมาก โดยทรงสร้างพระบรมธาตุเจดีย์เพื่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุของพระพุทธเจ้า และทรงจัดระเบียบการปกครองแบบธรรมราชา ซึ่งเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและหลักธรรมทางศาสนา 

ความเชื่อและพิธีกรรมที่เกี่ยวข้องกับดวงเมือง
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชยังถูกผูกโยงกับความเชื่อทางศาสนาและไสยศาสตร์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับองค์จตุคามรามเทพ ซึ่งเป็นเทพที่ชาวนครศรีธรรมราชเคารพนับถือ การสร้างเสาหลักเมืองและการกำหนดดวงเมืองจึงเป็นการผสมผสานระหว่างการปกครองและความเชื่อทางศาสนา

สรุป
ดวงเมืองนครศรีธรรมราชถูกผูกโยงอย่างแน่นแฟ้นกับพระเจ้าศรีธรรมาโศกราช ผ่านการสถาปนาเมือง การกำหนดดวงเมือง และการส่งเสริมพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นรากฐานทางจิตวิญญาณและวัฒนธรรมของเมืองที่ยังคงมีอิทธิพลมาจนถึงปัจจุบัน 
จริงๆมีข้อมูลมากเกี่ยวกับดวงเมืองนครศรีธรรมราช กับปรากฏการณ์ปัจจุบัน โดยเฉพาะการวางรากฐานทางจิตวิญญาณ ความเชื่อ ศาสนา กับการเมืองการปกครอง

‘ปวิช พรหมทอง’ แต่งตัว!! ลงชิง สส.เขต 2 พัทลุง ‘พรรคกล้าธรรม’

(1 มิ.ย. 68) ผมไล่ดูในเฟซบุ๊กของพรรคพวก @ปวิช พรหมทอง กรรมการในการยางแห่งประเทศไทย พบข้อมูลที่น่าสนใจ

น่าสนใจว่า ปวิช พรหมทอง ลงไปพัทลุงบ่อยครั้งในช่วงปีนี้ น่าจะมีภารกิจพิเศษที่น่าสนใจมากกว่าการลงไปปฏิบัติภารกิจในฐานบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย (กยท.)

พบข้อมูลว่า ปวิชลงไปแจกเอกสารประเภทหนึ่งที่เรียกว่า 'โฉนดต้นยาง' บอกตามตรงว่า ไม่รู้จัก เคยรู้ที่ นส.3 /โฉนด/หรือ สค.1 แต่คำว่า โฉนดต้นยาง ยังไม่เคยรู้จักมาก่อน

สืบค้นพบว่า เอกสารโฉนดต้นยางเป็นนโยบายของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์

ขออนุญาตนำเรียนว่าด้วยความไม่รู้จึงไปสืบค้นผ่าน 'ปัญญาประดิษฐ์' หรือ AI ด้วยการเสิร์ชหาผ่าน Chat GPT พบข้อมูลที่น่าจะพออธิบายคำว่า 'โฉนดต้นยาง' ซึ่งแตกต่างจากโฉนดเพื่อการเกษตร ที่แปลงโฉมมาจาก สปก.4-01

อธิบายความอย่างนี้จากข้อมูลผ่าน Chat GPT พบว่า คำว่า 'โฉนดต้นยาง' อาจหมายถึงเอกสารสิทธิ์ที่เกี่ยวข้องกับ ต้นยางพารา หรือ ที่ดินที่ปลูกต้นยาง แต่ในกฎหมายไทย ไม่มีเอกสารชื่อว่า 'โฉนดต้นยาง' โดยตรง ดังนั้นคำนี้อาจมีความหมายในบริบทใดบริบทหนึ่งต่อไปนี้:

1. โฉนดที่ดินที่ปลูกต้นยางพารา
• เป็นโฉนดที่ดิน (น.ส.4) ที่เจ้าของใช้ปลูกสวนยาง
• ใช้เป็นหลักฐานกรรมสิทธิ์ในที่ดินที่ปลูกต้นยาง
• สามารถนำไปใช้ค้ำประกันกู้เงินจากธนาคารหรือกองทุนต่าง ๆ ได้

2. ทะเบียนต้นยางพารา (เอกสารขึ้นทะเบียนสวนยาง)
• เอกสารที่กรมส่งเสริมการเกษตร หรือการยางแห่งประเทศไทย ออกให้เมื่อเกษตรกรไปแจ้งขึ้นทะเบียนต้นยาง
• ใช้ประกอบการขอรับเงินสนับสนุน หรือเงินช่วยเหลือจากรัฐ เช่น โครงการประกันรายได้
• ไม่ใช่โฉนด แต่เป็นหลักฐานแสดงการครอบครองและดูแลต้นยาง

3. ใบรับรองหรือสัญญาซื้อขายต้นยาง
• หากเป็นกรณีซื้อขายต้นยางโดยเฉพาะ เช่น ขายยางก้อนถ้วยหรือขายต้นยางที่ตัดแล้ว อาจมีใบสัญญาหรือใบรับรองแยกต่างหาก
• เอกสารเหล่านี้ใช้ในการค้ายางหรือขอสินเชื่อในรูปแบบที่เกี่ยวกับสินค้าเกษตร

แต่ข้อมูลที่พบปรากฏว่า ปวิช พรหมทอง เดินทางไปแจก โฉนดต้นยาง ในจังหวัดพัทลุง โซนเหนือแบบถี่ยิบ ผิดสังเกต เช็กข้อมูลพบว่า ปวิช กับ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่มีบทบาทสำคัญในกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ น่าจะร่วมกันผลักดันนโยบายโฉนดต้นยาง เพื่อให้เกษตรกรใช้เอกสารนี้เข้าถึงแหล่งทุน

ฟังดูแล้วน่าจะยังพื้น ๆ แต่เช็คลงไปในเชิงลึกพบว่า พรรคกล้าธรรม ที่มี รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า เป็นประธานที่ปรึกษา กำลังเปิดเกมรุกในภาคใต้ หลัง บิ๊กโอ-ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ ปักธงให้กล้าธรรม ในการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีธรรมราช

ปวิช พรหมทอง ถูกวางตัวให้ลงสมัคร สส.พัทลุง เขต 2 ในนามพรรคกล้าธรรมในการเลือกตั้งครั้งหน้า จึงไม่แปลกที่ปวิช ปรากฏตัวในจังหวัดพัทลุงบ่อยครั้งหนึ่งในช่วง 3-4 เดือนมานี้

ปวิช เป็นคนพัทลุง เคยเป็นสมาชิกสภาเขต ในย่านห้วยขวาง เขาก็มีฐานเสียงอยู่ไม่น้อยย่านป่าพะยอม ควนขนุน เขามีประวัติที่น่าสนใจไม่น้อยกับการแทรกตัวเข้าไปในสนามการเมืองระดับชาติ

ถอดรหัส อนาคตการเมือง ‘ภาคใต้’ หลัง!! ‘กล้าธรรม’ ปักธงเขต 8 เมืองคอน

(31 พ.ค. 68) นายเฉลียว คงตุก อดีตบรรณาธิการหนังสือพิมพ์คมชัดลึก เนชั่นทีวี เปิดเผยว่า ได้รับสายโทรศัพท์จำนวนมากสอบถามถึง #อนาคตการเมืองในภาคใต้ จะเป็นอย่างไร ยิ่งหลังพรรคกล้าธรรม ชนะการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีธรรมราช ยิ่งมีการสอบถามเข้ามามากยิ่งขึ้น

”ลึก ๆ แล้วผมก็ไม่ทราบจริง ๆ ว่าอนาคตการเมืองภาคใต้จะเป็นอย่างไร และทำไมถึงมีคำถามเข้ามามาก ผมก็ตอบไม่ได้ แต่ตอบแบบกลาง ๆ พอได้ จึงมานั่งคิดและหารือกับพรรคพวกว่า ถ้างั้นเราจัดเสวนาดีกว่าเพื่อถอดรหัส และหาคำตอบเรื่องนี้จากผู้รู้ จากคนวงใน

โครงการจัดเสวนา 'ถอดรหัสเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯ บิ๊กโอ ปักธงให้พรรคกล้าธรรมกับอนาคตการเมืองภาคใต้' จึงเกิดขึ้นในวันเสาร์ที่ 14 มิถุนายน 2568 โดยเครือข่ายสื่อมวลชนจับตาสังคม ณ ลานเพลิน หนองนกเพา คาเฟ่ ต.เขาพังไกร อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ตั้งแต่เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป จนกว่าจะสิ้นกระบวนความ

นายเฉลียว กล่าวอีกว่า

การเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช แทน มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล จากพรรคภูมิใจไทย โดยก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ จากพรรคกล้าธรรม ชนะคู่แข่งขาดลอย ชนะพ่อตา 'ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ' จากพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือว่าพ่ายแพ้อย่างบอบช้ำกับคะแนนที่ได้แค่ 4000 กว่าคะแนน 'Money politic' คือปัจจัยสำคัญที่มีการกล่าวถึงทำให้พรรคกล้าธรรม ปักธงในจังหวัดนครศรีธรรมราชได้กับการเลือกตั้งครั้งแรกใช่หรือไม่ แม้จะมีความพยายามรณรงค์ 'กินเหยื่อไม่กินเบ็ด' หมายถึงรับเงิน แต่ไม่เลือก แต่ก็ไม่ได้ผล เพราะการเมืองนครศรีธรรมราช การเมืองในภาคใต้เปลี่ยนไปแล้ว นักเลือกตั้งผ่านหน้าบ้าน เจ้าของบ้านถามว่า “เท่าไหร่”

เมื่อก่อนถ้าพูดถึงการใช้เงินซื้อเสียง ต้องพูดถึงภาคอีสาน ภาคใต้เขาเลือกกันด้วยอุดมการณ์ แต่สถานการณ์ปัจจุบันไม่ใช่ และเริ่มเป็นมาตั้งแต่การเลือกตั้งปี 62 เรื่อยมา โรคร้อยเอ็ดระบาดหนักเข้าสู่ภาคใต้ในการเลือกตั้งทุกระดับ

คะแนน 39000 กว่าคะแนนของก้องเกียรติ์ น่าสนใจยิ่งว่า มาได้อย่างไร จากผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งตัวเลขกลม ๆ 120,000 คะแนน ถ้ามาใช้สิทธิ์ 70% ก็น่าจะอยู่ที่ 70,000 คะแนน นั้นก็แปลว่า ก้องเกียรติ์ได้ไปเกินกว่าครึ่ง ทิ้งพ่อตาให้คะแนนเรี่ยดิน ทิ้งห่างพรรคประชาชนที่ได้คะแนนมาแค่ 6000 กว่าคะแนน จากการเลือกตั้งครั้งก่อนคะแนนมีอยู่ 11000 กว่าคะแนน กระแสนิยมของพรรคประชาชนถดถอยขนาดนั้นเหรอ ก็ไม่น่าจะใช่ ปัจจัยที่เป็นกระสุนดินดำ จึงน่าจะเป็นตัวชี้วัดที่มาของคะแนน เพราะพรรคกล้าธรรมก็ไม่ได้ฟรีเว่อร์อะไรนักหนา แม้ตัวผู้สมัครจะโดดเด่นในพื้นที่ก็ตาม

การปักธงแรกของพรรคกล้าธรรม จึงน่าถอดรหัสยิ่งว่า จะเป็นแนวทางในการเป็นธงนำในการเลือกตั้งครั้งต่อไป (ปี 70) หรือไม่ ในสถานการณ์ที่พรรคประชาธิปัตย์เจ้าถิ่นก็ป่วยติดเตียง พรรคภูมิใจไทยที่ก้าวคืบเข้าไป ก็เป็นมะเร็งร้าย พรรคประชาชาติ แกนนำหลักก็อ่อนล้าหมดเรี่ยวหมดแรง จะเป็นช่องทางให้พรรคกล้าธรรมรุกคืบไปอย่างฮึกเหิมกับความสำเร็จ หรือไม่

น่าสนใจถอดรหัส กับการเสวนา การปักธงเมืองคอนของบิ๊กโอ จะเป็นก้าวที่ฮึกเหิมของพรรคกล้าธรรมในสนามภาคใต้หรือไม่

พบกับนักการเมือง อดีตนักการเมือง นักวิชาการสายการเมือง สื่อมวลชน นายเฉลียว กล่าวถึงวิทยากรที่จะมาร่วมวงเสวนา ประกอบด้วย
 
-นิพนธ์ บุญญามณี อดีต รมช.มหาดไทย อดีต สส.หลายสมัยของสงขลา
-รศ.ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ อดีต สส.นครฯ พรรคพลังประชารัฐ นักวิชาการผู้คร่ำหวอดในแวดวงการเมือง
-อานนท์ มีศรี นักสังเกตการณ์ทางการเมือง
-พุฒิพงศ์ ลุ่ยจิ๋ว ตัวแทนจากพรรคประชาชน
-สส.ชนนพัฒฐ์ นาคสั้ว สส.เขต 4 สงขลา ตัวแทนจากพรรคกล้าธรรม 
-พระครูรัตนสุตากร ดร.
รองเจ้าคณะอำเภอหัวไทร เจ้าอาวาสวัดคลองแดน ต.รามแก้ว อ.หัวไทร
เป็นต้น

วันที่ 14 มิย.เสวนา ณ ลานเพลิน ร้านหนองนกเภาคาเฟ่ (บ้านสวนสจ.ละม้าย เสนขวัญแก้ว) เวลา 13.00 น.เป็นต้นไป และพบกับครับ เรียนเชิญผู้สนใจทุกท่านครับ 

‘สว.สายสีน้ำเงิน’ เริ่มหวั่นไหว!! บางคนถูกเรียก เป็นผู้ถูกกล่าวหา บางคนขอเป็นพยาน หลัง ‘สว.คะแนนเป็นศูนย์’ เริ่มถูก ‘ดีเอสไอ’ เรียกสอบ เผย!! ใกล้สาวไปถึงตัวการใหญ่

(1 พ.ค. 68) รายงานข่าวจากกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ.) แจ้งว่า หลังจากดีเอสไอ.รับคดีฟอกเงิน อั้งยี้ฮั้วการเลือก สว.ไว้เป็นคดีพิเศษแล้ว ดีเอสไอ.ก็ทำงานร่วมกับคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และอัยการมาโดยตลอด มีการแยกกลุ่มบุคคลที่เกี่ยวข้องเป็นสามกลุ่ม 1.กลุ่มที่เกี่ยวข้องกับขบวนการจัดฮั้วในระดับนำ ซึ่งมีบุคคลระดับรัฐมนตรีเกี่ยวข้อง 3 คน และระดับนำสูงสุดอีก 1 คน และมีแกนนำระดับโซนอีกหลายคน กลุ่มที่สอง คือกลุ่มที่คณะกรรมการสอบสวนจะเรียกมาสอบสวนในฐานะผู้ถูกกล่าวหา กลุ่มที่สาม บุคคลที่จะเรียกมาเป็นพยาน รวมถึงอดีตผู้สมัครที่มีคะแนนเป็นศูนย์ด้วย

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่า ที่ผ่านมาคณะกรรมการสอบสวนทั้ง 3 ฝ่าย ได้ทยอยเรียกพยาน และบุคคลที่เกี่ยวข้องมาสอบปากคำอย่างต่อเนื่อง และข้อมูลที่ได้มาเป็นประโยชน์ต่อการดำเนินคดีเป็นอย่างยิ่ง รู้ถึงวิธีการจัดการทั้งหมด และคณะกรรมการสอบสวนกำลังลงลึกในรายละเอียดถึงเส้นเงินที่โยงใยกับบุคคลที่เกี่ยวข้อง

รายงานข่าวจากดีเอสไอ.แจ้งว่า จริงๆแล้วเรื่องฮั้วเลือก สว.ดีเอสไอ.ซุ่มทำข้อมูลมานานแล้ว การเรียกพยานมาให้เพียงคำเป็นเพียงการยืนยันข้อมูลข้อเท็จจริงเท่านั้น

กล่าวสำหรับนครศรีฯ คณะกรรมการสอบสวนพุ่งเป้าพิเศษไปยังอำเภอชะอวด เนื่องจากมีตัวเลขผู้สมัครรับการเลือกเป็นสว.มากเป็นพิเศษเกือบ 300 คน และอำเภอเดียวมี สว.ถึงสองคน

มีรายงานจากดีเอสไอ.ว่า มีสว.สายสีน้ำเงิน ท่านหนึ่ง ติดต่อไปยังดีเอสไอ เพื่อขอให้ปากคำเป็นพยาน แต่ดีเอสไอยังไม่รับปาก เพราะเป็น สว.ที่อยู่ในข่ายเรียกมาสอบเป็นผู้ถูกกล่าวหาอยู่แล้ว

วันที่ 7 พฤษภาคม คณะกรรมการสอบสวนจะเรียกพยานจากนครศรีฯมาสอบอีก 2 คน ซึ่งอาจจะรวมถึงอดีตผู้สมัคร สว.ที่มีคะแนนเป็นศูนย์ด้วย เพราะให้น่าสงสัยว่าทำไมไม่ลงคะแนนให้ตัวเอง ซึ่งดีเอสไอมีข้อมูลว่า กลุ่มขบวนการฮั้วแจ้งว่า ไม่ต้องเลือกตัวเอง จะมีผู้สมัครจากกลุ่มอื่นมาลงคะแนนให้ แต่ผู้สมัครที่มีคะแนนเป็นศูนย์ไม่ใช่กลุ่มเป้าหมาย จึงไม่มีชื่ออยู่ในโพย จึงไม่มีใครเลือก

รายงานข่าวแจ้งอีกว่า ผลการสอบปากคำพยานที่ผ่านมาเป็นประโยชน์ต่อรูปคดีมาก นอกจากโยงใยไปถึงรัฐมนตรีบางคนแล้ว ยังมีนักการเมืองท้องถิ่นร่วมในขบวนการจัดฮั้วด้วย ซึ่งนักการเมืองท้องถิ่นจะเป็นคนจัดการในระดับจังหวัด ซึ่งคณะกรรมการสอบสวนจะสาวไปถึงหมดทุกคน

มีข้อมูลที่น่าวิตกกังวล คือข้อมูลการให้ปากคำของพยานบางคน หลุดไปถึงมือของฝ่ายจัดฮั้ว ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องหลุดไปจากใครคนใดคนหนึ่งในคณะกรรมการสอบสวน ซึ่งถือเป็นอันตรายต่อพยาน เมื่อเป็นอย่างนี้ก็ต้องเปลี่ยนตัวคณะกรรมการสอบสวนบางคนที่ทำตัวเป็นไส้ศึก ที่วงใน กกต.ก็สงสัยในพฤติกรรมอยู่บ้างแล้ว ที่สำคัญในสถานการณ์นี้ดีเอสไอก็ควรจะให้การคุ้มครองพยานด้วย ไม่ใช่ปล่อยให้พยานเก็บตัวเครียดอยู่คนเดียว

ถอดรหัสผลการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช ‘กระสัน กระแส กระสุน’ ปัจจัยหนุน ‘บิ๊กโอ’ คว้าชัย

มีคนถามมาว่า อะไรเป็นปัจจัยชัยชนะของ 'บิ๊กโอ-ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ' หรือ สจ.โอ ในการเลือกตั้งซ่อม เขต 8 นครศรีฯ หลังจาก 'มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล' จากพรรคภูมิใจไทย โดนใบแดง ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง

ความจริงข้อหนึ่งที่ต้องยอมรับ คือไสว เลื่องสีนิล สามีของมุกดาวรรณ ที่มาลงสมัครแทน ได้คะแนนถึง 28,000 กว่าคะแนน ซึ่งมากกว่า คะแนนที่มุกดาวรรณ เคยได้ 23,000 กว่าคะแนน แต่คะแนนของบิ๊กโอกลับพุ่งขึ้นไปเกือบทะลุ 40,000 คะแนน คว้าชัยชนะไปแบบขาดลอย ม้วนเดียวจบ

บิ๊กโอในวัย 40 กว่าๆ ถือว่าเป็นช่วงวัยหนุ่มวัยทำงาน วัยวุฒิพร้อม คุณวุฒิพร้อม องคาพยพพร้อม การที่ใครสักคนจะได้เป็นรับเลือกตั้งจากประชาชนเป็นสส. นอกจากโชคชะตาแล้วยังมีองค์ประกอบหลายด้านเป็นความลงตัวในทุก ๆ มิติที่เกี่ยวข้องกับตัวตนของเขา

กระสัน กระแส กระสุน เป็นปัจจัยหลักในการนำชัยชนะคราวนี้ กระสัน คือความอยากมีในตัวของ บิ๊กโอแน่นอน อยากเข้าสู่แวดวงการเมือง เขาเริ่มเข้ามาสัมผัสจากการเป็นสารวัตรกำนัน ต.ละอาย อ.ฉวาง จังหวะปะเหมาะก็ลงชิง ส.อบจ.อ.ฉวาง จ.นครศรีฯ และได้รับเลือกตั้ง 

ด้วยคะแนนเสียงมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนี้ มีสายสัมพันธ์ที่ดีกับกลุ่มคน มีผู้คนมาให้กำลังใจมากมาย

บิ๊กโอทำหน้าที่ ส.อบจ.อยู่ 2 ปี ตัดสินใจลาออก เพื่อลงสมัครรับเลือกตั้งเป็น สส.เขต 8 นครศรีฯ (ฉวาง ช้างกลาง นาบอน และพิปูน) ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่ด้วยอุบัติเหตุทางการเมือง ทำให้บิ๊กโอไม่ได้ลงสมัคร

สองปีที่รอคอย 'ใบแดง' บิ๊กโอเริ่มแต่งเนื้อแต่งตัว เตรียมความพร้อม เขาตัดสินใจเข้าสังกัดค่ายธรรมนัส พรหมเผ่า พรรคกล้าธรรม และเมื่อใบแดงชัดเจน พรรคกล้าธรรมก็เปิดตัวส่งบิ๊กโอลงสนาม แม้จะต้องราวีกับพ่อตา -ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ จากพรรคประชาธิปัตย์ก็ตาม

กระแสของบิ๊กโอมีมาตลอดว่าจะลง สส.ในเขต 8 แน่นอน มีการกล่าวขานถึงเด็กหนุ่ม ไฟแรงคนนี้มาตั้งแต่ต้น แม้จะสังกัดพรรคการเมืองใหม่ที่ไม่เคยผ่านสนามเลือกตั้งมาก่อน แต่ฝีมือระดับผู้กองธรรมนัส และพลพรรค เป็นทีมการเมืองที่สามารถกำกับบังคับให้ผู้มีสิทธิ์ลงคะแนนเสียงตามที่ต้องการได้ ผู้กองธรรมนัส เคยประสบความสำเร็จในการเลือกตั้งซ่อมเขต 4 นครศรีธรรมราชมาครั้งหนึ่งแล้ว ก็ใช้วิธีการตั้งวอร์รูมแล้วบริหารคะแนนเสียงให้มากพอ พอที่จะเป็น สส.ก็ประสบความสำเร็จมาแล้ว ดันให้ 'อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ' เป็น สส.ในนามพรรคพลังประชารัฐ 1 สมัย

กระสุนเป็นปัจจัยชี้ขาดในการเลือกตั้งครั้งนี้ จะเห็นได้ว่า พรรคที่ยิงกระสุนเยอะๆ ก็จะมีคะแนนมาก ส่วนพรรคซื้อๆ ทำการเมืองสุจริต คะแนนออกมาแทบจะเป็นลม ระดับ 'ชินวรณ์' อดีต สส.9 สมัย อดีตรัฐมนตรีศึกษาธิการ มีคะแนนแค่ 4000 กว่าคะแนน พรรคประชาชนมีคะแนนแค่ 6000 กว่าคะแนน ซึ่งผิดคาดหมด

ก็ไม่รู้ว่า พรรคการเมืองที่มีคะแนนมากๆ ใช้งบประมาณไปเท่าไหร่ กับข่าวลือหัวละ 1000-2000 บาท ภายใต้การจัดการเลือกตั้งที่ คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต .) ก็ทำอะไรไม่ได้ หรือไม่ทำอะไรเลยในการขจัดหรือยับยั้งการซื้อสิทธิ ขายเสียง ทั้ง ๆ ที่มีกลไกตัวช่วยมากมาย แต่กลับนั่งรอให้คนไปร้องเรียนส่งหลักฐานให้

พรรคการเมืองกล้าทำการเมืองแบบหวังผลโดยไม่คำนึงถึงเรื่องวิธีการ ว่าเป็นความเลวร้าย ทำลายระบบการเมือง ทำลายประชาธิปไตย เขาก็ย่อมทำจนประสบความสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้ได้

น่าสนใจถอดรหัสการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯกับอนาคตทางการเมืองในภาคใต้ของพรรคกล้าธรรม

‘กล้าธรรม’ ปักธงภาคใต้คว้าชัยสนามเมืองคอน สะท้อนภาพ ‘ประชาธิปัตย์’ คะแนนนิยมถดถอย

(28 เม.ย. 68) ‘บิ๊กโอ’ คว้าชัยสนามเมืองคอน สะท้อนอนาคตก้าวกระโดดของพรรคกล้าธรรม ความถดถอยของประชาธิปัตย์ และภูมิใจไทย

ผลการนับคะแนนเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีฯอย่างไม่เป็นทางการ แทนตำแหน่งว่าง หลังจาก “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” จากพรรคภูมิใจไทย โดนใบแดง

ผลการนับคะแนนครบทั้ง 233 หน่วยเลือกตั้งแล้ว ปรากฏว่า
เบอร์ 1     28,422 (ไสว)
เบอร์ 2     4,189 (ชินวรณ์)
เบอร์ 3     6,759 (ณัฐกิตติ์)
เบอร์ 4     286 (พรรคพร้อม)
เบอร์ 5     39,039 (ก้องเกียรติ)
เบอร์ 6     192 (ทางเลือกใหม่)

ผลการนับคะแนนเบื้องต้น “บิ๊กโอ-ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ” จากพรรคกล้าธรรมชนะขาดลอย กินขาดพรรคภูมิใจไทย ที่มีพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นหัวเรือใหญ่ หลังจากก่อนหน้านี้ ในการเลือกตั้งปี 2566 ยึด 2 เขตเลือกตั้งของนครศรีฯมาได้ คือเขต 7 ษฐา ขาวขำ เอาชนะชินวรณ์ บุณยะเกียรติ จากประชาธิปัตย์ เขต 8 มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล เอาชนะ ทั้งประชาธิปัตย์ พลังประชารัฐ และประชาชน ส่ง “มุกดาวรรณ” เข้าไปนั่งในสภา แต่มุกดาวรรณถูกร้องเรียนเรื่องซื้อเสียง และโดนใบแดง

พรรคภูมิใจไทย กล้าหาญเกินเหตุส่ง “ไสว เลื่องสีนิล” สามีมุกดาวรรณ ที่โดนใบแดงลงสมัครอีกครั้ง กฎหมายไม่ได้ครอบคลุมว่า ภรรยาโดนใบแดง หรือสามีโดนใบแดง ถ้ายังไม่จ่ายค่าเสียหาย ห้ามลงเลือกตั้ง

น้ำ วาริน ชิณวงศ์ นายกฯอบจ.นครศรีฯมองว่า ใบแดงเป็น “เหตุสุดวิสัย”

ภราดร ปริศนานันทกุล รองประธานสภาที่มาช่วยปราศรัยว่า ใบแดงของมุกดาวรรณ เป็นอุบัติเหตุทางการเมือง

แต่ประเด็นข้อเท็จจริง คือ มุกดาวรรณ ถูกร้องเรียนเรื่องซื้อเสียงเลือกตั้ง มีพยานหลักฐานจนศาลเชื่อ และพิพากษาให้ใบแดง จนนำมาสู่การเลือกตั้งใหม่

ผลการเลือกตั้งชัดเจนว่า คนนครฯเขต 8 ไม่เอาครอบครัวคนที่เคยมีประวัติซื้อเสียง ส่วนผลการเลือกตั้งจะนำมาสู่การร้องเรียน-ซื้อเสียงอีกหรือไม่ จะมีใบแดงรอบสองไหม ต้องติดตามกันต่อไป

แต่ชัยชนะของ บิ๊กโอ-ก้องเกียรติ เกตุสมบัติ ในการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 นครศรีธรรมราช มีความหมายยิ่งสำหรับพรรคกล้าธรรม

พรรคกล้าธรรมที่มี สส.อยู่แล้ว 24 คน แต่พรรคกล้าธรรมไม่เคยผ่านสนามเลือกตั้งมาก่อน เป็นพรรคการเมืองที่เกิดใหม่ สส. 24 คน ส่วนใหญ่มาจากการถูกขับออกจากพรรคพลังประชารัฐ และมาสังกัดพรรคกล้าธรรม พร้อม รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ที่มานั่งเป็นประธานที่ปรึกษาพรรค

ชัยชนะของ บิ๊กโอ จึงเป็นชัยชนะแรกของพรรคกล้าธรรมในสนามเลือกตั้ง นับต่อแต่วินาทีนี้เป็นต้นไป คือการนับ 1 ของการ เขย่ง-ก้าว-กระโดด ของพรรคกล้าธรรม ในการเดินหน้าขับเคลื่อนพรรคืเพื่อเดินไปสู่สนามเลือกตั้งปี 70 ธรรมนัสจะต้องเดินเต็มกำลังเพื่อเข้ามายึดครองพื้นที่ภาคใต้ ในสถานการณ์ที่พรรคการเมืองเจ้าสนามเดิมกำลังอ่อนแอแอ ไม่ว่าจะเป็นประชาธิปัตย์ หรือภูมิใจไทย และหรือพรรคประชาชาติ

พรรคประชาธิปัตย์อ่อนแออันเกิดจากสนิทเห็น ภายในพรรคเองที่สถานการณ์ตกอยู่ในสภาพที่ยากต่อการฟื้นฟู ไม่แตกต่างจากตึกสำนักงาน สตง.ถล่ม หลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว เรื่องราวถูกขุดถูกรื้อขึ้นมาแฉเรื่องแล้วเรื่องเล่า สถานการณ์ของประชาธิปัตย์ก็ไม่แตกต่างกัน แกนนำพรรคขาดความน่าเชื่อถือ ถูกกระแนะกระแหนครั้งแล้วครั้งเล่า ยิ่งตัดสินใจเข้าร่วมรัฐบาลที่มีทักษิณชักใยอยู่เบื้องหลังยิ่งไปกันใหญ่ 3-4 ผู้อาวุโสก็ยังเดินไปคนละทิศคนละทางกับมติพรรค

ส่วนพรรคภูมิใจไทยที่ค่อยๆเข้ามาแทรกซึมยึดพื้นที่ภาคใต้ และขยายฐานออกไปเรื่อย ๆ ดูเหมือนจะดีกับวลี “พูดแล้วทำ” แต่ก็มีคำถามว่า ทำอะไรบ้าง แถมยังมีปัญหาเรื่องที่ดินสนามกอล์ฟของ “อนุทิน ชาญวีระกูล” หัวหน้าพรรคที่รอการพิสูจน์ เรื่องที่ดินเขากระโดง ก็เป็นกลัดหนองอยู่ แถมยังมีปัญหาข้อขัดแย้งกับพรรคแกนนำรัฐ ทั้งเรื่องแก่รัฐธรรมนูญ เรื่องกาสิโน ที่ยังไม่รู้อนาคตว่าจะถูกปรับออกหรือ หรือจะถูกยึดกระทรวงสำคัญๆหรือไม่

พรรคประชาชาติ เมื่อ “วันมูหะมัดนอร์ มะทา” ต้องล้างมือในอ่างทองคำ พรรคประชาชาติก็เดินไปยาก ต้องยอมรับความจริงว่า พรรคประชาชาติเกิดจาก “วันนอร์” คนในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ยังให้ความเคารพนับถือ “วันนอร์” อยู่มาก เมื่อวันนอร์ถอยออกไป ถามว่า พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง จะหอบหิ้วพรรคต่อไปได้แค่ไหน จึงน่าจะเปิดช่องให้พรรคกล้าธรรมเข้าโจมตีได้ง่ายขึ้น

กล่าวสำหรับภาคใต้เป้าหมายของพรรคกล้าธรรมจะจู่โจมเข้าโจมตีตั้งแต่ชุมพร ไล่ไปจนถึงสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ 

ส่วนภาคอิสานต้องยอมรับความจริงว่า เป็นถิ่นของเพื่อไทย และภูมิใจไทย พรรคกล้าธรรมจึงมีเป้าหมายตีพื้นที่ภูมิใจไทยในภาคอิสาน ประเดิมด้วยการดึงตระกูล “ช่างเหลา” แห่งเมืองขอนแก่นเข้ามาอยู่ชานคาเดียวกันเป็นการประเดิม หลังภูมิใจไทยมีมติขับ “เอกราช ช่างเหลา” ออกจากพรรค

ภาคเหนือก็เป็นฐานของเพื่อไทย ก็ให้เขาสู้กันกับพรรคประชาชน แต่พรรคกล้าธรรมจะเลือกสู้ในบางสนามที่มีความหวัง เช่นเดียวกับภาคกลางก็จะเลือกแข่งในสนามที่สู้ได้

ส่วนกรุงเทพคงไม่ใช่เป้าหมายของพรรคกล้าธรรม คงปล่อยให้พรรคเพื่อไทยราวีกับพรรคประชาชน

แต่แน่นอนว่า ชัยชนะของบิ๊กโอ ได้สร้างความฮึกเหิมให้กับพรรคกล้าธรรมมากยิ่งขึ้น ไม่ว่าชัยชนะนั้นจะได้มาด้วยวิธีการใดก็ตาม

ความพ่ายแพ้ของพรรคภูมิใจไทย และพรรคประชาธิปัตย์ สะท้อนอนาคตชัดเจนว่าจะเดินไปสู่จุดไหน ให้พิจารณาคะแนนไม่เลือกใครด้วย

สมรภูมิเขต 1 นครศรีฯ คึกคักเตรียมพร้อมรับเลือกตั้งครั้งหน้า พรรคการเมืองเข้าสู่โหมดสร้างฐาน หลายตัวเต็งเริ่มขยับสับเปลี่ยน

จับตาเขต 1 นครศรีฯ ‘ดร.รงค์’ ย้ายไปรวมไทยสร้างชาติ ‘สส.หนึ่ง’ โยกมาลงชน ขณะที่ ‘ราชิต’ ขอพัก ส่วน ‘หมอผึ้ง’ ผันมาเขต 2 

เขต 1 นครศรีธรรมราช เป็นเขตเลือกตั้งหนึ่งที่น่าสนใจสำหรับการเลือกตั้งปี 70 เพราะเป็นเขตเมือง ประชากรมีความรู้ ตื่นตัวทางการเมืองสูง 
 
น่าสนใจมากยิ่งขึ้นถ้า ‘ราชิต สุดพุ่ม’ สส.พรรคประชาธิปัตย์เขตนี้ไม่ไปต่อตามที่เป็นข่าว เพราะมีปัญหาด้านสุขภาพในห้วงเวลาที่อายุมากขึ้นตามลำดับ เขตเลือกตั้งที่ 1 ของนครศรีฯก็จะเหลือตัวเต็ง ‘ดร.รงค์ บุญสวยขวัญ’ อดีต สส.พลังประชารัฐ ในการเลือกตั้งปี 64 ตามด้วย ‘จรัญ ขุนอินทร์ จากพรรคภูมิใจไทย ที่คราวที่แล้วแพ้ให้กับผู้ว่าฯราชิต แต่ยังคงมุ่งมั่นเดินหน้าทำงานการเมืองในเขตนี้อยู่ 

ยังมี ‘แมน-ปกรณ์ อารีกุล’ จากพรรคประชาชน ถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่มุ่งมั่นทำงานการเมือง เลือกตั้งคราวที่แล้วแมนมีคะแนนมาอันดับสอง ถีบ ดร.รงค์ลงไปอยู่อันดับสาม และสำหรับเขตนี้ยังมี ‘มนตรี เฉียบแหลม’ จากพรรคเพื่อไทย ที่ยังประสงค์จะลงเขตนี้ เมื่อ ‘บุณฑริกา ยอดสุรางค์’ อาจจะถอยไปเล่นการเมืองท้องถิ่น เพื่อเริ่มบันไดขั้นแรกของเวทีการเมือง 

กล่าวสำหรับ ดร.รงค์ แม้จะดูเป็นตัวเด่น แต่ก็ไม่ได้ปลอดโปร่งเสียทีเดียว เมื่อ ดร.รงค์ได้ตัดสินใจเดินออกจากพลังประชารัฐแล้ว เมื่อพรรคตัดสินใจเลือก ‘ฮูวัยดีย๊ะ อูเซ็ง พิศสุวรรณ’ น้องสาวของ ดร.สุรินทร์ ลงสมัครแทน ดร.รงค์แม้จะยังมุ่งมั่นทำงานด้านนิติบัญญัติ แต่ก็ต้องหาพรรคใหม่สังกัด 

ดร.รงค์ มีทางเลือกอยู่ 3 พรรค คือภูมิใจไทย รวมไทยสร้างชาติ และพรรคกล้าธรรม สำหรับพรรคภูมิใจไทย ดร.รงค์ไม่น่าจะเลือก เพราะต้องไปเบียด จรัญ ขุนอินทร์ คนรู้จักกันอีก พรรคกล้าธรรม เข้าใจว่าสำหรับการเลือกตั้งครั้งหน้าจะรุกภาคใต้หนัก ทำลายฐานภูมิใจไทย ยิ่ง ‘วันนอร์-วันมูหะมัดนอร์ มะทา’ ประกาศวางมือทางการเมือง โอกาสของพรรคกล้าธรรมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ จึงมีอยู่สูง อย่าลืมว่า รอ.ธรรมนัส แม้จะเป็นคนพะเยา แต่ไปโตอยู่นราธิวาส ดร.รงค์ก็รู้จักมักคุ้นกับ รอ.ธรรมนัสดี ตั้งแต่สมัยอยู่พรรคพลังประชารัฐมาด้วยกันแล้ว น่าจะคุยกันเข้าใจง่ายกว่า 

พรรครวมไทยสร้างชาติ น่าจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งของ ดร.รงค์ เพราะระดับผู้นำส่วนใหญ่ก็เคยร่วมงานกันมาในพรรคพลังประชารัฐ จึงรู้จักกันดี ตั้งแต่ชุมพร สุราษฎร์ นครศรีฯ และพัทลุง ซึ่งอาจจะคุ้นเคยกันมากกว่าสายกล้าธรรมอีก 

ผม #นายหัวไทร ค่อนข้างมั่นใจว่า ดร.รงค์จะเลือกร่วมงานกับพรรครวมไทยสร้างชาติ แต่เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ เคยส่ง พูม แก้วภราดัย ลูกชายของวิทยา แก้วภราดัย มาก่อน ก็ไม่ยาก พรรคจะส่งใคร เมื่อมีคนเสนอตัวมากกว่าหนึ่งคน ก็ใช้วิธีการทำโพลล์ ซึ่งถ้าทำโพลล์ ดร.รงค์ก็น่าจะผ่าน 

แต่ให้จับตา ‘สส.หนึ่ง-ทรงศักดิ์ มุสิกอง’ สส.ประชาธิปัตย์ เขต 2 อาจจะย้ายเขตมาลงเขต 1 แทนผู้ว่าฯราชิตที่อาจจะขอพัก ซึ่งเขต 1 ดร.รงค์ก็จะชนตรงกับ สส.ทรงศักดิ์ 

เขต 2 ก็จะว่างจาก สส.เก่า ประชาธิปัตย์เจ้าของพื้นที่เดิมจะส่งใครมาลงแทน ก็มีข่าวแว่วๆให้ได้ยินว่า อาจจะโยก 'โกเท่-พิทักษ์เดช เดชเดโช' จากเขต 3 มาลงเขต 2 ก็ต้องหาคนใหม่ไปลงเขต 3 อีก 

กล่าวสำหรับเขต 2 ข่าวที่ยืนยันได้ ‘หมอผึ้ง-นันทวัน วิเชียร’ จากพรรคภูมิใจไทย จะโยกจากเขต 9 มาลงเขต 2 เปิดทางให้ ‘สายัณห์ ยุติธรรม’ ย้ายเข้าสังกัดพรรคภูมิใจไทย และลงสมัคร เขต 9 แทน เพราะสายัณห์เป็น สส.เขต 9 มาก่อน 

การเมืองเริ่มเข้าสู่โหมดสร้างฐาน มีการสับเปลี่ยน โยกตัวกันอย่างมีนัยยะสำคัญ 

‘เจ้าของสวนมะละกอ’ โอด!! โดนขโมยผลผลิตกว่า 1 ตันยามวิกาล แจ้งตำรวจแล้ว แต่ยังไม่มีความคืบหน้า เกรงถูกขโมยซ้ำ

(29 มี.ค. 68) ข่าวรายงานว่าได้รับแจ้งจาก น.ส.พันทิพ ทิพย์กองลาส ว่าได้มีโจรลักลอบเข้ามาขโมยมะละกอในสวนที่ปลูกไว้ หมู่ที่ 4 ตำบลทรายขาว อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เป็นมะละกอพันธุ์เรดเลดี้ ที่กำลังเป็นที่ต้องการของตลาดในขณะนี้

“หนูลงทุน ลงแรงปลูกมะละกอพันธุ์เรดเลดี้ไว้เมื่อ 4-5 เดือนก่อน ในพื้นที่ ม.4 ตำบลทรายขาว มะละกอกำลังออกผลผลิต และเริ่มสุกทยอยเก็บขาย ซึ่งผลผลิตยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด” น.ส.พันทิพ กล่าว

น.ส.พันทิพ กล่าวอีกว่า เมื่อคืนวันที่ 26 มีนาคม ได้มีคนร้ายแอบเข้ามาขโมยมะละกอไปจำนวนมาก ประมาณ 1 ตัน เพราะกลางคืนไม่มีคนเฝ้า ตนเองจะพักอยู่ที่บ้านในตลาดหัวไทร กลางคืนจะไม่มีคนเฝ้า

หลังเข้าไปดูตอนเช้าพบว่า มะละกอหายไปจากต้นจำนวนมาก จึงได้ไปแจ้งความไว้ที่ สภ.หัวไทร เพื่อให้ตำรวจติดตามคนร้ายมาดำเนินคดี ซึ่งตนได้ให้รายละเอียดกับตำรวจไปหมดแล้ว ตำรวจก็เข้ามาตรวจสอบที่เกิดเหตุ แต่ยังไม่พบเบาะแสอะไร

“ก่อนหน้านี้กล้องวงจรปิดก็โดนทุบหมด เพิ่งติดตั้งใหม่ เมื่อวันสองวันก่อนก็มีรถไถนาเข้ามาดูลาดเลา จึงน่าสงสัยว่าจะเป็นกลุ่มคนร้ายที่ขโมยมะละกอ และจ้องจะขโมยมะพร้าว”

รายงานข่าวแจ้งว่า พื้นที่อำเภอหัวไทรมีลักเล็กขโมยน้อยเกิดขึ้นจำนวนมาก เช่น ขโมยแทงปาล์มในสวนคนอื่น ขโมยทุกอย่างที่ขวางหน้า ยาเสพติดก็ระบาดไปทุกหย่อมหญ้า

“เข้าใจว่า คนร้ายน่าจะเป็นเด็กวัยรุ่นที่ติดยาเสพติด ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ไม่มีรายได้จากการทำมาหากินปกติ จึงต้องหาช่องทางขโมยของคนอื่นไปขาย แล้วนำเงินไปซื้อยาเสพติด”

รายงานข่าวแจ้งด้วยว่าคดีลักเล็กขโมยน้อยส่วนใหญ่ตำรวจจะไม่ตั้งใจทำคดี ไม่สามารถติดตามจับกุมคนร้ายได้ จึงทำให้คนร้ายได้ใจ เหิมเกริม ขยายวงการปฏิบัติการออกไปเรื่อย ๆ ถามว่า ตำรวจ สภ.หัวไทรพอจะรู้ไหมว่า วัยรุ่นกลุ่มไหนร่วมก่อเหตุในลักษณะนี้อยู่บ้าง ซึ่งตำรวจก็มีสายสืบ มีสายตำรวจอยู่มากมาย ไม่น่าจะรอดพ้นสายตาตำรวจไปได้ แต่ในรอบหลายปีที่ผ่านมา มีหลายคดีไม่มีความคืบหน้า คดีโจรขึ้นบ้านอดีต ผอ.กองช่าง อบต.หัวไทร ขโมยทรัพย์สินกลางวันแสก ๆ คดีก็ไม่มีความคืบหน้า ทั้ง ๆ ที่มีสืบจังหวัดลงมาร่วมสืบด้วยแล้ว ก็ยังจับมือใครดมไม่ได้

แหล่งข่าวในหัวไทร กล่าวฝากไปยัง ผกก.หัวไทร สารวัตรสืบ สภ.หัวไทร แสดงฝีมือจับกุมโจรลักมะละกอให้ได้ จะได้เห็นกันว่า ตำรวจมีฝีมือ ไม่มีอะไรที่ตำรวจไทยทำไม่ได้

ใบแดง ‘สส.มุก’ ทำสนามเขต 8 นครศรีฯเดือด อีกหนึ่งเวทีเลือกตั้งวัดพลังพรรคการเมืองในภาคใต้

(26 มี.ค. 68) ชัดเจนแล้วว่า ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาเพิกถอนสิทธิ์เลือกตั้ง และตัดสิทธิ์ทางการเมืองของ ‘สส.มุก-มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล’ สส.เขต 8 นครศรีธรรมราช พรรคภูมิใจไทย นับเป็น สส.คนที่สองของพรรคภูมิใจไทยต่อจาก สส.สุวรรณ แห่งจังหวัดบึงกาฬ ที่โดนใบแดง และมี สส.ชุดปัจจุบันเพียงสองคนเท่านั้นที่โดนใบแดง

หลังจากนี้ไปคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.)ก็ต้องจัดเลือกตั้งใหม่แทนตำแหน่งที่ว่างลงกับวาระที่เหลืออยู่เพียง 2 ปี

แน่นอนว่า สำหรับสนามเลือกตั้งซ่อมเพียง 1 เขตของนครศรีธรรมราชจะเป็นสนามเดือดอย่างหลีกเลี่ยงไม่พ้น พรรคร่วมรัฐบาลจะต้องมาฟาดฟันกันเองอย่างหลักหนีไม่พ้นคำว่า ‘มารยาท’ ที่เคยกล่าวอ้างกันของพรรคการเมือง หลีกทางให้พรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน คราวนี้น่าจะเป็นข้อยกเว้น สู้กันเต็มอัตราศึก

ให้เกียรติเจ้าของพื้นที่เดิม คือพรรคภูมิใจไทยคงจะไม่ได้ยิน เขต 8 ประกอบด้วย อ.ฉวาง นาบอน ช้างกลาง และพิปูน

การเลือกตั้งซ่อมครั้งนี้จะเป็นสนามวัดดวง ชี้ชะตาอนาคตทางการเมืองในภาคใต้ของทุกพรรค พรรคไหนมีศักยภาพส่งได้ ส่งแน่นอน และจะระดมทุกสรรพกำลังลงไปช่วยกัน ให้หลับตานึกถึงสนามเลือกตั้งซ่อม เขต ครั้งก่อน ที่เทพไท เสนพงศ์ ถูกศาลตัดสินจำคุก ‘อาญาสิทธิ์ ศรีสุวรรณ’ จากพรรคพลังประชารัฐ กรำศึกกันหนักหน่วงกับ ‘พงศ์สิน เสนพงศ์’ น้องชายของเทพไท เสนพงศ์

พรรคประชาธิปัตย์วันนี้ในฐานะเจ้าของพื้นที่เดิมเมื่อครั้งกระโน้น ยืนยันจากปากของ ‘ชินวรณ์ บุณยะเกียรติ์’เองว่า จะย้ายกลับมาลงสมัครเขต 8 ทวงคืนแชมป์ด้วยตัวเอง ซึ่งตรงกับ ‘แทน-ชัยชนะ เดชเดโช’ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ภาคใต้ก็ยืนยันว่า ต้องให้เกียรติพี่ชินเจ้าของพื้นที่

พรรคกล้าธรรม ‘บิ๊กโอ’ สจ.ก้องเกียรติ์ เกตุสมบัติ ยืนจ้องรอคิวอยู่แล้ว แต่ในฐานะลูกเขยของชินวรณ์ ก็ทำใจลำบากหน่อย ช่วงหลังบิ๊กโอใกล้ชิดกับ รอ.ธรรมนัส พรหมเผ่า ประธานที่ปรึกษาพรรคกล้าธรรม และ รอ.ธรรมนัส ก็สนับสนุนบิ๊กโอเต็มที่ด้วยบุคลิก และอะไรที่เข้ากันได้ดี เมื่อจังหวะ และโอกาสมาถึงบิ๊กโอ จึงขอลงสมัครรับเลือกตั้งในนามพรรคกล้าธรรม แม้จะต้องสู้กับพ่อตาก็ตาม

บิ๊กโอ ตั้งใจจะลงสมัคร สส.ตั้งแต่คราวที่แล้ว ในนามพรรคประชาธิปัตย์ แต่การจัดสรรคนไม่ลงตัว เมื่อบุณยเกียรติ์ ลงสมัครถึงสองเขต ทำให้บิ๊กโอพลาดโอกาสนั้นไป ทั้ง ๆ ที่ลาออกจาก ส.อบจ.มานั่งรออยู่แล้ว 

สนามเลือกตั้งเขต 8 จะเป็นสนามแรกของพรรคกล้าธรรมในการกรุยศึกเลือกตั้ง เพราะเป็นพรรคใหม่ที่มี สส.จากพรรคพลังประชารัฐย้ายมาสังกัดถึง 23 คน และมี สส.เดิมที่ย้ายมาเช่นกันอีก 1 คน

สนามเลือกตั้งเขต 8 จึงเป็นสนามพิสูจน์ฝีมือ เพื่อเดินหน้าลุยสำหรับการเลือกตั้งปี 70 และสนามเลือกตั้งภาคใต้น่าจะเป็นสนามหลักที่พรรคกล้าธรรม จะเข้ามาหวังเสียบแทนพรรคเก่าที่ค่อยๆอ่อนแอลง 

พรรครวมไทยสร้างชาติ ยังพอมีพลังในการสู้ศึกกับผลงานของสองขุนพล ‘พีระพันธ์ สาลีรัฐวิภาค’ รมว.พลังงาน และ ‘ขิง-เอกนัฏ พร้อมพันธุ์’ รมว.อุตสาหะกรรม ที่จับมือกันสร้างผลงาน สู้กับทุนพลังงาน รื้อโครงสร้างพลังงานใหม่ ถ้าผลงานผ่าน จะช่วยลดค่าใช้จ่ายภาคครัวเรือน ภาคขนส่งลงไปได้มาก ลดต้นทุนการผลิต ราคาสินค้าก็จะลดลง สามารถแปรมาเป็นคะแนนเสียงได้

ทราบว่า ดร.คมเดช มัชฌิมวงค์ ที่เคยลงสมัครรับเลือกตั้ง เขต 7 ทุ่งใหญ่ ในนามพรรคพลังประชารัฐ เสนอตัวย้ายมาลงเขตนี้ เนื่องจากเป็นคนพิปูน เคยเป็นนายกฯอบต.อยู่ที่พิปูน ช่วงหลังเห็นภาพทางโซเขี่ยล ลงพื้นที่ถี่ยิบ

พรรคประชาชน กรรมการบริหารพรรคประชาชน มีมติให้ณัฐกิตต์ อยู่ด้วง ลงสมัครรับเขตเลือกตั้งที่ 8 จ.นครศรีธรรมราช แต่โอกาสของพรรคประชาชนสำหรับพื้นที่ภาคใต้ น่าจะยังยากอยู่ เว้นแต่จะมีผู้สมัครที่โดดเด่นจริงๆ คนยังติดภาพกับการแก้ ม.112 อันเกี่ยวโยงกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ก็ไม่รู้ว่า เสร็จศึกซักฟอกนายกฯอุ๊งอิ๊งค์ จะแปรเป็นคะแนนนิยมได้แค่ไหน

น่าสนใจคือพรรคภูมิใจไทย เจ้าของพื้นที่เดิมจะหยิบใครมาลงสมัคร ที่ใช้คำว่าหยิบ เพราะมีตัวเลือกให้พิจารณาไม่น้อยกว่า 4 คน คนแรกคือ ‘ไสว เลื่องสีนิล’ สามีของ สส.มุกดาวรรณนั้นเอง ที่ผ่านมาหลังจากเกษียณอายุในตำแหน่งอาจารย์วิทยาลัยเกษตรและเทคโนโลยี (ควนพลอง)ก็ทำงานพื้นที่ให้ สส.มุกดาวรรณอยู่ อยู่ที่พรรคว่าจะยังเลือกสกุล ‘เลื่องสีนิล’ให้ลงสมัครอีกหรือไม่กับตัวเลือกใหม่ ตัวเลือกใหม่ เช่น สุนทร รักษ์รงค์ ที่คราวที่แล้วได้มาอันดับ 2 พ่ายให้กับ สส.มุก เพียงไม่กี่คะแนน ซึ่งสุนทร น่าจะมีคะแนนเป็นกอบเป็นกำในแวดวงชาวสวนยาง ชาวสวนปาล์ม ที่สุนทรทำงานคลุกคลีกับชาวสวนยางมานาน เคยเป็นบอร์ดการยางแห่งประเทศไทย และบอร์ดยางโลก 2 สมัย  มีภาคีเครือข่ายในแวดวงการยาง และปาล์มมากมาย ภาพลักษณ์ดี มีวิสัยทัศน์ เคยเป็นคนเขียนนโยบายยางพารา และปาล์มให้กับพรรคประชาธิปัตย์

อีกตัวเลือกหนึ่งของพรรคภูมิใจไทย และถือเป็นคนรุ่นใหม่ที่น่าให้การสนับสนุน สจ.กระวี หวานแก้ว ที่เคยลงสมัคร สส.พรรคภูมิใจไทย เขต 5. นครศรีธรรมราช มี อ.พิปูน อ.ฉวาง อ.ถ้ำพรรณรา อ.ทุ่งใหญ่ (ปี 2562) แต่ครั้งนั้น สจ.กระวี ยังสอบไม่ผ่าน เพราะยังใหม่กับการเมืองอยู่มาก และพรรคภูมิใจไทยเองในยุคนั้นถือว่ายังไม่เท่าไหร่ คะแนนจึงออกมาไม่สวยงามนัก

สจ.กระวี ปัจจุบันเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว สว.ณัฐกิตติ์ หนูรอด สว.นครศรีฯถือเป็นรุ่นใหม่ของพรรคภูมิใจไทย เป็นเด็กนักเรียนนอก จบการศึกษาจาก มหาวิทยาลัยแห่งรัฐ นิวเซาท์เวลส์(UNSW) มหาวิทยาลัยชั้นนำของโลก เกิดที่ ต.กะเปียด อ.ฉวาง ผลงานเชิงประจักษ์ สมัยเป็น สจ.มีมากมาย
จบปริญญาตรี วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต อิเล็กทรอนิกส์ ศรีปทุม ปริญญาตรี รัฐศาสตร์บัณฑิตรามคำแหง รุ่น 22 เคยเป็นสมาชิกสภาองค์การบริหารส่วนจังหวัด (ส.อบจ.) นครศรีธรรมราช เขต อ.ฉวาง นาน 7 ปี ผลงานที่ประจักษ์ และเป็นรูปธรรมมากมาย ที่มุ่งมั่นมากคือการพัฒนาเขาศูนย์ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวของ อยู่.ฉวาง

หลังจากนี้ไปพรรคภูมิใจไทยคงจะตั้งลำสู้ในสนามนครศรีธรรมราช กับเป้าหมายการขยายฐาน จาก 2 เป็น 4 หรือ 6 กับการเลือกตั้งซ่อมเขต 8 อยากจะโฟกัสไปที่สองคน ‘สุนทร-กระวี’ สองคนนี้มีจุดอ่อน จุดเด่นที่แตกต่างกัน กระวี เป็นคนพื้นที่เกาะติดพื้นที่ แต่ยังแคบสำหรับสนามที่ใหญ่กว่า สจ. เพราะมีพื้นที่ถึง 4 อำเภอ ไม่ใช่ 3-4 ตำบล เหมือน สจ. โลกทัศน์อาจจะแคบกว่าสุนทร ที่ประสบการณ์โชกโชนทั้งเวทีระดับ Local และเวทีสากล (International) การที่พิพัฒน์ รัชกิจประการ แต่งตั้งให้สุนทรเป็นคณะทำงาน พิพัฒน์น่าจะเห็นศักยภาพอะไรบางอย่างในตัวสุนทรที่จะใช้งานได้

พรรคภูมิใจไทยคงจะต้องคิดหนักในการตัดสินใจเลือกระหว่าง ‘สุนทร-กระวี’ ในสนามเลือกตั้งที่เห็นอยู่ว่า ดุเดือด

‘ภูมิใจไทย’ ลั่นกลองรบสนามเลือกตั้ง ‘พัทลุง’ เตรียมส่ง ‘บ่าววี’ แสดงเปิดตัว 3 ผู้สมัคร 26 มี.ค. นี้

(24 มี.ค. 68) ยังไม่ทันไก่โห่ แต่พรรคภูมิใจไทยพัทลุงเริ่มเชิดกลองรัวๆแล้ว ในวันที่ “มุกดาวรรณ เลื่องสีนิล” สส.เขต 8 พรรคภูมิใจไทย นครศรีธรรมราช ต้องเครียดกับการนั่งลุ้นผลคำตัดสินของศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองคดีที่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวหา พร้อมส่งหลักฐานว่า มุกดาวรรณ ทำผิดกฎหมายเลือกตั้งในเวลา 10.00 น.ของวันที่ 26 มีนาคม

แต่ที่พัทลุงในวันเดียวกันกำลังสนุกสนานกับ “วงบ่าววี” และอีก 2-3 วง ถูกว่างจ้างไปเล่นสร้างความสุขสนุกสนานในงานเปิดตัวว่าที่ผู้สมัคร สส.ทั้ง 3 เขตของพัทลุง ซึ่ง 1 คน เป็นคนเก่า อีกสองคนจัดหามาใหม่เพื่อเสริมทัพสู้ศึกกับประชาธิปัตย์ และรวมไทยสร้างชาติ เพราะการเลือกตั้งปี 2566 พรรคภูมิใจไทยเสียหน้าไม่น้อยกับผลการเลือกตั้งที่แพ้ในบ้านทั้ง 3 คน ในบ้านของ ดร.นาที รัฐกิจประการ ที่มีพิพัฒน์ รัชกิจประการ รมว.แรงงานฯ เป็นสามี

พัทลุงภูมิใจไทยแพ้แบบไม่น่าเชื่อ ในขณะที่นครศรีฯแจ้งเกิดได้ถึง 2 ที่นั่ง คือ ษฐา ขาวขำ เขต 7 และมุกดาวรรณ เลื่องศรีนิล เขต 8 แถมสุราษฎร์มาอีก 1 ที่นั่ง ถือว่าเจาะฐานเมืองหลวงของประชาธิปัตย์ได้สำเร็จ

ประเด็นปัญหาของพรรคภูมิใจไทยพัทลุง คือ สส.3 คน โดนคดีให้คนอื่นเสียบบัตรลงคะแนนแทน ทั้ง ดร.นาที รัชกิจประการ ภูมิศิษฐ์ คงมี และฉลอง เทอดวีระพงศ์ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุกทั้ง 3 คน คนละ 9 เดือน และตัดสิทธิ์ทางการเมืองตลอดชีวิต เมื่อถูกจองจำครบกำหนด ทั้งสามเข้าเงื่อนไขพักโทษ ถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำพิเศษกรุงเทพ และทัณฑสถานหญิงกลาง เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา (ปี 67)

สำหรับ 3 ว่าที่ผู้สมัคร สส.พัทลุงของพรรคภูมิใจไทย ประกอบด้วย เขต 1 นาวาเอกดอกเตอร์อธิคุณ คงมี (นามสกุลคุ้น) หรือผู้กองจุน เขต 2 วรท เทอดวีระพงศ์ (นามสกุลคุ้น) ลูกชายของฉลอง เทิดวีระพงศ์ คราวที่แล้วก็ลงสมัครแต่พ่ายแพ้ และเขต 3 เขมพล อุ้ยตยะกุล หน้าใหม่

กล่าวสำหรับ สส.ปัจจุบันของพัทลุง 3 คน ประกอบด้วย เขต 1 สุพัชรี ธรรมเพชร พรรคประชาธิปัตย์ จากบ้านใหญ่ เขต 2 นิติศักดิ์ ธรรมเพชร รวมไทยสร้างชาติ บ้านใหญ่อีกสาย และร่มธรรม ขำนุรักษ์ ทายาททางการเมืองของ “นริศ ขำนุรักษ์” จากพรรคประชาธิปัตย์ โดยสรุปคือ 3 สส.พัทลุง เป็นประชาธิปัตย์ 2 คน รวมไทยสร้างชาติ 1 คน พรรคภูมิใจไทยโดยฤทธิ์เสียบบัตรแทนกันกอดคอกันสอบตกหมด ที่หัวเรือใหญ่ก็โดยแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จด้วย

การเปิดตัวตั้งแต่ไก่โห่ของภูมิใจไทย ทั้ง ๆ ที่ยังมีเวลาอีก 2 ปี (ถ้าไม่ยุบสภา) สะท้อนให้เห็นถึงความพร้อม เตรียมการ และสู้เต็มที่ในศึกเลือกตั้งครั้งหน้าในสถานการณ์ที่พรรคกำลังถูกรุมเร้ารอบด้าน ทั้งเขากระโดง สนามกอล์ฟเขาใหญ่ แล้วยังมาถูกขย่มว่าด้วยเรื่องข่าวดีเอสไอรับเป็นคดีพิเศษ “ล็อคโหวต สว.” ซึ่งรายชื่อผู้สมัครถูกล็อคไว้ถึง 140 คน เข้าเป้า 138 คน สำรอง 2 คน พรรคภูมิใจไทยจะเกี่ยวข้องหรือไม่อย่างไรไม่ทราบ แต่ สว.ที่เคยใส่เสื้อสีน้ำเงินเข้าประชุมวุฒิสภา ต่างก็พากันว้าวุ่น กระวนกระวายใจกับความคืบหน้าของคดีทั้งในส่วนที่ กกต.ทำเอง ที่เบื้องต้นพบมีมูลแล้วถึง 28 คน ในส่วนของดีเอสไอก็รุกเร้าเข้ามาเก็บข้อมูลผู้ช่วย สว./ผู้เชี่ยวชาญ สว.ด้วย ยิ่งต้องกลัดกลุ้ม ไม่เห็นอาหารแข็งกร้าวเหมือนช่วงแรก ๆ

ต้องติดตามจับตามองก็รุกสนามภาคใต้ของภูมิใจไทยในการเลือกตั้งครั้งหน้ากับเป้าหมายที่เพิ่มขึ้น ในสถานการณ์ที่ประชาธิปัตย์อ่อนกำลัง แต่พรรคกล้าธรรม เปิดฉากประเดิมสนามในภาคใต้เช่นกัน พรรคกล้าธรรมมี สส.อยู่ 24 คน ทั้งหมดย้ายมาจากพรรคอื่น ยังไม่เคยผ่านสนามเลือกตั้งเองมาก่อนเลย เมื่อสนามภาคใต้เปิด ศึกนี้จึงใหญ่หลวงนัก

แต่สำหรับภูมิใจไทยแล้ว 26 มีนาคมนี้ ลุ้นอนาคตของ “มุกดาวรรณ”ก่อนก็แล้วกัน


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top