Tuesday, 7 May 2024
มุสลิม

ด้วยรักและศรัทธา การจาริก ‘Arba'een’ พิธีกรรมทางศาสนาประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก จากพลังศรัทธาของชาวชีอะห์มุสลิมที่มีต่อ ‘อิหม่ามฮุเซน’

เมื่อวันที่ ๑๗ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๕ ที่ผ่านมา มีพิธีการจาริก Arba'een หรือ Arba'een Walk เป็นการแสวงบุญหรืองานชุมนุมทางศาสนาสาธารณะประจำปีที่ใหญ่ที่สุดในโลก แต่กลับมีคนรู้จักการแสวงบุญนี้น้อยเป็นอย่างมาก ทุกๆ ปีจะมีผู้คนมากกว่า ๒๐ ล้านคน เดินเท้าอย่างสงบระยะทางประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ท่ามกลางอากาศร้อนด้วยอุณหภูมิที่สูงกว่า ๔๐ องศาเซลเซียส เพื่อทำการจาริกแสวงบุญ Arba'een ไปยังสถานที่ฝังเรือนร่างของท่านอิหม่ามฮุเซน ผู้เป็นหลานรักของท่านศาสดามูฮำหมัด (ศ็อลฯ) ณ ดินแดน Karbala ประเทศอิรัก

การจาริก Arba'een เริ่มขึ้นเมื่อสิ้นสุดช่วงเวลาไว้ทุกข์ ๔๐ วันหลังวันอาชูรออ์ (ASURA) อันเป็นวันไว้อาลัยโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นต่ออิหม่ามฮุเซน บิน อะลีย์ บินอะบีฏอลิบ เนื่องจากถูกสังหารในดินแดน Karbala เมื่อวันที่ ๑๐ มุฮัรรอม ฮ.ศ. (ฮิจเราะห์ศักราช) ๖๑ ซึ่งตรงกับวันที่ ๑๐ ตุลาคม พ.ศ. ๑๒๒๓ โดยอิหม่ามฮุเซนและครอบครัวพร้อมกับบรรดาสาวกจำนวน ๗๒ คนได้ร่วมเดินทางไปยังเมือง Kufa ประเทศอิรัก (ปัจจุบันรวมเป็นส่วนหนึ่งของเมือง Najaf) เนื่องจากประชาชนที่ Kufa ได้ร้องเรียกให้อิหม่ามฮุเซนมาโค่นล้มบัลลังก์ของราชวงศ์บนีอุมัยยะฮ์ ผู้ปกครองในยุคนั้น 

โดยระหว่างการเดินทาง กองคาราวานของอิหม่ามฮุเซน ได้ไปหยุดอยู่ที่เขตที่เรียกว่า Karbala คาราวานของเขาเดินทางไปต่อไม่ได้ เนื่องจากถูกทหารของฝ่ายบนีอุมัยยะฮ์จำนวนหลายหมื่นคนได้ทำการปิดกั้น และที่สุดก็ได้สังหารอิหม่ามฮุเซนและบรรดาสาวกจนหมด 

ชาวชีอะห์มุสลิมจะไว้อาลัยอิหม่ามฮุเซนในวันอาชูรออ์ โดยการจัดพิธีกรรมต่างๆ เช่น การเล่าเรื่องอิหม่ามฮุเซนจากประวัติศาสตร์ การขอดุอาอ์ การเลี้ยงอาหารและน้ำแก่คนยากจน สถานที่จัดคือที่มัสยิดฮุซัยนียะห์

จำนวนผู้เข้าร่วมแสวงบุญประจำปีมากกว่า ๒๕ ล้านคน บนเส้นทางแสวงบุญมีอาหาร ที่พัก และบริการอื่นๆ ให้บริการฟรีโดยอาสาสมัคร ผู้แสวงบุญบางคนเดินทางจากที่ต่างๆ และจากต่างประเทศ เช่น อิหร่าน ซึ่งมีจำนวนมากที่สุด พิธีกรรมนี้ได้รับการอธิบายว่าเป็น “การแสดงความเชื่อและความเป็นปึกแผ่นอันทรงพลังอย่างท่วมท้น” 

การจาริก Arba'een ตามแบบปัจจุบันเริ่มขึ้นในปี ฮ.ศ. ๑๓๑๙ ( ค.ศ.๒๔๔๔) โดยนักวิชาการศาสนาหลายคน และ Marja ยังคงรักษาแนวทางเดียวกันในการจาริก Arba'een จนถึงสมัยของประธานาธิบดีซัดดัม การจาริกแสวงบุญจึงถูกห้ามตลอดระยะเวลาภายใต้การปกครองของเขา ด้วยตัวซัดดัมเป็นชาวสุหนี่มุสลิม และฟื้นคืนมาหลังจากการโค่นล้มซัดดัมในปี พ.ศ. ๒๕๔๖ และจำนวนผู้เข้าร่วมเพิ่มขึ้นทุกปี โดยมีผู้แสวงบุญราว ๒๕ ล้านคนในปี พ.ศ. ๒๕๕๙

'บิ๊กตู่' สั่ง วางแผนทำธุรกิจฮาลาล รองรับชาวมุสลิม เพิ่มโอกาสให้ภาคธุรกิจ - ท่องเที่ยว ขยายการลงทุน

(24 ก.พ. 66) นายอนุชา บูรพชัยศรี รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรีฝ่ายการเมือง ปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง วางแผนแนวทางการทำธุรกิจที่เกี่ยวกับการอุปโภค-บริโภคของประชากรมุสลิม หรือผู้นับถือศาสนาอิสลาม เชื่อมั่นว่าจะเป็นผลดีต่อเศรษฐกิจ และเป็นการเปิดโอกาสที่ดีให้กับภาคธุรกิจไทยได้ขยายการลงทุนเพิ่มเติมในอนาคต จากกำลังซื้อสินค้าฮาลาลที่เพิ่มมากขึ้น

นายอนุชา กล่าวว่า ผลสำรวจของ Pew Research Center คาดว่า จำนวนชาวมุสลิมทั่วโลกจะเพิ่มเป็น 2,200 ล้านคน ภายในปี 2030 หรือคิดเป็น 26.4% ของประชากรโลก ซึ่งในปัจจุบันมีถึง 49 ประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่เป็นมุสลิม

ในโอกาสนี้ นายกรัฐมนตรีได้สั่งการให้ประเมิน วางแผนแนวทางการทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับประชากรมุสลิม ซึ่งมีพฤติกรรมการบริโภค การจับจ่ายใช้สอย ที่ค่อนข้างเป็นเอกลักษณ์ เนื่องจากระเบียบข้อบังคับของศาสนา สอดคล้องกับการประเมินของ Adroit Market Research ที่คาดว่าตลาดสินค้าฮาลาลทั่วโลกจะเพิ่มจาก 7.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2020 เป็น 11.2 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในปี 2028 หรือขยายตัวเฉลี่ย 5.6% ต่อปี (https://www.adroitmarketresearch.com/industry-reports/halal-market)

นายอนุชา กล่าวว่า ข้อมูลจาก Halal Focus พบว่า ชาวมุสลิมใช้จ่ายในสินค้าประเภทอาหารมากสุด คิดเป็นสัดส่วนสูงถึง 62% ของรายจ่ายทั้งหมดในสินค้าฮาลาล รวมถึงข้อมูลจากศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์ฯ ยังพบว่า ในปี 2564 ตลาดอาหารฮาลาล และการเกษตรฮาลาลมีมูลค่า 183 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อปี หรือ 14 % ของตลาดอาหารฮาลาล และการเกษตรฮาลาลโลก โดยประเทศไทย ซึ่งพัฒนาศักยภาพวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีฮาลาลอย่างต่อเนื่อง มีส่วนแบ่งตลาดอาหารฮาลาล และการเกษตร 3.9 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ เพิ่มขึ้นคิดเป็น 15.8%

‘ลุงป้อม’ ลุยใต้ ขอบคุณ ปชช.ร่วมช่วยพัฒนาท้องถิ่น พร้อมหนุนค่าอาหารกลางวันเด็ก-ค่าจ้างครูอย่างต่อเนื่อง      

(17 มี.ค. 66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผู้ช่วยโฆษก รองนายกรัฐมนตรีไทย เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีไทย พร้อมด้วย รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหมและคณะ ได้เดินทางไปปฏิบัติราชการ ต่อเนื่องจากช่วงเช้า (จังหวัดยะลา) โดยในช่วงบ่ายได้พบปะผู้นำศาสนา และเครือข่ายโรงเรียนตาดีกา รวมถึงผู้นำท้องถิ่น ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ณ โรงเรียนประสานวิทยามูลนิธิ อำเภอยะรัง จังหวัดปัตตานี โดย พล.อ.ประวิตร ได้กล่าวขอบคุณประชาชนทุกคนที่มาให้การต้อนรับ และให้ความร่วมมือ ช่วยกันพัฒนาท้องถิ่น ภายใต้สันติสุข ในการดำรงชีวิตที่ผ่านมาเป็นอย่างดี

ซึ่ง พล.อ.ประวิตร ยังได้กล่าวเจตจำนงในการเดินทางมาพบในครั้งนี้ เพื่อต้องการส่งเสริมการดำรงชีวิตตามหลักการศาสนาของพี่น้องมุสลิม สนับสนุนค่าอาหารกลางวันตาดีกาต่อเนื่อง รวมทั้งเพิ่มจำนวนครูผู้สอนให้เหมาะสมกับสัดส่วนนักเรียน และอื่น ๆ รวมทั้งการสนับสนุนครูโรงเรียนเอกชน ให้มีสิทธิ และการเพิ่มค่าตอบแทน/ค่าเสี่ยงภัยครู และผู้บริหารด้วย

‘บิ๊กตู่’ เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงละศีลอด เดือนรอมฎอน อวยพรพี่น้องมุสลิมมีความสุข-ปลอดภัย-เจริญก้าวหน้า

นายกฯ เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงละศีลอด เดือนรอมฎอน ฮ.ศ.1444 อวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ดำรงตนเป็นคนดีของสังคม มีความอารีต่อสาธารณะ เป็นกำลังสำคัญสรรค์สร้างให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคง 

(28 มี.ค.66) ที่โรงแรมอัล มีรอซ กรุงเทพ ถนนรามคำแหง เขตสวนหลวง กรุงเทพฯ  พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เป็นเจ้าภาพงานเลี้ยงละศีลอด เดือนรอมฎอน ปี ฮ.ศ. 1444 โดยมีนายดอน ปรมัตถ์วินัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ นายอรุณ บุญชม ประธานคณะผู้ทรงคุณวุฒิจุฬาราชมนตรี เป็นผู้แทนจุฬาราชมนตรี เอกอัครราชทูตประเทศมุสลิมประจำประเทศไทย คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย และตัวแทนมุสลิมเข้าร่วมงาน 

โดยเมื่อนายกรัฐมนตรีเดินทางถึง นายชาติชาย บัลบาห์ อัญเชิญพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน จากนั้น นายกรัฐมนตรีได้กล่าวแสดงความรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานเลี้ยงละศีลอดรอมฎอนอันศักดิ์สิทธิ์ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1444 ในวันนี้ ซึ่งเป็นห้วงเวลาสำคัญทางศาสนาอิสลาม ที่พี่น้องชาวมุสลิมทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศและต่างประเทศ จะได้ร่วมกันปฏิบัติศาสนกิจอันประเสริฐยิ่งอย่างสมบูรณ์ตามหลักศาสนาที่ได้บัญญัติไว้อีกครั้ง ภายหลังสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 คลี่คลายลง ด้วยการถือศีลอดด้วยจิตใจที่มั่นคง แน่วแน่ และอดทน อันเป็นการส่งพลังแห่งศรัทธาต่อองค์พระผู้เป็นเจ้า และยังเป็นโอกาสอันดีที่พี่น้องชาวมุสลิมจะได้น้อมจิตรำลึกถึงพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานที่พระผู้เป็นเจ้าประทานมาให้ เพื่อเป็นแบบอย่างในการดำรงตนให้เป็นผู้ที่อยู่ในกรอบแห่งความดี มีความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ นำมาซึ่งความรัก ความสามัคคี และความสุขต่อตนเอง ครอบครัว และประเทศชาติ รวมถึง การจัดงานเลี้ยงละศีลอดในวันนี้ เป็นวาระโอกาสแห่งความสิริมงคลในการเริ่มต้นเดือนรอมฎอน 

นายกรัฐมนตรี กล่าวขออวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมได้ปฏิบัติศาสนกิจอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ ขอให้บรรลุผลสำเร็จตามที่ตั้งมั่นไว้ และขออานุภาพแห่งองค์อัลลอฮ์ที่พี่น้องมุสลิมทุกคนนับถือ ได้โปรดประทานพรอันประเสริฐ ความสุขสวัสดีปลอดภัย และความเจริญก้าวหน้า รวมทั้งอวยพรให้พี่น้องชาวมุสลิมมีจิตวิญญาณที่เข้มแข็ง ดำรงตนเป็นคนดีของสังคม มีความอารีต่อสาธารณะ และเป็นกำลังสำคัญในการสรรค์สร้างให้ประเทศชาติเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไป 

ผบ.ฉก.นราธิวาส เป็นผู้แทน ผอ.รมน.ภาค 4 ร่วมกิจกรรมรอมฎอนสัมพันธ์เสริมสร้างสันติสุข คืนความสุขสู่ชายแดนใต้ ประจำปีอิจเราะห์ศักราช 1444 ในพื้นที่ จ.นราธิวาส ณ มัสยิดบ้านบูกิตปาลัส

ผู้สื่อข่าวรายงาน ที่ มัสยิดบ้านบูกิตปาลัส ตำบลยี่งอ อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บัญชาการกองพลทหารราบที่ 15 / ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส เป็นผู้แทน พลโท ศานติ ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4/ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 เดินทางลงพื้นที่ร่วมกิจกรรม 'รอมฎอนสัมพันธ์' ละศีลอด (เปิดปอซอ) ในเดือนรอมฎอน ฮิจเราะห์ศักราช 1444 กับผู้นำศาสนา ผู้นำท้องที่ ผู้นำท้องถิ่น และพี่น้องประชาชนไทยมุสลิมในพื้นที่ อำเภอยี่งอ จังหวัดนราธิวาส เพื่อต้อนรับเดือนรอมฏอนอันประเสริฐ 

สร้างบรรยากาศที่ดีในห้วงของการปฏิบัติศาสนกิจ ตลอดจนสร้างสภาวะแวดล้อมให้เอื้อต่อการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้  พร้อมทั้งเพื่อสนับสนุน และส่งเสริมการปฏิบัติศาสนกิจของพี่น้องชาวไทยมุสลิมในห้วงเดือนรอมฎอน เสริมสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างหน่วยงานรัฐกับผู้นำหมู่บ้าน, ผู้นำชุมชนและผู้นำศาสนาในพื้นที่ โดยก่อนละศีลอด พลตรี เฉลิมพร ขำเขียว ผู้บังคับหน่วยเฉพาะกิจนราธิวาส และ หัวหน้าส่วนราชการได้พบปะ พูดคุยกับผู้เข้าร่วมกิจกรรม รวมทั้งร่วมกันขอพรจากพระผู้เป็นเจ้า (ขอดุอาร์) ให้ความสันติสุขเกิดขึ้นในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ บรรยากาศเป็นไปด้วยความอบอุ่น

นราธิวาส-แม่ทัพภาคที่ 4 ส่งคำอวยพรพี่น้องชาวไทยมุสลิม เนื่องในโอกาสวันฮารีรายออีฎิ้ลฟิตรี​ ฮ.ศ.1444

พลโท ศานติ  ศกุนตนาค แม่ทัพภาคที่ 4 / ผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 กล่าวอวยพร​ชาวไทยมุสลิม เนื่องในโอกาสวันฮารีรายอ​อีฎิ้ลฟิตริ ประจำปีฮิจเราะห์ศักราช 1444 “ขอแสดงความยินดีกับพี่น้องประชาชนที่นับถือศาสนาอิสลามทุกท่าน ที่ประสบความสำเร็จจากความเพียรพยายามปฏิบัติศาสนกิจถือศีลอดตลอดห้วงเดือนรอมฎอน ปีฮิจเราะห์ศักราช 1444 ที่ผ่านมา ขอให้ผลจากความอดทน และความพากเพียรของทุกท่าน จงได้รับการตอบรับ และได้รับความโปรดปรานจากองค์อัลลอฮฺ ขอให้ท่านได้รับการปลดปล่อยจากความทุกข์ทั้งปวง มีสุขภาพร่างกายที่สมบูรณ์แข็งแรง มีอายุยืนยาว เพื่อที่จะได้พบกับรอมฎอนในปีถัดไป ในโอกาสวันฮารีรายอ​อีฎิ้ลฟิตรินี้ เป็นโอกาสสำคัญที่ท่านจะได้ร่วมเฉลิมฉลองและแสดงความยินดีและขออภัยต่อกันในสิ่งที่ได้ล่วงละเมิดจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม อีกทั้งยังเป็นโอกาสที่จะได้เดินทางออกไปพบปะเยี่ยมเยียนญาติสนิท มิตรสหาย เพื่อส่งมอบความสุขซึ่งกันและกัน" 

"ทั้งนี้ กองทัพภาคที่ 4 และ กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค 4 ได้จัดเตรียมกำลังพลและสิ่งอำนวยความสะดวกแก่ท่าน ให้สามารถเดินทางสัญจร ด้วยความคล่องตัว และปลอดภัย ปรับลดมาตรการความเข้มงวดของจุดตรวจ ด่านตรวจ ให้เป็นจุดอำนวยความสะดวก เพื่อที่ท่านจะได้ใช้ช่วงเวลาแห่งความสุขนี้ได้อย่างเต็มที่ รวมทั้งในโอกาสเทศกาลวันฮารีรายอ​อีฎิ้ลฟิตริในปีนี้ ขอเชิญชวนพี่น้องประชาชน ทั้งหญิงและชาย ซึ่งเป็นความภาคภูมิใจ และเป็นความสวยงามของสังคมพหุวัฒนธรรมร่วมกันจัดกิจกรรมที่แสดงออกถึงความรักในสถาบัน ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันจะส่งผลให้สังคมของเรามีความน่าอยู่เกิดความกลมเกลียว ความสามัคคี และมีความเจริญรุ่งเรืองสืบไป" 

 "ขอวิงวอนต่อองค์อัลลอฮฺ ได้โปรดประทานพรให้พี่น้องประชาชนทุกท่าน ประสบแต่มีความสุข ความเจริญ สมความปรารถนา มีความอิ่มเอมใจ คลาดแคล้ว จากอุบัติภัยทั้งปวง โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ขอให้ปราศจากเหตุการณ์ความรุนแรงในเร็ววัน เพื่อความสันติสุขของพี่น้องประชาชน อย่างยั่งยืน ตลอดไป สลามัตฮารีรายออีฎิ้ลฟิตรี…"🎉🎉

#สลามัตฮารีรายออีฎิ้ลฟิตรี
#ศูนย์ประชาสัมพันธ์
#กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในภาค4ส่วนหน้า
ข่าว.แวดาโอ๊ะ​ หะไร​  จ.นราธิวาส

‘กลุ่มพลังคนพุทธ’ จี้!! ทหารเอาผิดกลุ่มชูธงชาติปฏิวัติมลายูปาตานี ชี้!! ทำลายความสงบสุขในชาติ สั่นสะเทือนความมั่นคงของรัฐฯ

(8 พ.ค. 66) ที่กระทรวงกลาโหม กลุ่ม ‘รวมพลังคนไทยพุทธ องค์กรปกป้องพระพุทธศาสนาเพื่อสันติภาพ’ (อปพส.) นำโดยนาย ประพันธุ์ กิตติฤดีกุล (ผอ.ดี) เดินทางมายื่นหนังสือ ต่อหน่วยงานความมั่นคง เพื่อให้ทางหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เข้าดำเนินการตรวจสอบ และดำเนินคดีตามกฎหมายกับกลุ่มคนที่มายืนตะโกนเป็นภาษามลายูและทำความเคารพ พร้อมชูธงปฏิวัติมลายูปาตานี หน้ากระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 66 ที่ผ่านมา เนื่องจากทางกลุ่มมองว่า เป็นการหยามเกียรติและไม่เหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการทำลายเกียรติภูมิของประเทศ

โดยนายประพันธุ์ ได้อ่านแถลงการณ์ว่า กลุ่มตนต้องการให้กระทรวงกลาโหม ตรวจสอบและแจ้งผลการตรวจสอบกลุ่มชายมุสลิมที่มายืนตะโกน เป็นภาษามลายูและทำความเคารพ พร้อมชูธงปฏิวัติมลายูปาตานี หน้ากระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 22 เม.ย. 66 ซึ่งจากการกระทำของกลุ่มชายมุสลิมกลุ่มดังกล่าว เสมือนเป็นการหยามเกียรติ และศักดิ์ศรี เสมือนทำลายเกียรติภูมิ ทำลายภาพลักษณ์ของชาติไทยด้านความมั่นคงของรัฐฯ ทำลายความสงบเรียบร้อย และยังฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญไทยหลายมาตราอีกด้วย

‘ดร.วินัย’ เล่าถึงความรู้สึก เป็นตัวแทนคนไทย  ไปเข้าร่วมฮัจญฺกษัตริย์ และได้บรรยายให้ชาวมุสลิมทั่วโลก  

รศ.ดร.วินัย ดะห์ลัน นักวิชาการ กรรมการในคณะกรรมการสภาการศึกษา และกรรมการในคณะกรรมการปฏิรูปประเทศด้านสังคม ได้โพสต์เฟซบุ๊ก เล่าถึงความรู้สึกดีใจที่จะได้ไปเข้าร่วมฮัจญฺกษัตริย์  นอกจากนี้ ดร.วินัย ก็ยังได้รับเกียรติเป็นองค์บรรยายในการประชุมวิชาการ Grand Hajj Symposium 1444 AH อีกด้วย ซึ่งถือว่าเป็นตัวแทนของคนไทยไปทำหน้าที่ในฐานะผู้แทนทางวิชาการจากประเทศไทย ไปให้ข้อมูลด้านวิทยาศาสตร์ฮาลาลแก่นักวิชาการที่มาจากทั่วโลกทั้งประเทศมุสลิมและมิใช่มุสลิม 

‘ฝรั่งเศส’ จ่อแบนชุด ‘อาบายะห์’ ของชาวมุสลิมในโรงเรียนรัฐฯ อ้าง!! ลดการบ่งบอกศาสนาที่นับถือ ผ่านการแต่งกาย-สัญลักษณ์

(29 ส.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการฝรั่งเศส ออกประกาศว่า เด็กนักเรียนหญิงในโรงเรียนรัฐบาลทุกแห่ง จะถูกห้ามไม่ให้ใส่ชุดคลุมยาวอาบายะห์ มาตรการนี้ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันทีในภาคการศึกษาใหม่ โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 4 กันยายนที่จะถึงนี้ โดยรัฐบาลจะประกาศแนวทางปฏิบัติในระดับประเทศต่อไป

ทั้งนี้ ฝรั่งเศสมีข้อบังคับเข้มงวด และห้ามไม่ให้มีการสวมใส่เครื่องแต่งกาย หรือแสดงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเชื่อทางศาสนาอย่างชัดเจนในโรงเรียนรัฐฯ รวมถึงหน่วยงานราชการ มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เพื่อไม่ให้ขัดต่อหลักปรัชญาโลกิยนิยม และไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก หรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งข้อบังคับนี้ครอบคลุมไปถึงไม้กางเขนของศาสนาคริสต์ด้วย

‘กาเบรียล อัตตัล’ (Gabriel Attal) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้สัมภาษณ์กับ TF1 TV ว่า “เมื่อคุณเดินเข้ามาในห้องเรียน คุณไม่ควรจะรู้ศาสนาที่นักเรียนคนนั้น ๆ นับถือได้ทันทีจากการแค่มองดู ผมจึงตัดสินใจว่าไม่ควรให้สวมชุดคลุมอาบายะห์ในโรงเรียนอีกต่อไป”

ด้าน CFCM องค์กรที่เป็นตัวแทนชาวมุสลิม ระบุว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเพียงอย่างเดียว ไม่ถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา

‘ศาลอินโดฯ’ สั่งจำคุก ‘ติ๊กต็อกเกอร์สาวมุสลิม’ 2 ปี ปรับอีก 5 แสนบาท ฐานหมิ่นศาสนา หลังโพสต์คลิปสวดมนต์ก่อนกิน ‘หนังหมูทอดกรอบ’

เมื่อวันที่ 19 ก.ย. 66 สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ศาลอินโดนีเซียได้ตัดสินโทษจำคุก ติ๊กต็อกเกอร์สาวรายหนึ่ง เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำผิดกฎหมายหมิ่นศาสนา หลังเธอโพสต์คลิปวิดีโอลงติ๊กต็อกที่กลายเป็นไวรัล ขณะเธอกล่าวบทสวดมนต์ ก่อนกินหนังหมูทอดกรอบ

ในเอกสารสำนวนคดีของศาลระบุว่า ‘ลีนา ลุตเฟียวาตี’ หรือรู้จักในชื่อ ‘ลีนา มูเคอร์จี’ อายุ 33 ปี ที่ระบุว่าตนเองเป็นมุสลิม ได้โพสต์วิดีโอลงติ๊กต็อกเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมา ซึ่งเธอกล่าวบทสวด ที่แปลความได้ว่า “ในนามของพระเจ้า” ก่อนที่เธอจะกินหนังหมูทอดกรอบหรือแคบหมู

ศาลเมืองปาเลมบัง บนเกาะสุมาตรา ตัดสินลงโทษการกระทำของเธอ โดยวินิจฉัยว่าเธอตั้งใจเผยแพร่ข้อมูลเพื่อปลุกปั่นให้เกิดความเกลียดชังหรือสร้างความเป็นปฏิปักษ์ระหว่างบุคคล/กลุ่มคนบนหลักศาสนา นอกจากศาลจะสั่งลงโทษจำคุก 2 ปีแล้ว ยังสั่งปรับเงินเธอจำนวน 250 ล้านรูเปียห์ (ราว 5.85 แสนบาท) ด้วย

หลังการไต่สวนคดี ลีนากล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าเธอรู้สึกประหลาดใจกับคำตัดสิน “ฉันรู้ว่าฉันผิด แต่ไม่คิดว่าจะได้รับโทษขนาดนี้”

ทั้งนี้ อินโดนีเซีย เป็นชาติมุสลิมที่ใหญ่ที่สุดในโลก และเนื้อหมู ถือเป็นสิ่งต้องห้ามในศาสนาอิสลาม ขณะที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า การบังคับใช้กฎหมายหมิ่นศาสนาอันเข้มงวดของอินโดนีเซียนั้น ได้กัดกร่อนชื่อเสียงของการมีความอดทนอดกลั้น และมีความหลากหลายที่มีมานานของปรเทศอินโดนีเซีย

โดยนายอุสมาน ฮามิด ผู้อำนวยการบริหารของกลุ่มแอมเนสตี อินเตอร์เนชันแนล อินโดนีเซีย กล่าวว่า มาตราหมิ่นศาสนาในกฎหมายของอินโดนีเซีย ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิด โดยพุ่งเป้าไปที่ชนกลุ่มน้อยและผู้เห็นต่าง สิ่งนี้ขัดแย้งกับพันธกิจระหว่างประเทศของอินโดนีเซียที่เกี่ยวข้องกับการเคารพ และการคุ้มครองเสรีภาพทางความคิด และความเชื่อทางศาสนา ตลอดจนเสรีภาพในการแสดงความเห็นและการแสดงออก


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top