Monday, 29 April 2024
วิทยาศาสตร์

3 ฤดูในเดือนเดียว เมษายน 65 เดือนที่มีทั้ง 3 ฤดูในเมืองไทย

ในต้นเดือนเมษายน 2565 ปีนี้ นอกจากประเทศไทยจะเจอสถานการณ์โควิดที่ยังมองไม่เห็นทางสว่างที่ปลายอุโมงค์ว่าสถานการณ์จะเริ่มผ่อนคลายลงไปเมื่อไร เนื่องจากยอดของผู้ติดเชื้อที่อยู่ในหลักวันละสองหมื่นกว่าคนขึ้นไปทุกวัน แต่ในช่วงนี้มีสิ่งหนึ่งที่เป็นปรากฏการณ์ที่เชื่อว่าทำให้หลายๆ คนแปลกใจ โดยเฉพาะคนที่อยู่ภาคเหนือ ตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคกลาง 

นั่นก็เพราะจู่ๆ ในช่วงเดือนเมษายนซึ่งเป็นช่วงวันหยุดดยาวแห่งเทศกาลสงกรานต์ของคนไทย และเป็นเดือนที่ประเทศไทยจะมีอากาศร้อนมากที่สุด กลับกลายเป็นว่ามีบางช่วงโดยเฉพาะช่วงต้นเดือนที่ผ่านมา มีพายุฝนฟ้าคะนองและลมแรง หลังจากนั้นอากาศเย็นลงทันทีทันใดจนต่ำกว่า 20 องศาเซลเซียส ทำให้เรารู้สึกได้ว่าเหมือนกับอยู่ในหน้าหนาวเลยกันเลย กลายเป็นว่ามี 3 ฤดูกาล เกิดขึ้นภายใน 1 เดือน ทั้งร้อน หนาว และฝน เลยทีเดียว นับว่าเป็นปรากฏการณ์ที่ไม่ค่อยจะเกิดขึ้นบ่อยนักในประเทศไทย 

สำหรับวันนี้จะมาพูดถึงลักษณะของอากาศที่ทำให้ช่วงหน้าร้อนที่สุดของประเทศไทยกลายเป็น 3 ฤดูกาลภายในเดือนเมษายนนี้กันครับ ก่อนอื่นเรามาทำความรู้จักลักษณะฤดูกาลของประเทศไทยกันก่อนครับ 

ทั้งนี้ประเทศไทย ตั้งอยู่ในเขตร้อนใกล้เส้นศูนย์สูตรระหว่างละติจูดที่ 5-20 องศาเหนือ และลองจิจูดที่ 97-105 องศาตะวันออก ทำให้ภูมิอากาศของประเทศเรามีลักษณะเป็นแบบทุ่งหญ้าสะวันนา หรือภูมิอากาศแบบร้อนชื้นสลับแห้งแล้ง โดยภูมิอากาศแบบนี้ อุณหภูมิเฉลี่ยตลอดปีจะสูงกว่า 18 องศาเซลเซียส และมีลักษณะที่สำคัญ คือ มีฤดูแล้งสลับฤดูฝนให้เห็นชัดเจน ขณะที่ฝนส่วนใหญ่ตกในฤดูร้อน ในฤดูหนาวอากาศจะแห้ง ซึ่งจะเกิดขึ้นในภาคกลาง ภาคเหนือ และภาคตะวันออกเฉียงเหนือของประเทศไทย 

ในขณะที่บางส่วนของประเทศไทย คือ ภาคใต้และทางตะวันออกสุดของภาคตะวันออก เป็นลักษณะภูมิอากาศแบบมรสุมเขตร้อน ทำให้มีฝนตกมากกว่าภาคอื่น และไม่ค่อยได้สัมผัสกับอากาศหนาวมากเหมือนกับภาคอื่น 

วิทยาศาสตร์มีคำตอบ!! โอกาสถูกลอตเตอรี่รางวัลที่ 1 มีเพียง 0.0001% แต่ถ้าซื้องวดละ 1 ล้านใบ ถูกแน่ๆ 100%

ทำยังไงจะถูกหวย จะต้องลงทุนเท่าไรจึงจะถูกทุกงวด วิทยาศาสตร์มีคำตอบให้ครับ

สวัสดีครับกลับมาพบกันอีกครั้งกับต้นเดือนกันยายน 2565 ซึ่งเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา น่าจะมีเศรษฐีหน้าใหม่ของประเทศไทยเกิดขึ้นมาอีกหลายคนน่ะครับ

เนื่องจากทุกวันที่ 1 และ 16 ทุกเดือนจะเป็นวันที่คนไทยทุกคนตั้งหน้าตั้งตารอ นั่นคือการลุ้นผลรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือเรียกแบบบ้านๆ ว่า หวย ทั้งนี้แทบจะเรียก 2 วันนี้ว่าเป็นวันความหวังแห่งชาติ เลยก็ว่าได้ครับ

และผู้เขียนเชื่อว่าผู้อ่านหลาย ๆ ท่านคงจะเคยซื้อหวยกัน ไม่ว่าจะเป็นหวยที่ถูกกฎหมายหรือที่เราเรียกกันว่าลอตเตอรี่ แต่ถ้าเรียกให้ดูสวยหรูคือสลากกินแบ่งรัฐบาล หรือหวยที่ไม่ถูกกฎหมายแต่คนไทยทุกคนรู้จักกันดีและเป็นสิ่งที่อยู่คู่กับสังคมมาเป็นเวลานาน นั่นก็คือหวยใต้ดิน ซึ่งมีอยู่หลายรูปแบบที่แตกต่างกันไป

ทั้งนี้จากผลสำรวจของโพลหลายสำนัก พบว่าคนไทยมากกว่าร้อยละ 60% เคยซื้อหวยกันครับ โดยเฉพาะลอตเตอรี่นอกจากจะทำให้บางคนเป็นเศรษฐีในชั่วพริบตา แต่ก็เป็นที่รับรู้กันดีว่าแม้จะมีราคาเขียนไว้ที่หน้าสลากชัดเจนแต่น้อยคนนักที่จะมีโอกาสได้ซื้อในราคาดังกล่าว

ในขณะเดียวกันเมื่อไม่นานมานี้รัฐบาลพยายามที่จะใช้มาตรการในการเข้ามาควบคุมให้ราคาลอตเตอรี่ขายในราคาที่กำหนดคือ ฉบับละ 80 บาท โดยให้มีการซื้อขายในระบบออนไลน์ หรือที่เรารู้กันว่า สลาก ดิจิทัล ซึ่งก็พบว่าขายดีมาก โดยขายได้หมดในเวลาเพียงแค่ 2-3 วันเท่านั้น

ทั้งนี้นอกจากหวยจะทำให้คนไทยมีความหวังในทุกๆ วันที่ 1 และ 16 ของเดือนแล้ว ก็ยังทำให้คนไทยหลาย ๆ คนมีอาชีพทำกินโดยการขายลอตเตอรี่อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ยังทำให้เกิดอีกอาชีพหนึ่งขึ้นมา นั่นก็คือ อาชีพของคนใบ้หวย ซึ่งหลาย ๆ คน ก็ร่ำรวยได้ง่าย ๆ จากอาชีพนี้กันครับ

สำหรับวันนี้ไม่ได้มาพูดเรื่องการใบ้หวยครับ แต่จะพาทุกท่านมาดูหลักการทางวิทยาศาสตร์กัน เวลาเราซื้อหวยไม่ว่าจะเป็นหวยที่ถูกกฎหมาย หรือหวยใต้ดิน เรามีโอกาสที่จะถูกมากหรือน้อยขนาดไหน และถ้าจะให้ถูกรางวัลทุกงวดเราจะต้องลงทุนเท่าไรกัน ในที่นี้จะขอพูดถึงสลากกินแบ่งรัฐบาลหรือลอตเตอรี่ก่อนนะครับ

ในปัจจุบันนี้ลอตเตอรี่ 1 ชุดจะมีเลขทั้งหมดจำนวน 6 หลัก ก็คือตั้งแต่เลข 000000 จนกระทั้งถึง 999999 หรือพูดง่ายๆ คือมีทั้งหมด 1 ล้านฉบับ และในจำนวนล้านฉบับมีรางวัลให้ลุ้นตั้งแต่รางวัล เลขหน้า เลขท้าย 3 ตัว และ 2 ตัว รวมทั้งหมด 14,168 รางวัล คิดเป็นจำนวนเงินรางวัลรวม 48 ล้านบาท

แล้วถ้าเราอยากจะถูกรางวัลทั้งหมดนี้ต้องลงทุนเท่าไร? หมายความว่าหากเราต้องซื้อสลากมาทั้งหมด 1 ล้านฉบับ ก็จะต้องถูกแน่ ๆ 100 % ซึ่งถ้าสลากขายในราคาที่กำหนด คือ 80 บาท เราก็จะต้องใช้เงินในการซื้อทั้งหมด 80 ล้านบาทครับ ดูแล้วคงไม่คุ้มแน่ ๆ

แต่ถ้าเราซื้อสลากมา 1 ฉบับล่ะ มีโอกาสที่จะถูกมากน้อยขนาดไหน ซึ่งโอกาสที่จะถูกรางวัลที่ 1 ก็คือ 1 ใน ล้าน หรือคิดเป็น 0.0001 % และยังมีรางวัลข้างเคียงรางวัลที่ 1 ซึ่งมี 2 รางวัล ก็มีโอกาสถูก 0.0002 %

นอกจากนี้รางวัลอื่นก็จะมีโอกาสถูกที่เพิ่มขึ้นแตกต่างกันไปตามจำนวนรางวัลเช่น รางวัลเลขหน้าและเลขท้าย 3 ตัว จำนวน 2,000 รางวัล จะมีโอกาสถูก 0.2 % รางวัลเลขท้าย 2 ตัว จำนวน 10,000 รางวัล มีโอกาสถูก 1 % เป็นต้น

พออ่านมาถึงตรงนี้หลาย ๆ ท่าน น่าจะพอรู้คำตอบของโอกาสในการถูกลอตเตอรี่ของรัฐบาลนะครับ แล้วถ้าเราไม่ซื้อหวยแบบที่ถูกกฎหมาย แต่เปลี่ยนมาซื้อหวยใต้ดินกันล่ะครับ เรามีโอกาสที่จะถูกเท่าไร และจะต้องลงทุนเท่าไรในการซื้อถึงจะถูก มาดูกันครับ

เป็นที่ทราบกันทั่วไปอยู่แล้วนะครับว่า ในการซื้อหวยใต้ดินมีรางวัลหลักๆ ที่ลุ้นกันอยู่ คือเลขท้าย 3 ตัว โดยอาศัยดูจากผลเลขท้าย 3 ตัว ของรางวัลที่ 1 สลากกินแบ่งรัฐบาล

และในส่วนของเลขท้าย 2 ตัว จะมี 2 แบบ คือข้างบนและข้างล่าง โดยข้างล่างจะอาศัยการใช้ผลของเลขท้าย 2 ตัวของสลากกินแบ่งรัฐบาล 2 ตัว ส่วนข้างบนก็อาศัยการใช้เลขท้าย 2 ตัว ของรางวัลที่ 1

เฉลย!! สารเคมีรั่วไหลจากโรงงานในนครปฐม สูดดมเข้าไป เป็นอันตรายกับเนื้อเยื่อปอด

เช้าวันที่ 22 กันยายน 2565 นอกจากจะเป็นวันที่ฝนตกปรอยๆ ในตอนเช้า อันเป็นสาเหตุที่ทำให้รถติดมากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่คนเมืองที่อยู่ในเขตกรุงเทพและปริมณฑลเคยชินกันอยู่แล้ว ยังมีเหตุการณ์ที่น่าระทึกใจเพิ่มขึ้นมา นั่นก็คือ การได้กลิ่นเหม็นของสารเคมีบางอย่าง ที่มีลักษณะเหม็นคละคลุ้งไปทั่วคลอบคลุมพื้นที่หลายพื้นที่ เช่น อำเภอนครชัยศรี, อำเภอสามพราน, อำเภอพุทธมณฑล ของจังหวัดนครปฐม รวมไปถึงพื้นที่บางส่วนของกรุงเทพมหานคร เช่น เขตทวีวัฒนา และบางส่วนของอำเภอบางกรวย จังหวัดนครปฐม

โดยลักษณะของกลิ่น จะเป็นกลิ่นฉุน เหม็นเปรี้ยว และเมื่อสัมผัสนานๆ จะทำให้แสบตาได้ ซึ่งเหตุการณ์ดังกล่าวส่งผลให้โรงเรียนหลายโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ใกล้เคียง มีคำสั่งให้หยุดการเรียนการสอน เช่น โรงเรียนกาญจนาภิเษกวิทยาลัย, โรงเรียนพระตำหนักสวนกุหลาบ มหามงคล จังหวัดนครปฐม เป็นต้น 

สำหรับสาเหตุการรั่วไหลของสารเคมีจากโรงงานอุตสาหกรรมในพื้นที่จังหวัดนครปฐมนั้น มาจาก โรงงานบริษัทอินโดรามา โพลิเอสเตอร์ อินดัสตรี จำกัด ที่ตั้งอยู่เลขที่ 535/8 หมู่ 4 ถนนเพชรเกษม ตำบลขุนแก้ว อำเภอนครชัยศรี จังหวัดนครปฐม ซึ่งประกอบกิจการธุรกิจเกี่ยวกับการผลิตเส้นใยโพลีเอสเตอร์และเส้นใยประดิษฐ์   

จากการตรวจสอบของผู้เชี่ยวชาญจากสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 5 จังหวัดนครปฐม พบว่า สารเคมีที่รั่วไหลนั้นมีชื่อว่า ‘สารไดฟีนิลออกไซด์’ และ ‘สารไบฟีนิล’ ซึ่งเกิดการรั่วไหลบริเวณระบบหล่อเย็น (Cooling) ของกระบวนการผลิตพลาสติก โดยลักษณะของสารเคมีดังกล่าว เมื่ออยู่ในสถานะแก๊ส จะมีน้ำหนักเบา ทำให้สามารถลอยไปในอากาศได้เป็นระยะไกล ทำให้ผู้ที่อาศัยห่างจากแหล่งรั่วไหลหลายกิโลเมตรได้กลิ่น 

ทั้งนี้ สารดังกล่าวนั้นเป็นกลุ่มของสารเคมีประเภทไฮโดรคาร์บอน ซึ่งมีธาตุคาร์บอนและไฮโดรเจนเป็นองค์ประกอบ โดยทั่วไปในธรรมชาติ จะพบสารประกอบไฮโดรคาร์บอนเกิดอยู่ในแหล่งต่างๆ มากมาย เช่น ยางไม้, ถ่านหิน, ปิโตรเลียม, นอกจากนี้ยังมีสารประกอบไฮโดรคาร์บอนบางตัวที่ได้จากการสังเคราะห์ 

ยิ่งไปกว่านั้น สารเหล่านี้ บางชนิดถูกใช้เป็นส่วนประกอบของกระบวนการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรม โดยมีแหล่งกำเนิดของสารประกอบไฮโดรคาร์บอนที่สำคัญที่สุด คือ ‘ปิโตรเลียม’ ซึ่งอันตรายที่เกิดจากการสูดดมสารประเภทนี้ คือ เมื่อสูดดมเข้าไป จะทำให้เป็นอันตรายกับเนื้อเยื่อปอด เพราะมันจะไปละลายไขมันในผนังเซลล์ที่ปอด 

แถลงไข!! ‘พระจันทร์สีเลือด’ ปรากฏการณ์ทางธรรมชาติ พิสูจน์ได้ด้วยวิทยาศาสตร์ มิใช่สัญญาณบอกเหตุลางร้าย

เมื่อวันอังคารที่ 8 พฤศจิกายน 2565 ที่ผ่านมา เป็นวันพระจันทร์เต็มดวง และเป็นเทศกาลลอยกระทงในรอบ 3 ปี ของประเทศไทย ที่ประชานชนทุกภาคได้มีโอกาสลอยกระทง และมีการจัดงานอย่างเต็มรูปแบบหลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย และมีเรื่องราวหนึ่งที่มาพร้อมกับการเกิดพระจันทร์เต็มดวงที่ตรงกับเทศกาลลอยกระทงปีนี้คือ การเกิดปรากฏการณ์ลักษณะสีของดวงจันทร์ที่มีสีแดงอิฐคล้ายสีเลือด หรือเรามักเรียกกันว่า ‘พระจันทร์สีเลือด’ นั่นเอง 

เมื่อเกิดปรากฏการณ์นี้ขึ้น ก็จะมีคนในวงการหมอดูหรือทางโหราศาสตร์ออกมาแสดงความคิดเห็นกัน รวมทั้งเล่าเรื่องราวที่สืบต่อกันมา ว่าจะเป็นสัญญาณในการเกิดเหตุร้าย และมีบางสำนักออกมาบอกถึงขั้นว่าไม่ควรจะไปโดนแสงที่เกิดจากพระจันทร์สีเลือด เพราะจะทำให้เกิดเภทภัยภยันตรายตามมา 

บางรายก็บอกลงลึกไปถึงขั้นว่า คนที่เกิดราศีไหนจะเกิดผลกระทบมากที่สุดเมื่อโดนแสงจันทร์สีเลือด และมีคำเตือนไม่ให้คนในราศรีนี้ออกไปข้างนอกในช่วงเวลาดังกล่าว หนักถึงขั้นบางสำนักมีวิธีการในการแก้ไขว่าต้องทำกิจกรรมอะไรถึงจะแก้ไขเหตุร้ายที่จะเกิดขึ้นเนื่องจากพระจันทร์สีเลือดอีกด้วย

สำหรับเรื่องพระจันทร์สีเลือดนี้ ผู้เขียนจะขอพูดถึงลักษณะปรากฏการณ์ที่ทำให้พระจันทร์มีสีเลือดกัน โดยใช้ 'หลักการทางวิทยาศาสตร์' ที่ได้ข้อมูลมาจากสถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติมาอธิบายกันครับ 

ปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง ในวันที่ 8 พฤศจิกายน 2565 เกิดขึ้นในช่วงเวลาประมาณ 15.02 - 20.56 น. (ตามเวลาประเทศไทย) โดยเราจะเริ่มสังเกตเห็นได้ตั้งแต่ช่วงที่ดวงจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้า ในเวลาประมาณ 17.44 น. เป็นต้นไป ทางทิศตะวันออก ตรงกับช่วงที่กำลังเกิดคราสเต็มดวง มองเห็นดวงจันทร์เต็มดวงปรากฏเป็นสีแดงอิฐ จนถึงเวลาประมาณ 18.41 น. 

จากนั้นเริ่มเห็นดวงจันทร์ปรากฏเว้าแหว่งบางส่วนและค่อย ๆ ออกจากเงามืดของโลก จนกระทั่งเข้าสู่เงามัวหมดทั้งดวงในเวลา 19.49 น. เปลี่ยนเป็นจันทรุปราคาเงามัวที่สังเกตได้ยาก เนื่องจากความสว่างของดวงจันทร์เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น และสุดท้ายดวงจันทร์พ้นจากเงามัวของโลกเวลา 20.56 น. ถือว่าสิ้นสุดปรากฏการณ์จันทรุปราคาในครั้งนี้โดยสมบูรณ์  

ขณะเกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวงเมื่อแสงของดวงอาทิตย์ ผ่านบรรยากาศโลก แสงสีน้ำเงินที่มีความยาวคลื่นสั้นกว่าจะถูกบรรยากาศกระเจิงออกไปหมด เหลือแต่แสงสีแดงที่มีความยาวคลื่นยาวกว่าหักเหไปตกกระทบบนผิวดวงจันทร์ จึงมองเห็นดวงจันทร์เป็นสีแดง 

ไทยเตรียมสร้างฐานปล่อยจรวด ต่อยอดกิจการอวกาศสู่เชิงพาณิชย์

สำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศและภูมิสารสนเทศ (องค์การมหาชน) (GISTDA) กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม หรือ อว. และ Korea Aerospace Research Institute (KARI) ร่วมลงนามความร่วมมือการศึกษาความความเป็นไปได้ในการสร้างจัดตั้งท่าอวกาศยานในประเทศไทย เมื่อวันจันทร์ที่ 13 กุมภาพันธ์ 2566 ที่ผ่านมา 

โดยมี ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA และ Mr.Sang-Ryool LEE ประธานบริหารKARI และได้รับเกียรติจาก ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. และ Mr.Bae Jae Hyun อัครราชทูตสาธารณรัฐเกาหลีประจำประเทศไทยร่วมเป็นสักขีพยานฯ ณ ห้องแถลงข่าว ชั้น 1 กระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัย และนวัตกรรม (ถนนโยธี) 

ศ.ดร.นพ.สิริฤกษ์ ทรงศิวิไล ปลัดกระทรวง อว. กล่าวว่า อุตสาหกรรมการบินและอวกาศเป็นหนึ่งในสิบอุตสาหกรรมเป้าหมาย (S-Curve) ซึ่งจะเป็นกลไกใหม่ในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจเพื่ออนาคต (New Engine of Growth) ความร่วมมือระหว่างไทยและเกาหลีในครั้งนี้ จะเป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจอวกาศ (Space Industry / Space Economy) ให้เกิดขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในประเทศไทย ซึ่งสอดคล้องกับแผนแม่บทอวกาศแห่งชาติ รวมไปถึง (ร่าง) พ.ร.บ. กิจการอวกาศที่จะเป็นกลไกสำคัญในการใช้ประโยชน์จากอวกาศสู่การพัฒนาประเทศบนฐานของวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี และนวัตกรรมต่อไป

ด้าน ดร.ปกรณ์ อาภาพันธุ์ ผู้อำนวยการ GISTDA กล่าวว่า การลงนามข้อตกลงในครั้งนี้จะนำไปสู่การสร้างท่าอวกาศยาน หรือ Spaceport ในประเทศไทย ด้วยศักยภาพและความได้เปรียบทางภูมิศาสตร์สำหรับการจัดตั้ง Spaceport มากที่สุดในโลกประเทศหนึ่ง การได้ร่วมมือกับ KARI ซึ่งเป็นองค์กรด้านการวิจัยอวกาศที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาตินี้เกิดขึ้นหลังจากการลงนาม MOU ความร่วมมือด้านกิจการอวกาศ เมื่อเดือนพฤษภาคม 2565 ที่ผ่านมา

รู้จัก รร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ จุดเปลี่ยน สร้างบุคลากรด้านวิทย์ฯ ของไทย ภายใต้ค่าเฉลี่ย PISA สูงลิ่ว จากวิสัยทัศน์ 'เจ้าฟ้าจุฬาภรณฯ' ที่น้อยคนจะรู้

(8 ธ.ค.66) จากผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Pornpichit Samaktham' ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

รร.วิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ ช่วยดึงคะแนน PISA ให้ดีขึ้น (มี 12 โรงเรียน)

เมื่อวาน BBC Thai เอาคะแนน PISA มาเปิดเผยแบบพาดหัวข่าวตัดตอน ขาแช่งประเทศไทยให้ตกต่ำเฮ กันใหญ่ สื่อเล็กสื่อน้อยช่วยกันเล่นสนุกสนานแต่ไม่พูด ภาพกว้างของการพัฒนาวงการศึกษาด้านวิทยาศาสตร์บ้านเรา

ผมเป็นคนหนึ่งที่คอยให้คำปรึกษาผู้ปกครองทุกวัน รับสายทุกวัน เพราะตั้งใจว่าจะเอาความรู้ที่ร่ำเรียนมา ประสบการณ์จากชีวิตจริง มารับใช้สังคม จนหมดแรง

บทสนทนาแรกๆ กับผู้ปกครองจะเหมือนๆ กัน ไม่รู้ว่าให้ลูกไปเรียนทางไหน ไม่อยากให้ลูกเครียดมาก อยากให้ที่ลูกเรียนที่ลูกชอบ

คำตอบของผม ผู้ปกครองหลายท่านไม่ชอบใจ ไม่โทรมาอีกเลย แต่ส่วนใหญ่ยังมาปรึกษาต่อเนื่อง ให้ช่วยวางแผนการศึกษายาวๆ

ผมจะบอกผู้ปกครองเสมอว่าสิ่งที่ผมแนะนำในการเรียน

1.เรียนอะไรก็ได้อย่าตกงาน

2.เรียนอะไรก็ได้ที่เงินเดือนสูง

3.เรียนง่ายๆ น้อยคนที่ได้เงินเดือนสูง

4.ถ้าเด็กเก่งด้านภาษาแบบโดดเด่นสนับสนุนไปเลย แต่ต้องยอมรับว่าโดยส่วนใหญ่เงินเดือนสายนี้จะน้อยกว่าสายวิทยาศาสตร์

5.ประเทศไทย มีสถาบันการศึกษาที่สอนสายศิลป์มากแล้ว เรียนวิทย์ได้เรียนวิทย์เถอะ

6.ถ้าเด็ก เรียนสายวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ได้ ให้เรียนสายนี้

มาถึงการวัดคะแนน PISA คือวัดเฉพาะวิชาคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ จะเห็นว่าโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ มหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ และโรงเรียนสาธิตสังกัดมหาวิทยาลัย และโรงเรียน สพฐ.ชั้นนำ ได้คะแนนสูงกว่า ค่าเฉลี่ยของ OECD (Organization for Economic Co operation and Development)

OECD คือองค์กรเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจ และการพัฒนา หรือประเทศเจริญแล้ว รวยแล้ว มีสมาชิก 38 ประเทศ ออสเตรเลีย, ออสเตรีย, เบลเยียม, แคนาดา, ฝรั่งเศส, เยอรมนี, สวิตเซอร์แลนด์, เกาหลีใต้, เนเธอร์แลนด์, นิวซีแลนด์, สหราชอาณาจักร, สหรัฐอเมริกา, ญี่ปุ่น เป็นต้น

ดูรายชื่อประเทศพวกนี้ ก็คงมองออกสถานะทางการเงิน

มาดูประเทศที่อันดับดีในเอเชีย มาจากชาติที่การแข่งขันสูง จีน, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ไต้หวัน, ฮ่องกง, มาเก๊า, สิงคโปร์, มาเลเซีย รวมทั้งเวียดนาม ต้องยอมรับว่าเป็นประเทศที่แข่งขันสูง ความเครียดสูง วัฒนธรรมคนขยันขันแข็ง

ต้องยอมรับว่าประเทศไทยในยุคนี้ สื่อมวลชนมีส่วนชักนำเยาวชน ผู้ปกครองเยอะมาก ความรู้สึก ค่านิยม ไม่ต้องเรียนสูง เรียนง่ายๆ ขายของออนไลน์ ก็มีกินมีใช้แล้ว แต่ทักษะเหล่านี้ ไม่สามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มในระยะยาวได้ ได้แค่เป็นผู้ค้าและเป็นผู้ซื้อเทคโนโลยีเท่านั้น

ที่ผ่านมาภาครัฐ มีส่วนส่งเสริมการเรียนการสอนเทคโนโลยี มากมายเพื่อรองรับโครงสร้างประเทศในอนาคต รองรับการสร้างงานในพื้นที่ EEC ที่ต้องใช้แรงงานระดับสูง แต่การศึกษานั้น ผู้ปกครองต้องมีส่วนในการสร้างเยาวชนของชาติด้วย ไม่ใช่เรียกร้องแต่สิทธิ์ของฉัน

โครงสร้างด้นดิจิทัลของประเทศไทย ตอนนี้เอื้อแก่การเรียนรู้ ทางเลือกออนไลน์มาก อยู่ที่จะนำไปใช้แบบไหน ที่เอามาพัฒนาตัวเอง

การตั้งโรงเรียนวิทยาศาสตร์จุฬาภรณ์ ตามปณิธานของ สมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอ เจ้าฟ้าจุฬาภรณวลัยลักษณ์ อัครราชกุมารี กรมพระศรีสวางควัฒน วรขัตติยราชนารี ทั่วประเทศ จำนวน 12 แห่ง ครั้งแรกวันที่ 27 กรกฎาคม 2536 สมัยรัฐบาลชวน หลีกภัย และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ สมัยนั้น นายสัมพันธ์ ทองสมัคร ต่อมาได้ให้โรงเรียนมหิดลวิทยานุสรณ์ เป็นต้นแบบร่วมจัดหลักสูตรและบุคลากร และเป็นพี่เลี้ยง แทบจะเรียนฟรีทั้งหมด ให้โอกาสลูกคนที่มีฐานะอ่อนแอกว่า จะเห็นว่าผู้ใหญ่ของประเทศไม่ได้นอนอยู่เฉยๆ เลย พัฒนาต่อเนื่องแม้การเมืองจะล้มลุกคลุกคลาน 

***ข้อมูลจากกูเกิล

ส่วนโรงเรียนสาธิต สังกัดมหาวิทยาลัยต้องยอมรับว่าเป็นโรงเรียนที่ผู้ปกครองมีโอกาสทางสังคมสูง จากการแสวงหาโอกาส ไม่ใช่นั่งอยู่เฉยๆ ต้องยอมรับว่าเป็นกลุ่มผู้ปกครองตัวอย่าง ที่ทำให้ค่าคะแนน PISA ดึงกลุ่มอื่นขึ้นมา  

ผู้ปกครองกลุ่มนี้ควรดึงผู้ปกครองกลุ่มอื่นที่อ่อนแอกว่าขึ้นมาด้วย ช่วยกัน ให้คำปรึกษาแนะนำ สังคมถึงจะร่วมกันพัฒนาเจริญไปด้วยกัน ดีกว่าก่นด่ากัน

ส่วนนักเรียนกลุ่ม มหิดลวิทยานุสรณ์ กำเนิดวิทย์ วมว. และ รร.ชั้นนำ สังกัด สพฐ.ในกรุงเทพ และภูมิภาค อันนี้ไม่น่าเป็นห่วง เพราะผู้ปกครอง และเด็ก เป็นหัวกะทิของประเทศอยู่แล้ว

จะบอกตรงนี้ว่าปัจจุบันจำนวนนักเรียนไทยสายวิทยาศาสตร์ที่เก่งๆ เยอะมากมาย ตามรร.ชั้นนำข้างต้น ด้วยนโยบายข้างต้น เราเลยผลิตบุคลากรด้านนี้ได้มากมาย

***ลองไปดูการแข่งขันคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ ระดับนานาชาติประเทศไทย กวาดเหรียญรางวัลมาทุกปี ใช่อาจจะกลุ่มเดียว แต่จะมองเห็นศักยภาพเด็กของประเทศ ว่าไม่ด้อย ถ้าขยันพอ

ถ้าเอาจำนวนเด็ก ที่เด่นด้านวิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ไปวัดกับสิงคโปร์ เราจะเหนือกว่าด้วยซ้ำ แต่พอวัดตามสัดส่วนประชากร เราจึงแพ้หลายประเทศ

ดังนั้น เชื่อในที่นี้ว่าเด็กที่อันดับไม่ดี ไม่ใช่เริ่มที่ตัวเด็ก เริ่มที่ผู้ปกครองก่อนเลย อย่าพูดว่าเด็กสมัยนี้มีมือถือเครื่องเดียวมันเก่งแล้ว เด็กจะรู้กว่าผู้ปกครองได้ยังไง

ผู้ปกครอง คือ คนที่ช่วยกันสร้างประเทศ ในโอกาสแรกให้เด็ก

ปล.นี่คือ การวัดด้าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ เป็นหลัก

ตอนเช้า ผมเห็น ดร.คนนึง เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัยดัง สามย่าน และเป็นอดีต สส.

โพสต์สะใจกับเรื่องนี้

ผมถามว่า เข้าใจเรื่องนี้ดีแล้วเหรอ

ดูเนื้อในหรือยัง ?

จากคนจิตอาสาแนะแนวด้านการศึกษา เพราะรู้ว่าเรื่องการศึกษาคือ การสร้างอนาคตประเทศ สร้างโอกาสให้คนบ้านนอกแบบผม มีโอกาสในการทำมาหากิน

‘สอวน.’ ร่วมยินดี ‘นักเรียนสายวิทย์’ ชั้น ม.ต้น กวาดเหรียญเพียบ จากการแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 20

เมื่อวันที่ 9 ธ.ค. 66 ศาสตราจารย์กิตติคุณ นายแพทย์ จรัส สุวรรณเวลา รองประธานมูลนิธิส่งเสริมโอลิมปิกวิชาการ และพัฒนามาตรฐานวิทยาศาสตร์ศึกษา ในพระอุปถัมภ์สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนา กรมหลวงนราธิวาสราชนครินทร์ (สอวน.), รศ.ดร.พินิติ รตะนานุกูล เลขาธิการมูลนิธิ สอวน. และ รศ.เย็นใจ สมวิเชียร กรรมการและเหรัญญิกมูลนิธิ สอวน. ร่วมแสดงความยินดีกับผู้เข้าแข่งขันวิทยาศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น ครั้งที่ 20 (20th IJSO) ณ ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมแกรนด์ ฟอร์จูน กรุงเทพ ซึ่งการแข่งขันในครั้งนี้มีประเทศเข้าร่วม 55 ประเทศ จำนวน 497 คน (นักเรียนและอาจารย์ควบคุมทีม)
.
🏅ผลการแข่งขัน ‘20th IJSO’ ประเทศไทยได้รับ 4 เหรียญทอง 2 เหรียญเงิน และยังได้รับรางวัลคะแนนปฎิบัติการสูงสุด ประเภททีม อันดับ 2 ได้แก่…
.
💐ด.ญ.อิ่มสุข พูนวศิน โรงเรียนร้อยเอ็ดวิทยาลัย 🥇รางวัลเหรียญทอง และคะแนนปฎิบัติการ สูงสุด ประเภททีม อันดับ 2
.
💐ด.ช.ณัฐนันท์ เจนยงศักดิ์ โรงเรียนแสงทองวิทยา 🥇รางวัลเหรียญทอง และคะแนนปฎิบัติการ สูงสุด ประเภททีม อันดับ 2
.
💐ด.ช.ปัญญ์ แซ่จาง โรงเรียนแสงทองวิทยา 🥇รางวัลเหรียญทอง และคะแนนปฎิบัติการ สูงสุด ประเภททีม อันดับ 2
.
💐ด.ช.สิรวิชญ์ มุสิกะโสภณ โรงเรียนบดินทรเดชา (สิงห์ สิงหเสนี)🥇เหรียญทอง🥇
.
💐ด.ช.ปัณณ์ เจนกุลประสูตร โรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย🥈เหรียญเงิน🥈
.
💐ด.ช.ชนธรร พฤมนตร์ โรงเรียนแสงทองวิทยา🥈เหรียญเงิน🥈
.
อาจารย์ผู้ควบคุมทีม
1.) รศ.ดร.ชัชวาล ใจซื่อกุล (จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย)
2.) รศ.ดร.กิตติวิทย์ มาแทน (มหาวิทยาลัยมหิดล)
3.) ผศ.ดร.นันทิชา ลิ้มชูวงศ์ (มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)
.
อาจารย์สังเกตการณ์
1.) ผศ.ดร.สุจินต์ สุวรรณะ (มหาวิทยาลัยมหิดล)

‘NASA’ เร่งพัฒนา ‘หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์’ ทำงานเสี่ยงภัยในอวกาศ ช่วยทุ่นแรงงานอันตราย-มนุษย์สามารถโฟกัสภารกิจได้เต็มที่

(10 ม.ค. 67) ข่าวต่างประเทศรายงานว่า ในภารกิจสำรวจและวิจัยของมนุษย์อย่างเราในพื้นที่อวกาศนั้น ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงอันตรายอย่างมาก เพราะในพื้นที่อวกาศไม่มีอากาศให้หายใจ และยังมีรังสีมากมายที่เป็นอันตรายต่อร่างกายของเรา

เพื่อลดความเสี่ยงในภารกิจต่างๆ ในพื้นที่นอกโลก องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ NASA จึงได้มีการพัฒนา ‘หุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์’ (Humanoid robot) หรือ หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ เพื่อส่งไปใช้งานบนอวกาศในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า ซึ่งจะช่วยลดงานของมนุษย์อวกาศในสภาพแวดล้อมที่เสี่ยงอันตรายของอวกาศอันกว้างใหญ่

ผู้เชี่ยวชาญด้านหุ่นยนต์ของ NASA กล่าวว่า หากการพัฒนาสำเร็จ ในอนาคตหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ หรือหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ จะสามารถช่วยมนุษย์ทำงานที่มีความเสี่ยงในพื้นที่อวกาศได้ เช่น ทำความสะอาดแผงโซลาร์เซลล์นอกอวกาศ ช่วยตรวจสอบอุปกรณ์ที่ทำงานผิดปกตินอกยานอวกาศ ซึ่งจะช่วยลดความเสี่ยงให้กับมนุษย์อวกาศได้อย่างมาก

ก่อนหน้านี้ นอกจากหุ่น ’วัลคิรี’ ที่กำลังพัฒนา NASA เคยส่งหุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ไปยังอวกาศมาแล้ว คือ โรโบนอส ทู (Robonaut 2) หุ่นยนต์คล้ายมนุษย์ตัวแรกที่เข้าสู่อวกาศ โดยหุ่นยนต์ได้ถูกส่งขึ้นไปยังสถานีอวกาศนานาชาติ ในปี มีหน้าที่ช่วยงานพื้นฐาน เช่น ช่วยประสานการควบคุม ช่วยวัดการไหลของอากาศ ก่อนจะถูกส่งกลับมายังโลกในปี 2018

ในการพัฒนาหุ่นยนต์ฮิวแมนนอยด์ ของ NASA ทางทีมวิศวกรได้ให้ข้อมูลว่า ไม่ได้พยายามทำให้หุ่นยนต์มาทำงานแทนมนุษย์ แต่อยากให้งานที่อันตราย หรืองานน่าเบื่อให้หุ่นยนต์ทำแทนในพื้นที่อวกาศ เพื่อให้มนุษย์อวกาศที่ออกไปทำภารกิจนอกโลก มีเวลาที่จะสามารถทำภารกิจต่างๆ ได้อย่างเต็มที่ เพราะนอกอวกาศนั้นมีทรัพยากรในการอาศัยและเดินทางที่จำกัด

‘รายงาน’ ชี้!! นวัตกรรม ‘วิทย์-เทคโนฯ’ เอเชีย ไม่ธรรมดา มีสถานะมั่นคง ไม่แตกต่างจากชาติตะวันตกอีกแล้ว

(12 ม.ค. 67) สำนักข่าวซินหัวรายงานผลจากการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว (BFA) ระบุว่า ในฐานะศูนย์กลางนวัตกรรมที่สำคัญแห่งหนึ่งระดับโลก สถานะของเอเชียในแวดวงนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีของโลกมีความมั่นคงยิ่งขึ้น

หลี่เป่าตง เลขาธิการของการประชุมฯ กล่าวว่า ทวีปเอเชียมีอิทธิพลในด้านนวัตกรรมและการพัฒนาของโลกมาอย่างยาวนาน ด้วยความรุ่มรวยของทรัพยากรทางปัญญาและประเพณีนวัตกรรมอันมีฐานที่มั่นคง

หลี่กล่าวว่ากลุ่มประเทศเอเชียกำลังก้าวตามทันนานาประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือในหลากหลายด้านสำคัญ ท่ามกลางการปฏิวัติทางเทคโนโลยีครั้งใหม่ อีกทั้งกำลังเติบโตอย่างรวดเร็วทั้งในแง่ปริมาณ คุณภาพ และระดับเชิงอุตสาหกรรมของนวัตกรรม

หลี่ เสริมว่า นวัตกรรมทางเทคโนโลยีของจีนในด้านการดูแลสุขภาพ, ชีวเภสัชกรรม, พลังงานใหม่, เทคโนโลยีคาร์บอนต่ำ, วัสดุใหม่ และการผลิตขั้นสูง จัดอยู่ในอันดับต้นๆ ของโลกทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ พร้อมระบุว่าเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียตะวันออกได้ลดช่องว่างความแตกต่างกับทวีปยุโรป

รายงานดัชนีนวัตกรรมโลก ปี 2023 ที่เผยแพร่โดยองค์การทรัพย์สินทางปัญญาโลก ระบุว่าประเทศเอเชีย 5 แห่ง ได้แก่ สิงคโปร์, จีน, เกาหลีใต้, ญี่ปุ่น และอิสราเอล ติดอันดับเป็นส่วนหนึ่งในกลุ่ม 15 ประเทศที่มีนวัตกรรมมากที่สุดในโลก

อนึ่ง รายงานนวัตกรรมการประชุมเอเชียโป๋อ๋าว ปี 2023 ที่เผยแพร่เมื่อวันพุธ (10 ม.ค.) ในนครกว่างโจวของจีน รวบรวมโดยสถาบันการประชุมฯ และมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีเซาธ์ ไชน่า


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top