Sunday, 28 April 2024
บริหารประเทศ

เพื่อไทย โต้ ‘สุชาติ’ อัดวิจารณ์ค่าแรง 600 บาทต่อวัน ลั่น!! ไม่กระทบงบแผ่นดิน เหน็บ พปชร. ขึ้น 400 ยังทำไม่ได้

ส.ส.โจ้ โต้กลับ ‘รมว.แรงงาน’ ติงนโยบายค่าแรง 600 บาทพรรคเพื่อไทย ลั่นไม่กระทบงบแผ่นดินฟุ้งถ้าประชาชนเห็นว่าดีจริงต้องเลือกให้ ‘แลนด์สไลด์ทั้งแผ่นดิน’ เหน็บ ‘ประยุทธ์’ บริหารเศรษฐกิจเหลว เก่งแต่กู้ขนาดขึ้นค่าแรง 400 บาทยังทำไม่ได้

วันนี้ (7 ธ.ค.) ที่รัฐสภา นายยุทธพงศ์ จรัสเสถียร ส.ส.มหาสารคาม และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.)ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ นายสุชาติ ชมกลิ่น รมว.แรงงาน ที่บอกว่า พรรคเพื่อไทย หากจะหาเสียงอะไร ก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย อย่าหาเสียงเพราะนึกสนุกแบบนี้ (กรณีเพื่อไทยประกาศนโยบายค่าแรง 600 บาท/วัน) เพราะสิ่งที่พูดออกมามันเหมือนการโยนระเบิดเวลาให้เจ้าของกิจการ การหาเสียงแบบนี้เป็นการโยนภาระให้ภาคเอกชน แต่ตัวเองได้คะแนนเสียงซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง นอกจากนี้จะกระทบต่อนักลงทุนต่างประเทศ เพราะจะไม่กล้าเข้ามาลงทุน หากจะหาเสียงอะไรก็แล้วแต่ ควรคำนึงถึงหายนะทางเศรษฐกิจด้วย

นายยุทธพงศ์กล่าวต่อว่า นายสุชาติ รมว.แรงงาน ที่ออกมาโวยวาย เรื่องค่าแรงงาน 600 บาท/วัน ภายใน 4 ปี เพราะนายสุชาติ อาจจะไม่เข้าใจเศรษฐศาสตร์ และระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ การที่คุณแพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย พูดเรื่อง ค่าแรงงาน 600 บาท/วัน ภายใน 4 ปี คือ การที่พรรคเพื่อไทยได้ มาเป็นรัฐบาล และ พรรคเพื่อไทย บริหารเศรษฐกิจ เป็นแบบมืออาชีพ เศรษฐกิจประเทศไทยจะโตเฉลี่ย อย่างน้อยร้อยละ 5 ต่อปี พอเศรษฐกิจดี นักธุรกิจมีเงินเยอะ มีรายได้เยอะ ก็มีเงินจ่ายค่าแรงงานสูงขึ้น ไม่ได้กระทบอะไร กับภาระงบประมาณแผ่นดินเลย

8 ปี 'ลุงตู่' มุ่งมั่นภารกิจ ยกระดับคุณภาพชีวิต 'คนกรุงเทพ'

ตั้งแต่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชาเข้ามาบริหารประเทศ เกิดการพัฒนาทั่วทุกภาคของประเทศ ทั้งการปฎิรูปโครงสร้างพื้นฐาน การปฎิรูปคุณภาพชีวิตในชุมชน 

แคลงใจภาวะผู้นำ!! 'จตุพร' ตอก 'เศรษฐา' หลังเลี่ยงตอบคำถาม 'ประยุทธ์' สังคมไม่คาดหวังกับผู้นำ ที่แสดงความเชื่อฟังคนแก่กว่าในมิตินี้

(3 มี.ค.66) ‘นายจตุพร พรหมพันธุ์’ แกนนำคณะหลอมรวมประชาชน ได้แสดงความคิดเห็นถึงกรณีที่ ‘นายเศรษฐา ทวีสิน’ ได้เข้าร่วมเป็นที่ประธานปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยว่า...

 

"บทบาทครั้งนี้ของคุณเศรษฐา ไม่ได้มีผลกับทางการเมืองมาก เพราะเรายังไม่เห็นอะไรชัดเจนจากตัวของ นายเศรษฐากันเท่าไร"

 

นายจตุพร ยังได้กล่าวถึงเรื่องที่ พลเอกประยุทธ์ ได้เอ่ยปากถามถึงนายเศรษฐาด้วยว่า “แล้วเขาเด่นตรงไหนล่ะ ที่เสนอชื่อเขามา เขาเก่งตรงไหน เขาทำอะไรมา เขาทำธุรกิจ และประเทศชาติไม่ใช่ธุรกิจ” ตรงนี้นายเศรษฐานั้น เลี่ยงที่จะตอบถึงเรื่องนี้ ซึ่งอันที่จริงเขาควรจะตอบเพื่อแสดงถึงความตั้งใจที่จะเข้ามาทำหน้าที่ตรงนี้ ไม่ใช่เลี่ยงตอบคำถามเช่นนี้

 

นายจตุพร กล่าวต่อว่า เมื่อนายเศรษฐา ถูกคาดหมายจะมาเป็นผู้นำประเทศ ก็ต้องตอบข้อครหาเชิงกล่าวหาของพล.อ.ประยุทธ์ ไม่ใช่มาแสดงมารยาททางสังคมต้องเชื่อฟังคนแก่กว่า ซึ่งประชาชนไม่ได้ประโยชน์อะไรกับความคาดหวังในภาวะผู้นำของประเทศเช่นนี้

 

 

 

เหตุผลสำคัญในการเลือกพรรคการเมือง พรรคเพื่อใคร ไม่สำคัญเท่าทำงานแค่ไหน?

(12 พ.ค. 66) อ.พลกฤษณ์ จิตร์โต แห่งคณะสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ‘Ponlakit Jitto’ ระบุว่า…

การเลือกพรรคการเมือง ขึ้นกับจริตแต่ละคน แต่เชื่อว่าทุกคนเป้าหมายไม่ต่างกันมาก คือ หวังประเทศชาติเจริญ เพื่อความเป็นอยู่ตัวเราเองดีขึ้น

ผมเองใครๆ ดูคงรู้ ว่าเลือกใคร แต่ผมก็มีเหตุผลของผมนะ

เหตุผลของผมก็ง่ายๆ อยากเห็นประเทศไทยเจริญ โดยเฉพาะอีสานบ้านเรา อยากเห็นอีสานเราเจริญ อยากให้เด็ก ลูกศิษย์เรามีงานทำ ในภาคอีสานไม่ต้องจากบ้านไปไกลเหมือนสมัยก่อน ซึ่งทำให้เศรษฐกิจอีสานดีขึ้น

จากประสบการณ์ที่ผ่านมา ผมไม่เชื่อว่าพรรคไหนเพื่อใคร มันไม่เคยมีจริง พรรคนี้ของคนอีสาน คนเหนือ พรรคนั้นของคนใต้ พรรคนี้สำหรับคนรุ่นใหม่ (ปล.30 ปีที่แล้วก็มีพรรคลักษณะนี้นะ) มันเพียงวาทะกรรมเพื่อสร้างกลุ่มและความจงรัก ให้กับหัวหน้าพรรคโดยไม่จำเป็นต้องดูผลงาน

สำหรับผมเอง ผลงานสำคัญ กว่าการยึดถือในตัวพรรค พรรคไหน ‘ชนะ-แพ้’ ผมเฉยๆ 

ประเทศเจริญ-ถดถอย ผมสนใจในส่วนนั้น

ใน 8 ปีนี้ ผมเห็นอะไร กับการทำงานรัฐบาล ส่วนการเลือกตั้งหนนี้ หากจะวิเคราะห์นโยบาย ผมขอไม่พูดถึงแล้วกัน เพราะปกติ ชอบมองสิ่งเขาพัฒนา และนำมาคิดตามว่า ทำไปทำไม สิ่งเกิดขึ้น จะมีอะไรเกิดขึ้นต่อไป ดังนี้...

1 ด้านคมนาคม และ โครงสร้างพื้นฐาน >> ยอมรับว่า 50 ปีที่เกิดมา และ 30 ปีที่เริ่มสนใจการเมือง รัฐบาลนี้ สร้างโครงสร้างพื้นฐานที่ก้าวกระโดดมากๆ และสร้างไปทั้งประเทศ และสร้างเร็วกว่าที่เคยเป็นมา
1.1 รถไฟรางคู่ แทบทั่วประเทศ ที่ไม่เคยมีคนสนใจตั้งแต่สมัย ห้าสิบปี เหมือนเดิมมากๆๆๆ 
1.2 รถไฟความเร็วสูง แม้กู้เงินมาทำ แต่ทำให้ภาคอีสาน มากสุดเลยว่าไหม ยังมีภาคตะวันออกเชื่อมสนามบิน
1.3 รถไฟสายใหม่เชื่อมต่อให้คนอีสาน สายบ้านไผ่ นครพนม และ ภาคเหนือ เด่นชัย เชียงราย เชียงของ
1.4 การขยายถนนข้ามจังหวัด แบบเลนสวน เป็น สี่ หก เลน และ ขยายถนน เยอะมาก
1.5 กทม. มีประชากรหนาแน่น รถไฟฟ้า เพิ่มขึ้นจนเต็มพื้นที่ ทำให้การเดินทางด้วยรถไฟฟ้าเพิ่มขึ้นในอนาคต ถ้าทำเสร็จเห็นว่าเป็นอันดับ 3 ของเอเชียทีเดียว
1.6 การเปลี่ยนรถเมล์ ประมูลใหม่ได้ ไทยสมายล์บัสมาเป็นรถไฟฟ้า และ ข้อดี เป็นรถที่ผลิตในไทย ตรงนี้แจ่มมาก
1.7 เปลี่ยนหัวลากดีเซลเดิม เป็นหัวลากใหม่สีแดง ลากดีขึ้นและลดมลพิษ สั่งมา 50 หัวลาก
1.8 ชอบเลย คือ พัฒนา ให้ไทยผลิตได้เอง ไม่ว่าจะเป็นหัวรถลาก EV ที่ตั้งไลน์ผลิต ตู้โดยสาร จนตู้โดยสารไฮเทค ที่ สจล. รัฐ สนับสนุน รถเมล์ไฟฟ้า เรือ ไฟฟ้า

พูดถึงทำไม? 
ถ้าผลิตรถไฟฟ้าได้มาก ก็มีคนมาลงทุนมากขึ้น ย้อนกลับไปก่อนหน้า รัฐบาลส่งเสริมให้ตั้งโรงงานแบตเตอรี ในไทย และ เซมิคอนดักเตอร์ในไทย ทำให้ การมีแบตเตอรีที่ผลิตได้ในไทยเป็นกลไก ในการขับเคลื่อน 

จุดสำคัญที่เกิดขึ้นนั้น ทำให้เกิดความน่าลงทุนในทุกภาค โดยเฉพาะภาคอีสาน

'สวนดุสิตโพล' เผยผลสำรวจ ‘ประชาชนอยากบอกอะไร ครม.เศรษฐา 1’ พบ!! ขอให้บริหารชาติด้วยความโปร่งใสและอย่าลืมเงินดิจิทัล 10,000

(8 ก.ย. 66) ‘สวนดุสิตโพล’ มหาวิทยาลัยสวนดุสิต เปิดเผยผลสำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง ‘ประชาชนอยากบอกอะไร ครม.เศรษฐา 1’ กลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,042 คน (สำรวจทางภาคสนามและออนไลน์) ด้วยแบบสอบถามแบบปลายเปิด (ให้ผู้ตอบเขียนคำตอบด้วยตนเอง) สำรวจระหว่างวันที่ 4 - 7 กันยายน 2566 พบว่า

สิ่งที่อยากบอกกับนายกรัฐมนตรี คือ อยากให้บริหารประเทศด้วยความโปร่งใส คำนึงถึงประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชน ร้อยละ 45.99 ใช้ความสามารถในการเป็นผู้บริหารธุรกิจมาใช้ในการบริหารประเทศ ร้อยละ 31.02 และทำตามนโยบายที่ให้ไว้ โดยเฉพาะเงินดิจิทัล 10,000 บาท ร้อยละ 28.10

สิ่งที่ประชาชนอยากบอกรัฐมนตรีแต่ละกระทรวง อันดับ 1 มีดังนี้

1.รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ทำงานรวดเร็ว สื่อสารชัดเจน ร้อยละ 51.43

2.รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรม บังคับใช้กฎหมายอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ ร้อยละ 65.76

3.รัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ ควบคุมราคาสินค้ าไม่ให้แพงเกินไป ร้อยละ 65.47

4.รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหม ไม่เป็นเครื่องมือทางการเมือง รับฟังความเห็นทุกฝ่าย ร้อยละ 48.90

5.รัฐมนตรีกระทรวงสาธารณสุข เพิ่มสิทธิสวัสดิการรักษาให้กับประชาชนอย่างทั่วถึง ร้อยละ 72.50

6.รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศ ยกระดับประเทศไทยสู่สากล สร้างชื่อเสียงให้เป็นที่ยอมรับ ร้อยละ 61.11

7.รัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ควบคุมราคาพลังงาน แก้ปัญหาราคาแพง ร้อยละ 68.25

8.รัฐมนตรีกระทรวงการคลัง บริหารงบประมาณให้เกิดประโยชน์สูงสุด มีวินัยทางการเงิน ร้อยละ 70.77

9.รัฐมนตรีกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา กระตุ้นการท่องเที่ยวและการกีฬา ร้อยละ 40.96

10.รัฐมนตรีกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ดูแลผู้ด้อยโอกาส ผู้สูงอายุ คนยากจน ลดความเหลื่อมล้ำ ร้อยละ 46.13

11.รัฐมนตรีกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม พัฒนาการวิจัยเทคโนโลยี นำนวัตกรรมใหม่ ๆ มาใช้ ร้อยละ 42.26

12.รัฐมนตรีกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ แก้ปัญหาราคาพืชผลตกต่ำ ประกันราคา ร้อยละ 64.14

13.รัฐมนตรีกระทรวงคมนาคม ขยายเส้นทาง เชื่อมต่อการคมนาคม ร้อยละ 54.79

14.รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม แก้ปัญหามิจฉาชีพ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ร้อยละ 42.51

15.รัฐมนตรีกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม อนุรักษ์ ฟื้นฟูธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง ร้อยละ 59.45

16.รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทย ไม่รับสินบน โปร่งใส ตรวจสอบได้ ร้อยละ 43.61

17.รัฐมนตรีกระทรวงแรงงาน ขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ ร้อยละ 65.97

18.รัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรม สืบสานวัฒนธรรมไทยให้สืบต่อไป ร้อยละ 53.98

19.รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ มีนโยบายทุนเรียนฟรีถึงปริญญาตรี ร้อยละ 53.09

20.รัฐมนตรีกระทรวงอุตสาหกรรม ส่งเสริมสินค้าอุตสาหกรรมไทย สินค้าการเกษตร ร้อยละ 45.45 

นางสาวพรพรรณ บัวทอง นักวิจัย สวนดุสิตโพล กล่าวว่า จากผลการสำรวจจะเห็นได้ว่า หลังจากที่มีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่และประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีเศรษฐา 1 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ประชาชนก็อยากให้แต่ละกระทรวงทำงานบนความรับผิดชอบตามเนื้องานของแต่ละกระทรวงให้ดียิ่งขึ้น ทำตามนโยบายที่หาเสียงไว้ แก้และสะสางปัญหาเก่า พัฒนาสิ่งใหม่ ส่งเสริมจุดเด่นของประเทศไทยนำไปต่อยอด นำเทคโนโลยีมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ทั้งนี้มาตรฐานขั้นพื้นฐานในการทำงานคือต้องมีความซื่อสัตย์ โปร่งใส และทำเพื่อประเทศชาติ จึงนับว่าเป็นโอกาสอันดีที่รัฐบาลใหม่จะสร้างผลงานให้เป็นรูปธรรมเพื่อพิสูจน์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ต่อไป

 

'มือเศรษฐกิจจุลภาค' ห่วง!! 'การบ้านการเมือง' ไม่ใช่ของเล่น ปล่อยคนขาดประสบการณ์ แต่เรียนเก่งมาทำงาน อาจเสียหาย

(20 ต.ค. 66) นายพลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์ มือเศรษฐกิจจุลภาค อดีตเลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก 'Ta Plus Sirikulpisut' ระบุว่า...

คุณไหม ศิริกัญญา หัวหน้าทีมเศรษฐกิจพรรคก้าวไกล ปะทะกับ 2 คุณหมอ ที่ผมเคารพท่านเป็น อาจารย์ 

ปะทะ หมอเลี้ยบ, คุณไหม มองว่าประเทศไทยมีศักยภาพต่ำ การกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐไม่ส่งผลมาต่อ GDP คุณหมอเลี้ยบบอกว่า เราไม่ได้เป็นลา แต่เป็นแค่ม้าป่วย ที่รักษาแล้วก็เป็นม้าที่แข็งแรง

หากเทียบกับ (สิงค์โปร์ที่ไม่มีทรัพยากร เขาก็พัฒนาจนก้าวหน้าได้ ไทยดีกว่านั้นเยอะ พัฒนาได้ อันนี้ผมเสริม)

ปะทะหมอมิ้ง, คุณไหม บอกว่าเงิน Digital สร้างภาระการคลัง ดอกเบี้ยจ่ายอย่างน้อย 50,000 ล้านบาท คุณหมอมิ้งสอนมวยว่า 30,000 ล้านเท่านั้นเพราะแผนการจะนำเงินงบประมาณมาชำระต้นและดอกเบี้ยทุกปี จะต้องมีการลดเงินต้นดอกเบี้ยก็ลดลง แถมโดนว่าเก่งบัญชีนิ

แต่มีผู้อ้างว่าตนเก่งการเงินไปย้อนคุณหมอว่า Bond fixed ดอกเบี้ย คุณไหมถูกแล้ว

ผมก็ขอเรียนว่า คนตอบแบบนี้ส่วนใหญ่เก่งแต่ในตำราเรียน ไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานชั้นสูง คุณไหมเอง เป็นนักวิชาการเป็นแค่ที่ปรึกษา ไม่เคยทำงานจริง

การออก Bond นั้นเราสามารถกำหนดอายุ Bond และหากเรามีรายได้เพื่อชำระหนี้ก็สามารถกำหนดอายุชำระเงินต้นก่อน และดอกเบี้ยจ่ายก็ลดลง

หรือ หากไม่แน่ใจ เราก็ตั้งเงื่อนไขใน Bond ให้ผู้ออก Bond สามารถ Call ได้เพื่อลดภาระ

ถ้าหากมาถกเถียงเพื่อเกิดปัญญาก็ดี แต่หากมาบริหารราชการแล้วมีความรู้แค่ระดับนักวิชาการหรือ ที่ปรึกษามันจะทำให้ประเทศเราเสียหายมากนะครับ

ลองกลับไปทำงานประจำ แล้วค่อย ๆ ฝึกหัดเลื่อนตำแหน่งเป็น CFO บริษัทใหญ่ ๆ มียอดขายสัก แสนล้านก่อนค่อยมาอาสาเป็น ว่าที่ รมว.คลัง

การทำงานการเมืองไม่ได้เป็นของเล่นให้คนขาดประสบการณ์แต่เรียนเก่งมาทำงานครับ 

ต๊ะ พลัฏฐ์ ศิริกุลพิสุทธิ์


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top