Friday, 10 May 2024
ตลาดหุ้น

'เฟด' ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 0.25% ตามคาด ปราบ 'เงินเฟ้อ' ต่อ!! แม้ตัวเลขเริ่มผ่อนคลายในช่วงหลัง

นายเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ประกาศปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยครั้งที่แปดที่ 0.25% สู่ระดับ 4.50-4.75% และแม้จะมีการยอมรับว่าอัตราเงินเฟ้อได้ผ่อนคลายลงแล้ว แต่ยังอยู่ในระดับที่สูงจนจะต้องมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อไปอีก กระนั้นก็ยังถือเป็นการส่งสัญญาณบวกจนทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นรับข่าวดังกล่าวทันที

พาวเวลล์ กล่าวว่า เฟดตระหนักดีว่าอัตราเงินเฟ้อได้ผ่อนคลายลงแล้ว ซึ่งเป็นสัญญาณว่าอาจใกล้ถึงจุดสิ้นสุดของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยแล้ว แม้เขาได้ย้ำว่าจะมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องอย่างเหมาะสม แต่มันถูกตีความอย่างกว้างขวางว่า หมายความว่าเฟดจะขึ้นอัตราดอกเบี้ยมาตรฐานอีกครั้ง เมื่อมีการหารือครั้งต่อไปในราวเดือนมีนาคม แต่น่าจะเป็นการปรับขึ้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

อีกเหตุผลที่ทำให้ตลาดเชื่อว่า เฟดจะปรับขึ้นดอกเบี้ยอีกไม่มากในอนาคต เนื่องจากก่อนหน้านี้เพียงหนึ่งวัน รัฐบาลกลางสหรัฐฯ เพิ่งจะประกาศว่า ค่าจ้างสำหรับแรงงานในสหรัฐฯ เติบโตช้าลง ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ถือเป็นการชะลอตัวลงครั้งที่ 3 ติดต่อกัน ซึ่งช่วยสร้างความมั่นใจให้เฟดว่า ประเด็นการเพิ่มขึ้นของค่าจ้างจะไม่เร่งให้อัตราเงินเฟ้อเพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย

พาวเวลล์ ย้ำว่า การต่อสู้กับเงินเฟ้อยังไม่ยุติลง และเราต้องการหลักฐานเพิ่มเติมให้มากขึ้น เพื่อให้มั่นใจว่าอัตราเงินเฟ้อจะเดินไปบนเส้นทางขาลงอย่างต่อเนื่องและยังยืน ดังนั้น ขณะนี้ยังคงเร็วเกินไปที่จะประกาศชัยชนะ หรือคิดว่าเราประสบความสำเร็จแล้วจริง ๆ แต่เรายังคงต้องทำงานให้ลุล่วงต่อไป

นักลงทุนต่างชาติแห่ขายหุ้นไทย รวม 1 แสนล้านบาท ซ้ำ!! ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้จำกัด เหตุความกังวลทางการเมือง

เมื่อไม่นานนี้ นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยตั้งแต่ต้นปี 66 สะสมรวม 1 แสนล้านบาท โดยเฉพาะหลังเลือกตั้งมีแรงเทขายอย่างหนักจากความกังวลทางการเมือง โบรกฯ มองแรง เทขายยังไม่หมด กดดันให้ตลาดหุ้นฟื้นตัวได้จำกัด แต่เชื่อว่ายังมีโอกาสฟื้นตัวได้ในช่วงที่เหลือของปีนี้ จากปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทย และหากการเมืองผ่อนคลายลง

ตั้งแต่ต้นปี 2566 จนถึงเมื่อวานนี้ 1 มิ.ย. 66 นักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทยออกมาสุทธิ 101,928 ล้านบาท สวนกับนักลงทุนในประเทศที่ซื้อหุ้นสุทธิ 71,477 ล้านบาท และนักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 35,850 ล้านบาท ขณะที่ดัชนีตลาดหุ้นไทย (SET Index) ปรับลดลงมาตั้งแต่ต้นปีราว 157 จุด หรือ -9.39% จนล่าสุดปิดอยู่ที่ 1,521.40 จุด

บริษัทหลักทรัพย์ เอเซียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้มีโอกาสฟื้นตัวที่จำกัด

เนื่องจากนักลงทุนต่างชาติ ขายหุ้นไทย 18 วันทำการติดต่อกัน มีมูลค่าขายสุทธิ 40,861 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วนเกือบครึ่งหนึ่งของยอดขายตั้งแต่ต้นปี โดยแสดงให้เห็นว่าต่างชาติยังไม่มั่นใจการลงทุนหุ้นไทยในช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านทางการเมือง

โดยหากนับตั้งแต่ต้นปี 2565 นักลงทุนต่างชาติเคยซื้อหุ้นไทยสะสมสูงสุด 2.25 แสนล้านบาท แต่ปัจจุบันยอดซื้อสุทธิสะสมลดลงจนเหลือเพียง 1.01 แสนล้านบาท (ช่วง 1 ม.ค. 2565 - 1 มิ.ย. 2566)

ทั้งนี้ ยังมองไม่เห็นสัญญาณการกลับตัวของเงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) โดยเชื่อว่าตัวแปรหลักที่อาจจะช่วยดึง Fund flow ให้กลับมา น่าจะเป็นการเมืองในประเทศ ซึ่งหากการเปลี่ยนผ่านเกิดขึ้นได้ราบรื่นก็จะเป็นผลดี

ขณะที่เงินลงทุนจากนักลงทุนต่างชาติ (Fund Flow) ที่ไหลออกอย่างหนัก ได้กดดันให้ดัชนีตลาดหุ้นไทย ปรับลดลง -8.8% นับตั้งแต่ต้นปี 66 และต่ำที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก จากตลาดหุ้น 92 แห่งเป็นรองจากอันดับ 2 ตลาดตุรี และ อันดับ 1 ตลาดหุ้นโคลัมเบีย

อย่างไรก็ตาม ฝ่ายวิจัยฯ มองว่า ตลาดหุ้นไทยยังมีโอกาสฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี 66 จากปัจจัยหนุนเศรษฐกิจไทย และจำนวนนักท่องเที่ยวที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และหากประเด็นทางการเมืองผ่อนคลายลง

สำหรับกลยุทธ์การลงทุนในวันนี้ก่อนวันหยุดยาว 3 วัน คาด SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,510 – 1,530 จุด

ซีเค เจิง’ แจง ประเทศนี้ ไม่มีทางล้ม ต่อให้ซาอุฯ-จีน-รัสเซีย-อินเดีย มารวมกัน ก็ยังสู้ไม่ได้

ซีเค เจิง (CK Cheong) นักธุรกิจหนุ่มรุ่นใหม่ ได้โพสต์คลิปสั้นลง TikTok ช่องckfastwork กล่าวถึงประเทศสหรัฐอเมริกา ว่ามันไม่มีทางจะล้มลงได้ โดยได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวไว้ มีใจความว่า …

ประเทศสหรัฐอเมริกา มันไม่มีทางจะล้ม อเมริกามี คำพูดคำหนึ่ง คำว่า Too Big To fail ใหญ่เกินไปจนล้มไม่ได้แล้ว เพราะถ้าอเมริกาล้ม ก็จะอุ้มทั้งโลกล้มไปด้วย นี่คือความเป็นจริง รัสเซีย อินเดีย จีนพยายามทำเงินเหรียญสกุลของตัวเอง สู้สหรัฐอเมริกา สู้ไม่ได้หรอก คนที่คิดว่าประเทศเหล่านี้จะสู้ได้ เขาเพ้อฝัน ขนาดอาวุธรวมกันทั้งโลกยังสู้อเมริกาไม่ได้เลย เศรษฐกิจตลาดหุ้นทั้งโลกสู้ตลาดหุ้นอเมริกาก็ยังสู้ไม่ได้เลย ตราสารหนี้ทั้งโลกรวมกันยังสู้ไม่ได้เลย สู้อเมริกาไม่ได้ คุณจะเอาอะไรไปสู้กับอเมริกา คุณไม่มีอาวุธ คุณไม่มีตลาดหุ้น คุณไม่มีตราสารหนี้

คุณจะล้มอเมริกาได้อย่างไร เงินของเราทุกคนกองอยู่ที่อเมริกา แล้วอเมริกาจะล้มได้อย่างไร น้ำมันเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ครองโลกได้ก็จริง แต่มูลค่าของมันก็ยังสู้อเมริกาไม่ได้เลย เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น บริษัทที่มีมูลค่า มากที่สุดอันดับ 2 ของโลกคือบริษัทน้ำมันของซาอุ แต่ที่มากกว่าบริษัทนั้นก็คือบริษัท Apple ที่เป็นแค่ 1 บริษัท ใน ตลาดหุ้นของอเมริกา แล้วคุณคิดว่าตลาดหุ้นอเมริกาใหญ่กว่า หรือตลาดน้ำมันของซาอุใหญ่กว่า อย่าไปบอกว่าอเมริกาจะแพ้ อเมริกาไม่มีวันแพ้ ผมไม่ได้เข้าข้างอเมริกา ผมพูดถึงความเป็นจริง คนที่บอกว่าซาอุ จีน รัสเซีย อินเดียมาร่วมกัน

แล้วจะล้มสหรัฐอเมริกา ไม่มีทาง มันเป็นไปไม่ได้ บริษัทที่ใหญ่ที่สุดของซาอุยังใหญ่สู้กับเบอร์ 1 ในบริษัท ของตลาดหุ้นอเมริกาไม่ได้เลย และสิ่งที่พวกเขาใช้อยู่ทุกวัน นี้ Facebook Amazon Microsoft NVIDIA AI ชิพ ทุกอย่าง มันก็มาจากอเมริกาอยู่ดี แล้วเราจะล้มอเมริกาได้อย่างไร ไม่เอาน่า มันเพ้อฝัน เขาสามารถพยายามได้นะครับ แต่ผมไม่คิดว่ามันจะเกิดขึ้น ซีเค เจิงกล่าวทิ้งท้าย

‘วิชัย ทองแตง’ เผยแผนดำเนินชีวิตในวัย 76 ปี ทิ้งฉายา ‘พ่อมดตลาดหุ้น’ สู่นักปั้นธุรกิจสตาร์ตอัป

ในวัย 76 ปี ชื่อของ ‘วิชัย ทองแตง’ กำลังจะกลับมาโลดแล่นอีกครั้ง หลังจากหลายปีที่ผ่านมา ค่อนข้างเงียบหายไป จากอดีตที่เคยโด่งดังในยุคของการเป็นทนายมือทอง และเข้าสู่แวดวงตลาดหุ้น มีการ ‘เทกโอเวอร์กิจการ’ จนกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นเจ้าของธุรกิจหลายอย่าง

มาถึงวันนี้ ในวันที่หันหลังให้กับฉายา ‘เจ้าพ่อตลาดหุ้น’ แล้ว ฉากและชีวิตจะก้าวไปอย่างไร มาลองฟังมุมมองและแพชชันใหม่ ๆ ที่ ‘วิชัย ทองแตง’ ตั้งใจผลักดันกัน

>> ลุยปั้นคน-ไม่เน้นสร้างเวลท์
“new chapter ของผมต่อจากนี้ คือ สร้างคนเป็นหลัก ไม่เน้นสร้างเวลท์ (ความมั่งคั่ง) เหมือนก่อนแล้ว” อดีตเจ้าพ่อตลาดหุ้น ประกาศจุดยืนใหม่ของตัวเอง

วิชัยบอกว่าปัจจุบันตนไม่ใช่เซียนหุ้นแล้ว และไม่อยากจะให้ภาพตัวเองเป็นพ่อมดตลาดหุ้น หรือเป็นนักลงทุนขาใหญ่เหมือนในอดีต เพราะตนคิดว่าก้าวข้ามจากส่วนนั้นมาแล้ว โดยปัจจุบันได้โอนทรัพย์สินแบ่งให้ลูก ๆ ไปเกือบหมดแล้ว และวางมือจากธุรกิจเดิม ลาออกจากประธานกรรมการโรงพยาบาลพญาไท เพื่อขอออกมาทำตาม ‘passion’ ของตัวเอง นับตั้งแต่ตอนอายุ 70 ปี หรือตั้งแต่ราว 6 ปีก่อน ปัจจุบันรับบทเป็นเพียงที่ปรึกษาในแต่ละธุรกิจเท่านั้น

>>ดันสตาร์ตอัปเข้าตลาดหุ้น
“ตอนนี้ new chapter ของผมเป็นคนเก่าในชีวิตใหม่ ที่เริ่มต้นเมื่อตอนอายุ 70 ปี คือ ผมอยากมีภาพเป็น ‘นักปั้นหุ้น’ มากกว่า” วิชัยบอก พร้อมอธิบายว่า การปั้นหุ้น ก็คือ การปลุกปั้นบริษัทที่จะเข้าตลาดหุ้น โดยเฉพาะธุรกิจสตาร์ตอัปของเด็กรุ่นใหม่ ที่เดินทางมาถึงจุดหนึ่งแล้วไปต่อไม่ได้ โดยตนจะเปิดโอกาสให้คนเหล่านี้เข้ามาคุยและวางแผนอนาคตร่วมกัน ซึ่งความตั้งใจของตนเองในช่วงชีวิตที่เหลืออยู่ จะต้องสร้างยูนิคอร์นตัวใหม่ให้ได้

“ตอนนี้เด็ก ๆ ให้ฉายาผมว่า ‘godfather of startup’ หรือแปลเล่น ๆ ว่า ‘พ่อทูนหัว’ ฉะนั้น new chapter ของผมต่อจากนี้ คือสร้างคนเป็นหลัก ไม่เน้นสร้างเวลท์เหมือนก่อนแล้ว” วิชัยกล่าว

โดยที่ผ่านมา ได้เฟ้นหาเด็กรุ่นใหม่ที่มีความกระหายอยากทำธุรกิจ แต่ที่สำคัญต้องมีคุณธรรมด้วย ซึ่งตรงนี้นับเป็นข้อกำหนดที่ร่วมธุรกิจกับทาง ‘บิทคับ’ ด้วย ว่าตนขอทำแค่ส่วนที่เกี่ยวกับบล็อกเชน และดิจิทัลทรานส์ฟอร์มเท่านั้น ส่วนที่เป็นคริปโตเคอร์เรนซี พวกการเทรดต่าง ๆ จะไม่ยุ่ง

>>โฟกัสธุรกิจ ‘เมกะเทรนด์’
สำหรับประเภทธุรกิจที่ให้ความสำคัญ วิชัยกล่าวว่าจะเป็น ‘เมกะเทรนด์’ นอกจากเรื่องเทคโนโลยีบล็อกเชนแล้ว ก็ยังมีธุรกิจคาร์บอนเครดิต ซึ่งเตรียมจะเปิดตัวแถลงข่าวใหญ่ ในเร็ว ๆ นี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ โดยบริษัทนี้ จะมีความเชี่ยวชาญในการออกแบบการเคลมคาร์บอนเครดิตได้สูงขึ้น และมีตลาดรองรับ ซึ่งจะเป็นธุรกิจที่จะช่วยแก้ปัญหาฝุ่น PM 2.5 ได้เป็นอย่างดี

ต่อมาธุรกิจ BCG (เศรษฐกิจชีวภาพ (bio economy) เศรษฐกิจหมุนเวียน (circular economy) และเศรษฐกิจสีเขียว (green economy) ที่รับซื้อพลาสติก ซึ่งจะดำเนินการเป็น 2 แบบ คือ 1.) เม็ดพลาสติกรีไซเคิล และ 2.) กลั่นออกมาเป็นน้ำมัน ซึ่งธุรกิจแบบนี้มีความจำเป็นกับประเทศไทยตอนนี้มาก

ขณะที่ธุรกิจเกี่ยวกับการกำจัดขยะอิเล็กทรอนิกส์ หรือขยะติดเชื้อ ซึ่งทุกวันนี้ยังมีคนทำน้อย โดยตนกำลังปั้นบริษัทแบบนี้ ซึ่งจะเป็นธุรกิจใหม่ที่เติบโตและยิ่งใหญ่ได้ ไม่เพียงแค่ในประเทศ แต่หากินในต่างประเทศได้ด้วย

ส่วนธุรกิจที่ใช้ AI ก็สนใจ ซึ่งก็มีสตาร์ตอัปรายหนึ่งที่น่าสนใจ สามารถบริหารโหลดสำหรับการชาร์จไฟฟ้าของรถอีวี เพราะรถอีวีเวลาชาร์จไฟครั้งหนึ่งเท่ากับติดแอร์พร้อมกัน 10 ตัว ทำให้โหลดกระชากมาก

“ลองคิดดูเล่น ๆ ถ้าคนไทยทั้งประเทศใช้ไฟพร้อมกัน หม้อแปลงจะอยู่ได้ไหม ตอนนี้ไม่มีใครคิด แต่ผมไปเจอสตาร์ตอัปเด็กไทยคนหนึ่ง ไปประกวดระดับโลกได้ที่ 29 เขาทำสิ่งนี้อยู่ ผมพาเขา เข้าไปพรีเซนต์กับการไฟฟ้าแล้ว ธุรกิจพวกนี้คอยไม่ได้ เพราะกระแสอีวีเข้ามาเร็ว” วิชัยกล่าว

นอกจากนี้ ยังสนใจเกี่ยวกับ smart farmer โดยกำลังปั้นบริษัทบริหารฟาร์ม สร้างโมเดลเกษตรกรหัวขบวนอยู่ โดยสตาร์ตอัปรายนี้นอกเหนือบริหารฟาร์มแล้วยังสามารถค้นหาดีมานด์และซัพพลายให้มาเจอกันได้ ซึ่งสามารถช่วยลดขั้นตอนพ่อค้าคนกลางออกไปได้

“ตอนนี้บริษัทที่ว่านี้ เพิ่งทำ ‘กระดานเทรดข้าว’ ที่จังหวัดร้อยเอ็ด เสร็จเรียบร้อยไปเมื่อ 3 เดือนก่อน” วิชัยกล่าว

อย่างไรก็ตาม ที่ปรึกษาโรงพยาบาลพญาไท ย้ำว่า ตนและลูก ๆ ก็ไม่ได้ทิ้งธุรกิจด้านสุขภาพ (healthcare) เพราะเป็นธุรกิจที่มีความมั่นคงสูงมาก

>>ดันสตาร์ตอัปเข้าตลาดหุ้น
สำหรับปีนี้วิชัยคาดว่าจะผลักดันบริษัทสตาร์ตอัปเข้าตลาดหุ้นได้ ประมาณ 2 บริษัท โดยตนจะไม่ถือหุ้นใหญ่เกิน 50% อาจจะถือหุ้นแค่ 20-30% และไม่เข้าไปบริหาร

“ผมต้องการให้สตาร์ตอัปเกิด ฉะนั้น ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกเทกโอเวอร์” วิชัยกล่าว

>>สูตรเลือกสตาร์ตอัป
วิชัยกล่าวว่า การเลือกสตาร์ตอัปที่จะนำมาปั้นนั้น ตนมีผู้เชี่ยวชาญกว่า 50 คน ที่อยู่ในเครือข่าย ที่มีหน้าที่วิเคราะห์ธุรกิจให้ เพราะทุกวันนี้สตาร์ตอัปเข้ามาหามาก เพราะ pain point ของสตาร์ตอัป คือการเข้าถึงแหล่งทุน ซึ่งเด็กที่เข้ามาจะต้องตอบคำถามให้ได้ว่า what’s next ? คืออะไร มีแผนธุรกิจต่อไปอย่างไร มีแผน 5-10 ปีหรือไม่ ต้องการเพิ่มทุนอย่างไร ซึ่งเป็นคำถามที่เป็นหัวใจของเรื่องนี้

“ผมมีสูตรเลือกสตาร์ตอัป คือ ขอให้มี 2G ก่อน G แรกคือ growth ต้องมีการเติบโต รายได้มากน้อยไม่ว่ากัน และ G ที่สอง คือ gain ต้องมีกำไร เพราะนั่นแปลว่าเข้าใจวิธีการบริหารและต้นทุนธุรกิจดี ถ้ามี 2G แล้ว ผมก็ไม่ต้องเหนื่อยมาก จากนั้นก็จะหาช่องทางระดมทุน หรือแนะนำกลุ่มเวนเจอร์แคปปิตอล (VC) พร้อมทั้งช่วยวางแผนทางการเงินให้ด้วย” วิชัยกล่าว

“นอกจากนี้ ทุกคนที่เข้ามา ต้องปฏิญาณ 3 ข้อ คือ 1. ไม่ใช้เทคโนโลยีเพื่อโกง หรือหลอกลวงผู้อื่น 2. เรียนรู้เทคโนโลยีเพื่อสร้างสรรค์สังคมที่ดีมีคุณธรรม และ 3. แบ่งปันความรู้และโอกาสให้แก่ผู้ที่ด้อยกว่า” เดอะ ก็อด ฟาร์เธอส์ นักปั้นสตาร์ตอัปกล่าวทิ้งท้าย

ที่มา: prachachat

‘วิชัย ทองแตง’ กูรูตลาดหุ้น ผู้เชี่ยวชาญด้านการลงทุน เผยมุมมองตลาดหุ้นไทย ในช่วงครึ่งปีหลัง 

วิชัย ทองแตง อดีตพ่อมดตลาดหุ้นไทย ซึ่งในปัจจุบันนั้นได้นั่งเป็นที่ปรึกษาให้กับเครือโรงพยาบาลพญาไทและเปาโล ได้ออกมาให้คำแนะนำนักลงทุน โดยเฉพาะ “แมงเม่า” หรือสาย Day-Trade ที่เล่นหุ้นตามกระแส ว่าจะต้องทำตัวยังไงบ้าง กับตลาดหุ้นไทยในช่วงนี้ที่มีความผันผวนสูง 

มุมมองตลาดหุ้นไทยช่วงครึ่งหลังปี 2566
วิชัยเล่าว่า ก็ศึกษาอยู่นะครับ คือตอนนี้มีปัจจัยภายนอกที่จะมีส่วนกระทบกลับเข้ามาที่ตลาดหุ้นไทยอยู่เรื่อย ๆ ด้วยปัจจัยอย่างที่พวกเราทราบกันอยู่ ผมก็ยังแปลกใจอยู่ เอ๊ะทำไมแบงก์ล้มที่อเมริกาแค่ 2-3 แบงก์ มีผลกระทบได้มากขนาดนี้ เวลาเขาขึ้นดอกเบี้ยที ตลาดหุ้นก็ตกที พลังงานที่มีราคาแพงขึ้น เป็นต้นทุนที่พวกเราหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ความจริงมีคนแค่บางกลุ่มที่ทำให้เกิดปัญหาเรื่องพลังงาน ก็คือการรบราฆ่าฟันกันระหว่างรัสเซียกับยูเครน ฉะนั้น ถ้าจะพูดกันตามตรงก็คือว่า สถานการณ์หุ้นบ้านเรายังไม่น่าไว้วางใจ

ในช่วงนี้ นักลงทุน Day-Trade ต้องทำตัวยังไง
ความจริง เวลาผมเข้าไปบรรยายในคลาสบางคลาสที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่สนใจเรื่อง Investment ผมก็จะแนะนำเสมอว่า 1.ต้องอ่านเทรนด์ของธุรกิจให้ชัดเจน แต่ที่สำคัญคือต้องขยันที่จะอ่านวิเคราะห์ของ Researcher บาง house วิเคราะห์ได้เยี่ยมมาก แต่หลาย house ที่เขียนมั่ว แต่ผมคิดว่าพวกเราอ่านก็คงจะพอเข้าใจ บาง house เขียนบทวิเคราะห์ได้ดีมาก พวกนี้เขามีหน้าที่วิเคราะห์หุ้นให้เราอยู่แล้วครับ แต่เนื่องจากผมโชคดีผมมีนักวิเคราะห์อีก 50 คนที่จะช่วยคัดกรองให้ เวลาผมบรรยายผมก็พูดแค่เตือนสติคือที่ผ่านมาผมก็เล่นหุ้นตามกระแส ผมถึงเรียกตัวเองว่า “แมงเม่า” ผมไม่อายที่มีคนเรียกผมว่าแมงเม่าในยุคก่อนนะ แต่แมงเม่าส่วนใหญ่มักจะเล่นหุ้นตามกระแส Day Trade นี้กระแสล้วน ๆ เลย บางคน Insight ก็มีความเสี่ยง ใช่มะ ฉะนั้น ต้องอ่านบทวิเคราะห์

หุ้นไทยจะกลับมามีเสน่ห์ได้อย่างไร
ฟันด์โฟลว์เป็นเรื่องวิถีธรรมชาติของนักลงทุน ไปเดี่ยวก็กลับมา แต่ว่าแน่นอนเราต้องให้เห็นว่าตลาดหุ้นเรามีการ คือพูดง่าย ๆ ต้องตรวจสอบเรื่องความโปร่งใสให้เยอะ ซึ่ง ก.ล.ต.เขาทำอยู่แล้ว ดูเรื่องความโปร่งใสเป็นหลัก คือถ้าตลาดหุ้นโปร่งใสและมีผลประกอบการที่ดี นักลงทุนก็ไหลกลับเข้ามาอยู่แล้วละครับ วันนี้เขาอาจจะ move ไปอินโดฯ อาจจะ move ไปเวียดนาม เดี่ยววันหนึ่งเขาก็กลับมา ประเทศไทยวันข้างหน้าเราอาจจะเป็น center ของ EV ในภูมิภาคนี้ก็ได้ แต่ถ้าจะ EV แน่นอนจะต้องคิดไว้ล่วงหน้า

‘กอบศักดิ์’ จี้ยกเครื่องใหญ่ ‘ตลาดทุน’ ป้องกันเหตุซ้ำรอยโกงหุ้น ‘STARK’

‘กอบศักดิ์’ จี้ยกเครื่องใหญ่ ‘ตลาดทุน’ ป้องกันเหตุซ้ำรอยหุ้น ‘STARK’ ชี้ต้องเอาคนผิดทุจริตมารับโทษ หลังผู้เสียหายมากมูลค่าเกินหมื่นล้าน แนะเพิ่มกลไกการตรวจสอบ เร่งเอาผิดทำให้เกิดความเสียหาย

นายกอบศักดิ์ ภูตระกูล ประธานกรรมการสภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO) กล่าวถึงกรณีหุ้นบริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ “STARK” ที่มีปัญหาการทุจริตและมีผู้เสียหายจำนวนมากว่า ในส่วนแรกคนที่ทำความผิดต้องได้รับความผิด ต้องให้เกิดบทเรียนจากการทำผิดครั้งนี้ คนที่อยู่ในกระบวนการนี้ก็ต้องรับความผิดร่วมกัน

“เราจะยอมรับความผิดในลักษณะนี้ไม่ได้เพราะความเสียหายเป็นหลักหมื่นล้านบาท ความเสียหายมีความกว้างขวางมาก และความเสียหายในครั้งนี้ไม่ใช่นักลงทุนรายย่อยอย่างเดียวแต่เป็นนักลงทุนสถานบันที่มีข้อมูลเพียบ มีนักวิเคราะห์อยู่เยอะไปหมด แต่เขายังพลาดได้ แสดงว่ากระบวนการในครั้งนี้เขามีความตั้งใจอย่างยิ่งที่จะทำให้เกิดความเสียหายตามมา”

นายกอบศักดิ์กล่าวต่อว่าในส่วนนี้ FETCO ได้เข้าไปหารือร่วมกับฝ่ายต่างๆ ในตลาดทุนแล้ว เช่น คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ ว่าจะต้องมีการเดินหน้าแก้ปัญหาอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องกับประชาชนที่ถูกกระทบ ว่าคดีนั้นมีความคืบหน้าอย่างไร เงินที่เสียหายจะได้คืนอย่างไร เท่าไหร่ และเมื่อไหร่ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่หลายคนมีคำถามกับเรื่องนี้

นอกจากนี้ในการหารือกันอย่างใกล้ชิดว่าทำอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นก็ต้องมาดูเรื่องของกลไกตรวจสอบเพื่อไม่ให้เกิดเหตุแบบนี้ขึ้นอีก ซึ่งต้องมีการทำงานอย่างใกล้ชิด โดยทุกๆ ครั้งที่เกิดเหตุลักษณะนี้ในตลาดทุน มักจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการปรับเปลี่ยนกฎเกณฑ์ และระบบต่างๆ ให้มีกลไกมากขึ้นมาตรวจสอบ เช่น การตรวจสอบ 3 ระดับ ที่เรียกว่า “third line of defense” เพื่อจัดการไม่ให้ปัญหาเกิดขึ้นซ้ำรอย

“มีหลายเรื่องที่ต้องมาดูเรื่องของรายการระหว่างกัน เรื่องของผู้ที่มาทำหน้าที่ในการตรวจสอบรวมทั้งเรื่องของธรรมาภิบาลต่างๆ ซึ่งเรื่องนี้ถือว่าเป็นบทเรียนสำคัญให้กับคนในตลาดทุนเพื่อให้ตลาดทุนไทยไม่เกิดปัญหาแบบนี้ขึ้นอีก” นายกอบศักดิ์ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top