Thursday, 2 May 2024
อินเดีย

เชียงราย - ชุมชนชาวมุสลิมปรับตัวยุคโควิด ปรุงอาหารใส่ปิ่นโตแจกแทนจัดเลี้ยงช่วงถือศีลอด

ที่ชุมชนกกโท้ง เทศบาลนครเชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.เชียงราย ซึ่งเป็นชุมชนชาวมุสลิมในจังหวัดเชียงราย ซึ่งช่วงนี้เป็นนช่วงการถือศิลอด เนื่องในเดือน รอมฎอนเป็นเวลา 30 วัน  ทางกลุ่มขาวมุสลิมใน จ.เชียงราย นำโดยนายปรีชา อนุรักษ์ กรรมการอิสลามประจำ จ.เชียงราย ได้รวมกลุ่มกันบริจาคทานเพื่อจัดทำอาหารสำหรับให้ชาวมุสลิมที่ถือศิล ได้บริโภคหลังพระอาทิตย์ตกดิน  โดยการปรุงอาหารและแจกจ่ายด้วยปิ่นโตเพื่อให้สมาชิกที่เป็นชาวมุสลิม ผู้ยากไร้  นำไปรับประทานที่บ้านแทนการจัดเลี้ยงด้วยโรงทานตามมัสยิดต่าง ๆ เหมือนที่ผ่านมา เนื่องจากการระบาดของไวรัสโควิด-19 

โดยทางกลุ่มได้จัดสถานที่มอบปิ่นโตที่บริเวณหน้าร้านโรตีป้าใหญ่ตั้งอยู่ที่ชุมชนกกโท้ง เทศบาลนครเชียงราย อ.เมืองเชียงราย จ.ฌชียงราย โดยแต่ละวันจะมีลูกหลานและคนงานร้านโรตีป้าใหญ่ มาช่วยกันปรุงอาหารเป็นเมนูต่าง ๆ อย่างหลากหลาย และนำบรรจุในปิ่นโต 5 ชั้นโดยมีข้าว 2 ชั้นและอาหารจำนวน 3 ชั้นเพื่อให้เพียงพอต่อการบริโภคในครอบครัว  โดยผู้ที่จะเป็นสมาชิกกลุ่มต้องเข้ารับการอบรมด้านการป้องกันไวรัสโควิด-19 จากนั้นมีการลงทะเบียนและมอบหมายเลขปิ่นโตให้เพื่อให้แต่ละคนได้ไปรับปิ่นโตในช่วงเวลาประมาณ 16.00 น.ของทุกวันอย่างถูกต้องและ นำปิ่นโตมาคืนในวันถัดไป

นายปรีชา กล่าวว่าตามปกติพวกเราก็จะมีทำบุญเลี้ยงอาหารเป็นประจำทุกเดือน โดยเฉพาพในช่วงเดือนรอมฎอน จะทำกันทุกวัน แต่เนื่องจากช่วง 1-2 ปีนี้เกิดวิกฤติไวรัสโควิด-19 ทำให้ต้องหันมาปรับเปลี่ยนวิธีการเพื่อแก้ไขปัญหาการนั่งรับประทานรวมกลุ่ม จึงได้คิดค้นการนำปิ่นโตมาใช้ประโยชน์และได้รับการสนับสนุนจากร้านโรตีป้าใหญ่ในการรับเป็นสถานที่และคนปรุงให้ จึงทำให้ไม่ต้องเสียต้นทุนมากและมีค่าใช้จ่ายเพียงการจัดหาซื้อวัตถุดิบต่างๆ มาทำการปรุงเท่านั้น  จากการสอบถามไปยังจังหวัดอื่น ๆ รวมถึงกรุงเทพฯ ก็ไม่เคยพบเห็นพื้นที่ใดใช้วิธีการนี้มาก่อนเลย พวกเราจึงถือเป็นกลุ่มบุกเบิกซึ่งทุกพื้นที่สามารถนำไปใช้เป็นต้นแบบได้

"ปัจจุบันมีผู้ที่เข้าร่วมเป็นสมาชิกรับปิ่นโตจำนวน 110 คน  ต้องทำอาหารสำหรับปิ่นโตจำนวน 110 ปิ่นโตต่อวัน รวมระยะเวลาในการจัดทำอาหารใส่ปิ่นโตจำนวน 30 วัน ซึ่งหลังจากดำเนินการมาได้หลายวันพบว่าได้ผลเป็นอย่างดีและผู้ไปรับก็ได้ความรู้เรื่องไวรัสโควิด-19 มีอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) มาให้บริการคัดกรองก่อนรับอาหาร และอาหารที่ได้ถือว่าให้มากสามารถนำไปรับประทานร่วมกับคนในครอบครัวได้ซึ่งดีกว่าการจัดเลี้ยงเป็นโต๊ะซึ่งสมาชิกในบ้านบางคนอาจจะไม่เวลาไปรับประทานได้ สำหรับค่าใช้จ่ายนั้นก็มีผู้บริจาคกันเข้าไปอย่างเพียงพอหรือแม้แต่สมาชิกที่ไปรับปิ่นโตก็ร่วมสมทุบทุนไปด้วย เฉลี่ยค่าใช้จ่ายวันละประมาณ 20,000 บาทแต่ก็ถือว่าได้ผลดีเป็นอย่างมากและหลังเดือนรอมฎอนไปแล้วก็คงจะหาโอกาสในการแจกปิ่นโตเช่นนี้อย่างต่อเนื่องต่อไป


ภาพ/ข่าว  ณัฐวัตร ลาพิงค์

 

2 ยักษ์ ‘รัสเซีย-อินเดีย’ เร่งจับมือกระชับมิตร ขยายฐาน ‘ธุรกิจ - พลังงาน - ยุทโธปกรณ์’

‘วลาดิมีร์ ปูติน’ ผู้นำรัสเซีย บินข้ามทวีปมาเยือน ‘นเรนทรา โมดี’ นายกรัฐมนตรีอินเดียอย่างเป็นทางการเมื่อวันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม 2564 ที่ผ่านมา นับเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศเป็นครั้งที่ 2 เท่านั้นตลอดทั้งปีของปูติน เนื่องจากปัญหาการระบาด Covid-19

ครั้งล่าสุดที่เห็นปูตินเดินทางเยือนต่างประเทศ คือ ช่วงกลางเดือนมิถุนายนของปีนี้ ที่มีงานประชุมทวิภาคีระหว่างสหรัฐอเมริกา และ รัสเซีย ที่กรุงเจนีวา ในสวิตเซอร์แลนด์ แล้วหลังจากนั้นก็ยังไม่ได้เห็นปูตินเดินทางไปไหนอีกเลย แม้กระทั่งงานประชุมสุดยอดผู้นำโลก COP26 เพื่อปัญหาสภาพอากาศที่เมืองกลาสโกว์ ในสกอตแลนด์ ก็ยังไร้เงาผู้นำแห่งรัสเซีย

แต่มาครั้งนี้ ทริปสุดท้ายปลายปีที่ปูตินยอมออกเดินทางจากทำเนียบเครมลิน เป็นการนัดพบกับนายกรัฐมนตรีนเนทรา โมดี แห่งอินเดีย พร้อมรัฐมนตรีคนสำคัญชุดใหญ่ทั้งฝ่ายต่างประเทศ และกลาโหม ส่งสัญญาณชัดว่าการพบปะกันของทั้ง 2 ผู้นำระดับยักษ์ใหญ่คนละซีกโลกต้องไม่ธรรมดาแน่ ๆ

และก็เป็นดังคาด หลังจากที่ 2 ผู้นำ ‘ปูติน-โมดิ’ พบกันด้วยบรรยากาศอันชื่นมื่นแล้ว ยังสามารถบรรลุข้อตกลงทางเศรษฐกิจที่สำคัญร่วมกันถึง 28 ฉบับ ที่รวมถึงการขยายฐานการผลิตปืนไรเฟิล Kalashnikov โมเดลคลาสสิกของรัสเซีย ที่เป็นหนึ่งในยุทโธปกรณ์ที่มีการใช้งานมากที่สุดในโลก และอินเดียเป็นหนึ่งในฐานการผลิตปืน Kalashnikov ให้กับรัสเซียที่ปูตินต้องการให้ผลิตเพิ่มขึ้นอีกกว่า 6 แสนกระบอก 

นอกจากนี้รัสเซียตกลงที่จะขายระบบขีปนาวุธรุ่นล่าสุด S-400 ให้กับอินเดีย พร้อมข้อตกลงความร่วมมือทางทหาร และเทคโนโลยีระหว่างกันอีกถึงปี 2031 

ส่วนด้านเศรษฐกิจ ทั้งรัสเซีย และอินเดีย ได้ตกลงที่จะเร่งขยายมูลค่าทางการค้าให้ได้ถึง 3 หมื่นล้านเหรียญต่อปี ภายในปี 2025 และ Rosneft บริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียก็ได้เซ็นสัญญาส่งน้ำมันให้กับบริษัทน้ำมันของอินเดียในปริมาณมากถึง 2 ล้านตันภายในปี 2022 

นับเป็นการบรรลุข้อตกลง และการเดินหมากภูมิศาสตร์การเมืองที่น่าสนใจมากสำหรับทั้งรัสเซีย และอินเดีย ที่ทุกคนต่างรู้กันว่า ยืนอยู่คนละฝั่งของขั้วอำนาจโลก

โดยทางรัสเซีย นับเป็นพันธมิตรคนสำคัญที่สุดของจีนแผ่นดินใหญ่ และประสานยุทธศาสตร์ เศรษฐกิจ การเมืองร่วมกันอย่างลึกซึ้ง แต่การมาเยือนอินเดียครั้งนี้ของปูติน จำเป็นต้องระมัดระวังอย่างมาก เนื่องจากว่า อินเดียและจีน ยังมีข้อพิพาทรุนแรงในเขตพื้นที่แถบเทือกเขาหิมาลัย เขตหุบเขากัลวาน และเขตที่ราบสูง อัคไซ ชิน ดังนั้น การยกระดับความร่วมมือทางการทหารระหว่างอินเดียและรัสเซีย ก็สุ่มเสี่ยงที่จะสร้างความบาดหมางให้กับทางปักกิ่งได้เช่นกัน 

อินเดีย อินดี้! ยี้แผ่นดินเกิด เกิดภาวะสมองไหล แห่หนี ‘ขุดทอง’ ต่างประเทศ

ทำไมอินเดียจึงกลายเป็นชาติที่พลเมืองสมองไหลมากที่สุดในโลก?

เมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายน 2021 ที่ผ่านมาหลังจากที่ แจ็ค ดอร์ซีย์ ผู้ก่อตั้ง Twitter ประกาศลาออกจากตำแหน่ง CEO และได้มีการแต่งตั้ง ปราค อัครวาล วิศวกรไอที เชื้อสายอินเดียแท้ๆ ขึ้นมาดำรงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของ Twitter แทน สร้างความฮือฮาให้ความชาวอินเดียทั่วประเทศเป็นอย่างมาก ที่ต่างก็ภูมิใจที่ได้เห็นคนที่เกิด เติบโต และเรียนจบจากสถาบันในอินเดีย สามารถก้าวขึ้นไปถึงตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของ Twitter สื่อโซเชียลแถวหน้าที่สร้างกระแสอิทธิพลในโลกได้ 

และไม่ใช่แค่เฉพาะ ปราค อัครวาล คนเดียวที่ทำได้ ยังมีชาวอินเดียอีกหลายคนที่ประสบความสำเร็จเป็นที่ยอมรับในต่างประเทศ อาทิ สัตยา นาเดลลา CEO ของบริษัท Microsoft, อาร์วิน คริชนา ที่เคยก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของ IBM หรือ อาเจย์ บันกา รับตำแหน่ง CEO ให้กับ Mastercard 

นอกเหนือจากแวดวงธุรกิจ ไอที ยังมีชาวอินเดียจำนวนไม่น้อยที่ได้รับบทบาทสำคัญทางการเมืองในประเทศมหาอำนาจ ยกตัวอย่างเช่น ฮาร์จิต ซิงค์ ซัจจาน นักการเมืองอินเดีย-ซิกข์ จากแคว้นปัญจาบ สามารถก้าวขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของแคนาดา หรือแม้แต่ กมลา แฮริส รองประธานาธิบดีสหรัฐคนปัจจุบัน ลูกครึ่งจาไมก้า-อินเดีย ที่มีคุณแม่เป็นชาวอินเดียแท้ๆ ซึ่งผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมชีวการแพทย์ และทำงานวิจัยเกี่ยวกับโรคมะเร็งเต้านม ที่มีชื่อเสียงอย่างมากในสหรัฐอเมริกา 

ถึงแม้สิ่งเหล่านี้จะเป็นเครื่องพิสูจน์อย่างชัดเจนถึงศักยภาพของชาวอินเดีย ที่เป็นที่ยอมรับจากคนทั่วโลก แต่ก็สะท้อนปัญหาอีกด้านหนึ่งที่รัฐบาลอินเดียจะมองข้ามไปไม่ได้ก็คือปัญหา "สมองไหล" 

หากพิจารณาว่ามีพลเมืองชาติใดบ้างที่นิยมโยกย้ายถิ่นฐานไปตั้งรกราก ทำงานในต่างประเทศ หลายคนอาจนึกถึงจีน หรือ ฟิลิปปินส์ เป็นประเทศแรกๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว อินเดียคือประเทศที่มีพลเมืองย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศมากที่สุดในโลก

จากข้อมูลของ UN World Migration Report พบว่า เฉพาะในปี 2020 ปีเดียว มีชาวอินเดียย้ายถิ่นฐานไปต่างประเทศมากกว่า 17.3 ล้านคน และในจำนวนนี้ มีคนระดับอภิมหาเศรษฐี ที่มีอยู่เพียง 2% ของประชากรอินเดีย ตัดสินใจโยกทุน ย้ายถิ่นไปประเทศอื่นมากถึง 5,000 คนในปีเดียวกัน 

และบางครั้งก็ไม่ได้แค่ย้ายถิ่นฐานไปอยู่ อาศัยทำงานในต่างแดนเท่านั้น บางคนถึงกับสละสัญชาติอินเดียไปเลยก็มีไม่น้อย ทางรัฐบาลอินเดียได้เปิดเผยว่า ในช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมามีชาวอินเดียมากถึง 6 แสนคน ทิ้งสัญชาติไปเป็นชาวต่างชาติโดยสมบูรณ์ เท่ากับว่า อินเดียก็จะสูญเสียทรัพยากรบุคคลเหล่านี้ไปอย่างถาวร

จึงเกิดคำถามขึ้นว่า ทำไมอินเดียจึงเกิดปัญหา “สมองไหล” อย่างมากมาย นับเป็นการสูญเสียทรัพยากรบุคคลอันมีค่าของอินเดียให้กับชาติอื่น แทนที่พวกเขาจะอยู่ทำงาน ที่จะเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาอินเดียในอนาคต

ซึ่งปัญหานี้เกิดจากหลายสาเหตุ และเหตุผลหลักอันดับแรก หนีไม่พ้นค่าจ้างแรงงานในตลาดต่างประเทศที่สูงกว่าอยู่ทำงานในอินเดียมาก โดยเฉพาะกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมศาสตร์ และ ไอที เทคโนโลยี เป็นสาขาอาชีพที่เป็นที่ต้องการอย่างมากทั่วโลก ที่ชาติชั้นนำในยุโรปต่างยินดีที่จะเสนอเงื่อนไขการย้ายถิ่นฐานให้กับผู้เชี่ยวชาญในสาขาเหล่านี้ 

แต่นอกจากเรื่องค่าแรงที่เย้ายวนแล้ว ก็ยังมีเหตุผลด้านความล้ำหน้าด้านศาสตร์เทคโนโลยีขั้นสูงของชาติมหาอำนาจตะวันตก ที่ทำให้นักศึกษาอินเดียจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะเดินทางไปต่อยอดความรู้เพิ่มเติม ซึ่งกลายเป็นช่องทางที่สถาบันชาติตะวันตกใช้ดึงนักศึกษาระดับหัวกะทิจากอินเดีย ผ่านโครงการทุนการศึกษาและสวัสดิการ มารองรับนักศึกษาที่มีผลการเรียนไปเลิศไปศึกษาต่อ และมักจะได้สิทธิ์อยู่ต่อ ทำงาน และย้ายถิ่นฐานต่อได้อย่างเป็นระบบ 

ส่วนนักธุรกิจชั้นนำในอินเดียก็มองว่า การย้ายถิ่นฐานเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยขยายฐานธุรกิจของตนให้ก้าวขึ้นไปสู่ระดับสากล เป็นการต่อยอดจากตลาดในอินเดียได้เป็นอย่างดี 

“ผบ.ทบ.” ต้อนรับ เอกอัครราชทูตอินเดีย สะท้อนมิตรภาพที่ยั่งยืน

เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่กองบัญชาการกองทัพบก (บก.ทบ.) พล.อ.ณรงค์พันธ์ จิตต์แก้วแท้ ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้การต้อนรับ นางสุจิตรา ทุไร (Suchitra Durai) เอกอัครราชทูตอินเดียประจำประเทศไทย เข้าเยี่ยมแนะนำตัว หารือแลกเปลี่ยนแนวคิดและความร่วมมืองานด้านความมั่นคง โดยมีผู้บังคับบัญชาระดับสูงของกองทัพบกร่วมหารือด้วย ภายใต้การปฏิบัติตามมาตรการป้องกันโควิด-19 

สำหรับการพบหารือกันในวันนี้ ผู้บัญชาการทหารบก ได้กล่าวถึงโอกาสครบรอบ 75 ปี ของการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างราชอาณาจักรไทยและสาธารณรัฐอินเดีย ในปี 2565 นี้ พร้อมระบุว่า กองทัพบกมีความยินดีและเต็มใจให้การสนับสนุนในทุกด้านที่จะก่อให้เกิดการพัฒนาร่วมกัน โดยเน้นกิจกรรมความร่วมมือทางทหารและความมั่นคงผ่านกลไกต่างๆ เพื่อนำไปสู่มิตรภาพที่ยั่งยืน นอกจากนี้ในเรื่องความมั่นคงทางไซเบอร์ที่เป็นเรื่องสำคัญถือเป็นภัยคุกคามรูปแบบใหม่ที่อุบัติขึ้นมาไม่นาน รวมถึงการใช้สื่อสังคมออนไลน์ ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องมีการพัฒนาให้สอดคล้องกับบริบทดังกล่าว โดยเฉพาะการแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกับหน่วยงานความมั่นคงอื่นๆ ทั้งในและต่างประเทศ 

ในส่วนของการแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ผู้บัญชาการทหารบกได้ชื่นชมในการบริหารจัดการของสาธารณรัฐอินเดีย ในการเป็นศูนย์กลางผลิตวัคซีนให้กับประเทศต่างๆ อีกทั้งตลอดสองปีของการแพร่ระบาด ทั้งสองประเทศได้มีการสนับสนุนและมอบอุปกรณ์ทางการแพทย์รวมถึงเครื่องผลิตออกซิเจนให้แก่กันมาอย่างต่อเนื่อง แสดงถึงความเอื้ออาทรและร่วมกันดูแลประชาชนในฐานะมิตรประเทศ

สำหรับความร่วมมือในด้านความมั่นคง กองทัพบกไทยและกองทัพอินเดียได้มีการจัดประชุมระดับฝ่ายเสนาธิการ แลกเปลี่ยนความรู้และประสบการณ์ร่วมกัน  จัดการฝึกผสมภายใต้รหัส “ไมตรี” รวมถึงการแลกเปลี่ยนบุคลากรเพื่อเข้ารับการศึกษาในหลักสูตรทางทหารนอกจากนี้เชื่อมั่นว่ากองทัพบกทั้งสองประเทศจะร่วมมือกันทั้งในงานด้านความมั่นคง การร่วมกันแก้ไขปัญหาวิกฤติ รวมทั้งการพัฒนาด้านต่างๆ 
ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากลต่อไป 

‘โมดี’ กร้าว!! ‘อินเดีย’ ครองผลิต ‘มือถือ’ เบอร์ 2 ของโลก พร้อมส่งสัญญาณคนรุ่นใหม่ เร่งต่อยอดอุตฯ เทคโนโลยี

นเรนทรา โมดี นายกรัฐมนตรีอินเดีย ซึ่งเข้าร่วมพิธีเปิดงานเฉลิมฉลองวาระมหาวิทยาลัยซิมไบโอซิส (Symbiosis University) ในเมืองปูนครบรอบ 50 ปี เมื่อวันอาทิตย์ (6 มี.ค.) ระบุว่า…

อินเดียกำลังก้าวขึ้นเป็นผู้นำระดับโลกของภาคอุตสาหกรรม ซึ่งก่อนหน้านี้ถูกมองว่าไกลเกินเอื้อม เช่น การ ผลิตโทรศัพท์มือถือ

โมดีระบุว่าอินเดียกลายเป็นผู้ผลิตโทรศัพท์มือถือรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ทั้งที่เมื่อเจ็ดปีก่อนอินเดียมีบริษัท ผลิตโทรศัพท์มือถือเพียงสองแห่ง แต่ปัจจุบันมีโรงงานผลิตที่เกี่ยวข้องกับอุตสาหกรรมดังกล่าวมากกว่า 200 แห่ง

'อังกฤษ'​ อึ้ง!! หลังชวนอินเดียร่วมลดพึ่งพาพลังงานจากรัสเซีย แต่ถูกสวน!! 'ยุโรปซื้อน้ำมันรัสเซียมากกว่าอินเดียอีก'​

เมื่อ 31 มี.ค. 65 สื่ออินเดียได้รายงานข่าวการไปเยือนลอนดอนอย่างเป็นทางการของ เอส. ไจแชนการ์ รัฐมนตรีต่างประเทศอินเดีย เพื่อประชุมหารือกับ ลิซ ทรัสส์ รัฐมนตรีต่างประเทศของฝั่งอังกฤษ ซึ่งประเด็นที่เป็นไฮไลต์ของการพูดคุยครั้งนี้ หนีไม่พ้นเรื่องมาตรการคว่ำบาตรรัสเซียของประเทศยุโรป จากกรณีการรุกรานยูเครน

โดยรัฐมนตรีต่างประเทศหญิงของอังกฤษได้เน้นย้ำถึงเป้าหมายของอังกฤษที่จะลดการพึ่งพาพลังงานจากรัสเซียให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ เพื่อเป็นการตอบโต้การกระทำของรัสเซีย และยังเป็นข้อตกลงร่วมกันในกลุ่มประเทศยุโรปเพื่อแสดงออกว่าจะยืนเคียงข้างชาวยูเครน

ลิซ ทรัสส์ กล่าวกับ ไจแชนการ์ว่า ถึงแม้ว่าอังกฤษไม่อาจบังคับให้ประเทศอื่นทำตามเป้าหมายของเรา และอินเดียก็เป็นประเทศเอกราช แต่ทางอังกฤษก็รู้ว่ารัสเซียได้เสนอขายน้ำมันให้รัฐบาลอินเดียในราคาพิเศษ จึงได้ตั้งคำถามว่า ทำไมอินเดียถึงยังสนใจรับข้อเสนอของรัสเซีย ประเทศที่ใช้กำลังทหารรุกรานประเทศอื่นอยู่อีก

แต่ทว่าสิ่งที่นาย เอส. ไจแชนการ์ ตอบกลับรัฐมนตรีหญิงของอังกฤษกลับมีประเด็นที่น่าสนใจ โดยเขามองว่า การรวมกลุ่มกันคว่ำบาตรรัสเซียดูเป็นเหมือนแคมเปญของทางฝั่งยุโรปมากกว่า และหากเทียบปริมาณการพึ่งพาน้ำมันของทางฝั่งยุโรปกับอินเดียนั้นก็มีความแตกต่างกันอย่างมาก 

เพราะที่ผ่านมา แหล่งน้ำมันที่อินเดียนำเข้ามาเกือบทั้งหมด มาจากประเทศทางตะวันออกกลาง มีประมาณ 7.5-8% นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา แล้วจึงตามด้วยรัสเซีย ซึ่งบางครั้งน้อยกว่า 1% เสียอีก 

แต่ในทางกลับกัน ประเทศทางฝั่งยุโรปต่างหากที่พึ่งพาพลังงานน้ำมันจากรัสเซียเป็นส่วนใหญ่ มิหนำซ้ำ ประเทศในยุโรปยังนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียเพิ่มขึ้นอีกถึง 15% ในเดือนมีนาคมปีนี้ ซึ่งมากกว่าตอนก่อนเกิดสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครนเสียอีก

จบปัญหาโดน ‘ทวิตเตอร์’ ปิดปาก Elon Musk ผงาด!! ถือหุ้นใหญ่สุดของ Twitter | NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช EP.47

✨จบปัญหาโดน ‘ทวิตเตอร์’ ปิดปาก Elon Musk ผงาด!! ถือหุ้นใหญ่สุดของ Twitter

✨‘สหรัฐฯ’ ขู่ ‘อินเดีย’ ระวังจะถูกคว่ำบาตร หากรั้นจะซื้อน้ำมันจากรัสเซียต่อไป

✨รัฐบาลสิงคโปร์ไม่สน!! เดินหน้าประหารพ่อค้ายาเสพติด แม้โดนองค์กรสิทธิมนุษยชนคัดค้าน

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

.

.

'หนุ่มอินเดีย' ออมเงินด้วยเหรียญ 1 รูปี นาน 3 ปี ซื้อมอเตอร์ไซค์ในฝัน ชาวเน็ตแห่ชื่นชมความพยายาม

วันนี้ (13 เม.ย. 65) เพจหลง อินเดีย เผยแพร่เรื่องราวสุดประทับใจว่า...หนุ่มอินเดียเก็บเหรียญ 1 รูปี 💰ออมนาน 3 ปี เพื่อซื้อมอเตอร์ไซค์ในฝัน🥰

สวัสดีวันสงกรานต์ #สาวกหลงอินเดีย ทุกท่านนะคะ วันนี้วันดีน้า ขอเริ่มต้นปีใหม่ไทย ๒๕๖๕ ด้วยบทความกำลังใจดี ๆ สร้างแรงบันดาลใจ ให้ทุกคนกันค่ะ 💦❤️

V Boopathi หนุ่มอินเดียจากบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง วัย 29 ปี จากรัฐทมิฬนาฑู ที่เขามีความใฝ่ฝันอย่างยิ่ง ที่อยากจะได้รถมอเตอร์ไซค์ในฝัน มาไว้ขับสัก 1 คัน แต่ด้วยความที่ไม่มีเงินมากนัก เขาจึงได้เริ่มต้นเก็บเงินแทน

ความหน้าด้านของตะวันตก เมื่อ 'ผู้นำอังกฤษ' กดดัน 'อินเดีย' ต้านรัสเซีย แต่เมื่อถูกทวงคำขอโทษสังหารหมู่ 'จลิยานวาลาบาค' กลับเพิกเฉย

'ครูแพท-พัฒนพงศ์ แสงธรรม' อาจารย์ คณะศิลปศาสตร์ (ภาควิชาภาษาอังกฤษ) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุว่า...

ความหน้าด้านของตะวันตก ท้้งเยอรมนี, อังกฤษ, สหรัฐอเมริกา เป็นสิ่งที่มนุษยชาติจะได้จดจำไปตลอดกาล เป็นการยืนยันความเห็นแก่ตัวและกักขฬะที่ไม่ได้ต่างจากสัตว์ที่ชัดเจนที่สุดในประวัติศาสตร์

อินเดียซึ่งนำเข้าน้ำมันจากรัสเซียและเป็นผู้ซื้ออาวุธรายใหญ่ที่สุดของโลก งดออกเสียงในการลงคะแนนเสียงของสหประชาชาติที่ประณามรัสเซียสำหรับการบุกรุกยูเครน และไม่ได้ร่วมมือกับชาติตะวันตกในการกำหนดมาตรการคว่ำบาตรต่อรัสเซีย ซึ่งแม้ว่าอินเดียจะใกล้ชิดกับตะวันตกมากขึ้นในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา แต่ยังต้องพึ่งพาอาวุธยุทโธปกรณ์จำนวนมากจากรัสเซีย ท่ามกลางความตึงเครียดกับจีนและปากีสถาน

บอริส จอห์ฺนสัน ไปเยือนอินเดีย เพื่อพูดคุยเรื่องการให้อินเดียงดซื้อพลังงานจากรัสเซีย และคว่ำบาตรรัสเซีย หลังจากที่สหรัฐฯ ได้พยายามมาแล้ว และยังกดดันอินเดียตลอดมา

อินเดียจึงทวงคำขอโทษจากอังกฤษสำหรับเหตุการณ์การสังหารหมู่ที่จลิยานวาลาบาคเมื่อกว่า 100 ปีก่อนอีกครั้ง เพราะตลอดมาอังกฤษเพิกเฉย

อึ้ง!! การค้าน้ำมัน 'รัสเซีย-อินเดีย' พุ่ง!! เติบโตมหาศาล 25 เท่าหรือ 2500%

World Maker เผย รัสเซีย-อินเดียค้าน้ำมันพุ่ง 25x !!! ล่าสุดเติบโตถึง 25 เท่าหรือ 2500% โดยการส่งมอบ 3 เดือนที่ผ่านมาคิดเป็นมากกว่า 10 เท่าของการส่งมอบตลอดปีที่แล้ว !!! เรียกได้ว่าเติบโตกันอย่าง 'มหาศาล' เลยทีเดียว ! และที่สำคัญคือราคา Discount จากตลาดโลกอย่างน้อย 30% !! งานนี้โกยกันยับทั้งคนซื้อทั้งคนขาย !

⚠️ล่าสุดดูเหมือนว่าการค้าระหว่างรัสเซีย-อินเดียโดยเฉพาะทางด้านน้ำมัน กำลังเติบโตขึ้นอย่างมหาศาล โดยตัวเลขการส่งมอบพุ่งขึ้นถึง 25 เท่าหรือ 2500% ขณะที่การส่งมอบในเดือนพฤษภาคมเพียงเดือนเดียวสูงถึง 24 ล้านบาร์เรล !! เทียบกับปีที่แล้วเพียง 960,000 บาร์เรลเท่านั้น !

📌โดยรวมแล้วอินเดียรับน้ำมันดิบจากรัสเซียไปกว่า 34 ล้านบาร์เรลนับตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งมากกว่ามูลค่าการนำเข้าทั้งหมดตลอดปี 2021 ถึง 10 เท่าหรือ 1000% ! ท่านผู้อ่านลองคิดดูเอาเองว่าตัวเลขนำเข้าเพียง 3 เดือนสูงกว่าตัวเลขตลอดปีที่แล้วถึง 10 เท่ามันมากแค่ไหน !!

ส่วนตัวเลข 24 ล้านบาร์เรลในเดือนนี้นั้น เพิ่มขึ้นจาก 7.2 ล้านบาร์เรลในเดือนเมษายน และขยายจาก 3 ล้านบาร์เรลในเดือนมีนาคม และที่ยิ่งไปกว่านั้น คาดว่าในเดือนมิถุนายนนี้จะมีการส่งมอบสูงถึง 28 ล้านบาร์เรล !! (เพิ่มขึ้นอีก 4 ล้านบาร์เรลจากเดือนนี้)

การคว่ำบาตรจากชาติตะวันตกที่พึ่งประกาศคว่ำบาตรน้ำมันทางเรือ (คิดเป็นสัดส่วน 2 ใน 3 ของการส่งมอบทั้งหมด) ต่อรัสเซีย ทำให้รัสเซียต้องเร่งปรับเปลี่ยน Supply Chain ไปยังตลาดอื่น ๆ แทน โดยเฉพาะในเอเชียและตลาดเกิดใหม่ ซึ่งสร้างโอกาสให้โรงกลั่นของอินเดียสามารถยกระดับการซื้อน้ำมันจากรัสเซียได้ในราคาพิเศษอย่างมาก ! รวมถึงประเทศจีนที่กำลังเร่งซื้อพลังงานจากรัสเซียอย่างมหาศาล


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top