Thursday, 2 May 2024
บูลลี่

'ครูธัญ' ชี้!! สังคมอย่าใช้อำนาจกดดัน 'ครูสาว' บูลลี่ 'ป๋าเปรม' ควรช่วยครูให้เข้าใจความหลากหลายทางเพศทั้งระบบ

(23 ธ.ค. 65) ธัญวัจน์ กมลวงศ์วัฒน์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่มีครูท่านหนึ่งพูดถึง พล.อ.เปรม ในชั้นเรียนในฐานะตัวอย่างเมื่อพูดถึงการปกครองในระบอบอำนาจนิยมและมีการพาดพิงถึงประเด็นเรื่องเพศวิถี ตนเห็นว่าสิ่งที่ครูท่านนั้นตั้งข้อสังเกตในประเด็นเพศวิถีและข้อเท็จจริงบางอย่างเป็นเรื่องที่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์จริง และไม่เห็นด้วยกับคำสั่งของนายกรัฐมนตรี ผู้ช่วยรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงศึกษา และขบวนการจัดตั้งของสื่อบางฝ่าย ที่ทำการล่าแม่มด กดดัน ลงโทษ ครูท่านนั้นอย่างไม่เป็นธรรม

ธัญวัจน์ กล่าวว่า การพูดถึง พล.อ.เปรม ในลักษณะอคติทางเพศเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง และข้อเท็จจริงบางอย่างที่เป็นลักษณะเรื่องเล่านั้นควรมีการบอกนักเรียนก่อนทุกครั้งว่ายังไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่ได้รับการพิสูจน์ แต่การแก้ปัญหาของกรณีนี้ควรเป็นการตักเตือน และอบรมทัศนคติครูเรื่องการเข้าใจความหลากหลายทางเพศทั้งระบบ ไม่ใช่ดำเนินการทางนิติสงคราม ทั้งทางกฎหมายและทางวินัย รวมทั้งใช้การกดดันทางสังคมอย่างการล่าแม่มดแบบที่บางฝ่ายกระทำอยู่ในปัจจุบัน

ธัญวัจน์ ตั้งคำถามว่า การที่มวลชนและสื่อบางฝ่ายหยิบยกกรณีนี้ขึ้นมาล่าแม่มดครูท่านนี้ เป็นเพราะต้องการให้ชั้นเรียนตระหนักถึงความเข้าใจความหลากหลายทางเพศจริง หรือเป็นไปเพื่อปิดปากทุกคนที่เห็นต่างจากตนเองกันแน่ ด้วยการกดดันให้ใช้กลไกอำนาจรัฐเข้าเล่นงาน

ถ้าผู้ที่ออกมาใช้โจมตีครูท่านนี้เห็นความสำคัญของการพิสูจน์ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ สิ่งที่เราควรส่งเสริมคือการเปิดให้ห้องเรียนเป็นพื้นที่ปลอดภัย มีการถกเถียงแลกเปลี่ยนข้อมูลกันทุกด้านและหักล้างกันด้วยเหตุผล ไม่ใช่การใช้อำนาจปิดปาก สร้างความกลัว และสถาปนาความจริงเพียงแบบเดียวในแบบที่ผู้มีอำนาจต้องการให้เชื่อ

และจากกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ สั่งการ ผบ.ตร. ให้ดำเนินคดีการปลุกปั่นสร้างความแตกแยก เราอยากถามกลับไปยัง พล.อ.ประยุทธ์ว่าใครกันแน่ที่กำลังสร้างความแตกแยกในสังคม ระหว่างครูคนหนึ่งที่สอนในชั้นเรียนกับสื่อและมวลชนที่ทำการล่าแม่มด เคลื่อนไหวกดดันให้ประเด็นนี้กลายเป็นประเด็นทางการเมือง

การทำให้การศึกษาไทยมีอนาคต ต้องทำความเข้าใจเรื่องความหลากหลายทางเพศ ควบคู่กับการสอนประวัติศาสตร์ที่สร้างการถกเถียงไม่ใช่รับข้อมูลข้างเดียว แต่การล่าแม่มด กำจัดผู้เห็นต่างที่มีความเชื่อต่างจากตัวเอง และใช้อำนาจเข้าข่มขู่คุกคามมากกว่าความเป็นจริง สิ่งเหล่านี้จะยิ่งปลูกฝังวัฒนธรรมอำนาจนิยมในโรงเรียน และจะยิ่งทำให้การศึกษาของชาติล้าหลัง ไม่ทันโลก

'นักเรียนหญิง' นำเรื่องราวการถูกเพื่อนบูลลี่ มาเขียนเรียงความประกวดจนได้รางวัลชนะเลิศ

(16 ก.พ. 66) Facebook Fanpage 'หมอแล็บแพนด้า' ของ 'ทนพ.ภาคภูมิ เดชหัสดิน' นักเทคนิคการแพทย์ชื่อดัง ได้โพสต์เรื่องราวชวนปวดใจ หลังนักเรียนหญิงรายหนึ่งได้รับรางวัลชนะเลิศเรียงความ โดยเธอเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่ง แต่ทว่าเนื้อหาของเรียงความฉบับนั้นเป็นเรื่องจริงที่ปนกับคราบน้ำตา โดยเนื้อหาของเรียงความตอนหนึ่ง ระบุว่า...

"ไอ้ตัวประหลาด คำพูดของเพื่อนที่เรียกฉันในวันนั้น ภาพเพื่อนที่พากันแยกกลุ่มออกห่างจากฉันแล้วทิ้งให้ฉันอยู่คนเดียว ภาพการทำงานเป็นกลุ่มแต่มีเพียงแค่ฉันที่ถูกทิ้งให้ทำงานเพียงคนเดียว…ล้วนเป็นภาพความทรงจำที่ฉันอยากจะปิดตายให้มันหายไปตลอดชีวิต

เพียงว่าร่างกายของเรามีขนมากกว่าคนทั่วไปจนเหมือนลิง จนบางครั้งเราเคยคิดว่าเพียงแค่ไม่เหมือนคนอื่น แต่ทำไมเหมือนเราไปทำอะไรผิดร้ายแรงจัง มีหลายครั้งที่เราโดนแกล้งให้เป็นคนรับใช้ ด้วยความที่เราไม่มีเพื่อนเลยจึงต้องทำตามที่เขาสั่ง เพราะอยากให้เขาคนเราเป็นเพื่อน"

ว่าด้วย 'โรคกลัวสังคม' ปมปัญหาที่พบบ่อยใน 'เด็ก-วัยรุ่น' หยุดได้!! แค่เลิกขยายความ ‘ขี้อาย’ จนกลายเป็นความ ‘กลัว’

วันก่อนเห็นโพสต์ของคุณแข นักแสดงชื่อดัง ผ่านบัญชีเฟซบุ๊ก 'รัศมีแข Rusameekae' พออ่านจบแล้วก็เกิดอารมณ์หลากหลายต่าง ๆ นานา ซึ่งส่วนใหญ่ออกไปทางเข้าใจ แลระคนเห็นใจในสิ่งที่น้องแขต้องเผชิญครั้งวัยเด็ก โดยเนื้อหานั้น เธอว่าแบบนี้...

“ขอบพระคุณเพื่อน ๆ แม่ ๆ และคุณพ่อที่มีลูกในวงการมาก เพราะเด็ก ๆ ทุกคนที่แขเจอ ทำให้แขมีความสุขมาก ๆ ครับ แขเคยโดนเรื่องร้าย ๆ มาตั้งแต่เด็กครับ ทั้งถูกทำร้าย ถูกรังเกียจจากสีผิว เลยทําให้แขมีอาการซึ่งยังเป็นอยู่ครับ ขอเรียกว่าโรค ‘ไม่รังเกียจเราเหรอ’ แขจะ panic ทุกครั้ง เมื่อมีคนมาจับตัว มากอด หรือจับมือ จะมีคำถามขึ้นมาตลอดว่า ‘เค้าไม่รังเกียจเราใช่ไหม?’ โดยเฉพาะเวลาเจอลูกของเพื่อน ๆ หรือคนรู้จัก 

"แข panic ครับ กลัวว่าเค้าจะไม่รังเกียจเราใช่ไหม ถ้าจะคุยจะเล่นกับลูกของเค้า ซึ่งทุก ๆ คนก็ยินดีให้เล่นกับลุงแข แล้วเมื่อไหร่ก็ตามที่แขได้อุ้มได้เล่นกับเด็ก ๆ ลึก ๆ แขจะร้องไห้ตลอดครับ เพราะเวลาเด็ก ๆ ยิ้มให้แข แขเหมือนเราไม่ได้เป็นตัวน่ารังเกียจครับ แล้วเด็ก ๆ ที่แขได้มีโอกาสเจอ ช่วยทำให้แขใจชื้นมาก ๆ ครับ แขรู้สึกเหมือนเราเป็นมนุษย์คนหนึ่งจริง ๆ ครับ สัญญาครับว่าจะเป็นลุงแขที่ดีที่สุดเพื่อหลาน ๆ ครับ”

ลักษณะอาการที่คุณแขเรียกว่า ‘ไม่รังเกียจเราเหรอ?’ น่าจะคล้ายกับ ‘โรคกังวลต่อการเข้าสังคม’ หรือ ‘Social Anxiety in Children & Adolescents’ โดยต้องขอย้ำว่าผู้เขียนมิได้เป็นแม้เศษเสี้ยวผู้เชี่ยวชาญที่กล้าบังอาจวินิจฉัยโรค และคุณรัศมีแขเองก็อาจไม่ได้อยู่ในข่ายนี้ เพียงแต่อยากยกเธอเป็นต้นธารแห่งการแบ่งปันความรู้สึกเท่านั้น

อาการของโรคนี้ ‘นายแพทย์ไกรสิทธิ์ นฤขัตพิชัย’ จิตแพทย์แห่งโรงพยาบาลมนารมย์ เคยเขียนเผยแพร่เพื่อเป็นวิทยาทานไว้ว่า ‘ความกังวลต่อการเข้าสังคม’ หรือที่เรียกว่า ‘โรคกลัวสังคม’ (Social Phobia) นั้น พบเห็นได้บ่อยในเด็กและวัยรุ่น ซึ่งอาจทำให้พ่อแม่หรือผู้ปกครองรู้สึกขัดอกขัดใจกับบุตรหลานของตนอย่างมากว่า ไม่กล้าแสดงออก หรือพ่อแม่อาจอับอายที่มีลูกขี้อาย โดยยิ่งพยายามผลักดันให้เด็ก ๆ เหล่านี้ ‘แสดงออก’ มากยิ่งขึ้น เช่น ส่งไปเต้นระบำขับร้องบนเวที (ที่มีคนดูเยอะ ๆ) สิ่งเหล่านี้นี่เองที่อาจยิ่งจะทำให้เด็กรู้สึกแย่กับตัวเองมากขึ้นที่ไม่อาจทำให้พ่อแม่พอใจได้

เริ่มจากความ ‘ขี้อาย’ จนกลายเป็นความ ‘กลัว’

ยิ่งคุณรัศมีแขเติบโตมาในสังคมที่ตนดูแปลกแยก ดังที่เคยเล่าออกทางสื่อบ่อย ๆ ว่า เธออาศัยอยู่ที่ยุโรป (สวีเดน) ด้วยผิวพรรณวรรณะ ประกอบกับความเป็น LGBTQ เข้าไปอีก องค์ประกอบความเป็น ‘แข’ จึงเริ่มต้นด้วยความ ‘อาย’ เป็นปฐม

เมื่อความกลัวต่อการถูกเฝ้ามอง (หรือประเมิน) จากคนอื่น เด็กวันวานเหล่านั้นก็จะเกิดความกลัวขึ้น โดยคิดว่าเขา (และเธอ) อาจทำหรือพูดอะไรที่ ‘เปิ่น - เชย - ผิด - งี่เง่า’ ต้องทำให้ตัวเองได้ ‘อาย’ ตกเป็นเป้าของการถูกวิพากษ์วิจารณ์

แถมคุณแขยังเคยโดนทำร้ายร่างกายด้วยอคติอันน่ารังเกียจอีก นั่นจึงเป็นเหตุที่ต้องตั้งคำถามเสมอมาว่า ‘ไม่รังเกียจเราเหรอ?’ แม้ทุกวันนี้เธอมีชื่อเสียงโด่งดังท่ามกลางคนรักใคร่แทบทั้งประเทศ ด้วยความเป็นพลเมืองระดับ ‘คุณภาพ’

ว่ากันตามจริงคนไทยอายุสี่สิบขึ้นวันนี้ล้วนผ่านประสบการณ์ถูก ‘บูลลี่’ (Bully) มามากบ้างน้อยบ้างตามแต่สภาพสังคมที่เติบโต ผู้เขียนเองก็เคย คนรอบข้างก็เคย โดยเราเองอยู่ในสถานะทั้งถูกบูลลี่และเป็นคนบูลลี่ (Abulligy) ด้วย ‘คำเหยียด’ ซึ่งแทบไม่มีผลต่อจิตใจแต่อย่างใด ต่างจากคนรุ่นปัจจุบัน

‘เจมส์’ ปล่อยผ่านคนวิจารณ์รูปร่างแฟนสาว ‘โฟกัส’ เผยข่าวดี!! หวานใจเร่งฟิตหุ่น เตรียมตัวเป็นเจ้าสาว

ถูกชาวเน็ตบูลลี่เรื่องรูปร่างอย่างหนัก สำหรับ ‘โฟกัส จิระกุล’ หวานใจหนุ่ม ‘เจมส์ BOY หรือ ‘กิจเกษม แมคแฟดเดน’ ที่แม้ปัจจุบันจะอวบมีน้ำมีนวลขึ้นมาบ้าง

เมื่อวันที่ 16 ส.ค. 66 หนุ่มเจมส์ เดินทางมาทำงานเป็นพิธีกรในงานเปิดตัวภาพยนตร์เรื่อง ‘Blue Beetle’ ที่ SF World Cinema เซนทรัลเวิลด์ จึงได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องที่แฟนสาวถูกบูลลี่จากชาวเน็ตอย่างหนักถึงเรื่องรูปร่างที่อวบขึ้น พร้อมทั้งเผยเรื่องเซอร์ไพรส์ ว่ามีแพลนให้โฟกัสลดหุ่น เพื่อเตรียมสู่ขอฝ่ายหญิงและทำพิธีหมั้นหมายต่อไป

โฟกัส โดนบูลลี่เรื่องรูปร่าง?
เจมส์ : “ใช่ครับ โดนมาตลอดเรื่อยๆ อยู่แล้ว บ่างคนใช้โซเชี่ยลเป็นที่ระบาย เราก็รู้ว่าเจตนามาแบบไหน ไม่ได้ซีเรียสครับ ผมเป็นแฟนเขาผมแฮปปี้ เขาแฮปปี้ผมแฮปปี้ครับ”

เบื่อไหม ทำไมไม่หยุดกันสักที?
เจมส์ : “เหมือนเป็นสิ่งที่เราต้องเจอเรื่อยๆ ถามว่าเบื่อไหม เบื่อครับ มีนชอบไม่ได้เนอะ แต่อยู่ที่เราจะจัดการกับความรู้สึกยังไง แต่ผมแฮปปี้กับการที่น้องเขากิน พาน้องเที่ยว ที่ส่วนหนึ่งเขาเป็นแบบนี้ได้ก็ต้องโทษผมด้วย ผมเป็นคนที่เอาใจสุดๆ สปอยสุดๆ ก็ต้องเป็นความรับผิดชอบของครับผม โทษใครไม่ได้”

นอยด์มั้ย?
เจมส์ : “ไม่ครับ โฟกัสเป็นคนไม่นอยด์ มีผมนี่แหละเป็นคนนอยด์แทน บางทีไลฟ์อยู่มีคนทักมาทักแบบน่าโดนด่ามาก ผมก็ด่าเลย จบๆไป ครับ เรามาพบปะผู้คนในโซเชี่ยลเราก็อยากเจอแต่ด้านดีๆ อารมณ์ดีๆ แต่บางทีไม่ได้จริงๆ ก็ต้องจัดสักหน่อย”

มีข้อความที่ทนไม่ได้เลยเยอะไหม?
เจมส์ : “เยอะครับ บางทีมามาดจีบก็มีนะครับ ผมก็นั่งอยู่ข่างๆ เนี่ย ผมก็ทนไม่ไหว ยังดูไม่ออกกันอีกเหรอว่าใครเป็นใคร แต่เราก็ต้องจัดระเบียบให้เป็นครับ”

ดูแลอารมณ์ยังไง มีคนมาจีบกลางไลฟ์?
เจมส์ : “บางมีก็หลุดบ้างครับ ไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์หรอก บางทีผมก็ด่าบ้าง ด่าเลยครับ เหมือนกันเนอะ ก็มีน็อตหลุดบางครั้ง แต่ก็ตัดอารมณ์ตัวเอง เน้นพูดคุย เอาฮาใส่ครับ ขำๆ ไป”

โฟกัสจัดการยังไง ถ้ายังมีคอมเมนต์มาเรื่อยๆ ?
เจมส์ : “โฟกัสเขาเก่งนะครับ เขาเป็นคนที่อยู่เป็น เขาดูแลตัวเองเป็น เขาไม่ปล่อยให้เสียงแบบนี้มาทำร้ายเขา เขาแฮปปี้ได้ผมก็แฮปปี้ครับ”

มีจะดำเนินการใดๆ ไหม?
เจมส์ : “ไม่ครับ ยกเว้นบางอันที่เกินไป ก็มีดำเนินคดีบ้าง ถ้ามันต้องขนาดนั้นก็ทำครับ แต่เราจัดระเบียบได้ ไม่มีปัญหา ผมกับโฟกัสแฮปปี้ครับ”

มีคุยกันไหม ชวนกันไปฟิตให้ดู?
เจมส์ : “มีๆ นี่ๆ มีข่าวดีครับ โฟกัสเองเขาก็อยากจะเริ่มดูแลตัวเองครับ เป็นเพราะสัญญาณหลายๆ อย่าง ก็รอดูครับ ผมก็รอดูเหมือนกัน”

มีข้อเสนอข้อแลกเปลี่ยนกัน?
เจมส์ : “มีแน่นอนครับ ผมมีมานานแล้ว แต่เพิ่งจะมามีปฏิกิริยาครับ ข้อเสนอดีๆ ผมมั่นใจเป็นเรื่องดีแน่นอน ถ้ารักกันดีแน่นอน (กิโลละหมื่น?) ผมกล้าพูดเลยว่าเขาเริ่มเอาจริงแล้ว ถ้าน้องทำได้พี่จะให้รางวัลใหญ่ที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนี้จะให้ได้เลย เต็มที่ครับ เป็นกำลังใจให้น้องเขาเรื่อยๆ ครับ”

เริ่มเร็วๆ นี้ใช่ไหม?
เจมส์ : “อีกไม่กี่วันครับ รออีก 3 วันจะเริ่มกระบวนการแล้ว เดี๋ยวรอดูโฟกัสจะสวยครับ”

อะไรที่ทำให้ทั้งสองคนไม่ริดลบไปตามคอมเมนต์?
เจมส์ : “เพราะว่าเราไม่ได้ยึดติดแง่ลบมันเป็นแค่ส่วนหนึ่งส่วนเสี้ยวเล็กๆ จริงๆ ทุกอย่างมันดี เราแฮปปี้ ด้านดีๆ มีอีกเยอะ แต่แค่เราไม่ได้พูดถึงมัน เราอย่าไปสนใจกับเรื่องเล็กๆ มีบางทีมันสะกิดใจเรา เหมือนเส้นผมบังภูเขาครับ อย่าไปยึดครับ”

ที่บอกว่ารางวัลใหญ่ที่สุดเท่าที่ผู้ชายคนนึงจะให้ได้ หมายถึงจะขอแต่งงานใช่ไหม?
เจมส์ : “อู้ย รอดูครับ ใจพยายามอยู่ (ให้สวยเพื่องานสำคัญ?)ใช่ ต้องสวยเพื่องานสำคัญครับ”

ตั้งเป้าไว้ว่าเมื่อไหร่?
เจมส์ : “ไม่ได้รีบ แต่เร่งหน่อยแล้วกัน ก็พยายามครับ ผมเองก็มีแผนอะไรของผู้ชายเนอะ มีระยะเวลาอยู่เราก็อยากเต็มที่ในส่วนของเรา และเชื่อว่าน้องก็เต็มที่เหมือนกัน แต่น้องเพิ่งเริ่มครับ พร้อมเมื่อไหร่พี่ก็พร้อมเมื่อนั้น”

พูดได้เลยว่าเตรียมแต่งงานแล้ว?
เจมส์ : “คิดว่าครับ แต่อย่าเพิ่งถึงแต่งเลย เอาพิธีเล็กก่อนครับ พี่ธีหมั่นก่อนเนอะ เอาหมั่นให้รอดก่อน (ปีนี้เลยมั้ย?) พยายามให้เป็นปีนี้ครับ สู้อยู่ครับ ฝากเป็นกำให้น้องด้วยครับ ถ้าน้องก็ออกมาสวยปังก็เดี๋ยวรอเจอน้องครับ ผมก็เป็นแฟนที่ดีทำงานในแบบของผม และคอยซัพพอร์ตน้องไปเรื่อยๆ ครับ”

‘บิว อรจิรา’ ทายาทหมื่นล้านธุรกิจอสังหาฯ สุดรันทด เล่าประสบการณ์อยู่ต่างประเทศ ไม่ต่างผู้ลี้ภัย

เมื่อไม่นานนี้ ไฮโซสาวตระกูลดัง ‘บิว อรจิรา บัณฑูรจินดา’ ทายาทนักธุรกิจหมื่นล้าน ลูกสาว ‘คุณจรูญศักดิ์ บัณฑูรจินดา’ หุ้นส่วนใหญ่เจ้าพ่ออสังหาริมทรัพย์ในเครือ AP สุดรันทด เล่าประสบการณ์ใช้ชีวิตในประเทศแคนาดา ผ่าน tiktok ‘บิวจินดา Beaujonda35’ ขนาดเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนผ่านการคัดเลือกจากรัฐบาล ยังถูกบูลลี่เหมือนเราไม่ใช่คน โดยเฉพาะคนไทย และประเทศเพื่อนบ้าน โดยระบุว่า…

“เรื่องของบิว เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นประมาณ 10 ปีที่แล้ว บิวไปอยู่แคนาดาในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน มีการสอบชิงทุนผ่านโดยกระทรวงและผ่านรัฐบาลของประเทศแคนาดาอย่างถูกต้อง ต้องบอกว่าตอนนั้นบิวสอบข้อเขียน พูด อ่านเขียนผ่าน แต่เราไม่สามารถสื่อสารเป็นประโยคภาษาอังกฤษกับต่างชาติได้

แน่นอนว่า การไปครั้งนั้นเราจะมีปัญหาเรื่องภาษากับเขา ตอนที่เราสอบชิงทุนได้ตอนนั่นเรียน ม.ปลาย ก่อนไป เราดีใจมาก ได้ไปเรียนต่างประเทศ ชีวิตคงสวยหรู คงได้ไปเที่ยวในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน แต่พอไปถึงเราต้องไปอาศัยอยู่กับโฮสแฟมิลี่ ไปอาศัยอยู่กับครอบครัวที่ทางรัฐบาลเขาจัดให้เรา ต้องบอกก่อนว่า การเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน เราจะไปอยู่อาศัย 2 แบบ คือแบบ ‘โฮสแฟมิลี่’ และแบบ ‘พักอาศัยกับองค์กร’

ตัวบิวเองอยู่กับโฮสแฟมิลี่ คิดว่าจะเป็นอิสระ เขาคงใจดีกับเรา แต่เปล่าเลย เราไปอยู่ในฐานะคนรับใช้ แม่บ้าน ง่ายๆ นางทาสนั่นแหละ ทำงานบ้านทุกอย่างแม้แต่เลี้ยงลูกให้เขา พอเรากลับจากโรงเรียน เราก็ต้องทำความสะอาดบ้านทุกอย่าง ทำอาหาร เรียกง่ายๆ ว่าเป็นแม่บ้านแหละ หากเราทำไม่ถูกใจ เขาก็ใช้ความรุนแรง ถ้าเราพูดกับเขาไม่รู้เรื่อง เขาก็จะตบหน้าเรา ตบคือตบนะคะ ไม่ใช่ตบแบบสั่งสอน ตบแบบใช้อารมณ์ แล้วก็ด่าเรา

เหมือนตามข่าวที่เราเห็นชาวพม่า ลาว เขมร มาทำงานเป็นแม่บ้านในบ้านเรา บางคนถูกทำร้ายร่างกาย ถูกกดขี่ บางคนถูกข่มขืน ไม่ต่างจากบ้านเราเลย พวกฝรั่ง พอรู้ว่าเราเป็นคนไทย เขาจะมองว่าเรายากจน เป็นพวกลี้ภัย มาอาศัยบ้านเขากิน เป็นตัวถ่วงความเจริญ เมืองไทยขี่ช้างออกจากป่า ส่วนนักเรียนแลกเปลี่ยนด้วยกันที่มาจากทวีปยุโรป เขาก็มองว่าผู้หญิงไทยส่วนใหญ่ขายตัว

บอกตามตรงโคตรเจ็บใจ มาดูถูกกันแบบนี้ คนไทยจะไม่ได้รับการยอมรับที่นั่น เขาจะมองว่าคนเอเชียยากจน มองเราเหมือนไม่ใช่คน เวลาไปเรียนก็จะไม่มีเพื่อน ไม่มีใครคบ คนเอเซียต้องคบกันเอง เพราะแต่ละคนจะโดนทำร้ายเหมือนๆ กัน แต่บิวโดนหนักสุด ถูกทำร้ายร่างกายตลอดระยะเวลา 1 ปีเต็ม ไม่กล้าบอกใคร ไม่กล้าบอกพ่อแม่ ไม่กล้าฟ้องครู เพราะสุดท้ายเราก็ต้องอยู่ที่นั่นจนครบสัญญา 1 ปี

บิวอาจเป็นคนที่อดทนเก่ง แต่เพื่อนเอเชียบางคนร้องไห้ทุกวัน โดนใช้แรงงานเยี่ยงทาสเหมือนกัน จะบอกว่าฝรั่งส่วนมากที่มีเมียคนไทย ก็เพราะเขาต้องการหาคนดูแลยามแก่ยามเฒ่า เห็นหญิงไทยหน้าเงิน ซื้อได้ด้วยเงิน เขาจะไม่ค่อยมองหญิงไทยเป็นเมียหรอก มองเป็นนางทาสมากกว่า

และนี่คือประสบการณ์ในการใช้ชีวิตเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่แคนาดา พอจบ 1 ปีกลับบ้าน สัญญากับตัวเองไม่ขอกลับไปอยู่ต่างแดนอีกเลย อยู่เมืองไทยนี่แหละสบายที่สุดแล้ว แต่ก็ต้องบอกว่า นี่คือประสบการณ์ส่วนตัวที่บิวเจอ บางคนอาจจะโชคดีหรือโชคร้ายกว่าบิวก็ได้นะคะ”

‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ เด็กอัจฉริยะ IQ204 แห่งเกาหลีใต้ ผู้ถูกคาดหวังสูงจากสังคม จนเข้ากับสังคมไม่ได้

(23 ส.ค. 66) ถือเป็นกรณีศึกษาที่น่าสนใจทีเดียว สำหรับประเทศเกาหลีใต้ ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นประเทศพัฒนาแล้วแถวหน้าของโลกได้ ส่วนหนึ่งเกิดจากการพัฒนาศักยภาพเยาวชนได้อย่างมีคุณภาพ ที่เป็นกำลังสำคัญในการสร้างชาติ 

แต่สิ่งที่ตามมา คือความกดดันในสังคมและครอบครัว ที่คาดหวังต่อพัฒนาการของเด็กคนหนึ่ง ที่อาจทำลายพรสวรรค์ที่เขามีโดยไม่รู้ตัวก็ได้

อย่างกรณีของ ‘เด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน’ เด็กอัจฉริยะวัย 10 ขวบ ที่เคยมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ในความฉลาดอย่างน่าทึ่ง ทั้งด้านคณิตศาสตร์และดนตรี จนสื่อเกาหลีเคยตั้งฉายาให้เขาเป็น ‘โมซาร์ทน้อยแห่งเกาหลี’ มาแล้ว

แต่มาวันนี้ ชื่อ ‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ กลับมาอยู่ในหน้าสื่อเกาหลีใต้อีกครั้ง ในฐานะเหยื่อที่ถูกรุมรังแกโดยเพื่อนร่วมชั้น และรุ่นพี่ในโรงเรียน จนมีอาการซึมเศร้า น้ำหนักลด ทำให้พ่อของเขาตัดสินใจพาลูกชายลาออกจากโรงเรียน 

ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากมาย ว่าเกิดอะไรขึ้นในโรงเรียน ‘Seoul Science High School’ โรงเรียนเฉพาะทางอันดับ 1 ของนักเรียนที่มีพรสวรรค์ด้านคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ของประเทศ หรือแท้จริงแล้ว แพ็ค กัง-ฮยุน เป็นเพียงเด็กธรรมดา ที่ต้องการเพียงชั้นเรียนทั่วไปเท่านั้นเอง

เมื่อย้อนกลับไปช่วง 6 ปีก่อน แพ็ค กัง-ฮยุน ถือเป็นเซเลปเด็กชื่อดังไปทั่วประเทศในฐานะ เด็กชายสมองเพชรที่มีระดับ IQ สูงถึง 204 จากการประเมินของ ‘Mensa's IQ test’ มีความฉลาดเป็นเลิศอย่างมากในด้านดนตรี และคณิตศาสตร์ 

และในปี 2017 นี้เอง ที่แพ็ค กัง-ฮยุนได้ไปออกรายการ Einstein สารคดีด้านการศึกษาของช่อง SBS และได้แสดงความสามารถในการเล่นเปียโน และประพันธ์เป็นเพลงบรรเลงได้ตั้งแต่อายุ 5 ขวบ และยังสามารถเขียนโน้ตเพลงตามที่ได้ยิน จากการบรรเลงของนักเปียโนมืออาชีพได้อย่างถูกต้อง ซึ่งความสามารถด้านดนตรีของเด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน ได้รับการประเมิน และตรวจสอบโดยผู้เชี่ยวชาญด้านดนตรี ยืนยันว่าเป็นของจริง 

อีกทั้งยังมีความสามารถด้านคณิตศาสตร์เกินวัยมาก สามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ในระดับชั้นมัธยมต้นได้แล้ว แม้เจ้าตัวจะอยู่ในวัยประถม 1 โดยมีการทดสอบแข่งทำข้อสอบคณิตศาสตร์กับเด็กมัธยมชั้น Year 9 ซึ่งแพ็ค กัง-ฮยุน ก็สามารถทำข้อสอบเสร็จครบ และถูกต้องภายใน 20 นาทีเท่านั้น ทั้งๆ ที่เด็กมัธยมทั้งช้้นที่มาแข่งด้วย ยังไม่มีใครทำเสร็จสักคน 

ทำให้ชื่อ ‘แพ็ค กัง-ฮยุน’ กลายเป็นที่จดจำของชาวเกาหลีใต้ทั่วประเทศ ในฐานะ ‘โมซาร์ทตัวน้อย’ และ ‘เด็กอัจฉริยะสมองเพชร’ และต่างจับตามองว่า เด็กชายแพ็ค กัง-ฮยุน จะโตขึ้นมาอย่างไรในอนาคตข้างหน้า

เมื่อหลายปีผ่านไป แพ็ค กัง-ฮยุน ก็ได้รับเข้าเรียนต่อในสถาบัน Seoul Science High School ที่ได้ชื่อว่าแหล่งรวมเด็กอัจฉริยะจากทั่วประเทศ มีหลักสูตรที่เข้มข้น จัดเต็มกว่าโรงเรียนทั่วไปมาก เพราะเด็กที่ได้เข้ามาเรียนล้วนมีพรสววรค์ที่ไม่ธรรมดา  

แต่ทว่า วันนี้ชื่อโรงเรียนนี้กลายเป็นข่าวฉาวบนหน้าสื่อเกาหลีใต้เสียแล้ว จากกรณีที่ แพ็ค กัง-ฮยุน ถูกเพื่อนร่วมชั้นบูลลี่ รังแก จนเรียนต่อไม่ได้

หลังจากที่พ่อของ กัง-ฮยุน พาลูกชายลาออกจากโรงเรียน ได้ออกมาสัมภาษณ์ผ่านสื่อถึงเหตุผลที่ลูกชายไม่สามารถเรียนต่อที่นี่ได้ เพราะเขาถูกเพื่อนในชั้น และรุ่นพี่ในโรงเรียน บูลลี่ ถากถาง โดนหมางเมิน ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตน ไม่ยอมคุยด้วย ไม่ยอมแบ่งงานกลุ่มให้ทำ และยังพบข้อความดูถูก ถากถางอย่างรุนแรงที่พูดถึงแพ็ค กัง-ฮยุน จำนวนมากในสื่อออนไลน์ของโรงเรียน

พ่อของเขายังเล่าอีกว่า เมื่อเจอการบูลลี่จากสังคมในโรงเรียนอย่างต่อเนื่องทำให้แพ็ค กัง-ฮยุน มีอาการเครียดอย่างมาก ไม่มีความสุขในโรงเรียน ซึมเศร้า ไม่หัวเราะร่าเริงเหมือนแต่ก่อน และยังส่งผลต่อร่างกายด้วย น้ำหนักจากเดิม 27 กิโลกรัม ตอนนี้ลดลงเหลือแค่ 22 กิโลกรัมเท่านั้น

พ่อของแพ็ค กัง-ฮยุน เคยพยายามต่อรองกับทางโรงเรียน เรื่องปัญหาในการทำงานกลุ่มกับเพื่อนในชั้น อยากให้ทางโรงเรียนแก้ไข แต่ทางโรงเรียนปฏิเสธอย่างชัดเจนว่าจะไม่ยอมปรับเปลี่ยนหลักสูตร กฎเกณฑ์ให้เด็กนักเรียนเพียงคนเดียว นั่นจึงเป็นสาเหตุให้พ่อของกัง-ฮยุน ตัดสินใจพาลูกชายลาออก 

แต่ทว่า หลังจากที่พ่อของกัง-ฮยุน ให้สัมภาษณ์ออกสื่อเพียงวันเดียว พ่อของเขาก็ได้รับอีเมลจากผู้ปกครองนักเรียนคนอื่นเป็นจำนวนมาก ข่มขู่ให้พ่อของกัง-ฮยุน หยุดพูดออกสื่อว่า แพ็ค กัง-ฮยุนถูกรังแก มิฉะนั้น จะออกมาแฉถึงสาเหตุที่แท้จริงว่าทำไมแพ็ค กัง-ฮยุน ถึงเรียนต่อที่ Seoul Science High School ไม่ได้

แต่สื่อเกาหลีใต้ก็ไม่วายขุดต่อ โดยแอบไปสอบถามผู้ปกครองของนักเรียนคนอื่นๆ ในโรงเรียน บางคนกล่าวว่า ที่แพ็ค กัง-ฮยุน ต้องออก เพราะเขาเรียนตามเพื่อนไม่ทัน และแก้โจทย์เลขได้เพียงข้อเดียวเท่านั้นจากการสอบกลางภาค

ผู้ปกครองจำนวนหนึ่งสงสัยว่า ทางโรงเรียนอาจให้แพ็ค กัง-ฮยุน เข้าเรียนด้วยช่องทางพิเศษ ที่ต่างจากเด็กนักเรียนคนอื่น ที่ต้องผ่านการสอบเข้าด้วยความยากลำบาก และบางคนยังบอกว่าไม่ต้องการให้พ่อของแพ็ค กัง-ฮยุน กล่าวหาให้โรงเรียนที่มีเกียรติแห่งนี้เสื่อมเสียชื่อเสียง 

สิ่งที่น่ากลัวมากกว่าการตั้งคำถามเรื่องความเป็นอัจฉริยะของแพ็ค กัง-ฮยุน ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่ ก็คือ หลายคนลืมไปว่า แพ็ค กัง-ฮยุน เป็นเพียงเด็กวัย 10 ขวบ ที่ควรมีพื้นที่ให้เขาสามารถเรียนรู้ และ ‘ลองผิด ลองถูก’ ได้อย่างเด็กวัยอื่นๆ 

แต่สิ่งที่ แพ็ค กัง-ฮยุน ต้องแบกรับตั้งแต่วัยเด็ก คือ ‘ชื่อเสียง’ ในการเป็นเซเลปเด็กอัจฉริยะ ที่ถูกกดดันจากครอบครัว และความคาดหวังของสังคม ถูกจับตามองในทุกเรื่องที่เขาทำ และแสดงออกอย่างชัดเจนว่า ‘ผิดหวัง’ เมื่อความสามารถไปไม่ถึงระดับที่ถูกคาดหวัง ที่ตั้งบาร์ไว้สูงเสียด้วย 

แพ็ค กัง-ฮยุน เคยเล่าถึงการเรียนในโรงเรียนว่า เขารู้สึกผิดหวังในตัวเอง ที่สุดท้ายเขาเป็นได้แค่เครื่องจักรในการแก้โจทย์คณิตศาสตร์ 

ซึ่งตลอดหลายปีที่ผ่านมา แพ็ค กัง-ฮยุน ถูกตีกรอบ ถูกกดดัน และถูกคาดหวัง มีพื้นที่ให้เขาเพียงแค่การ ‘ลองถูก’ เท่านั้น และสังคมรอบข้างมักตอบสนอง ‘การลองผิด’ ของเขาอย่างโหดร้ายเสมอ 

แพ็ค กัง-ฮยุน จึงเป็นกรณีศึกษาที่ดีสำหรับผู้ปกครอง ที่ไม่ว่าคุณจะมีลูกหลานเป็นเด็กอัจฉริยะหรือไม่ก็ตาม เพราะเด็กทุกคนล้วนมีพรสวรรค์อย่างใด อย่างหนึ่งในตัวเสมอ การเน้นแต่ผลักดัน ส่งเสริมศักยภาพด้านวิชาการของเด็กเพียงอย่างเดียว โดยละเลยการให้พื้นที่ในพัฒนาการด้านอื่นๆ ของเด็กอย่างสมวัย อาจทำให้ พรสวรรค์ของเขากลายเป็นทุกขลาภ และไปทำลายอัจฉริยภาพเหล่านั้นลงอย่างน่าเสียดายได้

‘วันเดอร์เฟรม’ ระบายทั้งน้ำตา หลังโดนบูลลี่รูปร่างจนเสียความมั่นใจ วอน ขอให้โฟกัสที่ผลงาน-หยุดบูลลี่คนอื่น เพราะคนที่โดนจำไม่เคยลืม

(23 ต.ค. 66) ทำเอานักร้องสาวมากความสามารถ อย่าง ‘เฟรม-ศุภัคชญา สุขใบเย็น’ หรือ ‘วันเดอร์เฟรม’ วัย 29 ปี ออกมาระบายความรู้สึก เมื่อถูกคอมเมนต์วิจารณ์รูปร่าง หลังจากขึ้นโชว์คอนเสิร์ตหนึ่ง แล้วมีการเผยแพร่คลิป โดยมีบางคอมเมนต์บางส่วนโฟกัสไปที่หุ่นแทน ในทำนองว่า “วันเดอร์เฟรมตอนแรกผอมนะ พอมาตอนนี้ระยะอวบเลย”

เมื่อล่าสุด วันเดอร์เฟรม ได้อัดคลิประบายความในใจทั้งน้ำตา เกี่ยวกับคำวิจารณ์ดังกล่าว พร้อมกับระบุแคปชัน “เราโดนล้อเรื่องน้ำหนักมาตั้งแต่จำความได้ ผ่านมา 29 ปี สังคมแห่งการบูลลี่นี้ไม่มีอะไรพัฒนาเลย คนพิมพ์แป๊ปเดียวก็ลืม แต่คนที่โดนอะไม่เคยลืมเลย”

โดยเนื้อหาในคลิปนี้ วันเดอร์เฟรม ได้พูดเอาไว้ว่า “คือเราอ่ะ ตอนแรกเราผอมกว่านี้เยอะ แต่ว่าเราขาหัก เราก็เลยไม่ได้ขยับร่างกาย เพราะว่าเราเดินไม่ได้อยู่ 2 เดือน น้ำหนักเราก็เลยขึ้นมา และนั่นก็คือเป็นคอนเสิร์ตแรกหลังจากที่... (ร้องไห้) เป็นคอนเสิร์ตแรกหลังจากที่เราเดินได้ และกลับมาเต้นได้

ซึ่งเราก็ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงต้องมาบูลลี่เราขนาดนี้ น้ำหนักเราขึ้นอ่ะ มันก็ขึ้นที่ตัวเราเอง ไม่ได้ไปขึ้นกับพวกคุณสักหน่อย ทำไม... จริงๆ เรารู้สึกดีกับร่างกายตัวเองนะ แต่เราก็ไม่เข้าใจว่าทุกครั้งที่เราเห็นคอมเมนต์พวกนี้ มันทำให้เราแบบ... มันทำให้เรา รู้สึกมั่นใจในตัวเองน้อยลงอ่ะ ซึ่งจริงๆ มันไม่ควรเป็นแบบนั้นเลย”


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top