Tuesday, 7 May 2024
ต่างด้าว

“ตม.จว.สุราษฎร์ธานี” สนองนโยบาย ผบ.ตร.- ผบช.สตม. นำรถยนต์ตรวจการณ์อัจฉริยะ (BMW) ออกตรวจเข้ม!! จับกุมชาวอังกฤษอยู่เกินวีซ่าหลบในไทย ถูกดำเนินคดีและผลักดันส่งกลับ ติดแบล็คลิสยาว 5 ปี

วันนี้ 16 ต.ค.2564 เวลา 13.00 น. พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ พันธ์โกศล ผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี แถลงผลการจับกุมบุคคลต่างด้าวที่กระทำผิดกฎหมาย โดย ผกก.ตม.จว. สุราษฎร์ธานี สั่งการการให้ พ.ต.ท.ชาตรี ชูแก้ว รองผกก.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, พ.ต.ท.ธีระวัฒน์ อํานาจเจริญยิ่ง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ร.ต.อ.สิริวัฒน์ สมหวัง รองสว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, ร.ต.ท.ประมุข กองกุล รอง สว.ตม.จว.สุราษฎร์ธานี, ด.ต.ภรภัทร เมืองชู, ด.ต.ธเนศพล สำลี, ด.ต.สิทธิชัย รอดเอียด และ ส.ต.อ.พนมกร สากุลา ผบ.หมู่ ตม.จว.สุราษฎร์ธานี ได้นำรถยนต์ไฟฟ้าตรวจการณ์อัจฉริยะ BMW ออกตรวจพื้นที่ตามมาตรการป้องกันปราบปรามการกระทำผิด เพื่อป้องกันผู้ที่กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตราย และความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน 

โดยเมื่อวันที่ผ่านมาได้ร่วมกันจับกุมตัว Mr.Craig Campbell อายุ 43 ปี สัญชาติ บริติช ได้ที่บริเวณ ริมถนนโฉลกรัฐ10/2 หมู่ 2 ต.บางกุ้ง อ.เมือง จว.สุราษฎร์ธานี โดยกล่าวหาว่า “เป็นบุคคลต่างด้าวอยู่ในราชอาณาจักรโดยการอนุญาตสิ้นสุด (อยู่เกินกำหนดอนุญาต 349 วัน)” และในชั้นจับกุม ผู้ถูกจับให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา จึงได้นำตัวผู้ถูกจับนำส่งพนักงานสอบสวน สภ.เมืองสุราษฎร์ธานี เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป และเมื่อคดีสิ้นสุดจะถูกผลักดันส่งกลับประเทศ และถูกห้ามกลับเข้ามาในประเทศไทยเป็นเวลา 5 ปี 

พ.ต.อ.ศุภฤกษ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า การจับกุมดังกล่าวเป็นไปตามนโยบายและมาตรการในการป้องกันปราบปรามของพล.ต.ท. ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต. อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม. และ พล.ต.ต.ประพันศักดิ์ประสานสุข ผบก.ตม.6 ที่ได้สั่งการให้ทุกหน่วยในสังกัด ดำเนินการสืบสวน ปราบปราม และเข้มงวดกวดขัน จับกุมคนต่างด้าวที่กระทำผิดตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง และเน้นย้ำให้เพิ่มความเข้มงวดเป็นพิเศษในการป้องกันปราบปรามบุคคลต่างด้าวที่เข้ามาอาศัยอยู่ในประเทศไทยแล้วกระทำผิดกฎหมาย  ซึ่งถือว่าเป็นพฤติการณ์ที่เชื่อว่าเป็นภัยต่อสังคมหรือจะก่อเหตุร้ายให้เกิดอันตรายต่อความสงบสุขหรือความปลอดภัยของประชาชน และความมั่นคงของประเทศได้ 

ตม.โคราช สกัดเข้มต่อเนื่อง!! สืบข่าวจนสามารถจับรถตู้ เย้ยกฎหมายขนต่างด้าวกว่า 20 ราย มุ่งเข้ากรุง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาเพื่อท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิต  และทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศสกัดกั้นการลักลอบเข้า-ออกต่างประเทศโดยผิดกฎหมาย

สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. พร้อมด้วย พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน  ไกรทอง รอง ผบช.สตม., ได้สั่งการให้  พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์  ผบก.ตม.4, พ.ต.อ.เอกกมนต์ พรชูเกียรติ รอง ผบก.ตม.4 ,พ.ต.อ.วีรยศ การุณยธร รอง ผบก.ตม.4,พ.ต.อ.ปรีชา กองแก้ว รอง ผบก.ตม.4 และ พ.ต.อ.วิทวัส บูรณะ ผกก.ตม.จว.นครราชสีมา ร่วมแถลงข่าวจับกุมผู้ต้องหา

ตม.จว.นครราชสีมา ร่วมบูรณาการตั้งด่านจุดตรวจยานพาหนะ อ.สีคิ้ว บก.ปส.2 จับกุมคนไทย 2 คนใช้รถตู้ขนบุคคลต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง 7 คน และ ข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 และข้อหา "ขัดคำสั่ง ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา"

ตามนโยบายของ ผบช.สตม.ให้ติดตามดำเนินคดีกับกลุ่มขบวนการลักลอบขนคนต่างด้าวเข้าเมือง เพื่อป้องกันการนำเชื้อไวรัสโคนา 2019 (โควิด-19) เข้ามาแพร่ระบาดในพื้นที่จังหวัดชั้นใน พล.ต.ต.เดชา กัลยาวุฒิพงศ์ ผบก.ตม.4 จึงสั่งการให้ ตม.จังหวัดในสังกัด บก.ตม.4 เพิ่มความเข้มในการสกัดจับกุมขบวนการลักลอบขนคนเข้าเมืองมาลงโทษ โดย บก.ตม.4 ได้มีผลการปฏิบัติมาอย่างต่อเนื่องตลอดมา จนกระทั่ง ได้รับแจ้งจากสายลับไม่ประสงค์ออกนามว่า จะมีการลักลอบขนคนต่างด้าว โดยใช้เส้นทาง สีคิ้ว จ.นครราชสีมา จึงประสาน เจ้าหน้าที่ชุดจับกุม ตม.จว.นครราชสีมา บูรณาการร่วมกับหน่วยงานข้างเคียงดักซุ่มรอจนกระทั่งพบรถตู้ลักษณะตรงกับที่ได้รับแจ้งขับขี่ผ่านมา จึงแจ้งชุดจับกุมที่ดักซุ่มอยู่ในเส้นทางเข้าสกัดจับ ผลการตรวจสอบพบรถยนต์ตู้สาธารณะไม่ประจำทาง ยี่ห้อโตโยต้า สีขาว ทะเบียน กทม. บรรทุกบุคคลต่างด้าวจำนวน 20 คน

สตม. ร่วมกับกรมการปกครอง ทลายเครือข่ายนายหน้า!! ‘นำคนต่างด้าวสวมบัตรประชาชนไทย’

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัย หรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์  แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม.ดำเนินการตรวจสอบชาวต่างชาติที่มีหมายจับตำรวจสากล หรือมีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน หรือเป็นลักษณะการกระทำผิดเข้าข่ายอาชญากรรมข้ามชาติ ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ

สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองโดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.ณฐพล แสวงกิจ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ยิ่งยศ  เทพจำนงค์ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม.,พล.ต.ต.ปิติ นิธินนทเศรษฐ์ ผบก.ตม.1, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.1, และ พ.ต.อ.กีรติศักดิ์ ก้องเกียรติศิริ ผกก.สส.บก.ตม.1 พร้อมชุดปฏิบัติการสืบสวนฯ

ร่วมแถลงข่าวการจับกุมคนร้าย ดังนี้ 

เจ้าหน้าที่ตำรวจ กก.สส.บก.ตม.1 ได้ทราบข้อมูลจากสายลับว่ามีขบวนการรับจ้างสวมบัตรประชาชนไทย ให้กับบุคคลต่างด้าว ที่มีความประสงค์จะมีบัตรประชาชนไทย โดยอาศัยช่องโหว่และขั้นตอนกระบวนการอันทุจริต ไม่เป็นไปตามกฎหมาย นับเป็นหนึ่งในภัยคุกคามต่อความมั่นคงในราชอาณาจักร สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง โดยกองกำกับการสืบสวน กองบังคับการตรวจคนเข้าเมือง 1 ได้เร่งลงพื้นที่สืบสวนหาข่าว จนทราบแหล่งที่ซ่อนตัว ของบุคคลต่างด้าวสัญชาติจีนรายหนึ่ง คือนายเหม่ย และบุคคลต่างด้าวสัญชาติมาเลเซียอีกรายหนึ่งคือนางสาวซุน หลังตรวจพบมีพฤติกรรมในการแอบอ้าง สวมรายการข้อมูลบัตรประชาชนบุคคลสัญชาติไทย ที่ปรากฏข้อมูลอยู่บนฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์แต่ไม่มีความเคลื่อนไหวทางทะเบียน จึงได้สืบสวนติดตามจนนำไปสู่การจับกุม ผู้ต้องหาให้การสารภาพโดยรับว่าได้ว่าจ้างให้นายหน้าคนไทยดำเนินการโดยเสียค่าจ้างไปเป็นจำนวนเงินกว่า 1 ล้านบาท

โดยในการสืบสวนในครั้งนี้ ทางสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองได้รับความร่วมมือในการประสานงานข้อมูลทางทะเบียนในเชิงลึก กับทางสำนักการสอบสวนและนิติการ กรมการปกครอง จนทราบข้อมูลโครงข่ายและแผนประทุษกรรมของขบวนการสวมบัตรประชาชนไทยให้กับบุคคลต่างด้าวโดยทุจริต ดังนี้

สืบเนื่องจากเมื่อช่วงเดือนเมษายน 2563 ที่ผ่านมา ส่วนป้องกันและปราบปรามการทุจริต สำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง ได้ตรวจสอบพบความผิดปกติทางทะเบียนและบัตรประจำตัวประชาชน ของ สำนักทะเบียน อ.วังม่วง จ.สระบุรี จนนำไปสู่การดำเนินคดีกับขบวนการนายหน้านำพาคนต่างด้าวสวมตัวทำบัตรประจำตัวประชาชน จำนวน  4 ราย โดยมีแผนประทุษกรรมและตัวละครที่เกี่ยวข้องคือ นางเล็ก (นามสมมติ) แม่บ้านผู้ดูแลความสะอาดเรียบร้อยในที่ว่าการ อ.วังม่วง ได้ลักลอบทำปลอมลูกกุญแจ ห้องสำนักทะเบียนอำเภอวังม่วง และแอบนำบัตรประจำตัว

ประชาชนและรหัสผ่านเข้าระบบของปลัดอำเภอวังม่วง จำนวน 3 คน และนำไปมอบให้กับ นางน้อย (นามสมมติ) พนักงานลูกจ้างที่ทำงานอยู่ที่สำนักทะเบียน อ.วังม่วง โดยนางเล็ก และนางน้อย ยังได้ร่วมกับนายหน้าและผู้ร่วมขบวนการอีก 2 ราย คือ นางสม (นามสมมติ) ซึ่งมีหน้าที่ติดต่อ ชักชวน และนำพาคนต่างด้าวมาที่ อ.วังม่วง และ นายศักดิ์ (นามสมมติ) ซึ่งยินยอมเป็นเจ้าบ้าน ให้บุคคลต่างด้าวที่สวมบัตรเรียบร้อยแล้ว จดแจ้งเข้าเป็นผู้อาศัยโดยทุจริต

คดีนี้ได้มีการดำเนินคดีกับผู้ร่วมขบวนการทั้งหมด ตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันนำเข้าข้อมูลอันเป็นเท็จในระบบทะเบียนราษฎรและนำคนต่างด้าวสวมตัวคนไทยทำบัตรประจำตัวประชาชน ตาม พ.ร.บ.บัตรประจำตัวประชาชน พ.ศ. 2526 พ.ร.บ.การทะเบียนราษฎร พ.ศ.2534, พ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 และประมวลกฎหมายอาญาในฐานความผิดเกี่ยวกับการแจ้งข้อความอันเป็นเท็จแก่เจ้าพนักงาน, ความผิดเกี่ยวกับการทำลายเอกสารของ และความผิดเกี่ยวกับการปลอมหรือการแปลง

 

 

จับอีก 2 ล็อตใหญ่แรงงานพม่าหนีเข้าเมือง จ่ายค่าหัว 2 หมื่น แลกเข้าสมุทรสาคร

เมื่อวันที่ 25 ตุลาคม 2564 ขณะที่เจ้าหน้าที่ทหารหน่วยเฉพาะกิจลาดหญ้า กองกำลังสุรสีห์ (กกล.สุรสีห์) เจ้าหน้าที่ทหารชุดปฏิบัติการข่าว กกล.สุรสีห์ เจ้าหน้าที่ ร้อย.ตชด.136 เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.ไทรโยค เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง อ.ไทรโยค รวมทั้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุข อ.ไทรโยค ปฏิบัติหน้าที่ เพื่อป้องกันการลักลอบหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมาย ตามนโยบายของผู้บังคับบัญชาที่บริเวณบ้านพุน้อย หมู่ 7 ต.ลุ่มสุ่ม อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี 

ระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่พบรถตู้หมายเลขทะเบียนนครปฐม วิ่งผ่านมา เจ้าหน้าที่จึงเรียกให้หยุดเพื่อขอตรวจค้น ผลปรากฏพบแรงงานชาวเมียนมาหลบหนีเข้าเมืองโดยผิดกฎหมายนั่งมาเต็มคันรถ นับรวมกันได้ 14 คน เป็นชาย 10 คน หญิง 4 คน ครั้งนี้เจ้าหน้าที่ได้ทำการจับกุมตัวผู้ต้องหาชาวไทยที่เป็นผู้นำพาได้ 2 คน ประกอบด้วยนายหรรษา อายุ 27 ปี คนขับ และ นายสุพล อายุ 30 ปี ทั้ง 2 เป็นชาว ต.ท่าเสา อ.ไทรโยค 

จากการสอบถามผู้ต้องหาที่เป็นแรงงานชาวเมียนมา ทราบว่าทั้งหมดเดินทางมาจากกรุงย่างกุ้ง ประเทศเมียนมา เมื่อข้ามมาถึงชายแดนฝั่งไทย ผู้ต้องหาคนไทยทั้ง 2 คน ได้ขับรถตู้มารับเพื่อมุ่งหน้าไปทำงานในพื้นที่จังหวัดชั้นใน แต่เบื้องต้นยังไม่ทราบว่าจะไปทำงานในพื้นที่ใด โดยได้จ่ายค่าหัวให้กับผู้นำพาไปแล้วคนละ 20,000 บาท เบื้องต้นเจ้าหน้าที่ได้คุมตัวแรงงานชาวเมียนมา รวมทั้งผู้ต้องหาที่เป็นชาวไทย ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ไทรโยค เพื่อสอบปากคำเพิ่มเติมก่อนที่จะดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

“โฆษกกห.”​ ยันฝ่ายมั่นคงหนุนรัฐบาลเปิดประเทศ​ พร้อมตรึงกำลังเข้มสกัดแรงงานต่างด้าวลอบเข้าเมือง  วอนนายจ้างหยุดสั่งนำเข้าแรงงานเถื่อนหวั่นโควิดระบาดอีกระลอก

พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกกระทรวงกลาโหม​ กล่าวว่า ฝ่ายความมั่นคง พร้อมสนับสนุนรัฐบาลรับการเปิดประเทศในวันที่​1พ.ย.2564 โดย พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม ได้ย้ำนโยบาย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรมว.กลาโหมกับทุกเหล่าทัพ ให้กองกำลังป้องกันชายแดนทั้งทางบกและทางน้ำคงตรึงกำลังเข้มเฝ้าระวังชายแดน สกัดกั้นการลักลอบเข้าเมือง ยาเสพติด อาวุธสงครามและสินค้าผิดกฏหมายบริเวณพื้นที่ชายแดนรอบประเทศต่อเนื่อง โดยเฉพาะชายแดนเมียนมาและกัมพูชา ที่พบการลักลอบเข้าเมืองมากขึ้น

พล.อ.ประยุทธ์​ กำชับทุกเหล่าทัพให้ประสานงานกับฝ่ายปกครอง ตำรวจและส่วนราชการที่เกี่ยวข้องสกัดกั้นปราบปรามขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้าเมืองในพื้นที่ชายแดนและพื้นที่ชั้นใน พร้อมสนับสนุน แนะนำกำกับการปฏิบัติของประชาชนให้เป็นไปตามมาตรการควบคุมโรคที่กำหนด  

ทั้งนี้ขอให้เฝ้าระวังติดตามสถานการณ์ ไม่ประมาทเตรียมให้การสนับสนุนมาตรการจำกัดควบคุมโรคเร่งด่วนเป็นพื้นที่ หากมีปัญหาการแพร่ระบาดเป็นกลุ่ม ส่วนพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ที่มีการแพร่ระบาดเริ่มมีแนวโน้มลดลง ขอให้คงร่วมกันสร้างความเข้าใจกับประชาชนในพื้นที่ เพื่อรับวัคซีนและลดพฤติกรรมเสี่ยงที่อาจเป็นปัญหาต่อการควบคุมโรค


 โฆษกกลาโหม.กล่าวว่าฝ่ายความมั่นคงต้องขอความร่วมมือผู้ประกอบการ หยุดจ้างแรงงานผิดกฎหมายเข้าทำงาน เนื่องจากไม่ผ่านการคัดกรองควบคุมโรค ซึ่งจะสร้างปัญหาการกลับมาแพร่ระบาดความเสียหายต่อส่วนรวมระยะยาวในสถานการณ์และโอกาสที่เรากำลังเปิดประเทศและกลับมาใช้ชีวิตปกติในวิถีใหม่ร่วมกัน


 

ตำรวจยังเข้ม!! ‘ผบ.ตร.’ สั่งทุกพื้นที่กวดขันมาตรการโควิด ตรึงชายแดน - สกัดต่างด้าว! ส่วนสถานบันเทิง รอก่อน

30 พ.ย. 64 พล.ต.ต.ยิ่งยศ เทพจำนงค์ โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เปิดเผยว่า ตามที่ศูนย์บริหารสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (โควิด-19) หรือ ศบค. ได้เผยแพร่แนวทางการดำเนินการตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ล่าสุด คือ ยกเลิกพื้นที่ควบคุมสูงสุดและเข้มงวด (สีแดงเข้ม), ยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วประเทศ, ผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศเพิ่มเติมเพื่อให้การเดินทางเข้ามาในประเทศสะดวกมากยิ่งขึ้น คือ ผู้เดินทางที่มีผลตรวจ RT-PCR เป็นลบภายใน 72 ชั่วโมง เมื่อเดินทางถึงไทยให้ตรวจด้วยชุดตรวจ ATK เท่านั้น และเปิดพื้นที่กักตัวแรงงานข้ามชาติใน 5 จังหวัด คือ ตาก ระนอง หนองคาย มุกดาหาร และสระแก้ว 

เพื่อป้องกันการลักลอบเข้าประเทศและเพื่อให้ง่ายต่อการจัดการควบคุมโรค นอกจากนี้ยังให้ สถานบันเทิง ผับ บาร์ในพื้นที่นำร่องท่องเที่ยว (สีฟ้า) และพื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) เตรียมความพร้อมการเปิดดำเนินการ โดยให้ปรับปรุงสภาพแวดล้อม ระบบระบายอากาศ และเร่งรัดให้บุคลากรได้รับวัคซีน 100% และให้ซักซ้อมความเข้าใจมาตรฐานเพื่อให้ กระทรวงมหาดไทย, กระทรวงสาธารณสุข และคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด/กทม. ทำการประเมินและออกใบอนุญาตต่อไป นั้น  

ล่าสุด กรุงเทพมหานครได้ออกประกาศ เรื่อง สั่งปิดสถานที่เป็นการชั่วคราว (ฉบับที่ 47) เพื่อให้การดำเนินการมาตรการควบคุมและป้องกันโรคในพื้นที่แบบบูรณาการเป็นไปอย่างต่อเนื่อง และเป็นการผ่อนคลายให้บางสถานที่สามารถดำเนินการหรือทำกิจกรรมบางอย่างได้ภายใต้เงื่อนไขเวลา การจัดระเบียบ และมาตรการการป้องกันที่ทางราชการกำหนด เพื่อการดำเนินการขับเคลื่อนด้านเศรษฐกิจ ดังนั้น คณะกรรมการโรคติดต่อกรุงเทพมหานคร จึงมีมติเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายน 2564 ให้ผ่อนคลายมาตรการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร โดยสรุปได้ดังนี้

 

>>ให้ปิดสถานบริการ สถานประกอบการที่มีลักษณะคล้ายสถานบริการ สถานบันเทิง ผับ บาร์  คาราโอเกะ หรือสถานที่อื่นที่มีลักษณะคล้ายกัน และ สถานประกอบกิจการอาบอบนวด ร้านจำหน่ายอาหารหรือเครื่องดื่ม ที่ผ่านการตรวจประเมินตามมาตรฐานความปลอดภัยด้านสุขอนามัย (Amazing Thailand Safety & Health Administration) ในระดับSHA ของกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สามารถให้บริการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในร้านได้ถึง 23.00 น. ตั้งแต่วันที่ 1 ธันวาคม 2564 เป็นต้นไป จนกว่าจะมีการเปลี่ยนแปลง

>> สถานที่อื่นนอกจากที่ได้เคยมีคำสั่งให้ปิดสถานที่และได้รับการผ่อนคลายจากประกาศนี้ให้เปิดดำเนินการได้ภายใต้เงื่อนไข เงื่อนเวลา การจัดระบบ ระเบียบ และ มาตรการป้องกันโรคที่ทางราชการกำหนด เช่น มาตรการ DMHTTA มาตรการป้องกันการติดเชื้อแบบครอบจักรวาล มาตรการปลอดภัยสำหรับองค์กร รวมทั้งมาตรการตามกฎหมายว่าด้วยโรคติดต่อที่หน่วยงานที่เกี่ยวข้องกำหนดขึ้นเป็นการเฉพาะโดยเคร่งครัด และ ได้รับอนุญาตให้ดำเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง

ผู้ฝ่าฝืนไม่ปฏิบัติตามอาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.โรคติดต่อ พ.ศ.2558 มาตรา 51 ต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท หรือมาตรา 52 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 100,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ แล้วแต่กรณี และอาจมีความผิดตามมาตรา 18 แห่ง พรก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับไม่เกิน 40,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ได้มีการกำชับอย่างต่อเนื่อง ไปยังหน่วยงานตำรวจทั่วประเทศ โดยเสริมจากแนวทางการดำเนินการตามมาตรการป้องกันควบคุมโรคโควิด-19 ของ ศบค. ให้กวดขันสถานประกอบการในพื้นที่สถานที่ที่จะเป็นคลัสเตอร์ของการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19  รวมถึงสถานบริการ บ่อนการพนัน ที่อาจลักลอบดำเนินการอย่างผิดกฎหมาย หากพบพื้นที่ใด มีการปล่อยปละละเลยให้มีการกระทำผิด ผู้บังคับการที่ควบคุมพื้นที่นั้นๆ จะต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย  หากพบว่ามีเจ้าหน้าที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการกระทำผิด จะดำเนินการทั้งทางวินัยและทางอาญา และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ได้จัดให้มีการประชุมศูนย์ปฏิบัติการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินด้านความมั่นคง สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ครั้งที่ 62/2564 วันที่ 30 พฤศจิกายน 2564 

โดยมี พล.ต.ท.ภาณุรัตน์ หลักบุญ รองจเรตำรวจแห่งชาติ เป็นประธาน ได้มีสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินการกวดขันสถานบริการที่ฝ่าฝืนข้อกำหนด ทั้งสถานบริการ บ่อนการพนัน และสถานที่ที่จะเป็นคลัสเตอร์ของการแพร่ระบาดของโควิด-19, เพิ่มความเข้มงวดมาตรการป้องกันและสกัดกั้นแรงงานต่างด้าวลักลอบหลบหนีเข้าเมือง การค้ามนุษย์ การค้ายาเสพติด อาวุธสงคราม และสินค้าผิดกฎหมาย ตามแนวชายแดน และให้กำกับดูแลการจัดกิจกรรม ที่มีการรวมกลุ่มของคนจำนวนมาก

รมช. กลาโหม รับเมียนมาทะลักเข้าไทยอยู่ศูนย์พักพิงชั่วคราวกว่า 2,000 คนแล้ว

ที่กระทรวงกลาโหม พล.อ.ชัยชาญ ช้างมงคล รมช.กลาโหม กล่าวถึง กรณีที่ผู้หนีภัยจากการสู้รบในพื้นที่ชายแดนประเทศเมียนมา และได้เข้าไทยบริเวณชายแดนแม่สอด จังหวัดตากอย่างผิดกฎหมายหลังมีสงครามภายใน ว่าพยายามที่จะดูแลพี่น้องประชาชนอย่างดีที่สุดโดยให้ศูนย์บัญชาการชายแดนจังหวัดตาก และหน่วยทหารในพื้นที่ร่วมการสนับสนุนการดำเนินการ 

'ผบ.ตร' เป็นประธานอบรมพนักงานสอบสวน และทีมงานสหวิชาชีพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคุ้มครองแรงงานแก่คนต่างด้าว

ที่ห้องประชุมออคิดบอลรูม  โรงแรมพูลแมนขอนแก่น จว.ขอนแก่น พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. ประธานพิธีเปิดโครงการอบรมสัมมนาพนักงานสอบสวน และทีมงานสหวิชาชีพเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพด้านการคุ้มครองแรงงานแก่คนต่างด้าว และการป้องกันการละเมิดสิทธิตามกฎหมายแรงงาน อันจะนำไปสู่ปัญหาการค้ามนุษย์
 

ครม.ไฟเขียว ต่ออายุแรงงานต่างด้าว 3 สัญชาติ ที่จะครบวาระทำงานปี 65 ออกไปอีก 2 ปี

ที่ทำเนียบ รัฐมนตรี นายธนกร วังบุญคงชนะ โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.)ว่า ครม.เห็นชอบ การบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว 3 สัญชาติ ได้แก่ กัมพูชา ลาว และเมียนมา ที่เข้ามาทำงานตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือด้านแรงงาน ภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการจ้างงาน ในปี 2561 ที่จะครบวาระการจ้างงาน 4 ปี ในระหว่างวันที่ 1 ม.ค. 2565 ถึง 31 ธ.ค. 2565ให้ขออนุญาตทำงานหรือขอต่ออายุใบทำงานและขอรับการตรวจอนุญาต เป็นการชั่วคราวต่อไปได้ ไม่เกิน 2 ปี โดยไม่ต้องเดินทางกลับออกไป

นายธนกร กล่าวว่า การต่ออายุดังกล่าวเพื่อแก้ไขปัญหา คนต่างด้าวไม่สามารถเดินทางเข้าและออกประเทศไทยได้สะดวกเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโควิด-19 และตอบสนองต่อนายจ้าง หรือผู้ประกอบการ ที่ยังมีความต้องการแรงงานที่เป็นคนต่างด้าว เพื่อให้ภาคธุรกิจและเศรษฐกิจของประเทศสามารถขับเคลื่อนต่อไปได้ และสร้างความเข้มแข็งให้กับระบบเศรษฐกิจของประเทศ

จับกุมเครือข่ายขบวนการนำพาคนต่างด้าวหลบหนีเข้าเมือง

ตามนโยบายของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เรื่องการควบคุมกำกับดูแลชาวต่างชาติที่เข้ามาพำนักอาศัยหรือเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.สุวัฒน์ แจ้งยอดสุข ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ รอง ผบ.ตร. มอบหมายให้ สตม. ดำเนินการตรวจสอบชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือกลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุกับคนไทยหรือชาวต่างชาติ โดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิดสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง

โดย พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม. มอบหมายให้ พล.ต.ต.อาชยน ไกรทอง รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ประพันธ์ศักดิ์ ประสานสุข ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ไพรัช พุกเจริญ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ยศเอก รักษาสุวรรณ รอง ผบก.ตม.6, พ.ต.อ.ภคยศ ทนงศักดิ์ผกก.สส.บก.ตม.6 และ พ.ต.อ.สมชาย จิตสงบ ผกก.ตม.จว.ระนอง ร่วมกันแถลงข่าว ดังนี้
 คดีจับกุมเครือข่ายขบวนการลักลอบนำพาคนต่างด้าวเข้ามาในราชอาณาจักร เจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนปราบปราม ตม.จว.ระนอง, สนธิกำลังร่วมกับ กก.สส.ภ.8,  กก.5 บก.ปคม., ส.ทท.2 กก.2 บก.ทท.3 และ เจ้าหน้าที่ทหาร ร้อย ร.2521 ฉก.ร.25

ได้รับแจ้งเบาะแสจากสายข่าวว่ามีขบวนการขนแรงงานต่างด้าวลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจากพื้นที่ อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปยัง จว.ชุมพร โดยใช้เส้นทางหลบเลี่ยงสายซอยหินช้าง ม.3 ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง แล้วนำพาเดินเท้าข้ามภูเขาเพื่อหลบเลี่ยงด่านตรวจศิลาสลักของเจ้าหน้าที่ทหารบนเส้นทางหลัก เพื่อไปส่งต่อยังพื้นที่ จว.ชุมพร จึงวางแผนให้กำลังพลซุ่มตามเส้นทางที่ได้รับแจ้งข่าว เวลาประมาณ 22.15 น. เจ้าหน้าที่พบรถยนต์กระบะ ทะเบียนจังหวัดระนอง ขับขี่ผ่านจุดที่เจ้าหน้าที่วางกำลังซุ่มดูไว้ พบนายเสนอ หรือนุ้ย เป็นผู้ขับขี่ จอดรถลงเดินสะพายปืนลูกซองยาว และใช้ไฟฉายสำรวจเส้นทางสำหรับใช้ขนแรงงานต่างด้าว ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่ควบคุมตัวมาซักถามให้การวกวน มีพิรุธน่าสงสัย 

ต่อมามีรถจักรยานยนต์ ทะเบียนจังหวัดระนอง ขับขี่นำทางรถยนต์กระบะสี่ประตู ทะเบียนจังหวัดชุมพร ขับขี่เข้ามา ลักษณะตรงตามที่สายรายงานเจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ แต่ได้อาศัยความมืดวิ่งหลบหนีไป (ทราบชื่อในภายหลังชื่อนายอนุรักษ์ หรือตาล) และจากการตรวจสอบในรถยนต์กระบะพบว่าผู้ขับขี่ชื่อ นายมนตรี หรือชาญ อายุ 40 ปี ที่อยู่ ต.ปากน้ำ อ.เมือง จว.ระนอง ภายในรถยนต์พบ นายจอจอทวย อายุ 18 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 12 คน (เป็นแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย) ซักถามนายมนตรียอมรับว่าได้รับการว่าจ้างจากนายจอโปนาย สัญชาติเมียนมา และเป็นผู้จัดหารถยนต์มาจอดไว้ที่ปั๊มน้ำมัน ปตท.สาขาสะพานปลา

โดยให้นำรถยนต์ไปรับแรงงานต่างด้าวที่บริเวณ ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง เมื่อไปถึงให้ติดต่อประสานงานกับนาย พัลลภ หรือ หนอน และนาย สิทธิพงษ์ หรือ กัปตัน ทั้งสองคนจะทำหน้าที่ดูต้นทางและรับต่างด้าวขึ้นจากเรือ และทำหน้าที่นำพาแรงงานต่างด้าวมาขึ้นรถยนต์ จากนั้นก็ขับขี่มุ่งหน้ามาที่ซอยหินช้าง ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนองโดยมีนาย อนุรักษณ์ ทำหน้าที่ขับรถ จยย. นำทาง เพื่อไปส่งให้คนมารับ พาเดินเท้าอ้อมจุดตรวจด่าน จปร. ไปยังพื้นที่ จว.ชุมพร

ต่อมาเวลาประมาณ 23.05 น. มีรถยนต์กระบะสีขาวทะเบียนกรุงเทพมหานคร ขับตามเข้ามา เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวขอตรวจสอบ พบนายจรัญ หรือไข่ อายุ 42 ปี ที่อยู่ ต.บางนอน อ.เมือง จว.ระนอง เป็นผู้ขับขี่ ภายในรถยนต์บรรทุก นายเมาเอเว อายุ 27 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 17 คน (เป็นแรงงานต่างด้าวเข้าเมืองผิดกฎหมาย) ซักถามยอมรับว่าได้รับการว่าจ้างจากนางนุสรา หรือเนย ให้มารับแรงงานต่างด้าวที่ริมแม่น้ำกระบุรีในพื้นที่ ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง ไปส่งที่ซอยหินช้าง ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง ได้รับค่าจ้างเป็นเงิน 4,000 บาท/ครั้ง

และขณะที่เกิดเหตุ มีชาย 2 คนขับขี่รถจักรยานยนต์ทะเบียนจังหวัดระนองขับเข้ามา เจ้าหน้าที่แสดงตัวขอตรวจสอบ โดยทั้งสองคนได้ทิ้งรถจักรยานยนต์วิ่งหลบหนีไป จึงไล่ติดตามควบคุมตัวมาได้ 1 คน ชื่อ นายสิทธิพงษ์ หรือกัปตัน ให้การว่าชายที่นั่งซ้อนท้ายรถจักรยานยนต์มาด้วยและวิ่งหลบหนีไปชื่อ นายพัลลภ หรือหนอน

ซึ่งนายสิทธิพงษ์ กับนายพัลลภ เดินทางมาจากจุดที่แรงงานต่างด้าวหลบหนีขึ้นฝั่งบริเวณป่าจาก ต.มะมุ อ.กระบุรี จว.ระนอง โดยมีภาพถ่ายแรงงานต่างด้าวขณะขึ้นฝั่งในโทรศัพท์มือถือของ นายสิทธิพงษ์ มายืนยันกับเจ้าหน้าที่ และเมื่อจัดการให้แรงงานต่างด้าวขึ้นรถยนต์กระบะแล้ว นายพัลลภ ได้ใช้ให้ นายสิทธิพงษ์ ขับรถจักรยานยนต์มาส่งที่ นายเสนอ เพื่อจะร่วมกับ นายเสนอ ในการนำพาแรงงานต่างด้าวเดินเท้าหลบเลี่ยงจุดตรวจเจ้าหน้าที่ไปส่งยังพื้นที่ 
จว.ชุมพร ต่อไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ได้ไปตรวจสอบบริเวณจุดที่แรงงานต่างด้าวขึ้นฝั่ง พบนายยีซออาว อายุ 26 ปี สัญชาติเมียนมา กับพวกรวม 13 คน แอบหลบซ่อนอยู่ จึงได้ควบคุมตัว ส่งพนักงานสอบสวน สภ.ปากจั่น ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top