Sunday, 28 April 2024
ลักพาตัว

ย้อนอดีต ‘อโนชา ปันจ้อย’ 44 ปีแห่งการหายตัวของหญิงไทย ผู้ถูกสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัว

รัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับอย่างเป็นทางการจากว่าชาวญี่ปุ่นเพียง 17 คน (ชาย 8 คนและหญิง 9 คน) ถูกลักพาตัวไป

เรื่องของ อโนชา ปันจ้อย หญิงสาวชาวไทย ผู้ซึ่งถูกสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัวไปจากอาณานิคมมาเก๊าของโปรตุเกส เมื่อวันที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2521 (วันนี้เมื่อ 44 ปีก่อน) เห็นชื่อเรื่องแล้วผู้อ่านหลายๆ ท่านคงจะสงสัยว่า เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับคนไทยด้วยหรือ เพราะข่าวส่วนใหญ่มักเกิดกับคนญี่ปุ่น โดยเฉพาะในระหว่าง ปี พ.ศ. 2520 ถึง 2526 แม้ว่ารัฐบาลญี่ปุ่นยอมรับอย่างเป็นทางการว่า มีชาวญี่ปุ่นเพียง 17 คน (ชาย 8 คนและหญิง 9 คน) ถูกลักพาตัวไป แต่ในความเป็นจริงแล้วอาจมีชาวญี่ปุ่นอีกหลายร้อยคนที่ถูกสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัว ในเดือนกันยายน พ.ศ. 2545 รัฐบาลเกาหลีเหนือยอมรับว่า ได้ทำการลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่น และขอโทษ ในขณะเดียวกันก็สัญญาว่าจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีก

รัฐบาลเกาหลีเหนือยอมรับว่า ได้ทำการลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่นไป 13 คน

แม้ว่า ในเดือนตุลาคมปีนั้นผู้ที่ถูกลักพาตัวชาวญี่ปุ่นห้าคนจะได้เดินทางกลับญี่ปุ่น แต่ผู้ถูกลักพาตัวชาวญี่ปุ่นที่เหลือรัฐบาลเปียงยางยังไม่ได้ให้คำอธิบายใด ๆ ที่ยอมรับได้อีกเลย ถึงแม้ว่า เกาหลีเหนือจะมีพันธะสัญญาอย่างชัดเจนจากการประชุมสุดยอดผู้นำญี่ปุ่น-เกาหลีเหนือเมื่อเดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2547 เพื่อดำเนินการสอบสวนโดยละเอียดในทันทีในการตรวจสอบจำนวนชาวญี่ปุ่นที่ถูกลักพาตัวทั้งหมด 

การยืนยันของเกาหลีเหนือเกี่ยวกับประเด็นการลักพาตัวนั้น เกาหลีเหนือไม่ได้ให้หลักฐานที่น่าพอใจหรือที่น่าเชื่อใดๆ ดังนั้นรัฐบาลญี่ปุ่นจึงไม่ยอมรับ 

สำหรับการลักพาตัวพลเมืองญี่ปุ่นนั้น ทางรัฐบาลญี่ปุ่นถือเป็นปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับอำนาจอธิปไตยของญี่ปุ่น ชีวิตและความปลอดภัยของพลเมืองญี่ปุ่น หากไม่มีการแก้ไขปัญหานี้ ความสัมพันธ์ระหว่างญี่ปุ่นกับเกาหลีเหนือก็จะยังไม่ถือว่าเป็นปกติ 

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลญี่ปุ่นให้คำมั่นแก่ชาวญี่ปุ่นที่จะพยายามอย่างที่สุดในการติดตามและนำผู้ถูกลักพาตัวทั้งหมดกลับมายังประเทศญี่ปุ่นโดยเร็วที่สุด และรัฐบาลเกาหลีเหนือได้ยอมรับอย่างเป็นทางการว่า ได้ลักพาตัวชาวญี่ปุ่นไป 13 คน

ชาวเกาหลีใต้ชุมนุมเรียกร้องให้รัฐบาลช่วยเหลือผู้ที่ถูกลักพาตัวชาวเกาหลีใต้ระหว่างสงครามเกาหลีกว่าแปดหมื่นคน

มาที่ด้านของเกาหลีใต้ ผู้ที่ถูกลักพาตัวชาวเกาหลีใต้โดยเกาหลีเหนือ แบ่งออกเป็นสองกลุ่มได้แก่ 1.) ผู้ที่ถูกลักพาตัวในระหว่างช่วงสงครามเกาหลี และ 2.) ผู้ที่ถูกลักพาตัวหลังจากสงครามเกาหลี โดยในช่วงระหว่างสงครามเกาหลี มีชาวเกาหลีใต้ประมาณ 84,532 คนถูกนำตัวไปยังเกาหลีเหนือ ส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีการศึกษาหรือมีทักษะอยู่แล้ว เช่น นักการเมือง ข้ารัฐการ นักวิชาการ นักการศึกษา แพทย์ ผู้พิพากษา นักข่าว หรือนักธุรกิจ ตามคำให้การของสมาชิกในครอบครัวที่เหลืออยู่ การลักพาตัวส่วนใหญ่ถูกจับกุมโดยทหารเกาหลีเหนือซึ่งมีชื่อเฉพาะและบัตรประจำตัวของผู้ที่ถูกลักพาตัวอยู่ในมืออยู่แล้วเมื่อพวกเขามาปรากฏตัวที่บ้าน อันเป็นข้อบ่งชี้ว่า การลักพาตัวเกิดขึ้นโดยเจตนาและเป็นไปในลักษณะที่มีความเป็นระบบ 

สาธุคุณ Kim Dong-shik (ผู้จัดตั้งที่พักพิงในจีนสำหรับชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์) หนึ่งในผู้ที่ถูกลักพาตัว

นับตั้งแต่ข้อตกลงสงบศึกเกาหลีในปี พ.ศ. 2496 เกาหลีเหนือได้ทำการลักพาตัวชาวเกาหลีใต้ราว 3,800 คน (ส่วนใหญ่ในช่วงปลายทศวรรษ 1970) ชาวเกาหลีใต้ที่ถูกสายลับเกาหลีเหนือลักพาตัวในดินแดนเกาหลีใต้หรือต่างประเทศหลังจากการสงบศึกลงนามในปี พ.ศ. 2496 เป็นที่รู้จักในชื่อเรียกว่า “ผู้ถูกลักพาตัวหลังสงคราม” โดยส่วนใหญ่จะถูกจับในขณะตกปลาใกล้เขตปลอดทหารเกาหลี (DMZ) แต่บางคนถูกลักพาตัวโดยสายลับเกาหลีเหนือในเขตเกาหลีใต้ที่ลึกเข้ามา 

เกาหลีเหนือยังคงลักพาตัวชาวเกาหลีใต้อย่างต่อเนื่องในยุค 2000 ดังที่เห็นได้จากกรณีของสาธุคุณ Kim Dong-shik (ผู้จัดตั้งที่พักพิงในจีนสำหรับชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์) ซึ่งถูกลักพาตัวไปเมื่อวันที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2543 และ Jin Gyeong-suk ชาวเกาหลีเหนือที่แปรพักตร์ไปอยู่ยังเกาหลีใต้ ซึ่งถูกลักพาตัวไปเมื่อวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2547 ขณะที่เธอกลับไปยังเขตชายแดนจีน-เกาหลีเหนือโดยใช้หนังสือเดินทางเกาหลีใต้ ซึ่งในปี พ.ศ. 2549 ชาวเกาหลีใต้จำนวน 489 คนยังคงไม่ได้รับการปล่อยตัว 

ย้อนรอยคดีดัง!! สามคนร้ายลักพาตัวเด็กนักเรียนใน Chowchilla หวังเรียกค่าไถ่ ก่อนฝังเหยื่อ ๒๗ รายทั้งเป็น

วันที่ ๑๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ผู้ปกครองของเด็ก ๒๖ คนในเมืองชนบท Chowchilla มลรัฐแคลิฟอร์เนียต้องเผชิญกับฝันร้ายที่เลวร้ายที่สุดเมื่อลูก ๆ ของพวกเขาหายตัวไป รถโรงเรียนซึ่งมีเด็กนักเรียนอายุระหว่าง ๕ ถึง ๑๔ ปี หายไปอย่างลึกลับระหว่างกลับจากทัศนศึกษาในช่วงฤดูร้อน 

โดยเวลาราว ๑๖.๓๐ น. ขณะที่ รถโรงเรียนที่ขับโดย Frank Edward ‘Ed’ Ray วัย ๕๕ ปี กำลังขับรถพาเด็ก ๆ กลับนั้น ทันใดก็มีรถตู้สีขาวขับปาดหน้ารถโรงเรียนจนต้องจอดกลางถนน ชายสองคนสวมหมวกคลุมศีรษะและถือปืนลูกซองตัดลำกล้องปีนขึ้นไปบนรถโรงเรียน คนหนึ่งควบคุมตัว Ray ไว้ ในขณะที่อีกคนเข้าควบคุมรถ ส่วนชายคนที่สามรออยู่ในรถตู้ที่จอดขวางอยู่

รถบรรทุกที่ใช้ขังเหยื่อถูกฝังไว้ใต้ดินลึก ๑๒ ฟุต

หลังจากขับรถพาเหยื่อออกเดินทางเป็นระยะทางสั้น ๆ คนร้ายสามคนก็จอดรถโรงเรียนไว้ในบริเวณที่เรียกว่า ลำธาร Berenda อันเป็นลำธารสาขาที่แห้งขอดของแม่น้ำ Chowchilla ซึ่งล้อมรอบด้วยพุ่มไม้สูง โดยมีรถตู้อีกคันจอดรอไว้อยู่แล้ว พวกเขาสั่งให้ Ray และเด็ก ๆ ขึ้นไปด้านหลังของรถตู้ทั้งสองคัน ซึ่งดัดแปลงมาจากรถขนนักโทษของเรือนจำ หน้าต่างทาสีดำ และด้านในบุด้วยไม้ระแนงเพื่อกันไม่ให้เด็ก ๆ มองเห็นหรือได้ยินเสียง จากนั้นคนร้ายทั้งสามก็ได้ขับรถตู้สองคันวนไปมาราว ๑๑ ชั่วโมง ในที่สุดก็หยุดจอดที่เหมืองหินที่อยู่ห่างออกไปราว ๑๐๐ ไมล์ในเมือง Livermore พวกเขาบังคับ Ray และเด็กๆ ทุกคนปีนลงบันได และให้เข้าไปในรถบรรทุกซึ่งถูกฝังไว้ใต้ดินลึก ๑๒ ฟุต ซึ่งมีอาหารและน้ำจำนวนเล็กน้อยและฟูกนอนอีกนิดหน่อย

เด็ก ๆ ที่เป็นเหยื่อส่วนหนึ่งกับ Frank Edward ‘Ed’ Ray คนขับรถโรงเรียน

Ray รู้ว่า เขาและเด็ก ๆ คงอยู่ได้อีกไม่นานถ้าอากาศหมด ซ้ำหลังคารถบรรทุกก็ยุบตัวลงมา Ray และบรรดาเด็กโตก็ได้ช่วยกันวางฟูกที่นอนเพื่อให้เอื้อมถึงช่องเปิดที่ด้านบนของหลังรถบรรทุก ซึ่งถูกวางทับด้วยแผ่นโลหะที่หนักมากและแบตเตอรี่อุตสาหกรรมขนาด ๔๕ กิโลกรัมอีกสองลูก 

หลังจากใช้ความพยายามอยู่หลายชั่วโมง Ray และ Michael Marshall เด็กชายที่โตที่สุดวัย ๑๔ ปี ก็สามารถใช้เศษไม้งัดช่องเปิดออก แล้วย้ายแบตเตอรี่จนพ้นช่องเปิด จากนั้นพวกเขาก็ขุดเศษซากสิ่งของที่ปิดทางออกที่เหลือ สิบหกชั่วโมงหลังจากที่ถูกบังคับให้เข้าไปในรถบรรทุก พวกเขาก็สามารถหนีออกมาได้ และพากันเดินไปยังกระท่อมยามของเหมือง ซึ่งอยู่ใกล้กับอุทยาน Shadow Cliffs 

สามคนร้ายจากซ้าย Frederick Newhall Woods IV พี่น้อง James และ Richard Schoenfeld

Frederick Newhall Woods IV ลูกชายเจ้าของเหมืองหิน วัย ๒๔ ปี ตกเป็นผู้ต้องสงสัยอย่างรวดเร็ว เพราะเป็นหนึ่งในคนที่มีกุญแจของเหมืองหินแห่งนั้น และสามารถเข้าไปในเหมืองได้ลึกมากพอที่จะฝังรถบรรทุกไว้ที่นั่น เขากับเพื่อนอีกสองคน พี่น้อง James และ Richard Schoenfeld (อายุ ๒๔ และ ๒๒ ปี) เคยถูกตัดสินว่า มีความผิดฐานขโมยรถยนต์ ซึ่งพวกเขาถูกตัดสินลงโทษโดยการถูกคุมประพฤติ มีการออกหมายค้นที่ดินของพ่อของ Woods แล้วตำรวจก็พบอาวุธปืนหนึ่งกระบอกที่ใช้ในการลักพาตัว เช่นเดียวกับร่างจดหมายเพื่อเรียกค่าไถ่ แต่คนร้ายทั้งสามหนีไปแล้ว

สองสัปดาห์ต่อมาหลังจากการลักพาตัว Woods ถูกจับตัวได้ในนคร Vancouver มณฑล British Columbia ประเทศแคนาดา James Schoenfeld ถูกจับในวันเดียวกันที่ Menlo Park มลรัฐแคลิฟอร์เนีย ขณะที่ Richard Schoenfeld สมัครใจมอบตัวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจแปดวันหลังจากการก่อเหตุลักพาตัว


สภาพของรถบรรทุกที่ใช้ขังเหยื่อถูกฝังไว้ใต้ดินลึก ๑๒ ฟุต หลังจากถูกขุดขึ้นมา 

ผู้ลักพาตัวไม่สามารถติดต่อเรียกค่าไถ่จำนวน ๕ ล้านดอลลาร์ (เทียบเท่ากับ ๒๓.๘ ล้านดอลลาร์ในปี พ.ศ. ๒๕๖๔) เนื่องจากโทรศัพท์ของสถานีตำรวจ Chowchilla ไม่ว่างเลย ด้วยสายเข้าจากโทรศัพท์ของสื่อและครอบครัวที่ตามข่าวลูก ๆ ของพวกเขา ในตอนดึกของวันที่ ๑๖ กรกฎาคม รายงานข่าวทางโทรทัศน์ก็แจ้งว่า เหยื่อสามารถหลบหนีออกมาได้โดยปลอดภัยแล้ว 

ในภายหลัง James Schoenfeld เล่าว่า แม้จะเขามาจากครอบครัวที่มีฐานะร่ำรวย แต่ทั้งเขา Richard และ Woods ต่างก็มีหนี้สินมากมาย “เราต้องลักพาเหยื่อหลายรายเพื่อให้ได้เงินหลายล้าน และเราตัดสินใจเลือกเด็ก เพราะเด็กมีค่าเสมอ รัฐยินดีจ่ายค่าไถ่สำหรับพวกเขา และเด็ก ๆ มักจะไม่ต่อสู้ขัดขืน อ่อนแอ และเอาแต่ใจ" ผู้กระทำความผิดทั้งสามสารภาพว่า ได้ปล้นรถ และลักพาตัวเด็ก ๆ เพื่อเรียกค่าไถ่ แต่ปฏิเสธที่จะสารภาพว่า ได้ทำร้ายร่างกายเด็ก ๆ เนื่องจากเชื่อว่าการถูกดำเนินคดีในข้อหานั้นร่วมกับข้อหาลักพาตัวจะมีโทษถึงจำคุกตลอดชีวิตโดยไม่ต้องรอลงอาญา หรือไม่ได้รับทัณฑ์บนเพื่อลด/พักโทษในภายหลัง 

พวกเขาถูกดำเนินคดีในข้อหาทำร้ายร่างกายด้วย และถูกตัดสินว่า มีความผิดและได้รับโทษจำคุก แต่ศาลอุทธรณ์ได้กลับคำพิพากษาของพวกเขาโดยพบว่าอาการบาดเจ็บทางร่างกายของเด็ก ๆ (ส่วนใหญ่บาดแผลและรอยฟกช้ำ) ไม่เป็นไปตามเกณฑ์การทำร้ายร่างกายภายใต้กฎหมาย

‘ตร.’ รวบ 3 ผู้ต้องสงสัย บุกอุ้มสาว ป.โท เรียกค่าไถ่ 3 ล้าน เผย 1 ใน 3 คือ เพื่อนของผู้เสียหาย ทำหน้าที่เป็นนกต่อ!!

(19 มี.ค. 66) จากกรณี หญิงสาว อายุ 23 ปี สัญชาติจีน ซึ่งเป็นนักท่องเที่ยวและนักศึกษา ระดับชั้นปริญญาโท เดินทางเข้าแจ้งความกับเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ สน.ทองหล่อ ว่า ถูกกลุ่มคนร้ายเป็นชายอุ้มขึ้นรถตู้อัลพาร์ด สีดำ ขณะเดินออกจากร้านอาหารย่านเอกมัย เมื่อวันที่ 16 มี.ค.ที่ผ่านมา ตามที่เสนอข่าวไปแล้วนั้น

ล่าสุดเมื่อเวลา 08.00 น. วันที่ 19 มี.ค. 2566 พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) พร้อมด้วย พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น. ดูแลงานสืบสวน, พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น และ พล.ต.ต.ธวัชเกียรติ จินดาควรสนอง ผบก.น.5 สั่งการให้ชุดสืบสวนนครบาล พร้อมด้วยชุดสืบสวนนครบาล 5 และ สน.ทองหล่อ เร่งติดตามจับกุมคนร้ายที่ก่อเหตุดังกล่าว

‘แก๊งคอลเซ็นเตอร์’ ลวงนักศึกษาจีน เดินทางข้ามประเทศ จากสิงคโปร์มาเขมร เพื่อจับตัวไปเรียกค่าไถ่ 3 ล้านหยวน!!

แก๊งคอลเซ็นเตอร์ นับวันยิ่งมีกลยุทธเหนือเมฆขึ้นทุกวัน ล่าสุดสามารถหลอกเหยื่อให้เดินทางข้ามประเทศมาให้จับตัวเรียกค่าไถ่กันเลยทีเดียว

เมื่อไม่นานนี้ หน่วยงานด้านการบังคับใช้กฎหมายในหลายประเทศ และสถานทูตจีนในสิงคโปร์ ได้รับแจ้งเหตุการลักพาตัวเรียกค่าไถ่ของนักศึกษาจีนคนหนึ่ง ที่กำลังเรียนในสิงคโปร์ ว่าเขาถูกจับตัวเรียกค่าไถ่เป็นเงินสูงถึง 3 ล้านหยวน (ประมาณ 14.4 ล้านบาท) โดยกลุ่มมิจฉาชีพในกัมพูชา

เหตุเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 2 มิถุนายน 2566 ที่ผ่านมา นักศึกษาจีนรายนี้ได้รับโทรศัพท์ปริศนา อ้างว่าเขากำลังถูกตามจับโดยรัฐบาลจีน และควรหลบหนีออกจากสิงคโปร์เพื่อซ่อนตัว

ด้วยความกลัว นักศึกษาจีนขอความช่วยเหลือจากปลายสาย และได้รับคำแนะนำให้เดินทางมายังสีหนุวิลล์ เมืองชายฝั่งชื่อดังของกัมพูชา โดยจะมีคนช่วยหาที่หลบซ่อนตัวให้

นักศึกษาจีนหลงเชื่อ รีบจับเครื่องบินจากสิงคโปร์ ไปลงที่สีหนุวิลล์ทันที และถูกแก๊งมิจฉาชีพจับตัวไปขัง พร้อมถ่ายคลิปวิดีโอเรียกค่าไถ่จำนวน 3 ล้านหยวน ส่งไปให้พ่อแม่ของเขาที่ประเทศจีน

แต่เมื่อครอบครัวของนักศึกษาจีนผู้เคราะห์ร้ายได้รับคลิปวิดีโอข้อความเรียกค่าไถ่ พวกเขารีบแจ้งตำรวจทันที ซึ่งทางการจีนก็ประสานงานไปยังสถานทูตจีนในกรุงพนมเปญ ให้ติดต่อเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นในการตามล่าจับตัวคนร้าย และสามารถช่วยเหลือนักศึกษาจีนที่ถูกลักพาตัวได้อย่างปลอดภัยโดยไม่มีการจ่ายเงินค่าไถ่

ปฏิบัติการครั้งนี้ ต้องใช้เจ้าหน้าที่หลายภาคส่วนทั้ง จีน กัมพูชา และสิงคโปร์ กว่าจะจับกุมแก๊งมิจฉาชีพคอลเซ็นเตอร์ และช่วยเหลือเหยื่อออกมาได้ ต่อมา สถานทูตจีนในสิงคโปร์ได้ออกประกาศเตือนนักศึกษา และ ชาวจีนในสิงคโปร์ ให้ระวังอย่าหลงเชื่อแก๊งคอลเซ็นเตอร์ข้ามประเทศ

ทางการสิงคโปร์ย้ำว่า เจ้าหน้าสิงคโปร์ไม่เคยขอข้อมูลส่วนตัวทางโทรศัพท์ และไม่ควรเปิดเผยชื่อ ที่อยู่ สถานะครอบครัว หรือเลขบัญชีธนาคารกับคนที่เราไม่รู้จักทางโทรศัพท์โดยเด็ดขาด

ในปัจจุบันแก๊งคอลเซ็นเตอร์ระบาดหนักในภูมิภาคอาเซียน ซึ่งจากข้อมูลของหน่วยงานด้านคดีค้ามนุษย์และลักลอบเข้าเมืองของตำรวจสากล พบว่ากลุ่มมิจฉาชีพเหล่านี้เริ่มมองหาเหยื่อที่เป็นกลุ่มที่มีการศึกษาดี จบระดับมหาวิทยาลัยมากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มที่เชี่ยวชาญด้าน IT หรือสนใจเรื่องเทคโนโลยี ที่มักถูกหลอกไปลงทุนในธุรกิจคริปโตเคอร์เรนซี แชร์ลูกโซ่ หรือเล่นพนันออนไลน์

ในปี 2022 ที่ผ่านมา มีคดีที่เกี่ยวข้องกับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในสิงคโปร์มากถึง 771 เคส ที่รวมมูลค่าความเสียหายมากกว่า 97.6  ล้านเหรียญสิงคโปร์ และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และมักพบว่าแก๊งมิจฉาชีพเหล่านี้ฝังตัวอยู่ในกัมพูชา ลาว และ พม่า

มาคราวนี้ หลอกลักพาตัวข้ามชาติกันไปเลย แต่ยังโชคดีที่สามารถติดตามตัวช่วยเหลือได้ทันท่วงที เพราะหลายครั้ง เหยื่อที่ถูกลักพาตัวมักถูก กักขัง ทำร้ายร่างกาย หรือล่วงละเมิดทางเพศ 

ดังนั้น เราจึงไม่ควรหลงเชื่อปลายสายที่เราไม่รู้จัก หรือติดต่อเข้ามาด้วยหมายเลขแปลกๆ หากสงสัย หรือรู้ตัวว่าอาจถูกหลอก ควรรีบแจ้งตำรวจก่อนจะทรัพย์จะหายจนสายเกินแก้
 

‘ผอ.โรงพยาบาลในจีน’ ขายสูติบัตรปลอมให้แก๊งลักเด็ก เจอสาวประวัติ ‘เปิดอุ้มบุญผิด กม. - ส่อเอี่ยวค้ามนุษย์’

เมื่อไม่นานมานี้ สำนักข่าวโกลบอลไทมส์รายงานว่า ตำรวจเมืองเซี่ยงหยาง มณฑลหูเป่ย ของจีนรวบตัวแพทย์หญิงผู้อำนวยการโรงพยาบาลเจี้ยนเฉียว หลังจากพบหลักฐานขายสำเนาสูติบัตรปลอมสำหรับใช้ในการจดทะเบียนบ้านให้เด็กซึ่งถูกลักพาตัว เพื่อฟอกตัวตนของเด็กไม่ให้พ่อแม่ที่แท้จริงตามหาลูกเจอ

แพทย์หญิงแซ่เย่ ลอบขายสำเนาสูติบัตรพร้อมบันทึกการฉีดวัคซีนรวม 5 ชุดในปีนี้ รับทรัพย์เข้ากระเป๋ากว่า 6 หมื่นหยวน (ราว 3 แสนบาท) ต่อหนึ่งชุด เย่กับพวกอีก 6 คนถูกตำรวจควบคุมตัวเพื่อสอบปากคำเพิ่มเติม โดยตำรวจพบเครือข่ายเชื่อมโยงอีกมากมาย และอาจเป็นการสมรู้ร่วมคิดกับแก๊งค้ามนุษย์ 

นายซ่างกวน เจิ้งอี้ว์ นักต่อต้านการค้ามนุษย์ชื่อดังเปิดเผยกับสื่อสังคมออนไลน์เมื่อสัปดาห์ก่อนว่า เขาแอบสืบความไม่ชอบมาพากลอยู่นานหนึ่งปี โดยเขาแกล้งแต่งข้อมูลเกี่ยวกับทารกขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อล่อซื้อสูติบัตรและเอกสารอื่น ๆ จนสำเร็จด้วยเงิน 9 หมื่น 6 พันหยวน (ราว 4 แสน 8 หมื่นบาท) เอกสารมีข้อมูลจัดเตรียมให้พร้อมสรรพ เช่น การตรวจครรภ์ก่อนคลอด การพักในโรงพยาบาล การคลอดบุตร และวันเวลาในการฉีดวัคซีน ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการรับเป็นบุตรเสร็จเรียบร้อยภายใน 7 วัน มีอยู่คราวหนึ่ง เย่ยังอ้างด้วยว่า โรงพยาบาลของเธอมีบริการอุ้มบุญ ซึ่งเป็นเรื่องผิดกฎหมายบนแดนมังกร

นายซ่างกวนให้สัมภาษณ์ต่อมาอีกว่า โรงพยาบาลแห่งนี้กับนายหน้าค้ามนุษย์ยังได้ขายทารก 2 คน ซึ่งถูกพ่อแม่ทอดทิ้งให้มณฑลเสฉวนและกว่างตงในราคา 1 แสน 1 หมื่นหยวน (ราว 5 แสน 5 หมื่นบาท) และ 1 แสน 6 หมื่นหยวน (ราว 8 แสนบาท) ตามลำดับ นอกจากนั้น ยังพบโรงพยาบาลบางแห่งในเมืองหนันหนิง เขตปกครองตนเองกว่างซีจ้วงต้องสงสัยขายสูติบัตรเช่นกัน และนายหน้ายังเคลื่อนไหวอยู่ในโซเชียลมีเดีย โดยเขาได้มอบหลักฐานให้ตำรวจสืบสวนต่อไปแล้ว

จากการเปิดเผยของแหล่งข่าวใกล้ชิด สมัยเป็นแพทย์แผนกนรีเวชวิทยาและสูติศาสตร์ที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่งเมื่อปี 2553 เย่ได้ทดสอบเพศของทารกให้หญิงตั้งครรภ์ 2 คนอย่างผิดกฎหมาย และทำแท้งให้ จนถึงถูกตัดสินจำคุก 5 เดือน และปรับ 1 หมื่นหยวน

ขณะที่ทนายความชี้ พฤติกรรมของเย่เข้าข่ายการซื้อและขายเอกสารและใบรับรองของหน่วยงานรัฐ เป็นความผิดอาญา อาจมีโทษจำคุกสูงสุด 10 ปี ซึ่งขึ้นอยู่กับความรุนแรงของสถานการณ์ แต่ถ้าขายให้โดยที่รู้ว่าเด็กคนนั้นถูกลักพาตัวมาก็เข้าข่ายสมรู้ร่วมคิดกับขบวนการค้ามนุษย์ ซึ่งความผิดฐานค้าเด็กมีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปีขึ้นไป และอาจถึงขั้นประหารชีวิต

จากรายงานของสื่อมวลชน เย่เป็นรองประธานสมาคมผู้ประกอบการสตรีในเมืองเซี่ยงหยาง และเปิดบริษัทดำเนินธุรกิจเกี่ยวการทารกและการมีบุตรอยู่หลายแห่ง อีกทั้งยังได้รับมอบตำแหน่ง ‘ผู้มุ่งมั่นที่สวยที่สุด’ ซึ่งเป็นตำแหน่งกิตติมศักดิ์ของสมาพันธ์สตรีในเซี่ยงหยาง แต่ตอนนี้ถูกถอดไปเรียบร้อยแล้ว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top