Tuesday, 7 May 2024
หุ้น

ILINK ติดอันดับ “หุ้นยั่งยืน” ต่อเนื่อง 3 ปี!! พร้อมลุ้น Investor Relations Awards บนเวที “SET Awards 2021”

“วริษา อนันตรัมพร” ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ILINK ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายสายสัญญาณที่ใหญ่ที่สุดในอาเซียน และผู้นำเข้าและค้าส่งอุปกรณ์เครือข่ายส่งสัญญาณ เปิดเผยว่า

“ILINK ได้รับคัดเลือกให้อยู่ในรายชื่อหุ้นยั่งยืน หรือ Thailand Sustainability Investment (THSI) ประจำปี 2564 ต่อเนื่องเป็นปีที่ 3 ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความมุ่งมั่นที่บริษัทฯ จะเติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน พร้อมขับเคลื่อนและนำแนวคิดต่อยอดที่คำนึงถึง มิติเศรษฐกิจ มิติสังคม และมิติสิ่งแวดล้อม เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการดำเนินธุรกิจ และมีการเตรียมรับมือกับความเสี่ยงใหม่ ๆ ที่เกิดขึ้นตลอดเวลา พร้อมสร้างโอกาสทางธุรกิจเพื่อรับกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลกในอนาคต นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังให้ความสำคัญต่อการดำเนินกิจกรรมนักลงทุนสัมพันธ์ ซึ่งมีการเปิดเผยข้อมูลที่ถูกต้อง ครบถ้วน มีคุณภาพ โปร่งใส และทันต่อเหตุการณ์ เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ผู้ถือหุ้น และนักลงทุนต่อไป”

เฟดทนไม่ไหวปรับขึ้นดอกเบี้ย 0.75% ดันหุ้นสหรัฐฯ-ทองคำปิดบวก แต่ฉุดน้ำมันร่วง $3

วอลล์สตรีทปิดบวกและน้ำมันขยับลงราว 3 ดอลลาร์ในวันพุธ (15 มิ.ย.) หลังธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับขึ้นดอกเบี้ยตามที่คาดหมายไว้ ในความพยายามต่อสู้กับเงินเฟ้อโดยไม่ฉุดเศรษฐกิจดำดิ่งสู่ภาวะถดถอย ปัจจัยนี้ผลักทองคำปรับขึ้น

ดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 303.70 จุด (1.00 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 30,668.53 จุด เอสแอนด์พี เพิ่มขึ้น 54.51 จุด (1.46 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 3,789.99 จุด แนสแดค เพิ่มขึ้น 270.81 จุด (2.50 เปอร์เซ็นต์) ปิดที่ 11,099.16 จุด

คณะกรรมการกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.75% ถือเป็นการปรับขึ้นมากที่สุดนับตั้งแต่ปี 1994 และคาดหมายว่าเศรษฐกิจกำลังชะลอตัวและตัวเลขคนว่างงานจะเพิ่มขึ้นในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

เฟดได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปีนี้ สู่ระดับ 1.7% จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 2.8% ในเดือน มี.ค. และคาดว่าจะขยายตัว 1.7% ในปี 2023

นอกจากนี้ เฟดคาดว่าเงินเฟ้อจะพุ่งแตะระดับ 5.2% ในสิ้นปีนี้ จากเดิมคาดการณ์ที่ระดับ 4.3% และจะชะลอตัวสู่ระดับ 2.6% และ 2.2% ในปี 2023 และ 2024 ตามลำดับ

วอลล์สตรีทซื้อขายผันผวนหลังจากเฟดแถลงปรับขึ้นดอกเบี้ย ก่อนแกว่งตัวขึ้นหลังจาก เจอโรม พาวเวล ประธานเฟดระบุในถ้อยแถลงว่ามีความเป็นไปได้ที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีก 0.50% หรือ 0.75% ในการประชุมครั้งถัดไปในเดือนกรกฎาคม แต่เขาไม่คาดหมายว่าการปรับขึ้น 0.75% จะกลายเป็นเรื่องปกติ

‘นักวิเคราะห์’ ชี้!! ซื้อหุ้นเทคโนโลยีตอนนี้ดีหรือไม่ หลังกระแส AI อาจจะช่วยดันหุ้นเทคได้มากขึ้น

(1 เม.ย.66) World Maker เผยว่า ท่ามกลางกระแสข่าวร้ายของภาคธนาคารที่โหมกระหน่ำตลาดไปเมื่อเร็ว ๆ นี้ พบว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยียังแทบไม่สะทกสะท้านและดีดขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ในไตรมาส 1 ของปี 2023 นี้ Nasdaq100 ซึ่งเป็นดัชนีรวมของกลุ่มเทคโนโลยีเด่น ๆ ปรับตัวสูงขึ้น +17% ขณะที่หุ้นเทคฯ ยักษ์ใหญ่หลายตัวดีดขึ้นมาจากจุด Low มากกว่า +50% เลยทีเดียว!

การดีดขึ้น +17% ของ Nasdaq ในช่วง 1 ไตรมาสถือว่าทำสถิติได้ดีที่สุดในรอบ 20 ปี ซึ่งสิ่งที่นักลงทุนหลายคนคิดว่าเป็นแรงหนุนสำคัญก็คือเรื่องของ Generative AI อย่าง ChatGPT รวมถึงท่าทีของ FED ที่ผ่อนคลายลงบ้างในเรื่องดอกเบี้ย

โดยหุ้นกลุ่มเทคพุ่งขึ้นท่ามกลางวิกฤต Bank Run และความเชื่อมั่นที่ลดลงของภาคธนาคาร ในขณะที่ FED ปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งล่าสุด +0.25% และแม้ว่า Jerome Powell จะกล่าวว่า FED อาจขึ้นดอกเบี้ยต่อไปอีก แต่การปรับขึ้น +0.25% นั้นดูผ่อนคลายกว่าท่าทีก่อนหน้านี้ที่ FED กล่าวว่าอาจกระชับดอกเบี้ยให้เร็วขึ้นอีก (ทำให้ก่อนเกิด Bank Run มีนักลงทุนจำนวนไม่น้อยคาดว่า FED มีโอกาสกลับไปขึ้นดอกเบี้ย +0.5%)

นักวิเคราะห์บางคนชี้ว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีมักจะมีความอ่อนไหวด้านความเคลื่อนไหวของราคาต่อการประกาศดอกเบี้ยของ FED ดังนั้น ในช่วงที่ FED ขึ้นดอกเบี้ยอย่างรวดเร็วจึงทำให้หุ้นเทคฯ หลายตัวร่วงลงจนมีมูลค่าน่าดึงดูดใจ ดังนั้นเมื่อเกิดวิกฤต Bank Run และนักลงทุนจำนวนไม่น้อยคาดว่า FED จะชะลอหรือลดดอกเบี้ย จึงมีกระแสเงินไหลกลับเข้าไปในหุ้นเทค

อีกเหตุผลที่นักวิเคราะห์กล่าวคือ ก่อนหน้านี้ในช่วงปลายปี 2022 หุ้นเทคได้ถูกจัดอยู่ในโซนมีการขายมากเกินไป (Oversold) และความเชื่อมั่นของหุ้นเทคได้ปรับตัวสูงขึ้นในปีนี้ พร้อมกับข่าวปลดพนักงานจำนวนมากที่หลายคนมองว่าจะทำให้หุ้นเทคมีผลกำไรดีขึ้น

เมื่อเหตุผลตามหลักเศรษฐศาสตร์เหล่านี้มารวมกัน มันจึงกลายเป็นสิ่งที่นักลงทุนและนักวิเคราะห์มองว่าไม่น่าแปลกใจที่หุ้นเทคโนโลยีสามารถดีดขึ้นได้ท่ามกลางวิกฤตธนาคาร

นอกจากนี้ บริษัทเทคโนโลยียังดูดีกว่าในเรื่องของความสามารถในการทำกำไรท่ามกลางภาวะดอกเบี้ยสูง แต่มีสัดส่วนหนี้ค่อนข้างต่ำ พร้อมกับงบดุลที่แข็งแกร่ง เมื่อเทียบกับหุ้นกลุ่มอื่น ๆ โดยเฉพาะธนาคาร และยังถือเป็นผู้ได้รับประโยชน์จาก Megatrend ของโลกที่จะเปลี่ยนไปสู่ Digital Economy มากขึ้นเรื่อย ๆ ในอนาคต ทำให้หลายคนมองว่าเทคโนโลยีอาจเป็นจุดที่สดใสของตลาดได้ต่อไป?

อย่างไรก็ตาม บางคนไม่ได้มองเช่นนั้น โดยกล่าวว่านักลงทุนกำลังตัดสินใจผิดที่มองว่าหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีสามารถเป็นที่หลบภัยได้ท่ามกลางสภาพตลาดในตอนนี้ เนื่องจากบริษัทเทคโนโลยีหลายแห่งจำเป็นต้องอาศัยปัจจัยพื้นฐานทางเศรษฐกิจในการเติบโต แต่ปัจจัยดังกล่าวกำลังเสื่อมถอยลง และอนาคตก็ไม่แน่นอน เนื่องจาก Demand เริ่มอ่อนตัวในช่วงที่เศรษฐกิจชะลอตัว

คนกลุ่มนี้มองว่านี่อาจเป็นสาเหตุที่บริษัทเทคกำลังเลิกจ้างพนักงานจำนวนมาก เพราะบริษัทตระหนักว่าไม่สามารถเพิ่มรายได้ในการดำเนินธุรกิจ จึงต้องลดค่าใช้จ่ายลง แตกต่างจากกลุ่มแรกที่มองว่าการลดพนักงานจะยิ่งส่งผลให้กำไรสูงขึ้น (ซึ่งก็มีโอกาสเป็นไปได้จริง ๆ แต่ก็อาจไม่ใช่เรื่องดี?)
 

 3 ปัจจัยพื้นฐานที่สำคัญต่อหุ้นเทคโนโลยีนั้นถูกมองไว้ดังนี้...

1.) ความสามารถในการทำกำไร
2.) สภาพคล่องในตลาด (เช่นการ QE และ QT ของ FED) และดอกเบี้ย
3.) การประเมินมูลค่าหุ้น

ดังนั้น แม้ว่าปัจจุบันหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจะดูน่าดึงดูดในสายตาของหลายคน แต่พร้อมกันนี้ก็อาจมีความเสี่ยงที่ซ่อนอยู่ซึ่งอาจส่งผลเชิงลบได้ในอนาคต นั่นหมายความว่าเราไม่ควรประมาทหรือ Bias มากเกินไปว่าหุ้นกลุ่มเทคจะพุ่งขึ้นแบบไม่บันยะบันยังท่ามกลางสถานการณ์เช่นนี้ เพราะมีความเป็นไปได้เช่นกันที่หุ้นเทคจะเกิดการปรับฐานอีกครั้งในระยะสั้น แม้ว่าจะไม่มีใครการันตีได้ 100% ว่าจะเกิดขึ้นจริงก็ตาม

อนึ่ง ทางด้าน Michael Burry นักลงทุนชื่อดังจาก The Big Short ได้ออกมา Tweet ยอมรับว่า “เขาผิด” ที่ก่อนหน้านี้ออกมาแนะนำให้ ‘นักลงทุนขายหุ้น’ เนื่องจากตลาดปรับตัวสูงขึ้นนับตั้งแต่ที่เขาทวีตข้อความว่า Sell มาจนถึง ณ วินาทีนี้

โดยรวมแล้ว สถานการณ์ของหุ้นในปัจจุบันดูยืดหยุ่นว่าตลาดตราสารหนี้ซึ่งผันผวนอย่างมากในแต่ละวัน แต่หลังจากจบไตรมาสนี้ไปจนถึงท้ายปี เราก็คงต้องมาลุ้นกันว่าตลาดหุ้นจะยังคงความยืดหยุ่นและทนทานต่อแรงกดดันด้านเศรษฐกิจต่อไปได้อีกหรือไม่?

ไม่มีใครปฏิเสธว่ามีโอกาสที่หุ้นเทคฯ จะพุ่งได้อย่างต่อเนื่อง แต่ก็ไม่มีใครรู้เช่นกันว่าจะมีการปรับฐานหรือไม่ ดังนั้นสำหรับคำถามที่ว่าเราควรซื้อหุ้นเทคในตอนนี้หรือไม่นั้น คงไม่มีใครให้คำตอบกับเราได้ดีเท่ากับตัวเราเอง ซึ่งเราก็ควรชั่งน้ำหนักและตัดสินใจเอาระหว่างความเสี่ยงกับโอกาสในระยะยาว ว่าควรลงทุนหรือไม่ควร แล้วถ้าลงจะลงมากน้อยแค่ไหนเพื่อไม่ให้เสี่ยงเกินไป?

พร้อมกันนี้ Janet Yellen ออกมากล่าวว่ารัฐบาลสหรัฐฯ ยังมีงานต้องทำอีกมากในการยกระดับกฏระเบียบการกำกับดูแลระบบการเงินของประเทศ หลังจากการล้มของ SVB, Silvergate และ Signature Bank แสดงให้เห็นว่ากฏระเบียบในปัจจุบันยังเข้มงวดไม่เพียงพอ โดยเฉพาะกับธนาคารขาดเล็ก-กลางที่มีกฏหมายยกเว้นให้ไม่ต้องทดสอบความเครียดเหมือนกับธนาคารใหญ่ ๆ ซึ่งเป็นสาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Bank Run ขึ้นมา

คำกล่าวของ Yellen เกิดขึ้นในขณะที่ทำเนียบขาวกำลังเร่งให้หน่วยงานกำกับดูแลภาคธนาคารมีการกำหนดกฏเกณฑ์ใหม่ โดยเฉพาะด้านการทำ Stress Test ที่เข้มงวดขึ้นโดยใช้มาตรฐานเดียวกันไม่ว่าจะเป็นธนาคารและสถาบันการเงินขนาดเล็กไปจนถึงยักษ์ใหญ่

แน่นอนว่า เมื่อใดก็ตามที่ธนาคารล้มเหลว จะทำให้เกิดความกังวลอย่างมาก ซึ่งข้อกำหนดด้านกฎระเบียบก็ได้รับการผ่อนปรนในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา (ในยุคของทรัมป์) ดังนั้นเมื่อเปลี่ยนทีมบริหาร จึงน่าจะถึงเวลาแล้วที่สหรัฐฯ จะประเมินผลกระทบของการผ่อนคลายกฎระเบียบ และดำเนินการกระชับการสอดส่องดูแลเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้อีก

‘จตุพร’ แนะ ‘พิธา’ คิดทบทวน  ‘เรืองไกร’ ได้ข้อมูลหุ้นไอทีวี มาจากไหน ระวัง พรรคใกล้ตัว

20 พ.ค. 2566 - นายจตุพร พรหมพันธุ์ วิทยากรคณะหลอมรวมประชาชน เฟซบุ๊กไลฟ์ประเทศไทยต้องมาก่อน ตอน "ไม่น่าไว้ใจ?" ช่วงหนึ่งว่า เบื้องต้นต้องยอมรับความจริงก่อนว่า นักการเมืองและประชาชนมีความมุ่งหวังต่างกัน โดยการเมืองในครั้งหนึ่ง พล.ต.ประมาณ อดิเรกสาร อดีตหัวหน้าพรรคชาติไทย ชนะเลือกตั้งปี 2526 (ได้ 110 เสียงจากทั้งหมด 324) ต้องได้เป็นนายกฯ แต่เจอข้อมูลใหม่จึงกลายเป็นฝ่ายค้านแทน

ถัดมา การเลือกตั้งปี 2562 พรรคเพื่อไทยได้รับเลือกมาเป็นอันดับหนึ่ง เมื่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) นับคะแนนปัดเศษ จึงกลายเป็นฝ่ายค้าน อีกทั้งในช่วงนั้น พรรคเพื่อไทยเล่นการเมืองสองหน้า ไปเลือกนายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ (อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่) เป็นแคนดิเดตนายกฯ ชิงกับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา จากพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) เสนอเป็นนายกฯ

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนั้น นายธนาธร ถูกคดีถือครองหุ้นสื่อมวลชน และพรรคเพื่อไทยรู้ว่า จะพบจุดจบทางการเมืองอยู่แล้ว จึงเชิดชูคนรุ่นใหม่เพื่อได้สร้างลักษณ์ที่ดีทางการเมือง แต่ขณะเดียวกันยังเป็นการหักหน้าคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ แคนนดิเดตนายกฯ เพื่อไทย (ขณะนั้น)

อย่างไรก็ตาม ในช่วงนั้น พปชร. ไปรวบรวมพรรคมาตั้งรัฐบาล โดยพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) เสนอให้นายชวน หลีกภัย เป็นประธานสภาผู้แทนฯ และกำหนดเงื่อนไขแก้ รธน. 2560 ซึ่ง พล.อ.ประยุทธ์ ยอม จึงเท่ากับแต่งตัวให้ ปชป. เข้าไปร่วมรัฐบาลทั้งที่หัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศหาเสียงไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ต้องลาออกจากหัวหน้าพรรค

ส่วนพรรคภูมิใจไทย (ภท.) ในปี 2562 ได้ประกาศไม่เอา พล.อ.ประยุทธ์ ด้วยเช่นกัน แต่ยอมเข้าร่วมรัฐบาล เมื่อรับแบ่งให้ดูแลกระทรวงเกรดเอ ดังนั้น การโหวตเลือกนายกฯ ปี 2562 จึงผ่านฉลุยด้วยเสียง สว.เลือก พล.อ.ประยุทธ์ ถึง 249 เสียงจาก 500 เสียง เท่ากับเป็นเอกฉันท์ร้อยเปอร์เซ็นต์

เมื่อมาถึงการเลือกตั้งปี 2566 นายจตุพร กล่าวว่า สถานการณ์การเมืองหลังเลือกตั้งไม่แตกต่างจากปี 2562 โดยวันนี้ไม่มีรู้ว่าใคร พรรคใดเหน็บมีดไว้ข้างหลัง โดยระหว่างการหาเสียงพรรคเพื่อไทยให้เลือกตัวเองเป็นยุทธศาสตร์โค่น 3 ป. เลือกอย่างไม่มีพี่ ไม่มีน้อง แต่ผลต้องแพ้พรรคก้าวไกลที่ผู้สมัครมีแต่คนรุ่นใหม่ ดังนั้น ยุทธศาสตร์ของพรรคเพื่อไทยจึงม่ใช่ยุทธศาสตร์ของประชาชน....

นายจตุพร ย้ำว่า สถานการณ์ของพรรคก้าวไกลในขณะนี้ มีความรู้สึกไม่แตกต่างจากนายธนาธรโดนคดีหุ้นสื่อมวลชน ถัดจากนั้นนำไปสู่การยุบพรรค (อนาคตใหม่) ดังนั้น วันนี้นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้าพรรคก้าวไกลและแคนดิเดตนายกฯ ควรคิดกันให้ดี ๆ ด้วย

“นายพิธา ควรคิดทบทวน ว่า ไอทีวีเป็นของใคร รายละเอียดของหุ้นไอทีวีหลุดมาจากไหน ผมไม่เชื่อว่านายเรืองไกร (นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ออกจากเพื่อไทยไปเป็นปาร์ตี้ลิสต์ พปชร.) จะล้วงไปได้ง่ายๆ แต่หลุดไปถึงมือเรืองไกรได้อย่างไร ถ้านายพิธา ตีโจทย์นี้แตกจะเข้าใจว่า มีดดาบมาจากไหน เหมือนกับกรณีจูเลียส ซีซาร์ถูกบรูตัสคนใกล้ชิดชักมีดแทงจนตาย ดังนั้น กระดานการเมืองจึงมีมีดดาบซ่อนไว้มากมายในทุกพรรคการเมือง โดยเฉพาะพรรคใกล้ตัว”

นายจตุพร เชื่อว่า ในความเป็นจริงตามกระดานการเมืองขณะนี้ การจับมือ 310 เสียงตั้ง รัฐบาลไม่ได้แล้ว เนื่องจากพรรคอีกฝ่ายหนึ่งที่ไม่ได้อยู่ร่วมใน 310 เสียงนั้นมีท่าทีไม่โหวตให้ ต้องการขึงพืดพรรคก้าวไกล อีกอย่างการปิดสวิตซ์ ส.ว. ก็เกิดขึ้นแล้ว โดย ส.ว.ปิดตัวเอง ประกาศไม่โหวตเลือกนายกฯ สิ่งนี้จึงเป็นสถานการณ์ที่ยากมากในการตั้งรัฐบาลสำเร็จ

“ถ้านายพิธา มีอันเป็นไป (ในคดีถูกร้องถือหุ้นสื่อสารมวลชน) พรรคก้าวไกลก็เสนอแคนดิเดตนายกฯ คนเดียว ดังนั้นแคนดิเดตนายกฯ จะไปถึงอันดับรองถัดไปในพรรค 310 เสียง ซึ่งเห็นชัดเจนอยู่แล้ว ยิ่งคนที่แสดงสปิริตยกให้นายพิธา เป็นนายกฯ ให้พรรคก้าวไกลตั้งรัฐบาล นั่นละตัวดี เพราะทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าไม่ง่าย นายพิธา ไม่รอดอยู่แล้ว เป็นกลเกมซ้ำรอยนายธนาธรถูกกระทำมาแล้ว”

อย่างไรก็ตาม นายจตุพร มั่นใจว่า ถ้าแคนดิเดตนายกฯ ลำดับถัดไปก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ง่ายอยู่ดี แม้จะมีพรรคก้าวไกลร่วมด้วยหรือไม่ร่วมกลุ่มเดิม 310 เสียงก็ตาม แต่ยกเว้นเกิดการข้ามขั้วไปอีกฝ่าย ดังนั้น คนคิดเรื่องนี้เป้นเกมต้องหน้าด้านที่สุดชนิดเลิกมองกระจกไปเลย อาจอายหน้าตัวเอง

“แล้วสูตรที่คนสงสัยมาแต่ต้นจะเกิดขึ้นหรือไม่ แม้วันนี้จะยังไม่เกิด แต่มีร่องรอยจะเกิดขึ้น ดังนั้น กระดานการเมืองขณะนี้ จึงต้องดูกันนานๆ ดูกันอย่างมีความอดทนจะได้พบการเมืองแบบเขี้ยว เสือ สิงห์ กระทิง แรด ผสมปนเปเป็นพันธุ์การเมืองที่ดำรงอยู่มาต่อเนื่องมา 90 ปีและเด่นชัดหลัง 14 ตุลาคมถึงปัจจุบัน”

นายจตุพร กล่าวว่า ขณะนี้พรรคก้าวไกล เต็มไปด้วยเรื่องราวมากมาย ดังนั้น 310 เสียงจึงอยู่ผิดที่จน ส.ว. 250 ไม่โหวตเลือกนายกฯให้ ดังนั้นการจัดตั้งรัฐบาลของนายพิธา จึงยากจะเกิดขึ้นได้เลย เพราะเข้าสู่สภาวะ “เด็ดล็อก” แล้ว ยกเว้นมีบางพรรคที่จะงดใช้กระจกส่องหน้าตัวเองชั่วคราว แล้วแหกข้ามมาอีกขั้วหนึ่ง แม้วันนี้ยังไม่เกิดก็ตาม แต่ต้องอดทนรอดูกัน

‘พิธา’ ถือหุ้น ITV ตั้งแต่ปี 2551 โดยไม่ระบุ ‘ผจก.กองมรดก’ หลังบิดาเสียชีวิตปี 2549 ชนวนกกต.สอบปมคุณสมบัติต้องห้าม

จากกรณี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ หัวหน้า พรรคก้าวไกล ผู้สมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ตัวแสดงใหญ่’ทางการเมืองขณะนี้ ถูกนายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ ผู้สมัครส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคพลังประชารัฐยื่นหนังสือถึงคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ตรวจสอบว่า นายพิธาถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จำนวน 42,000 หุ้น มีคุณสมบัติต้องห้ามสมัครรับเลือกตั้งเป็น ส.ส.⁣ ตาม รัฐธรรมนูญ มาตรา 98 (3) บัญญัติห้ามมิให้บุคคลที่เป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใด ๆ หรือไม่

สำนักข่าวอิศรา ได้สรุปข้อเท็จจริงเอาไว้เป็นประเด็นสำคัญต่างๆดังนี้
1.นายพิธาถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) จริง (เจ้าตัวยอมรับแจ้งว่าเป็นหุ้นมรดก) แต่ถือหุ้นในสัดส่วนน้อย
2. บมจ.ไอทีวี มีวัตถุประสงค์ประกอบกิจการสื่อ (รายละเอียดวัตถุที่ประสงค์ ข้อ (18 ) ข้อ (40) และ ข้อ (41) ตามเอกสารจดแจ้งต่อนายเบียนหุ้นส่วนบริษัท กรมพัฒนาธุรกิจการค้า) ปัจจุบันไม่ได้เผยแพร่ออกอากาศ บริษัทฯไม่ได้จดทะเบียนเลิกกิจการ สถานะยังเปิดดำเนินการ  นำส่งงบการเงินทุกปี งบการเงินรอบปีสิ้นสุด 31 ธ.ค.2564 งบดุล สินทรัพย์รวม 1,270,457,704 บาท หนี้สิน 2,894,513,831 บาท ขาดทุนสะสม (ยังไม่ได้จัดสรร) 7,488,800,690 บาท งบกำไรขาดทุน รายได้รวม 23,683,771 บาท (ผลตอบแทนจากเงินทุนและดอกเบี้ยรับ) ค่าใช้จ่ายรวม 10,937,852 บาท กำไร สำหรับปี 10,177,063 บาท กำไรเบ็ดเสร็จรวมสำหรับปี 4,169,647 บาท

ล่าสุด สำนักข่าวอิศรา ตรวจสอบข้อมูลบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น บริษัท ไอทีวี จำกัด (มหาชน) (แบบ บมจ.006) นำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้ามารายงาน พบว่า
วันที่ 23 เม.ย.2550 (23/04/2550) นายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ (บิดานายพิธา) ถือหุ้น บมจ.ไอทีวี จำนวน 42,000 หุ้น ลำดับที่ 1,042 จากจำนวนผู้ถือหุ้นรวม 9,246 คน แจ้งที่อยู่ 59 ซ.แสนสบาย 3 ถ.พระราม 4 คลองตัน คลองเตย 10110 เลขที่ใบหุ้น 06680180135571 
.
หลังจากนั้นวันที่ 10 เม.ย.2551 (10/04/2551) - 26 เม.ย.2566 ( 26/04/2566) มีชื่อนายพิธาเป็นผู้ถือครองหุ้นจำนวน 42,000 หุ้น มีรายละเอียดดังนี้
บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 10 เม.ย.2551 นายพิธาถือลำดับที่ 6,222 จำนวน 42,000 หุ้น จากจำนวนผู้ถือหุ้น 9,297 คน แจ้งที่อยู่ THE BOSTON CONSULTING GROUP U CHU LIANG BLD. ชั้น 31 ถ.พระราม 4 ลุมพินี ปทุมวัน เลขที่ใบหุ้น 06680180148012 

บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 9 เม.ย.2553 (09/04/2553) นายพิธาถือลำดับที่ 5,336 จำนวน 42,000 หุ้น จากจำนวนผู้ถือหุ้น 9,314 คน แจ้งที่อยู่ 59 ซ.แสนสบาย 3 ถ.พระราม 4 คลองตัน คลองเตย 10110 เลขที่ใบหุ้น 06680180163154 

บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 25 มี.ค.2557 (25/03/2557) นายพิธาถือลำดับที่ 4,820 จำนวน 42,000 หุ้น จากจำนวนผู้ถือหุ้น 9,346 คน แจ้งที่อยู่ 59 ซ.แสนสบาย 3 ถ.พระราม 4 คลองตัน คลองเตย 10110เลขที่ใบหุ้น 06680180200784 

บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 24 เม.ย. 2558 (24/04/2558) นายพิธาถือลำดับที่ 4,482 จำนวน 42,000 หุ้น จากจำนวนผู้ถือหุ้น 9,358 คน แจ้งที่อยู่ 59 ซ.แสนสบาย 3 ถ.พระราม 4 คลองตัน คลองเตย 10110เลขที่ใบหุ้น 06680180210146

บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 4 เม.ย. 2562 (04/04/2562) นายพิธาถือลำดับที่ 7,649 จำนวน 42,000 หุ้น จากจำนวนผู้ถือหุ้น 9,381 คน แจ้งที่อยู่ เลขที่ 98/26 อาคารซิลเวอร์ เฮอริเทจ ซ.สุขุมวิท 38 ถ.สุขุมวิท พระโขนง คลองเตย 10110 เลขที่ใบหุ้น 06680180247993

บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 8 เม.ย. 2564 (08/04/2564) นายพิธาถือลำดับที่ 7,531 จำนวน 42,000 หุ้น จากจำนวนผู้ถือหุ้น 9,390 คน แจ้งที่อยู่ 98/26 อาคารซิลเวอร์ เฮอริเทจ ซ.สุขุมวิท 38 ถ.สุขุมวิท พระโขนง คลองเตย 10110 เลขที่ใบหุ้น 06680180276092

บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 27 เม.ย. 2565 (27/04/2565) นายพิธาถือลำดับที่ 7,138 จำนวน 42,000 หุ้น จากจำนวนผู้ถือหุ้น 9,392 คน แจ้งที่อยู่ 98/26 อาคารซิลเวอร์ เฮอริเทจ ซ.สุขุมวิท 38 ถ.สุขุมวิท พระโขนง คลองเตย 10110 เลขที่ใบหุ้น 06680180285422

บัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น ณ วันที่ 26 เม.ย. 2566 (26/04/2566) นายพิธาถือลำดับที่ 7,061 จำนวน 42,000 หุ้น จากจำนวนผู้ถือหุ้น 9,401 คน แจ้งที่อยู่ 98/26 อาคารซิลเวอร์ เฮอริเทจ ซ.สุขุมวิท 38 ถ.สุขุมวิท พระโขนง คลองเตย 10110 เลขที่ใบหุ้น 06680180304064

จากข้อมูลเห็นได้ว่า การถือหุ้นบริษัท ไอทีวี จำกัด จำนวน 42,000 หุ้นของนายพิธาตั้งแต่ปี 2551 เป็นต้นมาจนถึงล่าสุดปี 2566 เป็นเวลา 16 ปี เอกสารบัญชีรายชื่อผู้ถือหุ้น (แบบบมจ.006) ที่นำส่งกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ในแต่ละปี ท้ายรายชื่อและที่อยู่ผู้ถือหุ้นมิได้ระบุว่าถือในนาม ‘ผู้จัดการมรดก’ แต่อย่างใด 

ทั้งนี้ นายพงษ์ศักดิ์ ลิ้มเจริญรัตน์ บิดานายพิธา เสียชีวิตในปี 2549
กรณีการถือครองหุ้น บริษัท ไอทีวี จำนวน 42,000 หุ้นของนายพิธา ยังเป็นประเด็นถูกนายเรืองไกรยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (คณะกรรมการ ป.ป.ช.) ให้ตรวจสอบว่า จงใจยื่นบัญชีแสดงการทรัพย์สินและหนี้สินเป็นเท็จหรือไม่ เนื่องจากไม่ปรากฏการถือครองหุ้นจำนวนดังกล่าวในบัญชีทรัพย์สินของนายพิธากรณีเข้ารับตำแหน่ง ส.ส.ปี 2562

นักวิเคราะห์ ชี้!! ระวังหุ้น STARK ภาค 2 หายนะครั้งใหญ่จ่อนักลงทุนนับหมื่นคน

เมื่อไม่นานนี้ คุณสุนันท์ ศรีจันทรา คอลัมนิสต์และนักวิเคราะห์หุ้น ได้เผยว่า แม้หุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK ปิดฉากการสร้างภาพลวงตาไปแล้ว แต่ไม่ใช่หุ้นตัวสุดท้ายที่จะสร้างหายนะครั้งใหญ่ให้นักลงทุนนับหมื่นคน

เพราะยังมีหุ้นบางตัวที่มีพฤติกรรมไม่แตกต่างจาก STARK และถูกจับตาว่า อีกไม่นานเกินรอบริษัทจะล่มสลายเช่นเดียวกัน

หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กนับสิบบริษัท ช่วงนี้สงบราบคาบตามๆ กัน แต่บางตัวยังมีความพยายามสร้างข่าว กระตุ้นราคาหุ้นอยู่เป็นระยะ แม้ว่าธุรกิจหลักกำลังตกต่ำ กลายเป็นสินค้าและบริการที่ตกยุค เนื่องจากผู้บริโภคหันไปใช้เทคโนโลยีที่พัฒนาไปไกล และสะดวกสบายมากกว่า

หุ้นที่มีพฤติกรรมปั่นราคาจะมีสูตรสำเร็จในลักษณะเดียวกันคือ การสร้างข่าว การขยายการลงทุน การซื้อทรัพย์สิน หรือซื้อกิจการบริษัทอื่น รวมทั้งบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ด้วยกัน

การแจกใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญหรือวอร์แรนต์

การปล่อยข่าวโฆษณาชวนเชื่อเกี่ยวกับแนวโน้มการเติบโตของบริษัท และการจุดพลุไล่ราคาหุ้น เพื่อล่อแมลงเม่าให้ตามแห่เข้าไปเก็งกำไร

การซื้อทรัพย์สิน กิจการ หรือบริษัทจดทะเบียนจะใช้เงินจากการออกหุ้นกู้ โดยวิ่งหาบริษัทจัดอันดับเครดิตความน่าเชื่อถือ ซึ่งสามารถแจกเครดิตเกรดดีๆ ได้ง่าย เช่นเดียวกับ STARK และมีบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่งเสนอตัวเป็นตัวแทนผู้จำหน่ายหุ้นกู้ จนระดมเงินจากหุ้นกู้ได้หลายพันล้านบาท

บริษัทจดทะเบียนขนาดเล็กบางแห่งสร้างภาพเป็นกิจการขนาดใหญ่ มีบริษัทย่อยในเครือข่ายจำนวนนับสิบแห่ง จนนักลงทุนมองว่าเป็นกิจการที่มั่นคง ขณะที่มีเจ้ามือคอยดูแล สร้างมูลค่าการซื้อขายแต่ละวันสูง ราคาบางช่วงขึ้นถูกลากขึ้นอย่างร้อนแรงจนดูเหมือนเป็นหุ้นที่มีสภาพคล่อง

แต่บริษัทพร้อมล่มสลายได้ตลอดเวลา

หุ้นเก็งกำไรตัวเล็กบางตัวมีจำนวนผู้ถือหุ้นหลายหมื่นคน มากกว่าจำนวนผู้ถือหุ้น STARK เสียอีก ซึ่งหากวันใดบริษัทถึงจุดอวสาน จะสร้างความเสียหายให้นักลงทุนจำนวนมากยิ่งกว่า STARK

ผู้บริหารหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กบางคนไม่รู้ไปทำเรื่องร้ายๆ อะไรไว้ จึงต้องคอยระวังตัว โดยมีคนคอยเดินติดตามคุ้มกัน เหมือนกลุ่มคนที่ทำธุรกิจสีเทา ทั้งที่เป็นเจ้าของบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งต้องดำเนินงานด้วยความโปร่งใส และยึดหลักธรรมาภิบาล

นายเอริค เลอวีน อดีตผู้บริหาร บริษัท แคลิฟอร์เนีย ว้าว เอ็กซ์พีเรียนซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ CAWOW ชาวแคนาดา ซึ่งมาเปิดกิจการฟิตเนส ก่อนหอบเงินสมาชิกหนีคดีฉ้อโกงออกนอกประเทศ โดยยังมีหมายจับติดตามตัวอยู่

ผู้บริหาร CAWOW เคยจ้างตำรวจขับรถตำรวจนำทางจากบ้านย่านฝั่งธนบุรี ส่งถึงสำนักงานย่านสีลม เพื่อคุ้มกัน เพราะรู้ตัวว่ากำลังฉ้อโกง และเกรงกลัวผู้ที่ได้รับความเสียหายจะลอบทำร้าย

ผู้บริหารหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กบางคนกำลังก่อพฤติกรรมฉ้อโกง สร้างความเสียหายให้นักลงทุนหรือไม่ จึงต้องจ้างบอดี้การ์ดมาคุ้มกัน

หุ้น STARK เก็บฉากไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ซากศพนักลงทุนทั้งหุ้นกู้และหุ้นสามัญนับหมื่นชีวิต แต่หุ้น STARK 2 อาจตามมาในเร็วๆ นี้

อย่าหวังว่าสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) และตลาดหลักทรัพย์จะป้องกันไม่ให้เกิด STARK ภาค 2 ได้

แต่นักลงทุนต้องป้องกันตัวเอง โดยสำรวจตรวจสอบว่ามีหุ้นเก็งกำไรตัวเล็กตัวใดที่มีพฤติกรรมสร้างภาพ สร้างข่าวกระตุ้นราคาหุ้น มีการซื้อทรัพย์สิน ซื้อกิจการ ออกหุ้นกู้หลายๆ รุ่น และอยู่ในข่ายอาจล่มสลายเช่นเดียวกับ STARK หรือไม่

ถ้ามีหุ้นเล็กตัวอันตรายอยู่ในพอร์ตต้องรีบตัดสินใจขายทิ้งทันที จะขาดทุนเท่าไหร่ก็ช่าง

เพราะถ้าชะล่าใจ หรือทำใจตัดขายขาดทุนไม่ได้ จะเสียใจที่ตกเป็นเหยื่อหุ้น STARK 2 ในภายหลัง

Artificial Intelligence : AI ‘ปัญญาประดิษฐ์’

Artificial Intelligence : AI หรือชื่อเต็ม ๆ ภาษาไทยว่า ‘ปัญญาประดิษฐ์’ เป็นเทคโนโลยีที่กำลังมาแรง นั่นเพราะแทบจะทุกอุตสาหกรรมล้วนต้องพึ่งพา AI ในการดำเนินธุรกิจ โดยเฉพาะงานด้านการวิเคราะห์และประมวลผล ที่ทำงานแทนมนุษย์ได้

ในตลาดหลักทรัพย์ต่างประเทศ โดยเฉพาะใน Wall Street มีหุ้นกลุ่ม AI ที่กำลังเติบโตและน่าสนใจหลายตัว และวันนี้นักลงทุนไทย สามารถลงทุนหุ้นกลุ่มดังกล่าวได้แล้ว ไม่ว่าจะเป็น Microsoft (MSFT), Alphabet (GOOGL), Amazon (AMZN), Nvidia (NVDA) ผ่านตลาดหุ้นไทย ด้วยการซื้อขาย DR ซึ่งสามารถซื้อขายด้วยเงินบาท และเทรดผ่าน Streaming

นักลงทุนที่สนใจ สามารถศึกษาข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ www.setinvestnow.com/ อาจจะได้เจอทางออกทางการลงทุน ในจังหวะที่ตลาดหุ้นไทยยังรอความชัดเจนทางการเมืองไปอีกสักระยะ

‘CPALL’ อนุมัติโครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงาน ครั้งที่ 4 หนุนการมีส่วนร่วมเป็นเจ้าของ-สร้างความจงรักภักดีกับองค์กร

เมื่อวันที่ 12 ส.ค. 66 บริษัท ซีพี ออลล์ จำกัด (มหาชน) หรือ ‘CPALL’ แจ้งตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อเร็ว ๆ นี้ ว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2566 ได้มีมติอนุมัติโครงการสะสมหุ้นสำหรับพนักงาน ครั้งที่ 4 (Employee Joint Investment Program – EJIP) ซึ่งโครงการดังกล่าวเกิดจากการที่บริษัท และ บริษัทย่อย มีนโยบายให้พนักงานได้มีส่วนร่วมในความเป็นเจ้าของบริษัท และเกิดความจงรักภักดีอยู่กับองค์กร โดยโครงการดังกล่าว เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2566 ถึงวันที่ 30 ก.ย. 2569 รวมระยะเวลา 3 ปี

ทั้งนี้ พนักงานที่เข้าร่วมโครงการต้องมีคุณสมบัติ ดังนี้
- เป็นพนักงานตั้งแต่ระดับผู้ช่วยผู้จัดการแผนกหรือเทียบเท่าขึ้นไป โดยเป็นไปตามความสมัครใจของผู้ที่มีสิทธิเข้าร่วมโครงการ ทั้งนี้ไม่รวมกรรมการบริษัทฯ และ ที่ปรึกษา
- พนักงานจะต้องมีอายุการทำงาน นับจนถึงวันเริ่มจ่ายเงินสะสมไม่น้อยกว่า 3 ปี
- พนักงานที่มีอายุการทำงานไม่ครบ 3 ปี ต่อมาภายหลังมีอายุการทำงานครบ 3 ปี ให้มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการได้ตามรอบของระยะเวลาที่บริษัทฯ กำหนดไว้
- กรณีที่พนักงานได้รับการพิจารณาเลื่อนตำแหน่งเป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้บริหารให้มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการได้ เมื่อมีอายุงานรวมแล้วไม่น้อยกว่า 3 ปี

รูปแบบของโครงการ
1.) บริษัทและบริษัทย่อยจะหักเงินเดือนพนักงานผู้ที่มีสิทธิและสมัครใจเข้าร่วมโครงการในอัตราร้อยละ 5 ของเงินเดือนทุกเดือนจนกว่าจะสิ้นสุดโครงการเพื่อสะสมเข้ากองทุน
2.) บริษัทและบริษัทย่อยจะจ่ายสมทบเพิ่มเข้ากองทุนในอัตรา 80% ของเงินที่หักจากพนักงานทุกเดือน
3.) บริษัทหลักทรัพย์ ที่ได้รับการแต่งตั้งจากบริษัทให้เป็นผู้ดำเนินการโครงการ จะนำเงินสะสมของพนักงานรวมกับเงินสมทบของบริษัท และบริษัทย่อยไปทำการซื้อหุ้น CPALL ในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในวันที่กำหนดของทุกเดือน

ผลประโยชน์ในหุ้น
- เงินปันผลจะตกเป็นของพนักงานโดยตรง
- ผลประโยชน์ด้านราคาจะตกเป็นของพนักงานเมื่อมีการขาย
- พนักงานสามารถใช้สิทธิอื่นๆ ในหุ้นที่ถือ เช่น สิทธิการจองหุ้นเพิ่มทุน ใบสำคัญแสดงสิทธิการเข้าประชุมผู้ถือหุ้น

วิธีการขายหุ้นในโครงการ
- พนักงานไม่มีสิทธิขายหุ้นจนกว่าจะครบกำหนดอายุโครงการ เว้นแต่ พ้นสภาพจากการเป็นพนักงาน ถึงแก่กรรม ขอลาออกจากโครงการ หรือ เกษียณอายุ
- บริษัทกำหนดให้พนักงานที่เข้าร่วมโครงการมีสิทธิขายหุ้นก่อนครบกำหนดอายุโครงการได้เมื่อโครงการมีอายุครบครึ่งหนึ่ง (1 ปี 6 เดือน) โดยให้ขายหุ้นได้ในจำนวนไม่เกินครึ่งหนึ่งของจำนวนหุ้นที่มีอยู่
- พนักงานที่ขอลาออกจากโครงการจะไม่มีสิทธิได้เงินสมทบของบริษัท ในระยะเวลาที่เหลือของโครงการ รวมทั้งไม่มีสิทธิสมัครเข้าร่วมโครงการในครั้งถัดไป 1 ครั้ง (ถ้ามี)

‘EA’ เตรียมขายกรีนบอนด์ 3 รุ่น อายุ 1-5 ปี อันดับเครดิต A- ผลตอบแทน 3.20 - 4.15% ต่อปี

บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาด โดยใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เตรียมแผนเสนอขายหุ้นกู้ให้กับผู้ลงทุนทั่วไปและผู้ลงทุนสถาบัน (Public Offering) จำนวน 3 รุ่น ผ่านสถาบันการเงินชั้นนำ 6 แห่ง โดยหุ้นกู้ดังกล่าวได้รับการจัดอันดับเครดิตจากทริสเรทติ้ง เมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม 2566 ที่ระดับ A- สะท้อนถึงกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ และ ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง 

นายอมร ทรัพย์ทวีกุล รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA กล่าวว่า “บริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลเพื่อออกและเสนอขายหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม หรือที่รู้จักกันในชื่อ กรีนบอนด์ (Green Bond) ชนิดระบุชื่อผู้ถือ ประเภทไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีประกัน และมีผู้แทนผู้ถือหุ้นกู้ ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว โดยหุ้นกู้ที่จะเสนอขายให้กับผู้ลงทุนทั่วไปมีจำนวน 3 รุ่น คือ 

1.หุ้นกู้รุ่นอายุ 1 ปี อัตราผลตอบแทนระหว่าง 3.20 - 3.40%  
2.หุ้นกู้รุ่นอายุ 3 ปี อัตราผลตอบแทนระหว่าง 3.50 - 3.70%  
3.รุ่นกู้รุ่นอายุ 5 ปี อัตราผลตอบแทนระหว่าง 3.95 - 4.15%  

ทั้งนี้อัตราดอกเบี้ยและวันจำหน่ายที่แน่นอน บริษัทฯ จะประกาศให้ทราบอีกครั้งหนึ่ง ผ่าน 6 สถาบันการเงินชั้นนำ”

“บริษัทฯ เป็นผู้นำในธุรกิจพลังงานสะอาดในระดับภูมิภาค มีกระแสเงินสดที่แข็งแรงจากธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่ และ ยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องภายใต้แนวคิด ‘MISSION NO EMISSION’ โดยมีโรงงานผลิตแบตเตอรี่ที่เปิดดำเนินการเชิงพาณิชย์กำลังการผลิตเริ่มต้นที่ 1 GWh และกำลังขยายกำลังการผลิตที่ 4 GWh ในช่วงไตรมาสที่ 2/2567 อีกทั้งมีโรงผลิตและประกอบยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์มีกำลังการผลิตสูงสุด 9,000 คันต่อปี โดยที่ผ่านมา EA ได้ส่งผลิตภัณฑ์ด้านยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์อย่างต่อเนื่อง เช่น รถโดยสารไฟฟ้า รถบรรทุกไฟฟ้า เรือโดยสารไฟฟ้า ตลอดจนมีสถานีชาร์จ ยานยนต์ไฟฟ้ากว่า 490 สถานี ครอบคลุมทุกภูมิภาค จึงมั่นใจว่าการเสนอขายหุ้นกู้ในครั้งนี้จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากนักลงทุนเหมือนเช่นทุกครั้งที่ผ่านมา และเชื่อว่า หุ้นกู้ EA ที่จำหน่ายในครั้งนี้จะเป็นทางเลือกที่เหมาะสมสำหรับผู้ลงทุนต้องการลงทุนในกิจการที่มีความมั่นคง และต้องการกระจายการลงทุนในสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจภายใต้ความเสี่ยงที่ยอมรับได้” นายอมรกล่าวเพิ่มเติม

สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนของบริษัทฯ ในไตรมาส 2/2566 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 16,860.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 6,589.79 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 64.16 โดยในไตรมาสที่ 2/2566 บริษัทฯ มีรายได้รวม จำนวน 7,956.26 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 2,502.19 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 45.88 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนที่มีรายได้รวม 5,454.07 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นส่วนใหญ่มาจากธุรกิจรถโดยสารไฟฟ้าและรถเพื่อการพาณิชย์ ธุรกิจแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน รวมถึงธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน 

นอกจากนี้ นายสมโภชน์ อาหุนัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) ยังได้รับโล่เชิดชูเกียรตินักบริหารดีเด่นแห่งปี 2566 สาขาบริหารและพัฒนาองค์กรและรางวัล CEO Awards จากความมุ่งมั่นกว่า 15 ปีในการดำเนินธุรกิจ ‘Green Product’ ได้แก่ ธุรกิจไบโอดีเซล, ธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน, ธุรกิจผลิตแบตเตอรี่และยานยนต์ไฟฟ้าเชิงพาณิชย์ และ ธุรกิจสถานีอัดประจุไฟฟ้า สามารถขับเคลื่อนนวัตกรรมพลังงานสะอาดให้เป็นที่ยอมรับในระดับประเทศและระดับสากล ทำให้องค์กรให้เติบโตควบคู่ไปกับเศรษฐกิจและสังคมของประเทศ EA ได้รับรางวัลด้านองค์กรยอดเยี่ยม ได้แก่ รางวัล Most Innovative Energy Solution Provider Thailand 2021 โดย World Business Outlook, รางวัล Outstanding Company Performance Award 2022 ในกลุ่มบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่มีมูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสูงกว่า 100,000 ล้านบาท โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร 

รางวัลในประเภทนวัตกรรมยอดเยี่ยมด้านผลิตภัณฑ์ยานยนต์ไฟฟ้าอย่างต่อ ได้แก่ รางวัล Emerging Technology of the Year : The 2020 Global Energy Awards ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดย : S&P Global Platts, รางวัลนวัตกรรมยอดเยี่ยมแห่งปี ผลงานเรือโดยสารไฟฟ้า MINE Smart Ferry โดยสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน), รางวัล Best Innovative Company Award 2022 ผลงานนวัตกรรมแบตเตอรี่ลิเทียมไอออน AMITA Technology (Thailand) โดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยและวารสารการเงินธนาคาร อีกทั้งบริษัทฯ ได้รับการประเมินเป็นสมาชิกดัชนีความยั่งยืน MSCI ESG Ratings 2023 : A โดย : MSCI และสมาชิกดัชนีวัดความเสมอภาคทางเพศ Bloomberg Gender Equality Index (GEI) โดย : Bloomberg

ปัจจุบัน บริษัทฯ อยู่ระหว่างการยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลและร่างหนังสือชี้ชวนต่อสำนักงาน ก.ล.ต. ซึ่งยังไม่มีผลบังคับใช้ สำหรับผู้ลงทุนทั่วไปที่สนใจจองซื้อหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมของบริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) สามารถศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.sec.or.th หรือติดต่อผ่านสถาบันการเงินทั้ง 6 แห่ง ดังนี้

-ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ยกเว้นสาขาไมโคร โทร. 1333 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน Bualuang mBanking
-ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ โทร. 02-777-6784 หรือจองซื้อทางออนไลน์ผ่านแอป SCB EASY
-ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย จำกัด (มหาชน) โทร. 02-626-7777 (โดยบุคคลธรรมดาสามารถจองซื้อทางออนไลน์ผ่าน แอปพลิเคชัน - CIMB Thai Digital Banking ได้อีก 1 ช่องทาง)
-บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) โทร. 02-658-5050
-บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส-ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) จำกัด โทร. 02-846-8675
-บริษัทหลักทรัพย์ บียอนด์ จำกัด (มหาชน) โทร. 02-820-0410


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top