Monday, 29 April 2024
สวิตเซอร์แลนด์

สวิตเซอร์แลนด์ อนุมัติใช้ ‘Sarco’ แคปซูลฆ่าตัวตาย ช่วยจากไปอย่างไม่ทรมาน

สวิตเซอร์แลนด์ อนุมัติใช้ “แคปซูลฆ่าตัวตาย” สำหรับผู้ทำการุณยฆาตที่ต้องการจากไปอย่างไม่ทรมาน คาดเริ่มใช้ต้นปีหน้า 

เมื่อวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2564 ยูเอสเอทูเดย์ รายงานว่า องค์กรแห่งหนึ่งในออสเตรเลีย ได้สร้างแคปซูลฆ่าตัวตายแบบพิมพ์ 3 มิติ ซึ่งช่วยให้ผู้ทำการุณยฆาตสามารถจากไปอย่างไม่เจ็บปวด ซึ่งอาจพร้อมใช้ในสวิตเซอร์แลนด์เร็ว ๆ นี้

แคปซูลนี้สร้างขึ้นโดยองค์กรไม่แสวงผลกำไรชื่อ “เอ็กซิท อินเตอร์เนชั่นแนล” (Exit International) โดยใช้ชื่อว่า Sarco ซึ่งให้บริการช่วยเหลือการฆ่าตัวตาย ในขณะที่การช่วยฆ่าตัวตายในสวิตเซอร์แลนด์ในปัจจุบัน ดำเนินการโดยการใช้สาร “โซเดียมเพนโทบาร์บิทอล” แต่ทางองค์กรฯ กำลังวางแผนที่จะเสนอทางเลือกอื่น

“ฟิลิป นิตช์เค่” ผู้ก่อตั้งเอ็กซิท อินเตอร์เนชั่นแนล เผยว่า แคปซูลจะเต็มไปด้วยไนโตรเจน ก่อนที่จะค่อย ๆ ลดระดับออกซิเจนลงเหลือ 1% กล่าวว่ากระบวนการนี้ใช้เวลาน้อยกว่า 30 วินาที และบุคคลนั้นจะรู้สึกมึนงง ก่อนหมดสติ

“ผู้ที่จะทำการุณยฆาตจะเข้าไปด้านใน แล้วนอนลง มันสบายมาก พวกเขาอาจจะถูกถามคำถามบางอย่าง เมื่อตอบครบแล้ว พวกเขาอาจจะต้องกดปุ่มภายในแคปซูลเพื่อเปิดกลไกด้วยตนเอง” นิตช์เค่เผย
 

'ทูตนริศโรจน์' เผยเวียดนามจัดการ 'มิสแกรนด์ฯ' ปมชู 3 นิ้ว หวั่นกระทบสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

9 ธ.ค. 64 - นายนริศโรจน์ เฟื่องระบิล อดีตเอกอัครราชทูตไทย ณ กรุงบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา โพสต์เฟซบุ๊กว่า ได้รับทราบจาก น้อง ๆ ที่ทำงานที่เวียดนามส่งข่าวด่วนมาว่า ทาง กระทรวงการต่างประเทศเวียดนาม ได้ออกแถลงการณ์ในกรณีนางงามเวียดนามมาชู 3 นิ้วในไทยแล้ว

โดยทางการเวียดนามเห็นแก่ความสัมพันธ์ไทย-เวียดนามเป็นสำคัญ จึงได้ทำการสั่งสื่อเวียดนามมิให้นำเสนอภาพและข่าวนางงามเวียดนามชู 3 นิ้วในไทยโดยเด็ดขาด

รวมทั้งกระทรวงวัฒนธรรมได้สั่งการให้นางงามเวียดนามคนที่ชู 3 นิ้ว หยุดแสดงพฤติกรรม หรือคำพูดที่อาจก่อให้เกิดผลกระทบต่อความสัมพันธ์ที่ดีงามระหว่างไทยและเวียดนามด้วยเช่นกัน

ต้องขอขอบคุณรัฐบาลเวียดนามอย่างมากมา ณ ที่นี้ครับ ที่ได้แสดงออกและตอบสนองอย่างรวดเร็ว โดยคำนึงถึงความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างประชาชนไทยและเวียดนามเป็นสำคัญ

‘สวิตเซอร์แลนด์’ เดินหน้าคว่ำบาตร ‘รัสเซีย’ สั่งอายัดทรัพย์สินมูลค่ากว่า 2 แสนล้านบาท

25 มี.ค. 65 สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้อายัดทรัพย์สินของรัสเซียในสวิตเซอร์แลนด์มูลค่าราว 5,750 ล้านฟรังก์สวิส (207,440 ล้านบาท) ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการคว่ำบาตร และมีแนวโน้มที่มูลค่าของสินทรัพย์ที่ถูกอายัดจะเพิ่มขึ้น

นายเออร์วิน บอลลินเจอร์ เจ้าหน้าที่อาวุโสของสำนักเลขาธิการกิจการเศรษฐกิจสวิตเซอร์แลนด์ หรือ เซโก (State Secretariat for Economic Affairs : SECO) หน่วยงานที่มีหน้าที่ดำเนินการ ตามมาตรการคว่ำบาตร เผยในกรุงเบิร์น เมื่อวันพฤหัสบดีว่า นับเป็นครั้งแรก ที่เซโกเปิดเผยจำนวนเงินที่อายัดต่อสาธารณชน ซึ่งล่าสุดอยู่ที่ประมาณ 5,750 ล้านสวิสฟรังก์ (6,170 ล้านดอลลาร์สหรัฐ)

การเดินทางแสนพิเศษ กับเส้นทางชลประทานประวัติศาสตร์แห่ง 'Wallis'

วันนี้วี่จะพาเพื่อนๆ ไปเที่ยว Sion (ซียง หรือ ซียอง) เป็นเมืองหลวงของ Wallis (วาเล หรือ วาลิส) ตั้งอยู่ในภูมิภาค Romandie (รอม็องดี) ซึ่งใช้ภาษาฝรั่งเศสเป็นหลัก เมืองซียองตั้งอยู่กลางหุบเขาขนาดใหญ่ในเทือกเขาแอลป์ และเป็นแหล่งผลิตไวน์มากเป็นอันดับสามในสวิตเซอร์แลนด์ ผู้คนส่วนใหญ่ที่นี่นับถือนิกายโรมันคาทอลิก พื้นที่ตรงนี้อากาศจะค่อนข้างร้อนกว่าภูมิภาคอื่น 

วี่ชอบเที่ยวไปเรื่อยๆ ชอบ hiking ดังนั้นไม่ว่าจะไปพักร้อนที่ไหนก็จะหาทางเดินแปลกๆใหม่ๆ เสมอ พอดีวี่ได้หนังสือมาเล่มนึงซึ่งรวมสถานที่ว๊าวๆ หลายที่ในสวิส แล้วก็ได้สะดุดตากับสถานที่หนึ่งคือ Grand Bisse de Lens เป็น historic irrigation channels of the Valais หรือช่องทางชลประทาน ประวัติศาสตร์ของ Valais (เรียกช่องทางชลประทานได้รึป่าวนะ) Grand Bisse de Lens สร้างเมื่อปี 1450 เส้นทางนี้มีคำเตือนว่าเมื่อจะเดินไม่ควรมีความเวียนหัวใดๆ และไม่ควรมีอาการกลัวความสูง เพราะบางช่วงบางตอนคือไม่มีที่ให้จับ ทางเดินแคบมากที่สุดและบางช่วงบางตอน เหมือนเราเดินบนผา มองลงไปตัดตรงลงพื้นเลย คือไม่ต้องนึกว่าถ้าตกไปจะสภาพเป็นแบบไหน 

วี่ขับรถไปจอดที่ เมือง Chermignon d’en Bas แล้วนั่งรถบัสไปลงที่เมือง Lens วี่เริ่มเดินจากตรงนี้แล้วกลับมาที่เมือง Chermignon d’en Bas เส้นทางประมาณ 7.5 กิโลเมตร ช่วงที่สวยที่สุดน่าจะเป็นจากเมือง Lens ที่เป็นจุดเริ่มต้นของวี่ไปจนถึงประมาณกิโลเมตรที่ 3 

อิหร่านประท้วงหนัก!! หลังตำรวจศีลธรรมทำร้ายหญิงสวมฮิญาบไม่เรียบร้อยถึงตาย | NEWS GEN TIMES EP.70

✨ญี่ปุ่นเรียกร้อง 'ปฏิรูป UN' หลังมองว่าตลอด 77 ปีที่ผ่านมา คณะมนตรีความมั่นคง 5 ชาติ มีอำนาจ Vote ล้มเสียงของคนทั่วโลกได้ ซึ่งเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง

✨ 'บังคับผู้หญิงเกณฑ์ทหาร' สวิตเซอร์แลนด์กำลังตัดสินใจครั้งสำคัญ เหตุเพราะขาดแคลนกำลังพลในกองทัพ

✨ อิหร่านประท้วงเดือด!! ลามหนักทั่วประเทศ หลังผู้ชุมนุมไม่พอใจที่มีหญิงสวมผ้าคลุมศีรษะไม่เรียบร้อย โดนตำรวจซ้อม จนเสียชีวิตในภายหลัง

NEWS GEN TIMES ชวนคิด กับ กิตติธัช

โดย อ.ต้อม - กิตติธัช ชัยประสิทธิ์ นักวิชาการอิสระและอาจารย์ประจำคณะสถาปัตยกรรม ศิลปะและการออกแบบ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าเจ้าคุณทหารลาดกระบัง

ส่อง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ใน ‘สวิตฯ’ ประเทศในฝันของหลายคน ที่แลกกับความทุกข์ทนของ ‘ผู้เสียภาษี’ ไปดูแลคนไร้จิตสำนึก

(8 พ.ค. 66) ผู้ใช้งานติ๊กต็อก บัญชี ‘KornnikarThewie’ ได้โพสต์วิดีโอพูดถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โดยระบุว่า...

วันนี้เทวีได้อ่านข้อมูลจากเพจนึง เกี่ยวกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งส่วนตัวเทวี บอกตรงๆ ว่าเห็นด้วยมากๆ และมันก็เป็นอะไรที่บังเอิญมาก หรืออาจจะไม่บังเอิญก็ได้ เพราะเมื่อเช้านี้เพื่อนคนสวิตฯ ของเทวีก็เพิ่งพูดเรื่องนี้เหมือนกัน 

เพจนี้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับสวิตเซอร์แลนด์ ว่า “ที่สวิตฯ เนี่ยจะไม่มีสลัมและไม่มีเด็กไร้บ้าน ไม่มีเคสที่เด็กยากจนและไม่มีทุนเรียนต่อต้องมาเรี่ยไร เราจะไม่มีวันได้ยินข่าวแบบนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็จะมีสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าบ้าง”

อันนี้คือถูกต้องและสิ่งที่ถูกต้องมากกว่านั้นอีก คือเมื่อเช้านี้ เพื่อนผู้บริหารบริษัทของเทวี ที่มาจากสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งตอนนี้อยู่ที่บ้านเทวี ก็จะเตรียมกลับไปสวิตฯ พรุ่งนี้ เขาบอกว่า เขาเหนื่อย เขาเอือม กับการที่ประเทศของเขาให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ จนคนในประเทศเหนื่อยล้ากับการที่จะต้องช่วยเหลือ และทำให้ทุกอย่างมันเท่าเทียมกัน 

จริงๆ แล้ว การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เป็นเรื่องที่ยุติธรรม แต่บางคนที่ไม่มีงานทำ เพราะเขาเลือกงานอยู่ ขณะเดียวกันก็ไม่คิดหันมาดูแลตัวเองก่อนด้วย ก็ไม่มีใครอยากช่วยเหลือขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะเหมือนไปช่วยคนที่ไม่ได้รู้สึกสำนึกรู้คุณคนที่ต้องเสียภาษี 

เกี่ยวกับเรื่องนี้เทวีมีเคสที่ประสบกับตัวเองเยอะมาก ซึ่งอันนี้พูดจากประสบการณ์จริงของตัวเอง สมัยตอนอยู่สวิตเซอร์แลนด์ใหม่ๆ เทวีก็ได้รับสวัสดิการที่มาจากเงินภาษีของคุณสามี เพราะเราไปในฐานะของการเป็นภรรยาของคนสวิตฯ คุณรู้ไหมคะว่าความเจ็บปวดมันเริ่มขึ้น และทำให้เทวีเข้าใจคนสวิตฯ จริงๆ ตอนที่เทวีได้สวัสดิการนี้แหละค่ะ 

เขาให้ไปเรียนฟรี คือ คำว่าเรียนฟรี เทวีไม่ได้จ่ายเงินเอง ก็อาจจะเรียกมันว่าเรียนฟรี แต่จริงๆ แล้วคือ สามีชำระภาษีและคนสวิตฯ ทุกคนชำระภาษี เพื่อเอากองทุนตรงนี้มาเป็นกองทุนที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียมและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ 

เช่นเดียวกันกับที่สวิตเซอร์แลนด์ จะไม่มีคนจนที่ไม่มีอะไรกิน เพราะยังไงก็แล้วแต่ เขาจะไม่ปล่อยให้คุณอดตาย เขาจะช่วยคุณอย่างเต็มที่อย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ด้วยการเอาภาษีมาแบกภาระตรงนี้ 

กลับมาในเรื่องของสิ่งที่เทวีได้รับรู้ก็คือ เทวีได้รับสวัสดิการให้ไปเรียนภาษาเยอรมัน ซึ่งก่อนหน้านี้คุณสามีจะจ่ายเงินให้เรียน เป็นคอร์สเรียนที่ไม่ได้เรียนฟรี ซึ่งมันเป็นเงินเยอะมากถ้าเราจ่ายเองคือ 10 สัปดาห์ ประมาณแสนกว่าบาท ต่อ 1 คอร์ส แล้วการเรียนมันก็จะมีหลายคอร์ส พอคอร์สที่ 2 สามีเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันหนักมาก จ่ายไม่ไหว จึงส่งเทวีให้เข้ารับสวัสดิการของภาครัฐ 

แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เทวีต้องร้องไห้ และไม่อยากไปโรงเรียนอีกเลย ทั้งๆ ที่เทวีเป็นคนที่รักเรียนมาก เพราะเพื่อนในห้องของเทวีบางคนอยู่ในประเทศเขามา 30 ปีบ้าง 20 ปีบ้าง และยังพูดภาษาเขาไม่ได้ แล้วก็ไปเรียน (ยังคงไปเรียน) เพียงเพื่อรับสวัสดิการตรงนี้ เขาไม่อยากได้ความรู้ เขาเพียงแค่อยากได้เงินที่รัฐบาลจ่ายให้เขาเป็นค่ารถไปโรงเรียนในแต่ละวัน จ่ายเงินให้เป็นค่าอาหารกลางวันในแต่ละวัน และมันดีสุดยอดที่เขาไม่ต้องทำงาน เพราะว่าเขายังไม่ได้ภาษา เขาก็จะทำงานไม่ได้ นี่แหละคือความเหลื่อมล้ำกับคนที่จ่ายเงินภาษี 

ว่าแล้ว...พอเราหันมาดูประเทศไทย มีความเหลื่อมล้ำไหม ทุกที่มีความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทยของเรามีขนาดใหญ่และประชากรก็มีเยอะมาก ซึ่งเยอะกว่าสวิตเซอร์แลนด์ไม่รู้กี่เท่า การที่เราจะดูแลและควบคุมทุกอย่างให้ได้ตามที่เราต้องการ มันจึงเป็นไปได้ยาก และถ้าดูแลก็จะเหมือนด้านมืดในสวิตเซอร์แลนด์ที่เทวีเล่ามา 

‘สวิตเซอร์แลนด์’ ประเทศที่มีความเป็นกลางที่สุดในโลก เหตุใดยังจำเป็นต้องมี ‘ทหาร’ แม้อยู่ในภาวะไร้สงคราม

เมื่อไม่นานมานี้ ได้มีผู้ใช้ติ๊กต็อกรายหนึ่ง ชื่อ ‘khaekhaitravel’ โพสต์คลิปบอกเล่าสาระความรู้ เกี่ยวกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ถึงเรื่องของ ‘ทหาร’ ในประเทศที่มีความเป็นกลางมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก โดยระบุว่า…

“รู้หรือไม่? ผู้ชายชาวสวิตเซอร์แลนด์ทุกคน จำเป็น ‘ต้องเป็นทหาร’ และทหารทุกคนจะมีปืนไรเฟิลไว้ที่บ้าน เพราะที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นไม่ได้มีทหารเยอะเหมือนประเทศไทยบ้านเรา ด้วยความที่สวิตเซอร์แลนด์เป็นประเทศขนาดเล็กและมีจำนวนประชากรเพียง 8.8 ล้านคน เพราะฉะนั้น ที่สวิตเซอร์แลนด์ส่วนมากจะมีแต่ทหารอาสา ซึ่งก็คือผู้ชายสวิตเซอร์แลนด์ที่ถูกฝึกทหารกันไว้แล้ว หากเกิดสงครามขึ้น คนสวิตฯ ก็พร้อมรบ เพราะมีอาวุธพร้อม และทหารที่พร้อมตลอดเวลา ส่วนใครที่ไม่ได้เป็นทหาร เช่น ผู้ที่มีปัญหาสุขภาพ มีความพิการ หรือเป็นนักกีฬาของประเทศ จะต้องจ่ายภาษี 3% ของรายได้ ซึ่งมีระยะเวลาที่ต้องจ่ายประมาณ 10-12 ปีเลยทีเดียว และหากเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้ก็จะจ่ายภาษีส่วนนี้น้อยลง”

ผู้ใช้ติ๊กต็อกยังกล่าวอีกว่า การเป็นทหารที่สวิตเซอร์แลนด์ค่อนข้างมีความยืดหยุ่น เพราะผู้ชายที่สวิตฯ ต้องเป็นทหารกันประมาณ 300 วัน ซึ่งสามารถเลือกได้ว่าจะเป็นทหารไปเลยเป็นระยะเวลา 1 ปี หรือจะเลือกเป็นทหาร 10 ปีก็ได้ เพราะบางคนก็ไม่สะดวกที่จะหยุดทุกอย่างเพื่อไปเป็นทหาร ที่สวิตเซอร์แลนด์จึงสามารถเลือกเป็นทหารกันประมาณ 10 ปี โดยแต่ละปีผู้ชายชาวสวิตฯ จะต้องมาฝึกทหารเป็นเวลา 2-3 อาทิตย์ เพื่อสะสมชั่วโมงหรือสะสมวันให้ครบนั่นเอง

“จริงๆ เคยมีคำถามจากประชาชนเยอะมาก ว่าเหตุใดประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งเป็นประเทศที่มีความเป็นกลาง แต่ทำไมถึงต้องใช้งบประมาณจำนวนมากไปกับทหาร ซึ่งประชาชนบางส่วนก็ไม่เห็นด้วย แต่สวิตเซอร์แลนด์ก็มองว่า ถึงแม้ประเทศเขาจะมีความเป็นกลาง แต่ก็ต้องมีความมั่นคงไปด้วย เช่น เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา รัฐบาลสวิตเซอร์แลนด์ได้ให้ประชาชนร่วมกันโหวต ว่าจะซื้อเครื่องบินรบดีหรือไม่ ปรากฎว่า เสียงข้างมาก หรือคิดเป็นประมาณ 50.1% มีมติเห็นด้วยที่จะอนุมัติการซื้อเรื่องบินรบ” ผู้ใช้ติ๊กต็อก กล่าว

19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 เสด็จสู่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อ

วันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช เสด็จจากสยามสู่สวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อ

ท่ามกลางเสียงโห่ร้องถวายพระพร ระหว่างที่รถพระที่นั่งแล่นผ่าน ฝูงชนส่งเสด็จเดินทางจากสยามประเทศเพื่อไปศึกษาต่อ ณ สวิตเซอร์แลนด์ เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2489 ได้มีเสียงหนึ่งตะโกนแทรกมาเข้าพระกรรณว่า "ในหลวงอย่าทิ้งประชาชน" ในขณะนั้น ทรงนึกตอบในพระทัยว่า "ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้วข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร" 

นับเป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่อยู่ในพระทัยของในหลวง ร.9 มาโดยตลอด พร้อมกับได้ทรงพระราชนิพนธ์บันทึกประจำวัน ‘เมื่อข้าพเจ้าจากสยาม สู่สวิตเซอร์แลนด์’ พระราชทานแก่หนังสือวงวรรณคดีไทย เพื่อถ่ายทอดความรู้สึกซาบซึ้งพระราชหฤทัยถึงน้ำใจของประชาชน ที่พร้อมใจกันมาส่งเสด็จอย่างมืดฟ้ามัวดินในครั้งนั้น

ในช่วงนั้น บรรยากาศแห่งความเศร้าสลดครอบคลุมชาติไทย มองไปทางไหนมีแต่สีแห่งความทุกข์ คือสีดำเต็มไปหมด ความมหาวิปโยคเพิ่งเกิดขึ้นกับทวยราษฎร์ข้าแผ่นดิน เพราะเพิ่งสูญเสียพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระปิยราชบรมราชกษัตริย์ไปอย่างไม่มีวันกลับ เหลือเพียงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ‘พระเจ้าอยู่หัวพระองค์ใหม่’ เพียงองค์เดียวเท่านั้นที่จะเป็นความหวังและที่พึ่งของไพร่ฟ้าข้าแผ่นดิน ประชาชนได้ทุ่มเทความรัก ความหวงแหนยิ่งถวายแด่พระองค์จนหมดสิ้น

เมื่อถึงวันที่พระองค์ทรงอำลาผืนแผ่นดินไทยไปสู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เพื่อทรงศึกษาต่อ ประชาชนทั้งหลายจึงรู้สึกเปล่าเปลี่ยว เหมือนคนไร้ที่พึ่ง ไร้พระบรมโพธิสมภารที่เคยร่มเย็น ขณะรถยนต์พระที่นั่งค่อย ๆ เคลื่อนอย่างช้า ๆ ผ่านหน้ามหาชนนับหมื่นนับแสนที่มาเฝ้าฯ ส่งเสด็จอยู่ด้วยความจงรักภักดี นาทีนั้นเอง ทุกคนรู้สึกตรงกัน เหมือนดวงใจถูกพรากหลุดลอยไป เกรงว่าพระองค์จะไม่เสด็จนิวัตประเทศไทยอีก เหลือสุดที่ประชาชนจะทนได้ จึงมีเสียงร้องทูลขอสัญญาว่า

"อย่าทิ้งประชาชน..."

"ถ้าประชาชนไม่ทิ้งข้าพเจ้าแล้ว ข้าพเจ้าจะทิ้งประชาชนได้อย่างไร"

นั่นคือพระราชสัจจะจากดวงพระราชหฤทัย ที่จะมีพระราชดำรัสกับประชาชนในขณะนั้น  

แม้เครื่องบินพระที่นั่งทะยานขึ้นสู่ฟ้ามหานครแล้ว แต่ถนนทุกสายยังเนืองแน่นด้วยประชาชนที่เฝ้ามอง ‘พระเจ้าอยู่หัว’ จนกระทั่งเครื่องบินลับหายไปจากสายตา พร้อมกับดวงใจของประชาชนที่เฝ้ารอพระองค์กลับมา...เป็นมิ่งขวัญตลอดไป

และเสียงร้องทูลขอสัญญาของประชาชนในวันนั้น ตรึงตราประทับอยู่ในพระราชหฤทัยตลอดมา เป็นสายใจผูกพัน ทำให้ทรงเป็น ‘พระเจ้าอยู่หัวของประชาชนอย่างแท้จริง’

‘EA’ เริ่มส่งมอบคาร์บอนเครดิตโครงการ E-Bus ในกทม. ให้สวิตเซอร์แลนด์  ตามข้อตกลงปารีส Article 6.2 มุ่งขับเคลื่อนสู่เป้าหมาย NDC

(9 ม.ค.67) บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) หรือ EA ได้เริ่มส่งมอบคาร์บอนเครดิตจากโครงการ ‘รถโดยสารประจำทางไฟฟ้าในพื้นที่กรุงเทพมหานคร’ (Bangkok E-Bus Programme) ซึ่งเป็นโครงการซื้อขายคาร์บอนเครดิตระหว่างประเทศโครงการแรกของโลกที่มีการซื้อขายกันเกิดขึ้น ภายใต้ความตกลงปารีส Article 6.2 ซึ่งเป็นการร่วมมือกันระหว่างไทย-สวิตเซอร์แลนด์ ผ่านกรอบความร่วมมือกันระหว่างประเทศที่มีการระบุชัดเจนว่าจะต้องเป็นโครงการการลดก๊าซเรือนกระจกภาคสมัครใจที่อยู่นอกเหนือจากแผนการดำเนินงานของประเทศ (Nationally Determined Contributions : NDC) มีการปฏิบัติตรงตามมาตรฐานด้านคุณภาพต่อสิ่งแวดล้อมและสิทธิมนุษยชน โดยมี Klik Foundation เป็นผู้ซื้อ Carbon Credit ที่เกิดขึ้นและนำ Carbon Credit ดังกล่าวไปลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ตามเป้าหมายที่ได้วางไว้

นายฉัตรพล ศรีประทุม ผู้อำนวยการโครงการกลยุทธ์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการพัฒนาอย่างยั่งยืน บริษัท พลังงานบริสุทธิ์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า โครงการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายใต้ข้อตกลงปารีส 6.2 ซึ่งรถโดยสารประจำทาง EV นี้เป็นโครงการอันดับแรก ๆ ของโลกที่มีการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตสำเร็จ โดยทาง EA มีความมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในการส่งเสริมความร่วมมือกันระหว่างประเทศในด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม การเดินหน้าของโครงการดังกล่าวจะเป็นการสนับสนุนให้เราก้าวเข้าสู่สังคม เศรษฐกิจแบบปลอดคาร์บอนฯ อีกทั้งสามารถเข้าถึงเงินทุนระหว่างประเทศเพื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และช่วยเป็นแรงกระตุ้นที่ดีสำหรับภาคเอกชนในการพัฒนาโครงการที่ช่วยรักษาและปกป้องสิ่งแวดล้อม

Mr. Michael Brennwald Head International, Klik Foundation กล่าวว่า “โครงการแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายใต้ความตกลงปารีส ของรถโดยสารประจำทาง EV นี้ เป็นโครงการนำร่อง เพื่อการสนับสนุนกิจกรรมการรักษาสิ่งแวดล้อมแบบยั่งยืน การแลกเปลี่ยนคาร์บอนเครดิตภายใต้ข้อตกลงปารีส 6.2 นั้น มีการร่วมกันพัฒนามาอย่างแข็งขันจากทุกภาคส่วน นอกจากนี้ยังมองหาโอกาสในการร่วมมือกับภาคเอกชนในประเทศไทยและประเทศข้างเคียง เพื่อที่จะสร้างโครงการในการร่วมมือกันระหว่างประเทศกับสวิตเซอร์แลนด์

ทั้งนี้ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมของทั้งประเทศไทยและประเทศสวิตเซอร์แลนด์ได้มีการลงนามในความร่วมมือระหว่างประเทศภายใต้ความตกลงปารีส 6.2 เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2565   โดยสัญญาแบบทวิภาคีกำหนดกรอบความร่วมมือกันระหว่างทั้งสองประเทศและสร้างแนวทางสำหรับ การพัฒนาโครงการเพื่อสิ่งแวดล้อม เพื่อจัดทำกรอบความร่วมมือโดยสมัครใจสำหรับการถ่ายโอนผลการลดก๊าซเรือนกระจกระหว่างประเทศและเป็นส่วนสำคัญในการเร่งให้เกิดการเปลี่ยนผ่านสู่สังคมคาร์บอนต่ำในประเทศไทยอย่างเป็นรูปธรรมต่อไป

‘ยูนิโคล่-UNHCR’ เปิดตัวโครงการ ‘Hope Away from Home’ เสื้อยืดพิมพ์ลายการกุศล ที่สร้างสรรค์ขึ้นเพื่อสนับสนุนผู้ลี้ภัย

(23 ก.พ.67) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) กล่าวว่า เสื้อยืดตามโครงการ ‘Hope Away from Home’ วางจำหน่ายที่ร้านยูนิโคล่ 12 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศไทย ซึ่งทางยูนิโคล่นอกจากจะบริจาคเงินจำนวน 1 แสนดอลลาร์  (หรือประมาณ 3.54 ล้านบาท) ให้แก่ UNHCR แล้ว ยังบริจาคเงินอีก 3 ดอลลาร์ (หรือประมาณ 106 บาท) จากทุกการจำหน่ายเสื้อยืดจากคอลเลกชันนี้ให้กับ UNHCR อีกด้วย เพื่อส่งต่อความช่วยเหลือในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป

ซึ่งผลงานการออกแบบคัดสรรมาจากมากกว่า 4,000 ภาพ จากการประกวดภาพวาดศิลปะโดยเยาวชน และผู้ลี้ภัย เยาวชนผู้ออกแบบแสดงออกถึงใบหน้าแห่งความหวังเมื่อต้องถูกบังคับให้เผชิญกับการพลัดถิ่น โดยเสื้อยืดคอลเลกชันนี้พร้อมวางจำหน่ายที่ร้านยูนิโคล่พร้อมกันทั่วโลก ได้แก่ แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, อินเดีย, ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ฟิลิปปินส์, สิงคโปร์, อังกฤษ, อเมริกา และประเทศไทย

“เสื้อแต่ละตัวบอกเล่าเรื่องราวแห่งความหวังอันทรงพลังอย่างสร้างสรรค์ การเลือกสวมเสื้อยืดคอลเลกชันนี้ คุณถือเป็นส่วนหนึ่งของการเคลื่อนไหวเพื่อสนับสนุนงานของ UNHCR ที่กำลังดำเนินการในพื้นที่ทั่วโลกกว่า 135 ประเทศ และหน่วยงานปฏิบัติการ 550 แห่งทั่วโลก เพื่อช่วยเหลือผู้ที่กำลังเผชิญกับภาวะสงคราม ความขัดแย้ง และการประหัตประหาร การสนับสนุนของคุณมีความสำคัญ!” เคลลี่ เคลเมนตส์ รองข้าหลวงใหญ่ UNHCR กล่าว

5 ศิลปินผู้อยู่เบื้องหลังการออกแบบเสื้อยืดคอลเลกชันนี้ ได้แก่

- Asifiwe, อายุ 14 ปี ย้ายจากค่ายลี้ภัยในบุรุนดีมาตั้งถิ่นฐานในสหรัฐ
- Virag อายุ 28 ปี เจ้าหน้าที่ด้านมนุษยธรรมจากประเทศฮังการี
- Mawardi อายุ 20 ปี ผู้ลี้ภัยชาวเอธิโอเปียที่ลี้ภัยไปยังโซมาเลีย
- Afya, อายุ 14 ปี เยาวชนที่อาศัยอยู่ในสหรัฐ
- Georgette อายุ 14 ปี ผู้ลี้ภัยจากสาธารณรัฐคองโก ปัจจุบันอาศัยอยู่ที่ค่ายผู้ลี้ภัยในแทนซาเนีย

ทั้งนี้ UNHCR และ ยูนิโคล่ มีความร่วมมือกันตั้งแต่ปี พ.ศ.2549 ผ่านการให้ความช่วยเหลือมอบเสื้อผ้าสำหรับผู้ลี้ภัย โครงการพึ่งพาตนเอง การจ้างงานผู้ลี้ภัย และการรณรงค์สร้างความตระหนักรู้ คอลเลกชันเสื้อยืดนี้ใช้ชื่อตามแคมเปญ Hope Away from Home ของ UNHCR เพื่อเรียกร้องให้มีการดำเนินการอย่างเร่งด่วน และความร่วมมือด้านมนุษยธรรมเพื่อปกป้องสิทธิของผู้ลี้ภัยทั่วโลก

เสื้อยืดคอลเลกชันพิเศษนี้จะวางจำหน่ายในร้านสาขายูนิโคล่ประเทศไทย ที่ยูนิโคล่สาขาเซ็นทรัลเวิลด์ ที่ให้บริการ UTme!  ตั้งแต่วันจันทร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ เป็นต้นไป 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top