Sunday, 28 April 2024
สาวใหญ่

‘สาวใหญ่’ หลงคารมหนุ่มสายบุญ ให้ยืมเงิน-ซื้อรถป้ายแดง สุดท้ายโดนชิ่ง เจอหมายศาลยึดทรัพย์ ส่งถึงหน้าบ้าน

กำลังถูกยึดทรัพย์ หลงคารมหนุ่มสายบุญ เจอหมายศาลถึงบ้าน โทรไปถามแถไม่หยุด

(19 มี.ค.66) นางเอ (นามสมมติ) อายุ 57 ปี พนักงานรัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งใน จ.บุรีรัมย์ ได้นำเอกสารหลักฐาน และหมายศาลที่ถูกฟ้องยึดทรัพย์ มาร้องขอความเป็นธรรมและขอความช่วยเหลือจากผู้สื่อข่าว หลังถูก นายเอ็ม (นามสมมติ) อายุ 42 ปี พ่อค้าขายเครื่องราง หลอกยืมเงิน 2 แสนบาท และยังหลอกให้เช่าซื้อรถป้ายแดงให้ สุดท้ายกำลังจะถูกยึดทรัพย์

นางเอ เล่าว่า ตนรู้จักกับ นายเอ็ม เพราะชอบเข้าวัดทำบุญเหมือนกัน ก่อนนับถือเป็นพี่น้อง จากนั้นเมื่อปี 64 นายเอ็ม มาขอยืมเงินตน 200,000 บาท และต้นปี 2565 ก็หลอกให้ใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ป้ายแดงให้ โดยอ้างว่าชื่อตัวเองติดแบล็กลิส เนื่องจากได้รับผลกระทบจากพิษโควิดทำให้ขายของไม่ได้ จนถูกยึดรถยนต์ที่มีอยู่ ทั้งประสบปัญหาขาดทุนขายของไม่ได้ครอบครัวเดือดร้อนไม่มีเงินซื้อนมให้ลูกน้อยกิน

ด้วยความสงสารจึงยอมให้ยืมเงินและใช้ชื่อเช่าซื้อรถให้ ทั้งเห็นว่าเป็นคนชอบทำบุญจึงเชื่อใจ ประกอบกับ นายเอ็ม รับปากว่าจะรีบหาเงินมาคืนและผ่อนจ่ายค่างวดโดยไม่ให้มีปัญหาแน่นอน แต่เมื่อเดือน พ.ย.65 ก็ได้รับหมายศาลจังหวัดนางรอง เนื่องจากถูกธนาคาร และบริษัทที่ตนใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ ยื่นฟ้องเรียกรถยนต์คืน หากไม่มีรถคืนก็ให้จ่ายเป็นเงินแทน เนื่องจาก นายเอ็ม ที่หลอกให้ตนใช้ชื่อเช่าซื้อรถยนต์ราคาเกือบล้านบาท ไม่ยอมชำระค่างวด หากตนไม่มีรถไปคืนบริษัทหรือหาเงินไปชำระตามหมายศาล ก็จะถูกยึดทรัพย์

ตำรวจไซเบอร์ รวบสาวใหญ่เครือข่ายแก๊ง Hybrid Scams เอเยนต์จัดหาบัญชีม้ารายใหญ่ภาคใต้ ดีกรีความสามารถสื่อสาร 4 ภาษา หนีคดีกบดาน พื้นที่จังหวัดเชียงราย

จากกรณี กก.4 บก.สอท.4 ได้ทำการสืบสวนจับกุม แก๊งหลอกให้รักและชักชวนลงทุน (Hybrid Scams) ผ่านแอพพลิเคชั่น BITSTAMP  ซึ่งกลุ่มมิจฉาชีพ ได้สร้างแอพพลิเคชั่นเทรดเงินสกุลดิจิตอลหลอกเหยื่อให้ร่วมลงทุนโดยใช้รูปโปรไฟล์หล่อสวยชวนคุยจนสนิทใจ แล้วหลอกให้ร่วมลงทุนเทรดเหรียญสกุลดิจิตอล  จนเกิดความเสียหายกับเหยื่อเป็นวงกว้าง  มูลค่าความเสียหายกว่า 9 ล้านบาท ซึ่งได้รับเรื่องร้องทุกข์จากผู้เสียหายเมื่อประมาณกลางปี พ.ศ.2564 นั้น

ต่อมาเมื่อวันที่ 25 พฤษภาคม 2566 เวลา 10.30 น. เจ้าหน้าที่ กก.4 บก.สอท.4 ชุดจับกุม 
นำโดย พ.ต.ท.สายชล ผาแก้ว สว.กก.4 บก.สอท.4, พ.ต.ต.ณวดล ภาโส สว.กก.4 บก.สอท.4, พ.ต.ต.วิสุทธิ์ ครุฑจันทร์ สว.กก.4 บก.สอท.4 นำกำลังเข้าจับกุม นางสาวฉัตรดาว อายุ 35 ปี ผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลจังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ร่วมกันฉ้อโกงโดยแสดงตนเป็นคนอื่น, โดยทุจริตหรือโดยหลอกลวง ร่วมกันนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่บิดเบือนหรือปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วนหรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จโดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ประชาชน”  และ         นางบังอร อายุ 55 ปี  ตามหมายจับศาลจังหวัดเชียงใหม่ ในฐานความผิดเดียวกัน  โดยจับกุมได้ในพื้นที่ อำเภอพาน จังหวัดเชียงราย

พฤติการณ์กระทำความผิดของ นางสาวฉัตรดาว ทำหน้าที่เป็นผู้รวบรวมบัญชีธนาคาร จ้างบุคคลอื่นให้เปิดบัญชีธนาคาร โดยเป็นผู้รับซื้อขายบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) รายใหญ่ในพื้นที่ อำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา จากนั้นรวบรวมบัญชีธนาคารที่หามาได้ส่งให้กลุ่มแก๊งนายจ้าง เพื่อไว้ใช้ในการรับโอนเงินจากเหยื่อ ส่วนด้านนางบังอร นำบัญชีของตนเองให้ นางสาวฉัตรดาว เช่า นำไปใช้กระทำความผิดเพื่อรับค่าตอบแทนเป็นรายเดือน ต่อมาผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ทราบว่าตนมีหมายจับ จึงหลบหนีจากพื้นที่จังหวัดสงขลา มาพักอาศัยอยู่ในพื้นที่จังหวัดเชียงราย ซึ่งไม่คาดคิดว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจจะตามเจอ จนกระทั่งถูกจับกุมตัวได้ดังกล่าว 

พ.ต.อ.คมสัน มีภักดี ผกก.4 บก.สอท.4 เปิดเผยว่า ผู้ต้องหาให้การว่า เนื่องจากตนเองมีความสามารถพูดได้หลายภาษา และเคยมีสามีเป็นคนจีน ถูกชักชวนไปทำงานต่างประเทศ จึงได้เดินทางไปทำงานเป็นลูกจ้างของกลุ่มแก๊งคนจีนในประเทศมาเลเซีย ในช่วงแรกทำงานดูแลเกี่ยวกับเว็บไซต์พนันออนไลน์ และตนก็เริ่มจัดหาบัญชีธนาคารเพื่อนำเอาไปให้นายจ้างใช้ในกิจการต่างๆ  ต่อมานายจ้างได้เริ่มจ้างโปรแกรมเมอร์เขียนโปรแกรมเกี่ยวกับการลงทุนเทรดเงินสกุลดิจิตอลขึ้นมา เพื่อหลอกลวงกลุ่มเป้าหมายซึ่งเป็นคนไทย ให้ลงทุนเทรดเงินดิจิตอล ตนจึงรับหน้าที่เป็นผู้จัดหาบัญชีธนาคาร (บัญชีม้า) รวมถึงจัดหากระเป๋าเงินอิเลคทรอนิคซึ่งมีการลงทะเบียนยืนยันตัวบุคคลโดยบุคคลอื่น เพื่อนำมาใช้ในการหลอกลวงรับโอนเงินจากเหยื่อ ซึ่งมีการแบ่งหน้าที่กันทำเป็นระบบ ในแบบองค์กรอาชญากรรม

สืบนครบาล รวบสาวใหญ่ตระเวนกรีดกระเป๋า เคยก่อเหตุมีหมายจับแต่ก็ยังไม่เลิกก่อเหตุ

ตามนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล พล.ต.ท.ธนา ชูวงศ์ รอง ผบ.ตร. พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร. และ  พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มอาชญากรรมที่กระทำความผิดทุกรูปแบบซึ่งสร้างความเดือนร้อนให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะผู้สุจริตหาเช้ากินค่ำ

เมื่อวันที่ 16 มี.ค.2567 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น. , พ.ต.อ.เกียรติศักดิ์ สระทองออย รอง ผบก.สส. ,พ.ต.อ.วิชิต ถิรขจรวงศ์ ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. ,พ.ต.ท.พีรบูรณ์ แก้วดู รอง ผกก.สส.1 บก.สส.บชน. , พ.ต.ท.เอกศิษฐ์ วรกิตติ์ฐากรณ์ รอง ผกก.สส.4 บก.สส.บช.น. ปฏิบัติราชการ รอง ผกก.สส.1 บก.สส.บช.น. ได้สั่งการให้ พ.ต.ท.พัฒน์พงษ์ กื้อมะโน สว.กก.วิเคราะห์ข่าวฯ ปฏิบัติราชการ สว.กก.สส.1 พร้อมชุดปฏิบัติการที่ 2 ดำเนินการเจ้าหน้าที่สืบนครบาล ร่วมกับสายตรวจ สน.พญาไท ได้จับกุมตัว

น.ส.มนัสนันท์ หรือ จรรยพร อายุ 54 ปี ตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1633/2560 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2560
ซึ่งต้องหาว่ากระทำความผิดฐาน “ตัวการในข้อหาลักทรัพย์โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่น” จากการตรวจสอบในฐานระบบ ยังพบหมายจับติดตัวอีก 1 หมาย ได้แก่ หมายจับศาลอาญากรุงเทพใต้ที่ จ.208/2565 ลงวันที่ 23 มี.ค.2565  ซึ่งกระทำความผิดฐาน "ร่วมกันลักทรัพย์โดยแปลงตัวหรือปลอมตัวเป็นผู้อื่นฯ โดยร่วมกันกระทำความผิดตั้งแต่สองคนขึ้นไป"

พฤติการณ์ในการจับกุม เจ้าพนักงานตำรวจ สืบนครบาล ชุดจับกุมได้ทำการสืบสวนได้รับเรื่องร้องเรียนมาจากพ่อค้าแม่ค้าขายเสื้อผ้า ย่านประตูน้ำ กรุงเทพ ว่ามีกลุ่มบุคคลแต่งตัวปกปิดตัวตนเดินตระเวนลักทรัพย์ในบริเวณตลาดประตูน้ำ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงลงพื้นที่เพื่อตรวจสอบดังเหตุดังกล่าว ต่อมาวันที่ 16 มี.ค. 67 เจ้าหน้าพนักงานตำรวจชุดจับกุมพบหญิงต้องสงสัยแต่งตัวปกปิดตัวตน เจ้าพนักงานชุดจับกุมจึงแสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจขอตรวจสอบหญิงคนดังกล่าว และได้นำตัวมาซักถาม จนทราบว่า ชื่อนางสาวมนัสนันท์ หรือ จรรยพร อายุ 54 ปี ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่าเป็นบุคคลตามหมายจับศาลอาญา ที่ 1633/2560 ลงวันที่ 23 มีนาคม 2560 เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงได้อ่านหมายจับและ ให้นางสาวมนัสนันท์ อ่านเองแล้ว ยอมรับว่าเป็นว่าบุคคลตามหมายจับดังกล่าวนี้ เจ้าหน้าที่จึงได้ควบคุมตัวและทำบันทึกจับกุมที่ กก.สส.1 บก.สส.บช.น. เพื่อนำส่งพนักงานสอบสวน สน.พญาไท เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

โดยพฤติการณ์ในการก่อเหตุ เมื่อปี 2559 ผู้ต้องหาเคยก่อเหตุร่วมกับเพื่อนที่ถูกจับไปก่อนหน้านี้ กรีดกระเป๋าผู้เสียหาย ขณะซื้อของแถวตลาดสำเพ็ง จากนั้นได้นำบัตรเอทีเอ็มของผู้เสียหายไปกดเงินที่ตู้เอทีเอ็มใกล้จุดเกิดเหตุ 7 ครั้ง ได้เงินไป 1 แสน 4 หมื่นบาท 

สอบถามผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ รับว่าไม่มีงานทำเป็นหลักแหล่ง โดยร่วมก่อเหตุกับนางกิมเฮงตั้งแต่ปี2559เรื่อยมา ออกตระเวนก่อเหตุตามตลาดประตูน้ำ โบ๊เบ๊ สำเพ็ง ที่มีคนพลุ่กพล่าน และจะแต่งตัวมิดชิดพรางหน้าพรางตัวแบบมุสลิมป้องกันถูกติดตามจับกุม โดยผู้ต้องหาทำหน้าที่เป็นคนกรีดกระเป๋า ส่วนนางกิมเฮงเป็นคนยืนบังให้ เหยื่อที่เลือกจะเป็นผู้หญิงเท่านั้นที่สะพายกระเป๋าข้าง อาศัยจังหวะที่เหยื่อเผลอ ทำธุระ 

พล.ต.ต.ธีรเดช ฝากเตือนภัยพี่น้องประชาชนที่มักชอบไปเดินตลาดที่มีคนจำนวนมาก จะมีกลุ่มมิจฉาชีพแฝงตัวด้วย จึงขอให้เพิ่มความระมัดระวังในการดูแลทรัพย์สิน และไม่ควรใส่เครื่องประดับ และของมีค่าติดตัว หากสะพายกระเป๋าควรสะพายไว้ข้างหน้าไม่ควรสะพายไว้ข้างหลัง เพราะคนร้ายอาจแฝงตัวเข้ามาจากด้านหลังเพื่อกรีดกระเป๋าฉกทรัพย์สิน หรือของมีค่าไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top