ส่อง ‘ความเหลื่อมล้ำ’ ใน ‘สวิตฯ’ ประเทศในฝันของหลายคน ที่แลกกับความทุกข์ทนของ ‘ผู้เสียภาษี’ ไปดูแลคนไร้จิตสำนึก

(8 พ.ค. 66) ผู้ใช้งานติ๊กต็อก บัญชี ‘KornnikarThewie’ ได้โพสต์วิดีโอพูดถึงประเด็นความเหลื่อมล้ำของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ในฐานะที่เป็นคนไทยคนหนึ่งที่ไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่น โดยระบุว่า...

วันนี้เทวีได้อ่านข้อมูลจากเพจนึง เกี่ยวกับประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ซึ่งส่วนตัวเทวี บอกตรงๆ ว่าเห็นด้วยมากๆ และมันก็เป็นอะไรที่บังเอิญมาก หรืออาจจะไม่บังเอิญก็ได้ เพราะเมื่อเช้านี้เพื่อนคนสวิตฯ ของเทวีก็เพิ่งพูดเรื่องนี้เหมือนกัน 

เพจนี้เล่าให้ฟังเกี่ยวกับสวิตเซอร์แลนด์ ว่า “ที่สวิตฯ เนี่ยจะไม่มีสลัมและไม่มีเด็กไร้บ้าน ไม่มีเคสที่เด็กยากจนและไม่มีทุนเรียนต่อต้องมาเรี่ยไร เราจะไม่มีวันได้ยินข่าวแบบนี้ที่สวิตเซอร์แลนด์ แต่ก็จะมีสถานที่เลี้ยงเด็กกำพร้าบ้าง”

อันนี้คือถูกต้องและสิ่งที่ถูกต้องมากกว่านั้นอีก คือเมื่อเช้านี้ เพื่อนผู้บริหารบริษัทของเทวี ที่มาจากสวิตเซอร์แลนด์ซึ่งตอนนี้อยู่ที่บ้านเทวี ก็จะเตรียมกลับไปสวิตฯ พรุ่งนี้ เขาบอกว่า เขาเหนื่อย เขาเอือม กับการที่ประเทศของเขาให้ความสำคัญกับเรื่องพวกนี้ จนคนในประเทศเหนื่อยล้ากับการที่จะต้องช่วยเหลือ และทำให้ทุกอย่างมันเท่าเทียมกัน 

จริงๆ แล้ว การแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำในสังคม เป็นเรื่องที่ยุติธรรม แต่บางคนที่ไม่มีงานทำ เพราะเขาเลือกงานอยู่ ขณะเดียวกันก็ไม่คิดหันมาดูแลตัวเองก่อนด้วย ก็ไม่มีใครอยากช่วยเหลือขนาดนั้นหรอกค่ะ เพราะเหมือนไปช่วยคนที่ไม่ได้รู้สึกสำนึกรู้คุณคนที่ต้องเสียภาษี 

เกี่ยวกับเรื่องนี้เทวีมีเคสที่ประสบกับตัวเองเยอะมาก ซึ่งอันนี้พูดจากประสบการณ์จริงของตัวเอง สมัยตอนอยู่สวิตเซอร์แลนด์ใหม่ๆ เทวีก็ได้รับสวัสดิการที่มาจากเงินภาษีของคุณสามี เพราะเราไปในฐานะของการเป็นภรรยาของคนสวิตฯ คุณรู้ไหมคะว่าความเจ็บปวดมันเริ่มขึ้น และทำให้เทวีเข้าใจคนสวิตฯ จริงๆ ตอนที่เทวีได้สวัสดิการนี้แหละค่ะ 

เขาให้ไปเรียนฟรี คือ คำว่าเรียนฟรี เทวีไม่ได้จ่ายเงินเอง ก็อาจจะเรียกมันว่าเรียนฟรี แต่จริงๆ แล้วคือ สามีชำระภาษีและคนสวิตฯ ทุกคนชำระภาษี เพื่อเอากองทุนตรงนี้มาเป็นกองทุนที่จะทำให้เกิดความเท่าเทียมและช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ 

เช่นเดียวกันกับที่สวิตเซอร์แลนด์ จะไม่มีคนจนที่ไม่มีอะไรกิน เพราะยังไงก็แล้วแต่ เขาจะไม่ปล่อยให้คุณอดตาย เขาจะช่วยคุณอย่างเต็มที่อย่างดีที่สุดเท่าที่เขาจะทำได้ ด้วยการเอาภาษีมาแบกภาระตรงนี้ 

กลับมาในเรื่องของสิ่งที่เทวีได้รับรู้ก็คือ เทวีได้รับสวัสดิการให้ไปเรียนภาษาเยอรมัน ซึ่งก่อนหน้านี้คุณสามีจะจ่ายเงินให้เรียน เป็นคอร์สเรียนที่ไม่ได้เรียนฟรี ซึ่งมันเป็นเงินเยอะมากถ้าเราจ่ายเองคือ 10 สัปดาห์ ประมาณแสนกว่าบาท ต่อ 1 คอร์ส แล้วการเรียนมันก็จะมีหลายคอร์ส พอคอร์สที่ 2 สามีเริ่มรู้สึกแล้วว่ามันหนักมาก จ่ายไม่ไหว จึงส่งเทวีให้เข้ารับสวัสดิการของภาครัฐ 

แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เทวีต้องร้องไห้ และไม่อยากไปโรงเรียนอีกเลย ทั้งๆ ที่เทวีเป็นคนที่รักเรียนมาก เพราะเพื่อนในห้องของเทวีบางคนอยู่ในประเทศเขามา 30 ปีบ้าง 20 ปีบ้าง และยังพูดภาษาเขาไม่ได้ แล้วก็ไปเรียน (ยังคงไปเรียน) เพียงเพื่อรับสวัสดิการตรงนี้ เขาไม่อยากได้ความรู้ เขาเพียงแค่อยากได้เงินที่รัฐบาลจ่ายให้เขาเป็นค่ารถไปโรงเรียนในแต่ละวัน จ่ายเงินให้เป็นค่าอาหารกลางวันในแต่ละวัน และมันดีสุดยอดที่เขาไม่ต้องทำงาน เพราะว่าเขายังไม่ได้ภาษา เขาก็จะทำงานไม่ได้ นี่แหละคือความเหลื่อมล้ำกับคนที่จ่ายเงินภาษี 

ว่าแล้ว...พอเราหันมาดูประเทศไทย มีความเหลื่อมล้ำไหม ทุกที่มีความเหลื่อมล้ำ ประเทศไทยของเรามีขนาดใหญ่และประชากรก็มีเยอะมาก ซึ่งเยอะกว่าสวิตเซอร์แลนด์ไม่รู้กี่เท่า การที่เราจะดูแลและควบคุมทุกอย่างให้ได้ตามที่เราต้องการ มันจึงเป็นไปได้ยาก และถ้าดูแลก็จะเหมือนด้านมืดในสวิตเซอร์แลนด์ที่เทวีเล่ามา 

อันที่จริงการที่เทวีมาพูดวันนี้ ไม่ได้จะมาดิสเครดิตสวิตเซอร์แลนด์ เพราะสมัยก่อยเวลาเพื่อนเทวีถามว่า คิดอยากจะกลับมาอยู่เมืองไทยหรือไม่ เทวียังบอกเขาเลยว่า “เทวีไม่เคยคิดจะกลับมาอยู่เมืองไทยอีก” ซึ่งนั่นคือคำตอบของเทวีเมื่อ 3 ปีก่อนจริง ไม่เคยคิดเลยว่าจะต้องกลับมาตายที่เมืองไทย เพราะเทวีรักสวิตเซอร์แลนด์มาก แต่วันนี้เทวีกลับมาอยู่เมืองไทย 2 ปีครึ่งแล้ว และก็ใช้ระยะเวลาเกือบ 2 ปีกว่าเทวีถึงจะเข้าใจ ว่าประเทศไทยมันดีขนาดไหน 

และถ้าจะให้ต้องเปรียบเทียบกันจริงๆ ระหว่างสวิตเซอร์แลนด์กับประเทศไทย ถามว่าเปรียบเทียบได้ไหม เปรียบเทียบได้แน่นอน แต่จะเปรียบเทียบให้เกิดการแตกแยกทำไม ของแบบนี้เราไม่ต้องบอกหรอกว่าเราเป็นกลาง เรามีข้างที่เรายืนอยู่แล้ว เราเหมือนคนเป็นแม่เราคงไม่ต้องบอกหรอกว่าเรารักลูกคนโตมากกว่าหรือรักคนเล็กมากกว่า คุณแม่ทุกคนเป็นแบบนั้น คุณแม่ทุกคนก็รักลูกเหมือนกัน


ที่มา : https://vt.tiktok.com/ZS8EA3UJS/