Monday, 16 June 2025
LITE TEAM

7 มีนาคม พ.ศ. 2563 สิ้น ‘คณากร เพียรชนะ’ ผู้ทวงคืน ‘ความยุติธรรม’ ให้กับ ‘กระบวนการยุติธรรม’ ด้วยปลายกระบอกปืน

‘คณากร เพียรชนะ’ อดีตผู้พิพากษาหัวหน้าคณะชั้นต้นในศาลจังหวัดยะลา เป็นที่รู้จักจากการกระทำ อัตวินิบาตกรรม เพื่อเรียกร้องความยุติธรรม ให้แก่กระบวนการยุติธรรม โดยความพยายามในการปลิดชีพตัวเองของเขานั้น เกิดขึ้นถึง 2 ครั้งด้วยกัน โดยครั้งแรกเกิดขึ้น เมื่อวันที่ 4 ตุลาคม 2562 คณากร ยิงตัวเองจนบาดเจ็บสาหัส หลังพิพากษายกฟ้องคดียิงชาวบ้านใน อ.บันนังสตา จ.ยะลา เสียชีวิต 5 ราย ณ ห้องพิจารณา 4 ศาลจังหวัดยะลา

หลังจากนั้นได้มีการเปิดเผยจดหมายของ คณากร จำนวน 25 หน้า บนเฟซบุ๊กส่วนตัว ที่สะท้อนถึงความยากลำบากในการทำงาน พร้อมลงท้ายด้วยถ้อยคำว่า “คำแถลงของผม อาจมีน้ำหนักเบาบางเหมือนขนนก แต่หัวใจผู้พิพากษาหนักแน่นปานขุนเขา จึงมอบหัวใจชั่งบนตราชู ยืนยันคำแถลง ขอความสุขสวัสดีจงมีแด่ทุกท่าน” และ “คืนคำพิพากษาให้ผู้พิพากษา คืนความยุติธรรม ให้ประชาชน”

การเปิดเผยจดหมายสร้างความสนใจให้คนในสังคมไม่น้อย หากแต่ว่าความพยายามปลิดชีพ พร้อมจดหมายที่กล่าวถึงความอัดอั้นใจ ในการทำงานในครั้งนี้ ทำให้ คณากร ถูกตั้งกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง ตาม พ.ร.บ.ระเบียบข้าราชการฝ่ายตุลาการศาลยุติธรรม พ.ศ. 2543 มาตรา 68 คือเป็นกรณีที่ถูกกล่าวหาหรือมีกรณีเป็นที่สงสัยว่ากระทำผิดวินัย และมีมติให้นายคณากรไปช่วยทำงานชั่วคราวในกองผู้ช่วยผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ ภาค 5 จังหวัดเชียงใหม่

5 มีนาคม ของทุกปี ตรงกับ ‘วันนักข่าว’ หรือ ‘วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ’

วันที่ 5 มีนาคม ของทุกปี ตรงกับวันสำคัญวันหนึ่ง นั่นก็คือ ‘วันนักข่าว’ หรือ ‘วันสื่อสารมวลชนแห่งชาติ’ ซึ่งตรงกับวันก่อตั้ง สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 5 มีนาคม พ.ศ. 2498 โดยนักข่าวรุ่นบุกเบิก จำนวน 15 ท่าน ได้แก่ โชติ มณีน้อย, เท่ห์ จงคดีกิจ, ประจวบ อัมพะเสวต, วิเชียร โรจนวงศานนท์, ถาวร มุ่งการดี, สนิท เอกชัย, เชาว์ รูปเทวินทร์, จรัญ โยบรรยงค์, กุศล ประสาร, ชลอ อาภาสัตย์, อนงค์ เมษประสาท, วิสัย สุวรรณผาติ, นพพร ตุงคะรักษ์, วิภา สุขกิจ และเลิศ อัศเวศน์ 

ซึ่งในครั้งนั้นได้มีการนัดหมายกันที่ศาลานเรศวร ในสวนลุมพินี โดยมีชาญ สินศุข จากสยามนิกร เป็นประธานการประชุม

แน่นอนว่าวันสำคัญของวงการสื่อสารมวลชนเช่นนี้ หนังสือพิมพ์แทบทุกฉบับ ต่างก็ให้ความสำคัญกับวันสำคัญของพวกตนเป็นอย่างมาก ถึงขนาดที่มีประเพณีที่ทราบกันดี ระหว่างหนังสือพิมพ์และผู้อ่านว่า ในวันที่ 6 มีนาคม ของทุกปี จะไม่มีหนังสือพิมพ์วางจำหน่าย เนื่องจากเป็นวันหยุดงานประจำปีของบรรดานักหนังสือพิมพ์ทั้งหลาย 

แต่แล้วประเพณีนี้ก็ไม่สามารถทำได้นาน เพราะสุดท้ายหนังสือพิมพ์ก็ต้องออกวางจำหน่ายในวันที่ 6 มีนาคม เนื่องจากประชาชนในฐานะผู้อ่านต่างเกิดความตื่นตัว และมีความต้องการที่จะบริโภคข่าวสารที่มากขึ้น จึงทำให้หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นต้องเลิกประเพณีดังกล่าวไป

ดังนั้น สมาคมนักข่าวแห่งประเทศไทย ได้กำหนดให้ วันที่ 4 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันที่จัดให้มีการประชุมใหญ่สามัญประจำปี เพื่อให้วันรุ่งขึ้นเป็นวันหยุดเฉลิมฉลองกันอย่างเต็มที่ ในงานเลี้ยงสังสรรค์ประจำปี 

ยกย่อง ‘ผศ.เกื้อพันธุ์ นาคบุปผา’ ทำงานด้วยใจ อาจารย์สอนภาษาไทย ผู้กุมหัวใจนักศึกษาจีน

หากคุณมีโอกาสเยือนมหาวิทยาลัยภาษาต่างประเทศปักกิ่ง (BFSU) คุณอาจจะได้เดินสวนกับหญิงสูงวัย ร่างเล็ก ผมสีดอกเลา เจ้าของดวงตาคู่เล็กและรอยยิ้มใจดีท่านนี้ สำนักข่าวซินหัวชวนอ่านเรื่องราวของอาจารย์ชาวไทยผู้ได้รับการขนานนามว่า “คุณย่าไว่เจี้ยว” (คุณย่าผู้เป็นอาจารย์ต่างชาติ)

“ฉันฟังภาษาจีนไม่เข้าใจ ฉันเป็นคนไทยจ้ะ” เป็นคำตอบที่ผู้ถามมักได้รับกลับมาเมื่อพยายามสร้างบทสนทนาด้วยภาษาจีนกับ “ผศ. เกื้อพันธุ์ นาคบุปผา” อาจารย์สูงอายุวัย 77 ปี ผู้เชี่ยวชาญด้านภาษาไทย ซึ่งมีประสบการณ์สอนภาษาไทยในประเทศจีนมานานกว่า 20 ปี

ผศ.เกื้อพันธุ์ เป็นอาจารย์จากมหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ ซึ่งเคยเดินทางมาสอนหนังสือที่ภาควิชาภาษาไทยของมหาวิทยาลัยฯ หลายต่อหลายครั้ง นับตั้งแต่ปี 1992 และตัดสินใจสอนภาษาไทยในจีนเรื่อยมาหลังจากเกษียณอายุงานเมื่อปี 2005 จนลูกศิษย์ลูกหาต่างยกย่องให้ท่านเป็นดัง “ร่มโพธิ์ร่มไทร” ของวงการการสอนภาษาไทยในประเทศจีน

ผศ. เกื้อพันธุ์ไม่เข้าใจภาษาจีน ไม่ใช้โทรศัพท์มือถือ และไม่ใช้คอมพิวเตอร์ อาวุธคู่กายในการสอนของท่านมีเพียงแค่ “ชอล์ก” กับ “กระดานดำ” ส่วนการสื่อสารกับนักศึกษาในชีวิตประจำวัน ท่านอาศัยการพูดคุยแบบเจอหน้าและใช้โทรศัพท์บ้านเท่านั้น อาจารย์สูงอายุผู้มีนิสัยถ่อมตน สมถะ เรียบง่าย และตั้งใจจริงท่านนี้ คือผู้ที่อบรมบ่มเพาะบุคลากรผู้เชี่ยวชาญภาษาไทยจำนวนมากให้กับวงการการศึกษา การทูต การค้า และสื่อสารมวลชน นับเป็นผู้มีคุณูปการต่อการสานสัมพันธ์ฉันมิตรระหว่างจีนกับไทย 

อาจารย์จากแดนไกล ทำงานได้แม้ไม่เข้าใจภาษาจีน

ปี 2022 นี้นับเป็นปีที่ 30 แล้วที่ ผศ.เกื้อพันธุ์มีความผูกพันกับประเทศจีน 

“ปักกิ่งเป็นเหมือนบ้านเกิดหลังที่ 2 ของดิฉัน และดิฉันตั้งใจจะทำงานที่นี่เป็นแห่งสุดท้าย” ท่านกล่าวพร้อมเผยว่าเวลากลับมาถึงห้องพักก็จะรู้สึกเหมือนกลับมาบ้าน

เมื่อวันจันทร์ (28 ก.พ.) นับเป็นวันแรกของการสอนในภาคการศึกษาใหม่ ผศ. เกื้อพันธุ์ตื่นนอนตั้งแต่ตีสามและสอนช่วงเช้าติดต่อกัน 4 ชั่วโมงโดยไม่หยุดพัก แต่ท่านกลับบอกว่าต่อให้ไม่ได้ดื่มน้ำเลยสักอึกเดียวก็ไม่รู้สึกเหนื่อย เพราะรักการสอนหนังสือมาก

“ซานเยว่อีเฮ่าเต้าเป่ยจิงไหล” คือประโยคภาษาจีนที่ ผศ.เกื้อพันธุ์จำได้ขึ้นใจจนถึงทุกวันนี้ โดยมีความหมายว่า “ฉันมาถึงปักกิ่งวันที่ 1 มีนาคม” ท่านเล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นว่า “ดิฉันยังจำได้ดี ตอนเดินทางมาถึงปักกิ่งเป็นช่วงปลายฤดูหนาวแล้ว ซึ่งอากาศยังหนาวกว่าช่วงที่หนาวที่สุดของเชียงใหม่มาก แต่เพื่อนชาวจีนเขาบอกว่าตอนนี้เข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิแล้ว”

จากเชียงใหม่ถึงปักกิ่ง คิดเป็นระยะทางเกือบ 3,000 กิโลเมตร นับเป็นความท้าทายครั้งใหญ่สำหรับผศ. เกื้อพันธุ์ ซึ่งขณะนั้นมีอายุ 47 ปี “กลัวก็กลัวนะ ที่กลัวเพราะไม่เคยคิดจะออกนอกประเทศนอกจากเที่ยว เพราะฉะนั้น กินก็ไม่ได้ นอนไม่หลับ ผอมลงๆ”

แต่ถึงกระนั้นความวิตกกังวลใดๆ ก็ไม่ได้เป็นอุปสรรคต่อหัวใจที่รักในการสอนและความรับผิดชอบที่มีต่อนักศึกษา ผศ. เกื้อพันธุ์ ผู้ตั้งฉายาให้ตนเองว่า “อาจารย์โลว์เทค” จึงตั้งใจทำทุกวิถีทางเพื่อให้ทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง เช่น เรียนภาษาจีนไม่ทันก็เรียนพินอินแทน สื่อสารกับนักศึกษาไม่เข้าใจก็ใช้ภาษาอังกฤษและหน้าตาท่าทางเข้าช่วย เป็นต้น

ผศ. เกื้อพันธุ์เล่าว่าท่านประสบปัญหาหลายอย่างเลี่ยงไม่ได้ตอนมาถึงปักกิ่งครั้งแรก ซึ่งรวมทั้งอุปสรรคทางภาษา แต่โชคดีที่มีคนคอยยื่นมือช่วยเหลือท่านอยู่เสมอ “ที่ดิฉันอยู่มาได้หลายปีขนาดนี้ ต้องขอบคุณคณาจารย์และลูกศิษย์ที่คอยช่วยเหลือ”

ไม่หยุดสอนแม้เกษียณ

หลังจากเกษียณในปี 2005 มหาวิทยาลัยราชภัฏเชียงใหม่ได้ชักชวนให้ผศ. เกื้อพันธุ์ สอนหนังสือในจีนต่อไป ท่านจึงตอบตกลงไปแม้ขณะนั้นกำลังเศร้าเสียใจกับการจากไปของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด “ดิฉันสัญญากับพ่อแม่ว่าเกษียณแล้วจะไปอยู่กับพวกท่าน แต่พอท่านทั้งสองจากไปแล้ว ดิฉันก็ไม่มีที่ไป อยู่ก็ไม่เป็นสุข ไม่อยู่เสียเลยดีกว่า ก็เลยมาที่นี่”

ในสายตาของนักศึกษา ผศ.เกื้อพันธุ์เปรียบเสมือน “เครื่องจักรนิรันดร์” เพราะท่านมักมาถึงห้องเรียนเร็วกว่าเด็กเสมอ ทั้งยังสามารถสอนหนังสือแบบไม่หยุดพักตลอด 2 ชั่วโมง และถึงแม้จะไม่ใช่เวลาเรียนหรือค่ำมืดแค่ไหน ท่านก็ยินดีจะสละเวลาส่วนตัวมาติวให้ เพราะต้องการให้เด็กๆ เรียนรู้และพูดภาษาไทยได้ไวและเก่งขึ้น และเป็นเช่นนี้ตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา “เวลาของครูไม่ค่อยสำคัญ ถ้าสอนแล้วเด็กๆ ได้ ครูก็ดีใจด้วย”

มีครั้งหนึ่งที่นักศึกษาเคยพูดติดตลกว่า “อาคารเรียนของภาควิชาภาษาไทยมีสองแห่ง แห่งแรกคืออาคารเรียนในมหาวิทยาลัย แห่งที่สองคือตึกจวนเจีย (ตึกบ้านพักของผศ. เกื้อพันธุ์)” เนื่องจากท่านจะให้นักศึกษาผลัดกันมานั่งเรียนที่ตึกนี้ 

เริ่มตั้งแต่การสอนออกเสียงและการประกอบคำให้นักศึกษาปีหนึ่ง สอนโครงสร้างประโยคและบทสนทนาให้นักศึกษาปีสอง อบรมด้านการพูดสุนทรพจน์และเขียนเรียงความให้นักศึกษาปีสาม และให้คำปรึกษาด้านการเขียนวิทยานิพนธ์แก่นักศึกษาปีสี่ จนนักศึกษาทุกคนต่างเรียกท่านด้วยคำสนิทชิดเชื้อว่า “คุณย่า” และท่านเองก็มองว่าลูกศิษย์ชาวจีนทุกคนนั้นเป็นเหมือนลูกเหมือนหลาน

73 ปี สังหารกลางกรุง ‘4 อดีตรัฐมนตรี’ โดยตำรวจอ้างว่าเกิดการปะทะชิงตัวกับ ‘โจรมลายู’

วันนี้เมื่อ 73 ปีที่แล้ว ได้เกิดเหตุการณ์สังหารหมู่กลางกรุงอย่างอุกอาจ เมื่อผู้ถูกลอบสังหารหมู่นั้น เป็นถึง “4 อดีตรัฐมนตรี” ซึ่งประกอบด้วย รองอำมาตย์ตรี ทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เป็นนักการเมือง ภาคอีสาน จังหวัดอุบลราชธานี ผู้เป็นที่รู้จักกันดีในช่วงระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ในกรณี “พระราชบัญญัติปักป้ายข้าวเหนียว” ต่อมาได้ดำรงตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในรัฐบาล นายปรีดี พนมยงค์ ได้รับการยกย่องว่าเป็น นักการเมืองผู้ต่อสู้เพื่อชาวอีสานอย่างแท้จริงคนหนึ่ง

นายถวิล อุดล เป็นนักการเมือง หนึ่งใน “สี่เสืออีสาน” ซึ่งประกอบด้วย ตัวนายถวิลเอง นายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ นายเตียง ศิริขันธ์ และนายจำลอง ดาวเรือง

นายถวิล ดำรงตำแหน่งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดร้อยเอ็ด 2 สมัย เป็นหัวหน้าเสรีไทย จังหวัดร้อยเอ็ด ซึ่งเคยเดินทางไปติดต่อขอความร่วมมือจาก ประเทศจีน แนวคิดทางการเมืองที่สำคัญ คือ เงินภาษีที่เก็บจากประชาชน ต้องเป็นประโยชน์กลับคืนสู่ประชาชนทั้งหมด

ดร.ทองเปลว ชลภูมิ ศิษย์เก่าโรงเรียนเทพศิรินทร์ อดีตรัฐมนตรี และเป็นคณะราษฎร อดีตส.ส.จังหวัดนครนายก และเลขาธิการพรรคแนวรัฐธรรมนูญ

นายจำลอง ดาวเรือง ขุนพลเมืองมหาสารคาม ผู้นำเสรีไทยหน่วยมหาสารคาม เมื่อครั้งสงครามโลกครั้งที่ 2 อดีตส.ส.ตัวแทนชาวไร่ชาวนาเมื่อปี 2480 อยู่ในกลุ่ม “สี่เสืออีสาน”

โดยเหตุสังหารหมู่อย่างอุกอาจ “4 อดีตรัฐมนตรี” หลายคนเชื่อว่าเป็นจุดจบแบบอำพราง เนื่องจากช่วงค่ำวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2492 ตำรวจได้เคลื่อนย้ายผู้ต้องหาทั้ง “4 อดีตรัฐมนตรี” ไปไว้ที่สถานีตำรวจนครบาลบางเขน โดยอ้างเหตุความปลอดภัย ด้วยรถของตำรวจหมายเลขทะเบียน กท. 10371 โดยมี “พ.ต.อ.หลวงพิชิต ธุรการ” เป็นผู้ควบคุม โดยรับ “ดร.ทองเปลว” ที่สถานีตำรวจนครบาลปทุมวัน  “นายจำลอง” ที่สถานีตำรวจนครบาลยานนาวา “นายถวิล” ที่สถานีตำรวจนครบาลนางเลิ้ง และ “นายทองอินทร์” ที่สถานีตำรวจนครบาลสามเสน

เมื่อวิ่งมาถึงหลักกิโลเมตรที่ 12 ถนนพหลโยธิน กรุงเทพมหานคร เวลาประมาณ 03.00 น. ของวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2492 ใกล้กับมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์บางเขน ผู้ต้องหาทั้งหมดถูกยิงเสียชีวิตด้วยกระสุนไม่ต่ำกว่า 10 นัดจนร่างเละ ทั้งหมดอยู่ในสภาพที่ทุกคนยังสวมกุญแจมืออยู่ โดยได้ส่งศพไปชันสูตรที่โรงพยาบาลกลาง

ต่อมาตำรวจแถลงว่า ในที่เกิดเหตุกลุ่มโจรมลายูพร้อมอาวุธครบมือได้ดักซุ่มยิงเพื่อชิงตัวผู้ต้องหา และได้มีการปะทะกับตำรวจ แต่เป็นที่น่าสังเกตว่า ตำรวจทั้งหมดราว 20 นายไม่มีใครได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตเลย

ว่ากันว่าญาติของผู้ต้องหากว่าจะทราบเรื่องการเสียชีวิต ก็เมื่อได้ไปเยี่ยมที่สถานีตำรวจเดิมที่คุมขังแล้วไม่พบตัว ต้องไปตามหาตามที่ต่างๆ เช่น วังปารุสกวัน ซึ่งในขณะนั้นเป็น “กองบัญชาการตำรวจนครบาล” และได้รับคำบอกต่อให้ไปดูที่โรงพยาบาลกลาง จึงได้ทราบเรื่อง

ศพของ “4 อดีตรัฐมนตรี” ตั้งบำเพ็ญกุศลที่ “วัดมกุฎกษัตริยาราม” กระนั้นในงานศพก็ยังมีตำรวจสายสืบและสันติบาลมาติดตามเฝ้าดูความเคลื่อนไหวของผู้ที่เข้าร่วมงานศพ “4 อดีตรัฐมนตรี” อยู่เสมอ

จากความผิดปกติในครั้งนี้ ทำให้สังคมโดยทั่วไปไม่เชื่อว่าทั้งหมดเสียชีวิตเพราะถูกกระสุนของโจรมลายูจริง แต่เชื่อว่าเป็นการกระทำของตำรวจเอง ภายใต้การบัญชาการของ “พลตำรวจเอกเผ่า ศรียานนท์” ซึ่งเป็นผู้มีบทบาทอย่างมากในการปราบกบฏและมีตำแหน่งเป็น “รองอธิบดีกรมตำรวจ” ในเวลานั้น

หลังจากนั้นไม่นาน ก็ได้มีการฆาตกรรมนักการเมืองและบุคคลฝ่ายที่รัฐบาลเห็นว่าเป็นผู้ที่อยู่ตรงข้ามอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปี เช่น นายเตียง ศิริขันธ์, นายหะยีสุหรง อับดุลกาเดร์, นายอารีย์ ลีวีระ

ย้อนรอยเหตุลอบสังหาร อดีตนายกรัฐมนตรี ‘ทักษิณ ชินวัตร’

หากย้อนกลับไปเมื่อ 21 ปีที่แล้ว หนังสือพิมพ์ทุกฉบับต่างเสนอข่าวอย่างครึกโครม เมื่อในวันที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2544 เครื่องบินโบอิง 737 ของการบินไทยเกิดระเบิดขึ้นที่ลานจอด แต่ความน่าสนใจที่มากกว่านั้นคือ 1 ในรายชื่อของผู้โดยสารเครื่องบินลำดังกล่าวคือ ‘พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร’

โดยในวันเกิดเหตุเครื่องบินลำดังกล่าว เที่ยวบินที่ 114 โบอิง 737-4D7 ของการบินไทย ซึ่งเป็นเที่ยวบินที่จะเดินทางจากท่าอากาศยานดอนเมืองไปยังท่าอากาศยานเชียงใหม่ในเวลา 14.48 น. หากแต่ว่าก่อนเวลากำหนดการบิน 35 นาที เครื่องบินลำดังกล่าวกลับระเบิดขึ้น ที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ซึ่งขณะเกิดเหตุนั้นยังไม่มีผู้โดยสารอยู่บนเครื่อง มีเพียงเจ้าหน้าที่จำนวน 8 คน ในจำนวนนี้เสียชีวิต 1 คน

โดยหลังเกิดเหตุ ทักษิณ แถลงว่าการระเบิดครั้งนี้เป็นการก่อวินาศกรรมเพื่อหวังลอบสังหารตนเอง โดยฝีมือของผู้เสียผลประโยชน์ชาวต่างชาติ (ว้าแดง) เนื่องจากนโยบายปราบปรามยาเสพติดของรัฐบาล หลังจากที่เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานของไทยตรวจพบหลักฐานที่เชื่อว่าอาจเป็นร่องรอยของระเบิดซีโฟร์หรือเซมเท็กซ์ (Semtex) และช่วงหนึ่งของคำแถลงนั้นระบุว่า

“เป็นการปองร้าย ไม่ใช่การก่อการร้าย ไม่ทราบว่าปองร้ายใคร ส่วนคนที่ทำนั้นสิ้นคิด ไม่ต้องทำกับนายกรัฐมนตรี ทำกับใคร ประเทศชาติก็เสียหาย”

122 ปี การแข่งขันฟุตบอลครั้งแรกในประเทศไทย

วันที่ 2 มีนาคม พ.ศ. 2443 ได้มีการแข่งขันฟุตบอลซึ่งนับว่าเป็นประวัติศาสตร์หน้าใหม่ของประเทศไทย ระหว่างทีมศึกษาธิการ กับทีมบางกอก ที่ทุ่งพระเมรุ ผลการแข่งขันเสมอกันไป 2 - 2 โดยนับเป็นการแข่งขันฟุตบอลอย่างเป็นทางการครั้งแรกในประเทศไทย

แต่หากย้อนกลับไปถึงที่มาที่ไปของกีฬาชนิดนี้ในประเทศไทย เรียกได้ว่ากีฬาฟุตบอลในประเทศไทย มีการเล่นตั้งแต่สมัย "พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว" รัชกาลที่ 5 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพระองค์ได้ส่งพระเจ้าลูกยาเธอ พระเจ้าหลานยาเธอ และข้าราชบริพารไปศึกษาวิชาการด้านต่างๆ ที่ประเทศอังกฤษ 

ซึ่งการส่งคนไทยไปศึกษาวิชาการต่างๆ ในครั้งนี้ ยังนำกีฬาชนิดหนึ่งกลับมาที่เมืองไทยอีกด้วย ซึ่งผู้ที่นำกีฬาฟุตบอลกลับมายังประเทศไทยเป็นคนแรกคือ "เจ้าพระยาธรรมศักดิ์มนตรี (สนั่น เทพหัสดิน ณ อยุธยา)" หรือ ที่ประชนชาวไทยมักเรียกชื่อสั้นๆ ว่า "ครูเทพ" ซึ่งท่านได้แต่งเพลงกราวกีฬาที่พร้อมไปด้วยเรื่องน้ำใจนักกีฬาอย่างแท้จริง เชื่อกันว่าเพลงกราวกีฬาที่ครูเทพแต่งไว้นี้จะต้องเป็น "เพลงอมตะ" และจะต้องคงอยู่คู่ฟ้าไทย

การสัมผัสพื้นผิวดาวศุกร์ครั้งแรกของโลก จากการพุ่งชนของ ‘ยานเวเนรา 3’

วันนี้เมื่อ 56 ปีที่แล้ว ซึ่งตรงกับวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2509 ได้เกิดเหตุการณ์ครั้งสำคัญครั้งหนึ่งเกิดขึ้น กับ ‘ยานเวเนรา 3’ ยานอวกาศที่ถูกสร้างและปล่อยขึ้นสู่อวกาศโดยสหภาพโซเวียต เพื่อไปสำรวจพื้นผิวของดาวศุกร์ 

โดย ยานเวเนรา 3 นั้น ถูกปล่อยเมื่อวันที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2508 จาก Baikonur คาซัคสถาน

ซึ่งเป้าหมายในการออกไปนอกโลกในครั้งนี้ คือ ภารกิจลงจอดบนพื้นผิวของดาวศุกร์ โดยลำตัวมีระบบวิทยุสื่อสาร เครื่องมือทางวิทยาศาสตร์ แหล่งพลังงานไฟฟ้าและมีตราแผ่นดินของสหภาพโซเวียต

แต่ภารกิจในครั้งนี้กลับไม่เป็นไปตามอย่างที่วางแผนไว้ เมื่อยานอวกาศดังกล่าวลงสู่ดาวศุกร์ แต่กลับลงด้วยการชนกระแทก เมื่อวันที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2509 และกลายเป็นยานอวกาศลำแรกที่ลงจอดบนพื้นผิวของดาวเคราะห์ดวงอื่น 

ซึ่งด้านที่ตกนั้นเป็นดาวมืดของดาวศุกร์ ซึ่งพิกัดการลงจอดกระแทกน่าจะอยู่ที่พิกัด -20° to 20° N, 60° to 80° E อย่างไรก็ตาม ระบบสื่อสารของยานได้ล้มเหลวก่อนที่จะมีการส่งข้อมูลใดๆ กลับมายังโลก

อีกทั้งดาวศุกร์ มีอุณหภูมิประมาณ 500 องศาเซลเซียส ตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน ทำให้การลงจอดของยานสำรวจเวเนรารุ่นต่อๆ ไป ก็ยังเป็นอุปสรรค จนกระทั่ง เวเนรา 7 ที่ลำตัวของยานเป็นไททาเนียม สามารถลงจอดที่พื้นผิวอย่างนุ่มนวลได้สำเร็จเป็นลำแรกและส่งข้อมูลกลับมายังโลกได้ 23 นาที

52 ปี ‘โรงแรมดุสิตธานี’ เริ่มเปิดดำเนินกิจการเป็นครั้งแรก

27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2513 โรงแรมดุสิตธานีเริ่มเปิดดำเนินกิจการ การตั้งชื่อว่า “ดุสิตธานี” ก็เพื่อให้พ้องกับชื่อสวรรค์ชั้นที่ 4 ที่ชื่อว่า “ดุสิต” เพื่อให้ผู้มาใช้บริการรู้สึกเหมือนอยู่ในสวรรค์ นอกจากนี้โรงแรมยังตั้งอยู่ตรงข้ามสวนลุมพินี ซึ่งเป็นที่ตั้งของพระบรมรูปรัชกาลที่ 6 ผู้ทรงสร้างเมืองแม่แบบประชาธิปไตยชื่อ “ดุสิตธานี”

ดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค เป็นโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์แบบประสมขนาดใหญ่ บนที่ดินขนาด 23 ไร่ 2 งาน 2.72 ตารางวา บริเวณหัวมุม ถนนพระราม 4 ตัดถนนสีลม (แยกศาลาแดง) ตรงข้ามกับสวนลุมพินี

ในพื้นที่แขวงสีลม เขตบางรัก กรุงเทพมหานคร ซึ่งเป็นพื้นที่เดิมของ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ และ บริษัท ไทยประกันชีวิต จำกัด (มหาชน)

สำนักงานสีลม บริหารงานโดย บริษัท วิมานสุริยา จำกัด ภายใต้การร่วมทุนของ บริษัท ดุสิตธานี จำกัด (มหาชน) และ กลุ่มเซ็นทรัล โดย บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ตั้งเป้าขึ้นเป็นแลนด์มาร์กหนึ่งของเส้นขอบฟ้ากรุงเทพมหานคร ด้วยความสูงสุดของอาคารที่ 78 ชั้น ภายใต้สถาปัตยกรรมแบบไทยโบราณร่วมกับสถาปัตยกรรมแบบไทยร่วมสมัย รองรับกลุ่มลูกค้าทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ

พื้นที่ของโครงการดุสิต เซ็นทรัล พาร์ค แต่เดิมแล้วเป็นบ้านศาลาแดง ของเจ้าพระยายมราช (ปั้น สุขุม) โดยท่านผู้หญิงชนัตถ์ ปิยะอุย

ผู้ก่อตั้งและที่ปรึกษาคณะกรรมการโรงแรม ปริ๊นเซส ได้ดำเนินการขอเช่าพื้นที่จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินผืนดังกล่าว เพื่อดำเนินการก่อสร้างโรงแรมระดับห้าดาวที่หรูหราแห่งแรกในกรุงเทพมหานครเมื่อ 2511 ภายใต้ชื่อ โรงแรมดุสิตธานี กรุงเทพฯ โดยตัวอาคารมีความสูง 23 ชั้น

นับเป็นอาคารสูงหลังแรกในประเทศไทย และใช้สถาปัตยกรรมแบบไทยเดิมร่วมสมัยที่ออกแบบโดยกลุ่ม Kanko Kikaku Sekkeisha ที่นำโดย โยโซะ ชิบาตะ สถาปนิกชาวญี่ปุ่น ในส่วนของชื่อโรงแรมได้ตั้งตามชื่อเมืองจำลองของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว อันแปลว่า “เมืองสวรรค์” ซึ่งแต่เดิมพระองค์เคยมีพระราชประสงค์ที่ต้องการจะสร้างเมืองแห่งประชาธิปไตยและให้ชื่อว่าดุสิตธานีนั่นเอง ซึ่งการตั้งชื่อโรงแรมยังเป็นการเทิดพระเกียรติแด่พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวไปในตัว เนื่องมาจากพื้นที่ตั้งของโรงแรมตั้งอยู่ตรงข้ามสวนลุมพินี และมีพระบรมรูปของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวประดิษฐานอยู่

‘อายตา’ ดังไม่หยุด สุดโดดเด่นบน IG หลังได้ขึ้นโปรโมทแบรนด์ Ariana Grande

เอาอะไรมาไม่ดัง! "Eyeta" หรือ "อายตา-ศรสวรรค์ ใจมั่น" บิวตี้บล็อกเกอร์ & อินฟลูเอนเซอร์ไทย ได้ขึ้น Instagram โปรโมท r.e.m.beauty แบรนด์เครื่องสำอางของ Ariana Grande นักร้องชื่อดังระดับโลก

สำหรับ "อายตา" สาวไทยเพียงหนึ่งเดียวที่โดดเด่นอยู่บนอินสตาแกรมแบรนด์ดังที่มีผู้ติดตามกว่า 1.2 ล้านคน โดยเธอมากับลุคโคฟเวอร์ที่สวยไม่ต่างจาก Ariana Grande เจ้าของแบรนด์เลยทีเดียว

โดย สาวอาย ได้อัปเดตพูดผ่านไลฟ์บนเพจเฟซบุ๊ก มีใจความว่า

"ดีใจมากๆๆๆ ไอจีแบรนด์ r.e.m.beauty ลง รูปอายตา ทั้งๆ ที่ในวิดีโอรีวิวสินค้าเขา อายตาก็ไม่ได้ชมทุกตัวนะ รีวิวตามจริง ทางแบรนด์เขาก็ติดต่อมาขอนำรูปไปลง ดีใจที่เขาได้เห็นผลงานเรา"

25 กุมภาพันธ์ของทุกปี ‘วันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ’ วันแรกที่ประเทศไทยมีการกระจายเสียงทางวิทยุเป็นครั้งแรก

25 กุมภาพันธ์ของทุกปี เป็นวันวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติ ซึ่งกิจการวิทยุกระจายเสียงแห่งชาติเกิดขึ้นครั้งแรกใน พ.ศ. 2471 โดยพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน เสนาบดีกระทรวงพาณิชย์และการคมนาคมในสมัยนั้น ซึ่งได้ตั้งสถานีวิทยุกระจายเสียงขึ้นที่ตึกที่ทำการไปรษณีย์ปากคลองโอ่งอ่าง ตำบลวัดราชบูรณะ โดยใช้ชื่อว่า “สถานี 4 พีเจ (4PJ)" และต่อมาได้มีการประกอบเครื่องส่งคลื่นขนาดกลาง 1 กิโลวัตต์ และทดลองที่ตำบลศาลาแดงโดยใช้ชื่อว่า “เอช เอส หนึ่ง หนึ่ง พีเจ (HS 11 PJ)” ซึ่งคำว่า PJ มาจากคำว่า “บุรฉัตรไชยากร” ซึ่งเป็นพระนามเดิมของพระเจ้าบรมวงศ์เธอพระองค์เจ้าบุรฉัตรไชยากร กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน

ต่อมาในวันที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2473 ได้มีการเปิดการส่งวิทยุเป็นปฐมฤกษ์ โดยใช้ชื่อสถานีว่า “สถานีวิทยุกรุงเทพฯ ที่พญาไท” (Radio Bangkok at Phyathai) ตั้งอยู่ที่วังพญาไท มีกำลังส่ง 2.5 กิโลวัตต์ ซึ่งพิธีการเปิดได้อัญเชิญกระแสพระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว จากพระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัย เข้าไมโครโฟนถ่ายทอดไปตามสาย เข้าเครื่องส่งแล้วกระจายเสียงสู่พสกนิกร โดยมีใจความว่า “การวิทยุกระจายเสียงที่ได้เริ่มจัดขึ้น และทำการทดลองตลอดมานั้น ก็ด้วยความมุ่งหมายว่าจะส่งเสริมการศึกษาการค้าขายและการบันเทิง แก่พ่อค้า ประชาชน เพื่อควบคุมการนี้เราได้ให้แก้ไขพระราชบัญญัติดังที่ได้ประกาศใช้เมื่อเดือนกันยายนแล้ว และบัดนี้ดั่งเครื่องกระจายเสียงอย่างดีมาตั้งที่สถานีวิทยุโทรเลขพญาไทเสร็จแล้ว เราจึงถือโอกาสสั่งให้เปิดใช้เป็นปฐมฤกษ์ตั้งแต่บัดนี้ไป” นับเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดเสียงทางวิทยุในประเทศไทย


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top