Monday, 16 June 2025
THE STATES TIMES TEAM

ถอดแบบความเสื่อม 3 นิ้ว ไทย-เมียนมา ถอดแบบม็อบจากไทย ตั้งใจทำให้เหมือน?

เวลาที่เอย่ามองไปที่ม็อบสามนิ้วที่ไทยทีไรจะมีเรื่องให้แปลกใจทุกครั้ง  ตั้งแต่การเปิดตัวออกมาเดินขบวนอย่างกับเทศกาลคานิวาลในบราซิล  จนมาถึงเรื่องคอสตูมบันลือโลก จนเอย่าเคยสงสัยว่านี่มันเอาคนกำกับม๊อบไทยมาทำม๊อบที่เมียนมา หรือว่าตั้งใจจะก๊อปร้อยให้เป็นแบบไทยกันแน่
    
ประมวลภาพประท้วงแฟนซีในเมียนมา
   
ประมวลภาพประท้วงแฟนซีในไทย

   
ประท้วงโดยชูข้อความหาคู่แบบเดียวกัน (ซ้าย) เมียนมา (ขวา) ไทย
   
ภาพการแต่งกายมาประท้วงอย่างล่อแหลม (ซ้าย) ไทย (ขวา)  เมียนมา
   
ภาพคอสตูมว่าถูกทำร้าย (บน) ไทย (ล่าง) เมียนมา

และมีสิ่งหนึ่งที่ฝ่ายม็อบในเมียนมาก็มีแต่ระบาดในโซเชียลมีเดียในขณะนี้คือการมีเพจหรือเว็บไซต์ที่บอยคอตหรือแบนธุรกิจของกองทัพ  อารมณ์มาแบบเดียวกันกับเพจ No Salim Shopping List ของฝั่งสามนิ้วไทย โดยบางเพจก็ยังแอคทีฟอยู่แต่บางเพจก็เงียบไม่มีการโพสต์อะไรใหม่ตั้งแต่เดือนเมษาเป็นต้นมา  ส่วนเนื้อหาที่เข้าไปเช็คนั้นบางธุรกิจก็เป็นของทหารจริงแต่บางธุรกิจก็ไม่ใช่และสร้างความเสียหายให้แก่เจ้าของธุรกิจตัวจริงเป็นอันมาก 

อย่างไรก็ดีในช่วงที่ผ่านมามีข่าวการวางเพลิงบ่อยครั้งและภาพที่เห็นมาแล้วคือการวางเพลิงห้าง Ruby Mart และ Grandamar Wholesale ในย่างกุ้ง  แม้จะมีข่าวว่าทั้งสองธุรกิจนั้นทำธุรกิจกับกองทัพ เพราะเช่าพื้นที่ของกองทัพในการทำห้างแต่ผู้ได้รับผลกระทบตัวจริงไม่น่าจะใช่กองทัพแต่เป็นผู้ประกอบการและผู้ลงทุนเสียมากกว่า
    
สภาพตึกไฟไหม้ห้างสรรพสินค้าที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของกองทัพเมียนมา (ซ้าย) ห้างรูบี้มาร์ท  (ขวา) ห้างค้าส่งแกรนดามาร์

คนเมียนมาหลายคนบอกว่าการเผาห้างครั้งนี้เจ้าของห้างทั้งสองไม่ได้รับผลกระทบเพราะมีประกันอัคคีภัยอยู่แล้ว  แต่ในกรณีนี้การเผาห้างแบบนี้ไม่ได้เข้าข่ายในการประกันอัคคีภัย แต่เป็นอัคคีภัยที่เกิดจากการก่อการร้าย ซึ่งไม่อยู่ในขอบข่ายของการประกันอัคคีภัยโดยทั่วไป  เช่นเดียวกันกับตอนห้างเซ็นทรัลเวิลด์ในกรุงเทพโดนเผาเมื่อหลายปีก่อนนั้นแล

เอย่าได้ทราบมาพอสมควรว่าการที่กลุ่ม CRPH มีสมาชิกบางส่วนลดลงไม่ได้มาจากทหารแต่มาจากการแบนสินค้าหรือบริการที่โดนแอบอ้างว่าสนับสนุนหรือค้าขายกับกองทัพ ซึ่งพวกเขาเหล่านั้นไม่ได้ค้าขายแค่กับกองทัพเท่านั้น  หลายคนค้าขายทั้งกองทัพและรัฐบาลซูจีมาก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์รัฐประหารเสียด้วยซ้ำ ดังนั้นเมื่อเกิดรัฐประหารขึ้นแม้คนกลุ่มนี้จะสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่ม CRPH แต่เมื่อโดนโจมตีจากคู่แข่งที่ใช้ฐานกำลังจากผู้สนับสนุน CRPH มาถล่มแบบไม่ยั้ง  คนเหล่านี้ก็เลือกที่จะอยู่เฉยๆไม่เข้าข้างใครเลยดีกว่า เพราะสุดท้ายแม้เขาจะให้การสนับสนุนกลุ่มผู้เรียกร้องประชาธิปไตยแต่กลับถูกมองเป็นตัวร้ายอยู่ดี และคนเมียนมาก็พร้อมจะเชื่อโดยไม่ค้นหาเหตุผลอะไรก่อนเสียด้วย  ผิดจากการทำธุรกิจของไทยที่เลือกจะไม่นำอุดมการณ์หรือความเห็นต่างทางการเมืองเข้ามาแบ่งฝักแบ่งฝ่าย  
 
แอดมินเพจชาเขียว อิโตเอ็น บอกนโยบายชัดเจนว่าไม่ยุ่งเกี่ยวการเมือง 

เพราะธุรกิจเป็นเรื่องของปากท้องไม่ใช่เรื่องของประชาธิปไตย  การทำลายธุรกิจคือการทำลายช่องทางทำมาหากินใน  คนที่ได้รับผลกระทบไม่ใช่มีเพียงแต่เจ้าของกิจการแต่รวมไปถึงพนักงานทุกคนที่อาจจะเป็นผู้ร่วมสนับสนุนอุดมการณ์ของพวกคุณก็เป็นได้

ขอบคุณภาพจาก
IRRAWADDEE NEWS
FRONTIER MYANMAR
MYANMAR NOW
THE SPECTRUM
สำนักข่าวไทย
Page No Salim Shopping List

โดย : AYA IRRAWADEE

ไบเดนเคาะฤกษ์ 9/11 ถอนทหารออกจากอัฟกานิสถาน จบสงครามสหรัฐ-อาฟกัน ที่ยาวนานถึง 20 ปี

โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐประกาศชัด จะถอนทหารสหรัฐให้หมดก่อนวันที่ 11 กันยายน 2021 ที่เป็นวันครบรอบ 20 ปี เหตุการณ์ 9/11 การก่อการร้ายที่ตึกเวิลด์เทรดเซ็นเตอร์ ในสหรัฐอเมริกา ในปี 2001 ซึ่งนำไปสู่การตัดสินใจนำกองทัพสหรัฐบุกอัฟกานิสถานในสมัยของอดีตประธานาธิบดี จอร์จ ดับเบิ้ลยู บุช เพื่อตอบโต้ ล้างแค้นกลุ่มก่อการร้าย อัลกออิดะห์ นำโดย โอซามา บิน ลาเดน ที่สหรัฐเชื่อว่าได้แฝงตัวอยู่กับกลุ่มตาลีบันในอัฟกานิสถาน และเป็นตัวการในการก่อการร้าย

และก็กลายเป็นสงครามอัฟกานิสถานที่ยืดเยื้อที่สุดของสหรัฐ กินเวลามานานถึงเกือบ 20 ปี ที่ยังไม่สามารถเอาชนะได้ แม้ว่าการโจมตีของสหรัฐจะสร้างความเสียหายแก่อัฟกานิสถานอย่างมหาศาล สังหารกองทหารกลุ่มตาลีบัน และกลุ่มก่อการร้าย อื่นๆ อย่างอย่างอัลกออิดะห์ และ ISIS กว่า 75,000 คน รวมถึงชาวบ้านอัฟกานิสถานผู้บริสุทธิ์อีกไม่น้อยกว่า 38,000 ชีวิต

นอกจากนี้ยังเป็นสงครามที่ผลาญงบประมาณมากที่สุดครั้งหนึ่งของสหรัฐ เป็นรองเพียงสงครามโลกครั้งที่ 2 หากพิจารณาจากระยะเวลาที่เสียไป และผลลัพธ์จากสงครามที่จนถึงวันนี้สหรัฐก็ยังไม่สามารถพิชิต หรือเอาชนะกลุ่มตาลีบันได้

มีการประเมินจาก Brown University ว่า สหรัฐสูญเสียงบประมาณไปแล้วไม่น้อยกว่า 9.75 แสนล้านดอลลาร์ในสงครามอัฟกานิสถาน แต่ผู้เชี่ยวชาญหลายคนก็มองว่า ค่าเสียหายน่าจะบานปลายเกิน 1 ล้านล้านเหรียญไปแล้ว และยังมีค่าใช้จ่ายแอบแฝงจำนวนมหาศาล จากกองทุนฟื้นฟูสภาพจิตใจ และชดเชยให้กับครอบครัวของทหารที่บาดเจ็บ หรือเสียชีวิตจากสงครามอัฟกานิสถาน

จึงเป็นที่มาของการถอนทหารสหรัฐทั้งหมดของสหรัฐในวันนี้ ที่โจ ไบเดนประกาศว่าจะใช้วันครบรอบ 20 ปีเหตุการณ์ 9/11 เป็นฤกษ์ปิดสงครามสหรัฐ-อัฟกานิสถานอันยาวนาน

แต่หากจะให้เครดิตของนโยบายนี้จริงๆ ผู้ที่สมควรได้รับคืออดีตประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่เป็นผู้เริ่มต้นนโยบายถอนทหารออกจากอัฟกานิสถานตัวจริง และสามารถบรรลุข้อตกลงสันติภาพอันยากลำบากในยุคของเขา เมื่อช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2020

ซึ่งอันที่จริง ข้อตกลงเดิมของทรัมป์จะต้องถอนทหารสหรัฐให้แล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคม 2021 นี้ด้วยซ้ำไป แต่ด้วยปัญหากหลายอย่าง และเกิดการเปลี่ยนผ่านรัฐบาลจากทรัมป์ สู่ไบเดน จึงเกิดความล่าช้า ไม่สามารถทำให้แล้วเสร็จภายในกำหนดเดิมได้ โจ ไบเดนจึงขอเลื่อนกำหนดการณ์มาอีก 4 เดือน จนถึงกันยายน

โดยสหรัฐจะยังคงเหลือกองกำลังเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเพื่อรักษาความปลอดภัยให้กับสถานทูตและสำนักงานของเจ้าหน้าที่สหรัฐอื่นๆในกรุงคาบูล ส่วนกองกำลังที่ประจำในฐานทัพสหรัฐ จะถอนออกทั้งหมด ที่ยังคงเป็นที่ถกเถียงว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับรัฐบาลอัฟกานิสถานที่สหรัฐเป็นผู้สนับสนุนเพื่อโค่นล้มรัฐบาลตาลีบันต่อจากนี้

นับเป็นการยอม Cut Loss ตัดจบสงครามอัฟกานิสถานอันยืดเยื้อของสหรัฐ แต่จะเป็นการสิ้นสุดสงครามภายในของอัฟกานิสถานด้วยหรือไม่นั้น เป็นเรื่องที่ไม่มีใครตอบได้ แม้แต่ชาวอัฟกานิสถานเองก็ตาม


อ้างอิง

https://edition.cnn.com/2021/04/14/politics/joe-biden-afghanistan-announcement/index.html

https://www.france24.com/en/asia-pacific/20210413-all-us-troops-to-withdraw-from-afghanistan-by-september-11

https://www.usatoday.com/story/money/2019/06/13/cost-of-war-13-most-expensive-wars-in-us-history/39556983/

https://en.m.wikipedia.org/wiki/War_in_Afghanistan_(2001%E2%80%93present)

ผลวิจัยจากอิตาลี ชี้ผู้ชายติดเชื้อโควิด-19 เสี่ยง ‘นกเขาไม่ขัน’ เพิ่มเกือบ 6 เท่า แนะหากมีอาการหย่อนสมรรถภาพทางเพศ ให้กักตัว - ตรวจโควิดทันที

เว็บไซต์ webmd.com รายงานเมื่อวันที่ 7 เมษายนที่ผ่านมา อ้างผลวิจัยของนักวิจัยมหาวิทยาลัยในอิตาลี ตีพิมพ์ในวารสารแอนโดรโลยี (Andrology) เผยแพร่เมื่อวันที่ 20 มีนาคมที่ผ่านมา ระบุว่า ชายที่ติดเชื้อโควิด-19 จะมีความเสี่ยงที่จะเกิดปัญหาหย่อนสมรรถภาพทางเพศ หรือโรคอีดี (Erectile dysfunction) หรืออวัยวะเพศไม่แข็งตัวพอที่จะมีสัมพันธ์ทางเพศได้

งานวิจัยดังกล่าว นำโดย ศาสตราจารย์เอ็มมานูเอลเล่ เอ. ยานนีนี ผู้เชี่ยวชาญด้านต่อมไร้ท่อและการแพทย์ด้านเพศวิทยา มหาวิทยาลัยโรม ทอร์เวอร์กาต้า กรุงโรม ประเทศอิตาลี ทำการสำรวจผ่านทางระบบออนไลน์ Sex@COVID ในประเทศอิตาลี ระหว่างวันที่ 7 เมษายน ถึงวันที่ 4 พฤษภาคม 2563 ที่ผ่านมา โดยมีผู้เข้าร่วมทำแบบสอบถามจำนวน 6,821 คน อายุ 18 ปีขึ้นไป แบ่งเป็นชาย 2,644 คน หญิง 4,177 คน

ผลการวิจัยพบว่ามีชายที่เคยติดเชื้อโควิด-19 แสดงอาการของโรคอีดี คิดเป็นสัดส่วนถึง 28% มากกว่า ผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อโควิด-19 ที่พบอยู่ที่ 9.33 % หรือนับว่าเป็นการเพิ่มความเสี่ยงที่จะเกิดอาการอีดี 5.66 เท่า

นอกจากนี้ ตัวเลขเบื้องต้นยังชี้ให้เห็นด้วยว่า ผู้ที่มีอาการของโรคอีดีนั้น เพิ่มความเสี่ยงที่จะติดเชื้อโควิด-19 อีกด้วย โดยมีความเสี่ยงเพิ่มขึ้นถึงเกือบ 5 เท่าที่จะติดเชื้อโควิด

ทั้งนี้ นักวิจัยระบุว่า ผู้ที่เคยมีอาการอีดี หรือมีอาการอีดีที่หนักกว่าเดิมควรเข้ารับการกักตัวและตรวจหาเชื้อโควิด-19 เพื่อความปลอดภัย และตั้งสมมุติฐานว่า ไวรัสโควิด-19 อาจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการอีดี หรือทำให้อาการอีดีนั้นแย่ลงได้

และในทางกลับกัน ใครที่มีอาการอีดี ควรระลึกเอาไว้ว่า อาการอีดีเป็นสัญญาณที่เป็นไปได้ว่าอาจจะติดเชื้อโควิด-19 เข้าไปแล้วด้วยเช่นกัน


ที่มา : https://www.matichon.co.th/foreign/news_2673300

ห้างสรรพสินค้า ยกระดับคุมเข้มการระบาดโควิดระลอกใหม่สูงสุด ประกาศปิด 3 ทุ่ม พร้อมงดกิจกรรมรวมตัวของคนจำนวนมาก เริ่มวันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน 64

นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานสมาคมผู้ค้าปลีกไทย เปิดเผยว่า จากรายงานศูนย์ข้อมูลโควิด-19 ถึงสถานการณ์แพร่ระบาดของโรคโควิด ประจำวันที่ 13 เมษายน 2564 ประเทศไทยพบจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่เพิ่มขึ้นมากกว่าพันราย นับเป็นการแพร่ระบาดโควิดระลอกที่ 3 รอบใหม่ที่จะเป็นความเสี่ยงและผลกระทบต่อเศรษฐกิจของประเทศ สมาคมผู้ค้าปลีกไทย และสมาคมศูนย์การค้าไทย จึงประกาศยกระดับมาตรการการเฝ้าระวังการระบาดของโควิดครั้งนี้ด้วยการเพิ่มมาตรการเข้มข้นในการคัดกรองผู้บริโภคเข้าศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้า ในระดับสูงสุด

ทั้งนี้ ได้ประกาศเลื่อนปิดศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าทั่วประเทศเป็นเวลา 21.00 น. ทุกวัน พร้อมทั้งงดกิจกรรมที่มีการรวมตัวของคนจำนวนมาก รวมถึงการให้พนักงาน Work From Home เพื่อเพิ่มศักยภาพให้ทุกหน่วยงาน สามารถควบคุมการแพร่ระบาดระลอกใหม่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ นับตั้งแต่วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน จนกว่าจะมีประกาศเปลี่ยนแปลง

ขณะที่ บริษัท เดอะมอลล์ กรุ๊ป จำกัด แจ้งว่า ศูนย์การค้าและห้างสรรพสินค้าในกลุ่มเดอะมอลล์ ทั้ง เดอะมอลล์ ทุกสาขา, ดิ เอ็มโพเรียม, ดิ เอ็มควอเทียร์ และพารากอน ดีพาร์ทเม้นท์สโตร์ ขอปรับเวลาให้บริการ โดยเปิดให้บริการทุกวันตามเวลาปกติ และปิดเวลา 21.00 น. ทุกวัน ทุกสาขา ยกเว้น เดอะมอลล์ รามคำแหง ปิดเวลา 20.00 น. ทุกวัน มีผลตั้งแต่วันที่ 15 เมษายน 2564 เป็นต้นไป (หรือจนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง)

อยู่อย่างไรให้รอด!!! พยาบาลสาวไทย ในสหรัฐฯ แนะวิธีเอาตัวรอดจากโรคร้ายโควิด-19 พร้อมแชร์ประสบการณ์ อยู่ท่ามกลางวิกฤตเชื้อระบาดกว่า 1 ปี

พยาบาลสาวไทย ในสหรัฐ อเมริกา โพสต์ข้อความเฟซบุ๊ค ‘Ticky Tic’ เล่าประสบการณ์การเอาตัวรอด พร้อมแนะแนวทางการใช้ชีวิต ท่ามกลางโรคระบาด กว่า 1 ปีที่ผ่านมาว่า

การระบาดของโควิด-19 อย่างรวดเร็วอีกครั้งในประเทศไทย ทำให้คิดว่าควรต้องแชร์เรื่องราวความรู้จากประสบการณ์จริงของตัวเองที่ยืนแบบไม่งง ในดงโควิดระบาดอย่างหนักมาปีกว่าและถูกตรวจโควิดอาทิตย์ละ 2 ครั้งมาแรมปีรวมๆแล้วเป็น 100 ครั้งตั้งแต่มีการระบาดมาและรอดมาได้ทุกครั้ง รวมถึงการที่ต้องดูแลผู้ป่วยและผู้ใกล้ชิดในการทำงาน สติและสตังควรมีพร้อมๆกันในช่วงโควิดระบาด ทำอย่างไรให้ตัวเองรอดในภาวะวิกฤตในแบบฉบับของตัวเอง

1.) ให้คิดว่าทุกคนที่อยู่รอบตัวติดโควิดหมด เราจะได้ไม่ละเลยในการใส่หน้ากาก ล้างมือ เว้นระยะห่าง ดูแลตัวเอง เป็นเกราะป้องกันตัวเอง

2.) วิตามิน C, D น้ำมันตับปลา วิตามินรวมจัดมาให้ครบ ในส่วนตัวดื่มน้ำมะนาวสดๆผสมน้ำผึ้ง รับประทานอาหารที่มีโปรตีนสูง ไข่ ปลา ผัก ภูมิคุ้มกันที่ดีเท่านั้นที่จะต้านโควิดได้

3.) หลีกเลี่ยงแหล่งอโคจรที่ชุมชนคนเยอะๆพาตัวเองไปรับอากาศบริสุทธิ์เข้าไว้ กลับเข้าบ้านล้างมือด้วยสบู่ทันที

4.) การฉีดวัคซีนครบ 2 โดสแล้ว ยังมีโอกาศติดโควิดได้อีกเพียงแต่การแสดงออกของโรคจะไม่รุนแรงเท่านั้น เพราะฉนั้นอย่าการด์ตก ฉีดแล้วยังติดอีกได้

5.) ดื่มน้ำมาก ๆ ในแต่ล่ะวันเสริมด้วยน้ำผลไม้

6.) ออกกำลังกาย ตามเวลาที่เอื้ออำนวยให้เพื่อเสริมภูมิคุ้มกันตัวเอง

7.) เครื่องใช้ที่นอน หมอนเสื้อผ้า แมสผ้าตากแดดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าโควิดจะสายพันธุ์อะไร รุนแรงแค่ไหน แดดเมืองไทยเอาอยู่แน่นอน

8.) เป็นไปได้ล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ กลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปากเข้าเย็น ใช้สเปรย์พ่นในปากและลำคอจะช่วยลดและฆ่าเชื้อได้

9.) นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอให้ร่างกายได้สร้างภูมิคุ้มกันตัวเอง

10.) สังเกตตัวเองทุกวันด้วยสติไม่กังวลวิตกจนเกินเหตุ เรียนรู้ที่จะอยู่กับมันอย่างเข้าใจและแก้ไขตามสถานะการณ์

11.) ข้อนี้สำคัญ ต้องประหยัด ไม่มีใครรู้ว่าโควิดจะอยู่กับเราไปอีกนานสักแค่ไหน เราจะตกงานเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เราต้องไม่เป็นภาระของคนอิ่นและสังคม อย่าให้สิ่งที่มองไม่เห็นจับต้องไม่ได้แต่ติดได้ง่าย มาทำให้ชีวิตเรา ดิ่ง ดาวน์ และดับ เราจะผ่านวิกฤตโควิด ทุกสายพันธุ์ไปด้วยกันค่ะ...ด้วยความห่วงใยจาก พยาบาลต่างแดน


ที่มา : Ticky Tic https://www.facebook.com/100000715995503/posts/4486929658007523/

สมาคมภัตตาคาร ออกมาตรการ คุมเข้มรับมือโควิดระบาดรอบใหม่ พร้อมขั้นตอนปฏิบัติ หากพบผู้ใช้บริการร้านอาหารติดโควิด

นางฐนิวรรณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เปิดเผยว่า สมาคมฯ ได้ออกแถลงการณ์ เรื่อง มาตรการของร้านอาหารในช่วงโควิด-19 เกี่ยวกับข้อปฏิบัติของร้านอาหารในช่วงเวลาที่มีการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 อีกครั้ง โดยขอความร่วมมือร้านอาหารทุกร้าน หากยังจะเปิดดำเนินธุรกิจตามปกติ หากมีผู้ป่วยหรือบุคคลที่มีไทม์ไลน์ มาจากสถานที่สุ่มเสี่ยงเข้ามารับประทานอาหารที่ร้าน สมาคมฯ ขอให้มีการกำหนดมาตรการและขั้นตอนสำหรับร้านอาหารรวมทั้งเงื่อนไข ให้ปฏิบัติตามดังรายละเอียด

สำหรับขั้นตอนการปฏิบัติเมื่อมีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด หรือผู้ที่มีไทม์ไลน์ มาใช้บริการทางร้าน คือ 1. แจ้งปิดร้านอาหารทันทีทาง Social Media และสื่อต่างๆของร้านและหน้าร้าน เป็นเวลาอย่างน้อย 3 วัน 2.ให้พนักงานทุกคนที่สัมผัสผู้ป่วยหยุดปฏิบัติหน้าที่ทันทีและเข้าตรวจหาเชื้อกับโรงพยาบาลทันทีและให้แยกกักตัว 14 วัน พร้อมแยกผู้มีความเสี่ยง ดังนี้

วงที่ 1 ลูกค้า และพนักงานเสิร์ฟที่ดูแลลูกค้าโต๊ะนั้น ผู้สัมผัสผู้ติดเชื้อ หรือมีความเสี่ยงสูง และลูกค้าที่นั่งโต๊ะติดกันกับผู้ติดเชื้อ หรือสุ่มเสี่ยงแจ้งให้ทราบทันทีเพื่อเข้ารับการดูตรวจหาเชื้อกับโรงพยาบาลและให้กักตัว 14 วัน

วงที่ 2 พนักงานเสิร์ฟ ส่วนหน้า โซนลูกค้าติดเชื้อ มีความเสี่ยงต่ำ ส่งพนักงานเข้าตรวจเชื้อกับทางโรงพยาบาลทันทีและสังเกตอาการเวลา 14 วัน พนักงานในส่วนอื่นๆและพนักงานเสิร์ฟที่ไม่ได้เสิรฺ์ฟกับลูกค้าโต๊ะที่มีลูกค้าติดเชื้อหรือสุ่มเสี่ยงให้กักตัวสังเกตอาการ 14 วัน เมื่อมีอาการผิดปกติให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อกับทางโรงพยาบาลทันที

วงที่ 3 ผู้ที่ไม่มีความเสี่ยง พนักงานในครัวและลูกค้าที่ใช้บริการก่อนและหลังรอบเวลานั้น หรือหลังวันถัดไปและพนักงานที่ไม่ได้ทำงานในวันนั้นปลอดภัยไม่ต้องกักตัว และไม่ต้องตรวจหาเชื้อ เพราะไม่ได้สัมผัสเชื้อ แต่หากมีอาการผิดปกติให้เข้ารับการตรวจหาเชื้อทันที

3. พนักงานที่ได้รับการตรวจหาเชื้อโควิด จะต้องเปิดไทม์ไลน์ ก่อนและหลังอย่างน้อยเป็นเวลา 5 วันเป็นต้นไป และทางร้านจะประสานงานกับโรงพยาบาลทันทีตามสิทธิประกันสังคมของพนักงานที่สัมผัสผู้ป่วยทุกคนตรวจหาเชื้อฟรี และติดตามการตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เช่น โรงพยาบาลของรัฐหรือศูนย์ตรวจเชื้อ และโรงพยาบาลในกรุงเทพฯปริมณฑล 106 แห่งได้แก่ภาครัฐ 43 แห่ง

4. แจ้งเจ้าหน้าที่พนักงานควบคุมโรคติดต่อในพื้นที่ทันทีเพื่อให้ดำเนินการป้องกัน และควบคุมรวมทั้งมาทำการฉีดพ่นฆ่าเชื้อที่ร้าน และ 5. ทำความสะอาด Big Cleaning ฆ่าเชื้อไวรัสแบคทีเรียในอากาศและพื้นผิวสัมผัสทุกที่ภายในร้านการฉีดพ่นสารทำความสะอาดเพื่อฆ่าเชื้อโรคด้วยน้ำยาฟอกขาวสามารถใช้สำหรับทำความสะอาดพื้นผิวได้ และสำหรับพื้นผิวที่เป็นโลหะ สามารถใช้แอลกอฮอล์ 70% ทำความสะอาดได้

‘รมว.แรงงาน’ แจงขั้นตอนลงทะเบียนออนไลน์ แก่ผู้ประกันตนกลุ่มเสี่ยง ตรวจหาเชื้อโควิด-19 เริ่ม 17 เม.ย.นี้ ที่ ศูนย์เยาวชนฯ ไทย - ญี่ปุ่น ดินแดง กทม.

เมื่อวันที่ 14 เมษายน 2564 นายสุชาติ ชมกลิ่น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงแรงงาน เปิดเผยว่า จากกรณีในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาพบผู้ติดเชื้อโควิด-19 ภายในประเทศเพิ่มขึ้น โดยหลายกรณีเชื่อมโยงกับสถานประกอบการประเภทสถานบันเทิง ผับ บาร์ ซึ่ง สปสช. ได้แจ้งให้พี่น้องประชาชนกลุ่มเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19 สามารถเข้ารับการตรวจคัดกรองได้ในโรงพยาบาลทั้งของรัฐและเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศ เพื่อให้สามารถเข้าถึงการคัดกรองโรคและการรักษาอย่างทันท่วงที เพื่อสกัดกั้นการแพร่ระบาดของโรค นายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยผู้ประกันตนจากกรณีการแพร่ระบาดดังกล่าว จึงกำชับกระทรวงแรงงาน บูรณาการร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และ สปสช. เพิ่มช่องทางหน่วยบริการตรวจโควิด-19 เพื่อลดความแออัดและอำนวยความสะดวกแก่ผู้ประกันตนในระบบประกันสังคมตามมาตรา 33 มาตรา 39 และมาตรา 40 ที่อยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานคร สามารถเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด-19 ซึ่งจะเริ่มต้นวันที่ 17 เมษายนนี้ที่อาคารกีฬาเวสน์ 1 ศูนย์เยาวชนกรุงเทพมหานคร (ไทย - ญี่ปุ่น) เขตดินแดง กรุงเทพมหานคร

ทั้งนี้ ทางกระทรวงแรงงานได้หารือกำหนดแนวทางที่จะร่วมกับกระทรวงมหาดไทย (กรุงเทพมหานคร) และสำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) โดยจะเปิดให้ผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจสามารถลงทะเบียนจองคิวตรวจผ่านระบบแอพพลิเคชั่นออนไลน์ สำหรับผู้ประกันตนที่จะได้เข้าตรวจคือผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยง ซึ่งจะมีเจ้าหน้าที่คัดกรอง ทั้งนี้ หากผู้ประกันตนรายใดตรวจพบเชื้อโควิด-19 จะต้องส่งตัวเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลเครือข่ายในสังกัดสำนักงานประกันสังคม โดยจะได้รับการรักษาฟรี ซึ่งมีอยู่จำนวน 81 แห่ง ที่มีความพร้อม มีเตียงรองรับกว่า 1,000 เตียง มีHQ 200 กว่าเตียง

นายสุชาติ กล่าวต่อว่า สำหรับผู้ประกันตนที่จะเข้ารับการตรวจคัดกรองโควิด-19 ฟรี จะต้องเข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุขหรือ สปสช. กำหนด ดังนี้

ก. ตามนิยามผู้สงสัยติดเชื้อโควิด-19 ของกรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุข มีอาการอย่างน้อยหนึ่งอาการต่อไปนี้ คือ มีไข้ อุณหภูมิตั้งแต่ 37.5 องศาเซลเซียสขึ้นไป ไอ น้ำมูก เจ็บคอ จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส มีผื่นขึ้น ตาแดง

หายใจเร็ว หายใจเหนื่อย  หรือหายใจลำบาก ร่วมกับมีปัจจัยเสี่ยง คือ

1.) 14 วันก่อนเริ่มป่วย มีประวัติอย่างน้อยหนึ่งอย่างต่อไปนี้

1.1) สัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันโควิด-19

1.2) ไปในสถานที่ชุมชนหรือสถานที่ที่มีการรวมตัวของกลุ่มคน เช่น ตลาดนัด ห้างสรรพสินค้า สถานพยาบาล สถานบันเทิง หรือขนส่งสาธารณะที่มีรายงานผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา

1.3) เดินทางไปยัง/มาจาก/หรืออยู่อาศัย ในประเทศที่มีรายงานผู้ป่วยโควิด-19 ในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา

1.4) ปฏิบัติงานในสถานกักกันโรค

2.) แพทย์ผู้ตรวจรักษาสงสัยว่าเป็นโรคโควิด-19

ข.กรณีสัมผัสกับผู้ป่วยยืนยันโควิด-19 หรือไปในสถานที่มีการระบาดมา ไม่มีอาการป่วย แต่สงสัยว่าจะติดเชื้อโควิด-19 สามารถไปรับการตรวจคัดกรองได้ โดย สปสช.ได้ปรับแก้ประกาศให้ครอบคลุมการตรวจคัดกรองโควิด-19 ตามดุลยพินิจของแพทย์ ซึ่งสามารถเบิกจ่ายกับ สปสช.ได้ โดยไม่ต้องเรียกเก็บจากผู้ป่วย

3.) ขั้นตอนการลงทะเบียนออนไลน์เพื่อจองคิวตรวจของกลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้ประกันตนตามมาตรา 33,39, และ 40 สามารถเข้าเว็บไซต์ https://www.google.com แล้วพิมพ์คำว่า แรงงานเราสู้ด้วยกัน แล้วคลิกที่เว็บไซต์ https://sso.icntracking.com/icntracking/self_register.php จากนั้นผู้ประกันตนกรอกเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก หรือเลขพาสปอร์ต กรอกข้อมูลประเมินความเสี่ยงตามที่กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขกำหนด ซึ่งเป็นบุคคลที่มีกลุ่มเสี่ยงหรือมีอาการป่วย โดยจะเริ่มเปิดให้ลงทะเบียนผ่านระบบออนไลน์ในวันที่ 15 เมษายนนี้ ตั้งแต่เวลา 18.00 น.เป็นต้นไป โดยแต่ละวันลงทะเบียนได้วันละ 3,000 คน แบ่งเป็นช่วงเช้า 1,500 คน ช่วงบ่าย 1,500 คน หากผู้ประกันตนรายใดลงทะเบียนแล้วไม่มาตรวจตามนัดจะต้องลงทะเบียนใหม่ และเมื่อเข้ารับการตรวจหาเชื้อโควิด -19 เรียบร้อยแล้วสามารถกลับบ้านได้ทันที เนื่องจากผลการตรวจจะส่งทาง SMS ให้ผู้ประกันตนทราบตามหมายเลขโทรศัพท์ที่แจ้งไว้

“ขอเน้นย้ำว่า ผู้ประกันตนที่เข้าข่ายเป็นกลุ่มเสี่ยงตามที่กระทรวงสาธารณสุขและ สปสช.กำหนด ยังคงสามารถตรวจโควิด-19 ได้ฟรีทั้งในโรงพยาบาลรัฐและเอกชนทุกแห่งทั่วประเทศ ซึ่งถือเป็นสิทธิของคนไทยทุกคน การเพิ่มหน่วยบริการตรวจที่จะเปิดแห่งแรกใน กทม. นั้น เป็นการเพิ่มช่องทางหรือทางเลือกหนึ่งเพื่อบริการผู้ประกันตนให้ได้รับการตรวจอย่างรวดเร็ว ลดความแออัดหรือรอคิวนาน ซึ่งกระทรวงแรงงานจะพิจารณาเพิ่มหน่วยบริการสำหรับผู้ประกันตนให้มากขึ้นต่อไป” รมว.สุชาติ กล่าวในตอนท้าย

กรมบัญชีกลาง เปิดทาง ข้าราชการ และบุคคลในครอบครัวที่เสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด-19 สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงได้ โดยไม่ต้องทดรองจ่ายเงิน

นายประภาศ คงเอียด อธิบดีกรมบัญชีกลาง เปิดเผยว่า ข้าราชการ ลูกจ้างประจำ ผู้รับเบี้ยหวัด ผู้รับบำนาญ (ผู้มีสิทธิ) และบุคคลในครอบครัวที่เสี่ยงหรือติดเชื้อโควิด-19 สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลในระบบเบิกจ่ายตรงได้ โดยไม่ต้องทดรองจ่ายเงินไปก่อน โดยผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวที่มีอาการไข้ ไอ เจ็บคอ หอบเหนื่อย หรือมีอาการของโรคปอดอักเสบ สามารถเข้ารับการรักษาในสถานพยาบาลของทางราชการและสถานพยาบาลเอกชน หากแพทย์ได้สอบสวนโรค หรือแพทย์วินิจฉัยว่าติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ผู้มีสิทธิและบุคคลในครอบครัวสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้

ทั้งนี้หากรักษาในสถานพยาบาลของทางราชการ กรณีผู้ป่วยนอกผู้ที่เป็นกลุ่มเสี่ยงสามารถเบิกค่าตรวจได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,200 บาทต่อครั้ง ส่วนกรณีติดเชื้อโควิด และสถานพยาบาลรับตัวไว้เป็นผู้ป่วยในแล้ว สามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลเพิ่มเติมได้ เช่น ค่าตรวจเบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,200 บาทต่อครั้ง ค่าห้องพักสำหรับควบคุมหรือดูแลรักษา เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 2,500 บาทต่อวัน ค่ายารักษาเฉพาะผู้ติดเชื้อโควิด เบิกได้เท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 7,200 บาท

ขณะที่ในกรณีแพทย์ผู้รักษาเห็นว่า อาการดีขึ้นสามารถส่งตัวไปพักฟื้น ณ สถานที่ที่สถานพยาบาลของทางราชการได้จัดหาไว้เป็นการเฉพาะ ให้มีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการเกี่ยวกับการรักษาพยาบาลในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 1,500 บาทต่อวัน และในกรณีที่สถานพยาบาลของทางราชการมีความจำเป็นต้องส่งตัวผู้มีสิทธิหรือบุคคลในครอบครัวที่ติดเชื้อโควิดผู้มีสิทธิมีสิทธิได้รับเงินสวัสดิการนอกเหนือจากค่าพาหนะส่งต่อ รายการค่าอุปกรณ์ป้องกันส่วนบุคคลและค่าบริการทำความสะอาดฆ่าเชื้อบนรถพาหนะส่งต่อ ในอัตราเท่าที่จ่ายจริงไม่เกิน 3,700 บาท ต่อครั้งที่มีการส่งต่อ

ส่วนสถานพยาบาลเอกชน กรณีติดเชื้อโควิด-19 การเบิกค่ารักษาพยาบาลจะครอบคลุมตั้งแต่สถานพยาบาลเอกชนรับตัวไว้เป็นผู้ป่วยใน จนถึงสิ้นสุดการรักษา รวมถึงการส่งตัวผู้ป่วยไปเข้ารับการรักษาที่สถานพยาบาลเอกชนแห่งอื่นที่ได้จัดเตรียมไว้ กรณีไม่ติดเชื้อโควิด-19 การเบิกค่ารักษาพยาบาลจะครอบคลุมตั้งแต่สถานพยาบาลเอกชนรับตัวไว้เป็นผู้ป่วยใน จนถึงผู้ป่วยได้รับแจ้งผลการตรวจที่ยืนยันว่าไม่ติดเชื้อโควิด-19

 

ติดเชื้ออย่าตระเวนหาเตียง!! ’สาธารณสุข’ เปิดสายด่วน-ไลน์ ‘สบายดีบอต’ เพิ่มช่องทางเช็กเตียงว่าง ยันเตียงมีเพียงพอรองรับผู้ป่วย

14 เมษายน 2564 นพ.ณัฐพงศ์ วงศ์วิวัฒน์ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข กล่าวถึงการบริหารจัดการเตียงสำหรับผู้ป่วยโควิด-19 ว่า ผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทุกรายต้องได้รับการรักษาในโรงพยาบาลเท่านั้น ซึ่งระหว่างรอเตียงขอให้อยู่บ้านไม่เดินทางออกไปข้างนอก โดยยอมรับว่าที่ผ่านมาประชาชนที่ไปตรวจหาเชื้อ-19 แล้วพบว่ามีผลบวกคือติดเชื้อ จึงกังวลเรื่องการหาเตียงเพื่อทำการรักษา ซึ่งในช่วงแรกยืนยันว่าโรงพยาบาลเอกชน มีความสามารถในตรวจแลบได้ดี แต่ระยะแรกการองรับเตียงไม่ทันยังขลุกขลัก เพราะมีตัวเลขมาก ตอนนี้มีการหารือร่วมกันหลายหน่วยงานรองรับให้ผู้ติดเชื้อทุกคน ยืนยันว่าการจัดการเตียงในพื้นที่กทม.และปริมณฑล มีเพียงพอ

ทั้งนี้ จากข้อมูลวันที่ 13 เมษายน ที่ผ่านมา มีการตรวจสอบเตียงในสังกัดโรงพยาบาลต่างๆทุกแห่งครอบคลุมทั้งกรมการแพทย์ กรมควบคุมโรค กรมสุขภาพจิต กระทรวงกลาโหม กทม.โรงพยาบาลตำรวจ โรงเรียนแพทย์ เอกชน รวม 4,703 เตียง และเตียงสนาม อีก 1,482 เตียง รวมมีทั้งหมด 6,185 เตียง และมีการเข้ามาใช้เตียงแล้วแล้ว 3,460 เตียง และมีเตียงว่างในโรงพยาบาลเอกชน 1,000 เตียง แต่ที่ยังเข้าใช้ไมได้เพราะต้องรองรับผู้ป่วยหนัก และกึ่งไอซียู จึงไม่สามารถนำคนที่ไม่มีอาการรุนแรงเข้าไปใช้ นอกจากนี้ยังจัดหา Hospitel อีก 3,000 เตียง สำหรับโรงพยาบาลสังกัดกระทรวงกลาโหมกำลังดำเนินการเตรียม โรงพยาบาลสนาม ส่วนกรมการแพทย์เตรียมเปิด Hospitel คาดว่ารับได้ 450 เตียง (อีก 2 วัน) และโรงพยาบาลรามาธิบดี เตรียมเปิด Hospitel อีก 2 แห่ง

นพ.ณัฐพงศ์ กล่าวอีกว่า ขณะนี้มีการทำสายด่วน จัดหาเตียงใน กทม. ดังนี้ 1669 สายด่วน 1668 สายด่วนกรมการแพทย์ (เฉพาะกิจ) รับสาย 08.00-22.00 น.ทุกวัน 1330 สายด่วนสปสช.รับสายตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน และทางแอปพลิเคชันไลน์ "สบายดีบอต" เพียงเพิ่มเพื่อนและกรอกข้อมูล ซึ่งสำหรับผู้ป่วยที่ติดต่อหาเตียงอาจมีความล่าช้า 2-3 วัน แต่ขอให้รอไม่ตระเวนออกไปข้างนอกซึ่งจะเป็นการเพิ่มความเสี่ยงในการแพร่เชื้อแก่ผู้อื่นได้

รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ กำชับ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ดูแลพระสงฆ์ช่วงโควิด-19 ระบาด หลังพบวัดในจังหวัดแพร่ ต้องปิดวัดกักตัว 14 วัน บิณฑบาตไม่ได้

เมื่อวันที่ 14 เม.ย.นายอนุชา นาคาศัย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงกรณี พระสงฆ์สังกัดวัดเมธังกราวาส จ.แพร่ ต้องปิดวัด กักตัว งดทุกิจกรรมสงฆ์ และบิณฑบาตไม่ได้ ว่า ได้สั่งการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ(พศ.) ตรวจสอบข้อเท็จจริงดังกล่าว พบว่ามีพระที่เดินทางกลับจากพื้นที่กรุงเทพมหานครและพบผลการตรวจเชื้อเป็นบวกจริง คือ พระมหากิติชัย  รองเจ้าอาวาสวัดเมธังกราวาส โดยมีไทม์ไลน์ ดังนี้

 

1. วันที่ 7 เมษายน 2564 พระมหากิติชัย รองเจ้าอาวาสวัดเมธังกราวาส เดินทางกลับมาจากกรุงเทพฯ โดยสายการบินนกแอร์ และมีคนขับรถไปรับที่สนามบิน

2. วันที่ 8 เมษายน 2564 พระมหากิติชัย รองเจ้าอาวาสวัดเมธังกราวาส ร่วมฉันภัตตาหารกับพระในวัด จำนวน 4 รูป

3. วันที่ 9 เมษายน 2564 ได้รับแจ้งจากสาธารณสุขจังหวัด ว่ามีผู้ป่วยติดเชื้อโควิด เดินทางจากเที่ยวบินเดียวกันกับพระมหากิติชัย ทางสาธารณสุขจังหวัดแจ้งให้กักตัว

4. วันที่ 10 เมษายน 2564 พระมหากิติชัย และพระภิกษุอีก 4 รูป และโยมใกล้ชิด 4 คน กักตัวอยู่ในห้องพัก

5. วันที่ 11 เมษายน 2564 พระมหากิติชัย และพระภิกษุอีก 4 รูป และโยมใกล้ชิด 4 คน กักตัวอยู่ในห้องพัก ในวันเดียวกัน พระครูเวทย์สังฆกิจ เจ้าอาวาส กลับมาจากจังหวัดน่าน ตอนเย็น (ไม่ได้ใกล้ชิดกับพระมหากิติชัย แต่ ใกล้ชิดกับพระ 4 รูป และ โยมใกล้ชิด 4 คน)

6. วันที่ 12 เมษายน 2564 พระมหากิติชัย ไปตรวจหาเชื้อโควิด 19 ที่ รพ.แพร่ และรอฟังผลที่วัดเมธังกราวาส

7. วันที่ 13 เมษายน 2564 พระมหากิติชัย ไปตรวจหาเชื้อโควิด 19 ที่ รพ.แพร่ราม ผลออกเป็นบวก (ติดเชื้อ) ถูกส่งตัวเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลแพร่

8. วันที่ 14 เมษายน 2564 พระภิกษุและโยม 8 รูป/คน ไปตรวจหาเชื้อโควิด 19 ที่ รพ.แพร่ราม ผลออกเป็นลบทั้ง 8 รูป/คน (ไม่พบเชื้อ) แต่ทางโรงพยาบาลแพร่ราม แนะนำให้กักตัวต่ออีก 14 วัน

นายอนุชา กล่าวว่า  ขอแสดงความเป็นห่วงต่อคณะสงฆ์ ทั้งที่ปฏิบัติศาสนกิจในวัด และที่อยู่ระหว่างการเดินทาง ซึ่งที่ผ่านมาได้เคยแจ้งประสานไปยังวัดผ่านทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ขอความร่วมมือให้วัดทุกวัดปฏิบัติตามมติ มหาเถรสมาคม(มส.) และมาตรการการป้องกันการแพร่ระบาดโรคโควิด ของรัฐบาลอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะแนวทางและมาตรการในการรณรงค์ประเพณีสงกรานต์ ปลอดภัยได้บุญ พุทธศักราช 2564 ที่ขอความร่วมมือทุกวัดปฏิบัติตามมาตรการ และพิจารณาจัดศาสนาพิธีและส่งเสริมโบราณประเพณีของวัดตามแบบนิวนอร์มอล ที่มหาเถรสมาคมได้มีมติให้ทุกวัดปฏิบัติตามมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  โดยให้มีการตรวจคัดกรองพุทธศาสนิกชนที่จะมาทำบุญ ไหว้พระ รวมถึงทำความสะอาดบริเวณวัด ด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อ การใช้เจลล้างมือ มีป้ายแนะนำญาติโยม โดยขอความร่วมมือจาก อสม. ในพื้นที่ในการดูแลหากมีการแพร่ระบาด จึงเชื่อมั่นว่าทุกวัดได้ถือปฏิบัติตามมาตรการที่ขอความร่วมมือดังกล่าว

 


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top