Monday, 7 July 2025
NewsFeed

‘TOAVH’ ปรับทัพ!! ธุรกิจดีลเลอร์ ดัน!! ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ สู้ศึกตลาดรถ

(30 พ.ย. 67) นายณัฏฐวุฒิ ตั้งคารวคุณ ประธาน กลุ่มบริษัทในเครือ ทีโอเอ เวนเจอร์ โฮลดิ้ง (TOAVH) เปิดเผยว่า ด้วยนโยบายในการขยายธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งในช่วงปีที่ผ่านมา ทาง TOAVH ได้ร่วมเป็นพันธมิตรกับแบรนด์รถยนต์ไฟฟ้าระดับชั้นแนวหน้าของจีน จำนวน 4 แบรนด์ ได้แก่ DEEPAL, ZEEKR, OMODA&JAECOO และ AION และทุ่มงบการลงทุน จำนวน 220 ล้านบาท ในการก่อสร้างและปรับโฉมโชว์รูม-ศูนย์บริการ เพื่อรองรับการบริการให้แก่ลูกค้าทั้งด้านการขายและบริการหลังการขายที่ครบถ้วนและสมบูรณ์แบบสำหรับรถยนต์ทั้ง 4 แบรนด์

ดังนั้น เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการบริหารงาน และขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจดังกล่าว ซึ่งปัจจุบันสถานการณ์ของตลาดรถยนต์มีความผันผวนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว ทั้งการแข่งขันทวีความรุนแรงเพิ่มมากขึ้น ทั้งเพื่อรองรับการขยายธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับรถยนต์ในอนาคต

ทาง TOAVH จึงได้มีการปรับโครงสร้างองค์กรในกลุ่มธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ด้วยการควบรวมบริษัทผู้จำหน่ายรถยนต์ทุกแห่งเข้ามาอยู่ภายในสังกัดการบริหารงานของ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ โดยมี ‘จิระพล รุจิวิพัฒน์’ ดำรงตำแหน่งกรรมการบริหาร กำกับดูแลด้านบริหารจัดการโดยรวมของทุกบริษัทในเครือ ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด และบรรจุเป้าหมายโดยรวมขององค์กร

‘จิระพล’ นับเป็นผู้บริหารมืออาชีพที่มากประสบการณ์และเป็นผู้บริหารหลักที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ระดับพรีเมี่ยมให้ประสบความสำเร็จอย่างสูง ทั้งด้านการขาย การบริการหลังการขาย และการสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า อันแสดงให้เห็นถึงความเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ และประสิทธิภาพที่โดดเด่นในการบริหารงานธุรกิจดังกล่าว ซึ่งผมมั่นใจว่า ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ภายใต้การบริหารของ ‘จิระพล’ จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจดีลเลอร์รถยนต์ของ TOAVH เติบโตอย่างต่อเนื่องและยั่งยืนแน่นอน นายณัฏฐวุฒิ กล่าว

ปัจจุบัน ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ เป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ รวมทั้งสิ้น 7 แบรนด์  โดยมีโชว์รูม-ศูนย์บริการ ในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล, จังหวัดชลบุรี และจังหวัดเชียงใหม่ รวมทั้งหมด 16 สาขา ได้แก่

1.ตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ MERCEDES-BENZ ในนาม บริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส ออโต้เฮาส์ พัทยา จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขาเลียบด่วน-เอกมัยรามอินทรา กับสาขาพัทยา จ.ชลบุรี เฟส 1 บนพื้นที่พัทยา-นาจอมเทียน และเฟส 2 พื้นที่พัทยาใต้

2.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ DEEPAL ในเครือ CHANGAN ในนาม บริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ จำกัด และบริษัท ไพรม์มัส โมบิลิตี้ ชลบุรี จำกัด มีสาขา 2 แห่ง คือ ที่สาขารามคำแหง และสาขาชลบุรี

3.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ ZEEKR ในนาม บริษัท ไพรม์มัส เพรสทีจ จำกัด โดยมีสาขาที่ราชพฤกษ์ และป๊อปอัพ สโตร์ ที่เดอะมอลล์ บางแค

4.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ OMODA&JAECOO ในนามบริษัท ไพรม์มัส โอแอนด์เจ พระราม 9 จำกัด มี 1 สาขา คือ ที่พระราม 9

5.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ AION ในนาม บริษัท ไพรม์มัส มอเตอร์ส อมตะนคร จำกัด มีสาขาตั้งอยู่ที่อมตะนคร จ.ชลบุรี

6.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ MG ในนามกลุ่มบริษัท เบส ออโต้ เซลส์ มีสาขาทั้งหมด 7 แห่ง ได้แก่ สาขาเพชรเกษม65, สาขาบางนา กม.5, สาขาบายพาส ชลบุรี, สาขาศรีราชา, สาขาพัทยา นาจอมเทียน และศูนย์ซ่อมสี-ตัวถัง อมตะนคร, สาขาแม่โจ้ และสาขาหางดง เชียงใหม่

7.ผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ SUZUKI ในนาม บริษัท ไอทีโอเอ ออโต้เซลส์ มีสาขาอยู่ที่ศรีราชา  จ.ชลบุรี

นายจิระพล รุจิวิพัฒน์ กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัท ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ ได้เปิดเผยว่า เป้าหมายหลักของธุรกิจผู้แทนจำหน่ายรถยนต์ของ ไพรม์มัส กรุ๊ป ไม่ได้คำนึงการทำตัวเลขยอดขายเป็นหลัก หากให้ความสำคัญกับการเปิดประสบการณ์และสร้างความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ด้วยบริการที่ครบวงจร จากทีมงานผู้เชี่ยวชาญมากประสบการณ์ด้านรถยนต์โดยเฉพาะ เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าในทุกมิติ พร้อมคัดสรร

ผลิตภัณฑ์รถยนต์แบรนด์ต่างๆ ที่หลากหลายรุ่นและเปี่ยมด้วยเทคโนโลยีระดับสูง ทั้งยกระดับการบริการให้มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับลูกค้าเราในทุกแบรนด์ ตามสโลแกน “เรื่องรถ ให้ไพรม์มัส ดูแล

ทั้งนี้ เพื่อให้ลูกค้าได้สัมผัสกับผลิตภัณฑ์และการบริการระดับพรีเมี่ยมของรถยนต์ทั้ง 7 แบรนด์ ได้แก่ Deepal, Mercedes-Benz, Zeekr, Omoda&Jaecoo, Aion, MG และ Suzuki ในช่วงงาน Motor Expo ทาง ‘ไพรม์มัส กรุ๊ป’ จึงได้นำจัดแสดงรถยนต์ให้เลือกชมและเป็นเจ้าของได้อย่างสะดวกสบายที่โชว์รูมและศูนย์บริการของเราทุกแห่ง โดยจะมีการเปิดจองรถยนต์รุ่นใหม่ล่าสุด ที่มาพร้อมกับข้อเสนอสุดพิเศษมากมาย อาทิ ส่วนลดเงินสด, ดอกเบี้ย 0%, เลือกผ่อนเริ่มต้น 222 บาทต่อวัน หรือโปรช่วผ่อน 4 เดือน มูลค่า 100,000 บาท เป็นต้น

และพิเศษ! ในงาน Test Drive Day Primus Expo เฉพาะที่โชว์รูมรถยนต์ MG และ Suzuki ทุกสาขา รับเพิ่ม!! ทองคำ มูลค่า 5,000 บาท เมื่อจองและรับรถยนต์ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย. ถึง 15 ธ.ค. นี้

‘รัดเกล้า’ โพสต์เฟซ!! โต้กลับ ‘แบงค์ ศุภณัฐ’ ชี้!! เป็น ‘โรคระแวง การสร้างคอนเนคชั่น’

(30 พ.ย. 67) ‘เนเน่’ หรือ นางสาวรัดเกล้า สุวรรณคีรี อดีตรองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ รองโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ ได้โพสต์เฟซบุ๊ก ในฐานะศิษย์เก่าของสถาบันพระปกเกล้า และสถาบัน วปอ. โดยมีใจความว่า ...

#ปปร และ #วปอบอ เป้านิ่ง อคติทางการเมือง

เอาจริงๆ โรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นของกลุ่มนักการเมืองในสังคมไทยนี่นับว่าอยู่ในระดับเรื้อรัง เป็นโรคที่มีมากันยาวนานแล้วนะคะ ซึ่งเอาจริงๆ ก็คงโทษประชาชนไม่ได้ที่จะมีอคติมองว่าการสร้างคอนเนคชั่นเป็นเรื่องไม่ดี มันก็คงเป็นเพราะเขาโดนมาเยอะ เจ็บมาแยะ กับการเอื้อประโยชน์ให้พวกพ้องเพื่อประโยชน์ส่วนตนในประวัติศาสตร์การเมืองไทย ฉะนั้น จริงๆ แล้วเป็นโจทย์ที่นักการเมืองรุ่นใหม่ทุกคน ทุกพรรค ควรรับไว้เป็นการบ้าน คือต้องช่วยกันแก้อคติด้วยการประพฤติดี ใช้คอนเนคชั่นและเครือข่ายที่มีเพื่อส่งเสริมบรรยากาศการทำงานร่วมกัน สร้างการเมืองสร้างสรรค์ สร้างประโยชน์ให้กับประเทศและประชาชน หากทุกคนร่วมกันทำเช่นนี้ ทำไปหลายๆ ปี แน่นอนว่ามันจะช่วยบรรเทาโรคระแวงของประชาชนได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม ในสภาวะที่อาการโรคระแวงนี้ยังไม่ทุเลา หลักสูตรดัง เช่น การเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตย (ปปร.) และ การป้องกันราชอาณาจักรสำหรับผู้บริหารแห่งอนาคต (วปอ.บอ.) ก็ไม่ต่างอะไรกับการเป็น #เป้านิ่ง ให้คนยิงเป้า จับผิด ตำหนิ ติติง ระบายความระแวงใจ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้... อย่างไรก็ดี สิ่งหนึ่งที่นักการเมืองรุ่นใหม่ไม่ควรทำต่อความระแวงของประชาชน คือการ #ขว้างงูไม่พ้นคอ ทำให้โรคระแวงมันแย่ลงด้วยการเอาอคติทางการเมืองของตนเองมายัดเยียด ป้ายสีใส่กลุ่มการเมืองฝั่งตรงข้าม มุ่งหวังให้ประชาชนหันไปรุมคนอื่นแทนนะคะ 

ในโพสต์นี้ เนเน่ในฐานะศิษย์เก่าของทั้งสถาบันพระปกเกล้าและสถาบัน วปอ. ขอตอบคำถามและให้ข้อมูลที่ถูกต้องกับทาง ส.ส. แบงค์ ศุภณัฐ มีนชัยนันท์ เกี่ยวกับ หลักสูตร วปอ.บอ. นะคะ ทั้งนี้เพื่อสร้างความกระจ่างในข้อมูลที่ผิดเพี้ยน ที่อาจสร้างความเข้าใจผิดต่อสถาบันเหล่านี้ และมิหน่ำซ้ำ ยังอาจจะตอกย้ำโรคระแวงในใจของประชาชนให้อาการแย่ลงไปอีกค่ะ

ข้อที่ 1. ที่ถามว่า... คนที่เข้าไปเรียนใช้สิทธิอะไรในการถูกคัดเลือกเข้าไปเรียน...

เฉกเช่นที่ สส.แบงค์ ออกมาปกป้องหลักสูตร ปปร. ว่าผู้จัดหลักสูตรมีการจัดสรรโควต้าให้กับ สส. 40 คน ทาง วปอ.บอ. เองก็มีโควต้าทางการเมือง 10 คนค่ะ บ้างก็เป็น สส. บ้างก็เป็นข้าราชการการเมือง (ซึ่งก็มีเนเน่ ที่เป็นรองโฆษกรัฐบาล ในช่วงนั้น) อย่างไรก็ตาม ผู้สมัครที่ผ่านเกณฑ์ทั้งสิ้นเกือบ 500 คน จำเป็นต้องผ่านการสอบสัมภาษณ์โดยคณะกรรมการของหลักสูตร เพื่อกลั่นกรองหา 150 คนที่มีทัศนคติที่เหมาะสมและมีคุณสมบัติที่จะเป็นผู้นำในอนาคตได้จริงๆ เท่านั้นค่ะ (ซึ่งจริงๆคณะกรรมการหลักสูตรเคยเล่าให้เนเน่ฟังอยู่หลายครั้งนะคะว่าเขาเสียดายมากๆ ที่ไม่มีตัวแทนจากพรรคก้าวไกล (ตอนนั้นยังไม่เปลี่ยนชื่อพรรค) เข้ามาเรียน ความจริงมีคนมาสมัครนะคะ แต่อายุเกินบ้าง อายุขาดบ้าง เลยกลายเป็นว่าผู้สมัครจากพรรคก้าวไกลล้วนไม่ผ่านเกณฑ์เบื้องต้น เลยไม่มีใครได้เรียนค่ะ ...เล่าให้ฟัง จะได้ระงับดราม่าไว้ก่อนค่ะ ว่าทำไมไม่มีคนจากพรรคก้าวไกลมาเรียนเลย... อาจารย์อยากให้พวกคุณมาเรียนจริงๆ นะคะ ท่านเชื่อว่าการมามีส่วนร่วมจะช่วยให้คนในพรรคของคุณเข้าใจเรื่องของความมั่นคงมากขึ้น ขนาดตอนที่นักเรียน วปอ.บอ. รุ่น 1 เรียนจบแล้วมีนำเสนอผลงานทางวิชาการ ทางหลักสูตรยังส่งจดหมายเชิญไปที่พรรคประชาชน (ตอนนั้นเปลี่ยนชื่อแล้ว) แต่สุดท้ายแล้ว ก็ไม่มีการส่งตัวแทนรับฟังค่ะ)

ทั้งนี้ในเรื่องคุณสมบัติของคนที่เข้าเรียน ที่ ส.ส.แบงค์ ทำให้หลายคนกังขาว่าคนที่มาเรียน "ไม่มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษ" เกรงว่าคนจะเข้าใจผิด เหมารวม นึกว่าหมายถึงนักเรียนทั้งหมด ...ในฐานะเพื่อนร่วมชั้น เนเน่ขอชี้แจงว่านักเรียนส่วนใหญ่เป็นกลุ่มหัวกะทิ บ้างมีโปรไฟล์เป็นถึงนักวิชาการที่มีชื่อเสียง บ้างเคยเป็นถึงนักเรียนเกียรตินิยมจากโรงเรียนชั้นนำ บ้างเป็นผู้บริหารในองค์กรระดับประเทศ อีกทั้ง ทางฝั่งข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นตัวท็อปในหน่วยงานของตัวเองกันทั้งนั้นค่ะ เนเน่ได้เรียนรู้หลายเรื่องจากเพื่อนๆ เหล่านี้ ไม่น้อยไปกว่าที่ได้เรียนจากวิทยากรเลยค่ะ เขาเก่งกันจริงๆ นะคะ วอนหยุดเอาอคติทางการเมืองที่คับแคบมาตัดสิน มาด้อยค่าเพื่อนๆ ร่วมสถาบันของเนเน่เลยค่ะ ข้อ 2. ที่ถามว่าคนที่มาเรียนนั้นได้ จ่ายเงินค่าหลักสูตรหรือไม่ เพราะที่กองทัพให้ข้อมูลมาคือค่าใช้จ่ายหลักสูตรนี้ #เรียนฟรี และได้รับการสนับสนุนจากกองบัญชาการกองทัพไทย แปลว่าใช้ #ภาษีกู แบบเต็มๆ ...

อันนี้ เกรงว่าแหล่งข่าวในกองทัพของ สส.แบงค์ คงจะพูดไม่ครบนะคะ อันนี้ ถ้าไม่ทราบจริงๆ ก็ไม่ว่ากัน แต่ขอเพิ่มเติมข้อมูลเพื่อให้เข้าใจให้ตรงกันนะคะ ว่าผู้เรียนกลุ่มเอกชน และข้าราชการการเมืองต้องจ่ายเงินเอง 130,000 บาทเพื่อใช้ในการดูงานในประเทศและต่างประเทศค่ะ (ที่ว่าเรียนฟรีนี้ สำหรับบุคลากรของรัฐ เช่น ข้าราชการพลเรือน ทหาร และตำรวจ ที่ทางหน่วยงานส่งตัวแทนมาเรียนเท่านั้นค่ะ) ...ฉะนั้นขอย้ำนะคะว่า นอกเหนือจากที่เราไม่ได้เบียดเบียนภาษีประชาชนแล้ว เราได้ตัดสินใจใช้เงินส่วนตัวลงทุนเพื่อรับความรู้ผ่านหลักสูตรนี้ค่ะ

อ่อ... และที่ถามว่า ‘กล้าเอารูปมาโพสต์’ ไหม ... ในคอมเมนท์ เนเน่ขอเอารูปตอน วปอ.บอ. ไปทำ CSR ด้วยเงินส่วนตัวที่พวกเราระดมกัน นำไปช่วยผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่สุโขทัย มาให้ดูเป็นตัวอย่างให้ดูนะคะว่าเราก็รวมตัวกัน ‘ก่อการดี’ ไม่ต่างอะไรกับ คณะนักศึกษา ปปร. ของ สส.แบงค์ ค่ะ มาช่วยกันคลายโรคระแวงการสร้างคอนเนคชั่นในสังคมไทยด้วยการเมืองสร้างสรรค์กันดีกว่านะคะ

‘รวมไทยสร้างชาติ’ ระดมทรัพยากรช่วยเหลือปชช. ที่ประสบภัยน้ำท่วม เผย!! พร้อมเคียงข้าง ให้กำลังใจ เพื่อผ่านพ้น วิกฤตอุทกภัย ในครั้งนี้

(30 พ.ย. 67) นายอัครเดช วงษ์พิทักษ์โรจน์ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดราชบุรี เขต 4 ในฐานะโฆษกพรรครวมไทยสร้างชาติ เปิดเผยว่า 

จากสถานการณ์น้ำท่วมพื้นที่หลายจังหวัดในภาคใต้นั้น นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ในฐานะหัวหน้าพรรครวมไทยสร้างชาติ และนายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม ในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ มีความห่วงใยพี่น้องประชาชนเป็นอย่างยิ่ง และได้กำชับให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครวมไทยสร้างชาติ รวมถึงอดีตผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร และสมาชิกของพรรครวมไทยสร้างชาติ ให้เร่งดำเนินการช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบต่อน้ำท่วม ซึ่งได้มีการปฏิบัติการในพื้นที่ เช่น

นายนิติศักดิ์ ธรรมเพชร สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดพัทลุง เขต 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ลงพื้นที่มอบของใช้จำเป็นให้แก่ประชาชนในพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วม

นายศาสตรา ศรีปาน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา เขต 2 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ดำเนินการตั้งโรงครัวกลางเพื่อมอบอาหารและน้ำดื่มแก่ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อน

รวมถึงนายวัชระ ยาวอหะซัน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดนราธิวาส เขต 1 พรรครวมไทยสร้างชาติ ได้ลงพื้นที่มอบสิ่งของจำเป็น พร้อมกับประสานหน่วยงานเพื่อให้การช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่อย่างเต็มที่

นอกจากนี้ทั้งนายพีระพันธุ์ และนายเอกนัฏ ยังได้กำชับหน่วยงานในสังกัดของกระทรวงพลังงาน และกระทรวงอุตสาหกรรมให้ดำเนินการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบปัญหาอุทกภัยอย่างต่อเนื่อง เช่น มอบสิ่งของบรรเทาทุกข์ สิ่งของถุงยังชีพ เป็นต้น

ทั้งนี้ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ลงพื้นที่เพื่อดำเนินการตั้งศูนย์ประสานงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เป็นหน่วยงานแกนกลางที่บูรณาการทั้งหมดในการช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ประสบอุกภัยอย่างเร่งด่วน

พรรครวมไทยสร้างชาติ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการให้กำลังใจ และพร้อมเคียงข้างประชาชนผู้ประสบอุทกภัยให้สามารถผ่านพ้นวิกฤตที่ยากลำบากนี้ไปได้ในเร็ววัน นายอัครเดช กล่าวทิ้งท้าย

‘นครโมเดล’ สะเทือน!! ถึง ‘สงขลา’ ถ้า ‘ไพเจน’ ปักหลักสู้!! ‘สุพิศ’ ก็เหนื่อย

(30 พ.ย. 67) พลันเมื่อ ‘ไพเจน มากสุวรรณ์’ นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัดสงขลา (อบจ.สงขลา) ถอนตัวไม่ลงรักษาแชมป์ ชื่อของ ‘สุพิศ พิทักษ์ธรรม’ อดีตอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ที่ลาออกจากราชการ มาอาสาเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลาก็โดดเด่นอยู่คนเดียว

‘สุพิศ’ มีความมุ่งมั่นตั้งใจอย่างแรงกล้าที่จะเข้ามาขอทำงานเปลี่ยนแปลงเมืองสงขลา ด้วยยแนวคิด ‘สงขลาเมืองสะอาด’ อันสะท้อนให้เห็นว่า สงขลายังมีอะไรอีกหลายอย่างที่จะต้องปัดกวาดแก้ไข และมองเห็นปัญหาบ้านเกิดอีกหลายอย่างถึงยอมเสียสละหน้าที่ราชการในระดับอธิบดีที่ไม่ใช่จะเป็นกันง่ายๆ

เมื่อไพเจนถอนตัว เส้นทางนายกฯอบจ.สงขลาของสุพิศก็คล่องขึ้น หายใจสะดวกขึ้น ถ้าสุพิศปักหลักสู้ สุพิศก็จะเหนื่อย เพราะ 4 ปีของไพเจนบนตำแหน่งนายกฯอบจ.สงขลา แน่นอนว่า คนสงขลาจะต้องมองเห็นผลงานมากกว่าของสุพิศ

แต่แม้นสุพิศ พิทักษ์ธรรม จากทีมสงขลาพลังใหม่ จะยืนโดดเด่นอยู่คนเดียวก็ยังจะประมาทไม่ได้ ยังมีนิรันดร์ จินดานาค จากพรรคประชาชน ที่พรรคใช้ความพยายามอย่างแรงกล้าในการขอแจ้งเกิดในสนามท้องถิ่น แต่ยังไม่เคยสำเร็จ และไม่ควรลืมว่า สงขลาคือบ้านเกิดของ ‘ชัยธวัช ตุลาธน’ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ต้นธารของพรรคประชาชน และยังมีน.ส.อภิญญา ยอดแก้ว ผู้สมัคอิสระ ที่เปิดตัวเสนอเป็นนายกอบจ.หญิงคนแรกของ จ.สงขลา ก็จะมาร่วมแบ่งคะแนนในรอบนี้ด้วย

แต่นั้นยังไม่น่าประหวั่นพลั่นพรึงเท่ากับการปรากฏชื่อ ‘ถาวร เสนเนียม’ จะร่วมลงชิงกับเขาด้วย เพราะไม่ควรลืมว่า ถาวร คืออดีต สส.สงขลาหลายสมัย อดีตอัยการที่คนสงขลารู้จัก แถมยังผ่านงานบริหารราชการแผ่นดินมาแล้วถึงสองกระทรวง รมช.มหาดไทย และ รมช.คมนาคม มีประสบการณ์ และคุณสมบัติพร้อม

แม้ถาวรจะยังไม่ตัดสินใจว่าจะลงสมัคร เพราะยังมีข้อกังวลเรื่องคดีที่รอศาลฏีกาตัดสิน ถาวรเกรงว่า ถ้าลงสมัครแล้วได้รับเลือกตั้ง แต่อีก 1 ปีต่อมาศาลฏีกาตัดสินออกมาเป็นลบ อบจ.สงขลาก็ต้องสูญเสียงบร่วม 100 ล้าน เพื่อจัดเลือกตั้งใหม่

แต่พลันที่มีชื่อถาวรปรากฏผ่านสื่อโซเชี่ยล ข่าวถูกแชร์ไปทั่ว เพียงวันเดียวก็สร้างความฮือฮาไปทั่ว ร้านน้ำชากาแฟต่างกล่าวขานถึงในเชิงสนับสนุน-เหมาะสม สมน้ำสมเนื้อกับสุพิศ ‘ถาวร’ ขอเวลา 4-5 วันในการประเมินคดี ประชุมร่วมกับทนายความเพื่อประเมินว่าคดีจะออกมาทางบวก หรือทางลบ แล้วจะตัดสินใจ แล้วจะแถลงข่าวให้ทราบโดยทั่วกัน เพียงแต่ถาวรอาจถูกตั้งคำถามเรื่องอายุ แต่ในทางการเมืองอายุเป็นเพียงตัวเลข โดนัล ทรัมป์ อายุเท่าไหร่แล้ว โจ ใบเด็น อายุเท่าไหร่กว่าจะหยุด

ที่ต้องประหวั่นพลั่นถึงถ้าถาวรลงสมัคร เพราะถาวรไม่ได้ไปคนเดียว เขามีองคาพยพมากมายในการจัดทัพกับช่วงเวลาสั้นๆ และอาจจะมีพรรครวมไทยสร้างชาติที่เขาสังกัดอยู่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง และมีพรรคภูมิใจไทย ที่มีพิพัฒน์ รัชกิจประการ เป็นแม่ทัพภาคใต้อยู่ และ ดร.นที รัชกิจประการ ภรรยา ก็จะพ้นโทษออกจากคุกในวันที่ 8 ธันวาคมนี้แล้ว ก็จะมาเป็นมือเป็นไม้ได้เป็นอย่างดี

สรุปความง่ายๆ ว่า ถ้าถาวรลงสมัคร ก็จะเป็นคู่ชิงของสุพิศที่สนุก เพราะเป็นสนามของคนรู้ใจ รู้เกมกันอยู่ แต่ถ้าถาวรไม่ลงสุพิศก็จะลอยลำ แต่ทำอย่างไรให้สุพิศ สลัดพรรคประชาธิปัตย์ให้พ้นตัว เดินออกห่างจากคนที่คนสงขลา และคนใต้ไม่ชอบให้ดี เพราะจะเป็นตัวถ่วงคะแนนในสถานการณ์ประชาธิปัตย์ขาลง อ่อนแอ

ประชาธิปัตย์อ่อนแอจนนำพาให้ ‘เจ้ต้อย-กนกพร เดชเดโช’ พ่ายแพ้ในสนาม อบจ.นครศรีฯ เปิดทางให้ ‘น้ำ-วาริน ชิณวงศ์’ เข้ามาสร้าง ‘นครโมเดล’ ได้สำเร็จ

นครโมเดล
-ไม่ซื้อเสียง
-ไม่มีหัวคะแนน
-ไม่ฮั้วประมูล
-ไม่โกงกิน
-ไม่รังแกคนอื่น
-ไม่ใช่บ้านใหญ่

นครโมเดลนอกจากการสร้างปรากฏการณ์เหล่านี้แล้ว ‘นครเข้มแข็ง’ ยังใช้สื่อโซเชี่ยลในการแนะนำตัว หาเสียงอย่างเป็นระบบ เนื้อหาที่โดนใจในอารมณ์คนนครฯ ที่ต้องการเปลี่ยนแปลง ประกอบกับบุคลิกการเป็นผู้นำที่เข้มแข็งของสาวมั่น จึงทำให้นครโมเดลสำเร็จ

ความพ่ายแพ้ของเจ้ต้อย ทำให้นครโมเดลถูกกล่าวขานถึง และสั่นสะเทือนไปถึงสงขลา นี้คือปรากฏการณ์ที่ ‘สุพิศ’ ต้องทบทวน และกำหนดทิศทางใหม่ให้ชัดเจน

‘ดร.ปวิน’ ฟาดเดือด!! ขยะแขยง ‘จักรภพ’ ไม่สนใจปชช. ผูกมิตรกับฝ่ายอำมาตย์

(30 พ.ย. 67) ศ.ดร.ปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ นักวิชาการจากมหาวิทยาลัยเกียวโต ได้โพสต์ข้อความถึง นายจักรภพ เพ็ญแข โดยมีใจความว่า ...

สิ่งที่จักรภพพูดมันเป็นอะไรที่น่าขยะแขยงมาก นักการเมือง/พรรคการเมือง/รัฐบาล ไม่ต้องสนประชาชนมากนัก เพราะต้องเอาเวลาไปผูกมิตรกับฝ่ายอำมาตย์ ไม่งั้นการเมืองไปต่อไปได้ โถ E ตอแหล การพูดแบบนี้พูดบน basis อะไร ทำไมเจ้าของประเทศถึงกลายมาเป็นของแถม ขณะที่ E พวกอำมาตย์กลายมาเป็นลำดับความสำคัญ มึงจะบอกว่าให้มองการเมืองแบบตามความเป็นจริง อันนี้ยิ่งน่าตกใจกว่า เพราะนั่นหมายความว่า ไอ้ความเป็นจริงที่ edok นี่พูดถึงก็คือ แม้จะมีการเลือกตั้ง แม้ประชาชนได้ออกไปใช้สิทธิของเจ้าของประเทศ แต่ประชาชนไม่มีสิทธิทางการเมือง เพราะนักการเมือง/พรรคการเมือง/รัฐบาล ต้องใส่ใจเอ็นดูอำมาตย์ทางการเมืองมากกว่า 

ถ้างั้น จะเรียกรัฐบาลนี้ ว่าเป็นประชาธิปไตยเหรอ จะเรียกประเทศนี้ว่าประชาธิปไตยทำไม 

‘นิพนธ์’ จับมือ!! พันธมิตร เดินหน้าแจกอาหาร 5,000 กล่อง เล็ง!! เปิดครัวเพิ่มอีก 1 จุดในพื้นที่ อ.เมืองสงขลา

(30 พ.ย. 67) ที่ วัดโคกสมานคุณ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา เริ่มแล้วเป็นวันที่สองกับโครงการ ‘เนชั่นปันน้ำใจช่วยภัยน้ำท่วม’ โดยมูลนิธิเนชั่น ร่วมกับ เครือข่ายช่วยเหลือประชาชนภาคใต้และภาคเอกชน ปักหมุดช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม จัดตั้งโรงครัวอาสา ปรุงอาหารแจกจ่ายให้กับผู้ประสบอุทกภัย ณ โคกสมานคุณ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

โดยเมื่อเวลา 10.00 น. สามารถผลิตอาหารกล่องแจกจ่ายแล้วกว่า 2,500 กล่อง และช่วงเย็น จะผลิตอีก 2,500 กล่องให้ได้ตามเป้าวันละ 5,000 กล่อง โดยจะส่งถึงมือผู้ประสบอุทกภัยในพื้นที่อำเภอหาดใหญ่กระจายทั่วทุกพื้นที่  ซึ่งขณะนี้เราได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรที่ดีเช่น เครือเจริญโภคภัณฑ์ สนับสนุนเนื้อไก่สดรวม  1,300 กิโลกรัม และไข่ไก่รวม 15,000 ฟอง โดยมีคุณจอมกิตติ  ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส และผู้บริหารสูงสุด ด้านบริหารกิจการสัมพันธ์  เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) เป็นผู้แทนส่งมอบ นอกจากนี้ยังมี บริษัทสยามอินเตอร์ฟู้ด จำกัด ,บริษัททีพีไอโพลีนจำกัด , บริษัทสมิหลาโคลสโตเรจ จำกัด 

ขณะเดียวกันนายนิพนธ์  บุญญามณี ตัวแทนพันธมิตร เปิดเผยว่า วันนี้เราได้รับความร่วมมือจากพันธมิตรที่ดีเพิ่มขึ้นทั้งน้ำดื่ม และ บริจาคเป็นจำนวนเงินมา และในวันนี้ก็ได้รับเกียรติจาก คุณจอมกิตติ  ศิริกุล รองกรรมการผู้จัดการใหญ่อาวุโส และผู้บริหารสูงสุด ด้านบริหารกิจการสัมพันธ์  เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) มามอบไก่สดเพิ่มอีก 300 กิโลกรัม และไข่ไก่อีก 3,000 ฟองด้วยตัวเองและวันนี้เราจะเปิดครัวเพิ่มอีก 1 จุด ในอำเภอเมืองสงขลา หลังจากนั้นก็จะประเมินว่าแจกเป็นถุงยังชีพให้กับชุมชนด้านในที่ได้รับความเดือดร้อนแต่ออกมาไม่ได้ซึ่งคาดการณ์ว่าจะเป็นวันพรุ่งนี้ (1 ธ.ค.) 

ทั้งนี้ โรงครัววัดโคกสมานคุณจะเปิดทำอาหารกล่องแจกจ่ายวันละ 2 มื้อในเวลา 10.00 น. และเวลา 17.00 น.และจะเปิดโรงครัวเพิ่มอีก 1 จุดในพื้นที่อ.เมืองสงขลาโดยจะเริ่มแจกเป็นมื้อแรกในเย็นวันนี้ (30 พ.ย. 67)  โดยจะดำเนินการไปจนกว่าสถานการณ์

สำหรับภาครัฐบาลยังไม่เห็นอะไรเป็นเรื่องเป็นราว บรรดาคณะรัฐมนตรี ยังคงปักหลักประชุม ครม.สัญจร ภาคเหนือเป็นวันที่ 2 แล้ว อนุทิน ชาญวีระกูล รมว.มหาดไทย กลับบอกว่า น้ำท่วมภาคใต้ ไม่น่าห่วงเท่าภาคเหนือ ภาคใต้กลไกรัฐยังรับมือได้ ทั้งนายอนุทิน และนายเฉลิมชัย ศรีอ่อน รมว.กระทรวงทรัพย์ฯ ลงไปสงขลา เพียงเพื่อไปร่วมงานวันเกิด สมยศ พลายด้วง แห่งพรรคประชาธิปัตย์ คนร่วมงานเป็นหมื่นคน แกงวัว แกงแพะ นับ 50 ตัว ตั้งโต๊ะ 1000 โต๊ะ มีดนตรี 3-4 วง รัฐมนตรีทั้งสองใช้เวลาเพียงน้อยนิดไปเยี่ยมชาวบ้าน ตามที่เดชดิศม์ ขาวทอง รมช.สาธารณสุข วางกำหนดการให้ไปเยี่ยมชาวบ้านย่านควนเนียง ซึ่งน้ำท่วมน้อย จะนะ เทพา สะบ้าย้อย นาทวี ท่วมหนัก แต่ไม่ได้ไปรีบกลับ บินต่อไปประชุม ครม.สัญจรที่เชียงใหม่

‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ ร่อนแถลงการณ์ ข้อเท็จจริงปมลงทุน ‘โชห่วย’ หลังมีผู้ร้องเรียน ‘DSI’ ชี้!! สร้างความเสียหายอย่างมาก ให้บริษัท

เมื่อวานนี้ (29 พ.ย. 67) บริษัท ทีดี ตะวันแดง จำกัด ออกแถลงการณ์กรณี มีกลุ่มบุคคลรวมตัวร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ(DSI) ว่า บริษัทฯ หลอกลวงให้ร่วมลงทุนในธุรกิจร้านโชห่วยจนเกิดความเสียหาย พร้อมทั้งมีการเผยแพร่ข่าวสารผ่านสื่อต่าง ๆ รวมถึงโซเชียลมีเดีย ทำให้สาธารณชนเกิดความเข้าใจผิดในวงกว้าง สร้างผลกระทบต่อผู้ประกอบการร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ รวมถึงก่อให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ

โดยบริษัทฯ ขอยืนยันว่า ได้ดำเนินธุรกิจด้วยความโปร่งใส สุจริต และตรวจสอบได้เสมอมา โดยการดำเนินธุรกิจร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ มีเป้าหมายเพื่อยกระดับมาตรฐานและเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันให้กับร้านค้าปลีกในชุมชนอันเป็นรากฐานสำคัญของเศรษฐกิจไทย ด้วยการสนับสนุนด้านเงินทุน องค์ความรู้ และเทคโนโลยีในการบริหารจัดการร้าน

ข้อกล่าวอ้างของกลุ่มบุคคลที่ร้องเรียนต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษนั้น เป็นการกล่าวอ้างที่เลื่อนลอยและปราศจากมูลความจริง บริษัทฯ มีพยานหลักฐานที่ชัดเจน และมั่นใจว่าสามารถพิสูจน์ความสุจริตได้ในทุกประเด็น กลุ่มบุคคลดังกล่าวมีการกระทำเป็นขบวนการและก่อนหน้านี้เคยร้องเรียนไปยังหน่วยงานรัฐต่างๆ ซึ่งหน่วยงานรัฐทุกแห่งรวมถึงกรมสอบสวนคดีพิเศษเคยพิจารณาสอบสวนข้อเท็จจริงและมีคำสั่งยุติเรื่องเนื่องจากไม่มีมูลความจริงไปแล้วทั้งสิ้น

กลุ่มบุคคลที่ร้องเรียนส่วนใหญ่มีประวัติเบียดบังทรัพย์สินและเงินของบริษัทฯ ไป และยังคงค้างชำระหนี้สินกับบริษัทฯ และบางรายอยู่ระหว่างถูกดำเนินคดีในข้อหายักยอกทรัพย์ของบริษัทฯ พฤติกรรมการรวมตัวร้องเรียนดังกล่าวแสดงถึงความพยายามเผยแพร่ข้อมูลอันเป็นเท็จด้วยการอ้างว่าถูกหลอกลวงลงทุนเพื่อสร้างกระแสข่าวให้สังคมเกิดความเข้าใจผิด และหวังใช้เป็นเครื่องมือต่อรองในประเด็นหนี้สินและคดีความของตนเอง

การกระทำของกลุ่มบุคคลดังกล่าวทำให้บริษัทฯ เสียหายอย่างมาก ขอให้สื่อมวลชนและบุคคลทั่วไปอย่าตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มบุคคลดังกล่าว ซึ่งท่านสามารถแสวงหาข้อเท็จจริงว่าข้อกล่าวอ้างดังกล่าวเป็นการกล่าวอ้างลอยๆ และปราศจากมูลความจริงได้จากร้าน ‘ถูกดี มีมาตรฐาน’ หลายพันรายที่เชื่อมั่นในการดำเนินธุรกิจอย่างสุจริตและโปร่งใสของบริษัทฯ จึงดำเนินธุรกิจกับบริษัทฯ ด้วยดีมาเป็นเวลาหลายปี และยังคงเปิดดำเนินการอยู่ในชุมชนของท่าน

ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ใช้ความอดกลั้นอย่างสูงในการอธิบายข้อเท็จจริงต่อกลุ่มบุคคลดังกล่าว และพยายามหลีกเลี่ยงการกระทำที่อาจก่อให้เกิดความขัดแย้ง แต่กลับพบว่ากลุ่มบุคคลดังกล่าวยังคงกระทำการให้เกิดความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง บริษัทฯ จึงมีความจำเป็นต้องดำเนินการทางกฎหมายอย่างเด็ดขาดกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลที่สร้างความเสียหายต่อธุรกิจและชื่อเสียงของบริษัทฯ เพื่อปกป้องสิทธิโดยชอบด้วยกฎหมาย และเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือในฐานะองค์กรที่มุ่งมั่นในการพัฒนาธุรกิจร้านค้าชุมชนและเศรษฐกิจของประเทศ

บริษัทฯ ขอขอบคุณพันธมิตรทางธุรกิจและผู้สนับสนุนทุกท่านที่ให้ความเชื่อมั่นในความตั้งใจและความมุ่งมั่นของบริษัทฯ ในการพัฒนาและยกระดับมาตรฐานร้านค้าปลีกชุมชนอย่างยั่งยืน

‘บิ๊กเต่า’ เล็งแจ้ง!! อีกหลายข้อหา ‘สามารถ’ หลังพบเส้นทางการเงิน พบเอี่ยว!! ‘รีดไถผู้ประกอบการ - พนันบอล’ ยัน!! มีหลักฐานชัดเจน

(1 ธ.ค. 67) ที่ศูนย์ราชการจังหวัดเชียงใหม่ ตำบลช้างเผือก อำเภอเมืองเชียงใหม่ จังหวัดเชียงใหม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ ปานแก้ว รองผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (รองผบ.ช.ก.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีการแจ้งข้อกล่าวหาเพิ่มกับนายสามารถ เจนชัยจิตรวนิช อดีตสมาชิกพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.)ว่า จากการตรวจสอบยอดเงิน 100 กว่าล้านในบัญชี มีการแตกไปในหลายเส้นทางการเงิน และเมื่อวันที่ 29 พ.ย.ที่ผ่านมา เราพบร่องรอยการโอนเงินเข้าบัญชีของนายสามารถ ประมาณ 500,000 บาท จึงเรียกเป้าหมายคนดังกล่าวมาพูดคุย พร้อมนำหลักฐานมาแสดง ซึ่งเข้าข่ายกรรโชกทรัพย์จึงน่าจะมีการแจ้งข้อหานี้กับนายสามารถอีกหนึ่งคดี

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า เรื่องที่ 2 บุคคลใกล้ชิดนายสามารถ ที่มีการเรียกเข้ามาสอบปากคำ ให้ความร่วมมือเจ้าหน้าที่เป็นอย่างดี ได้บอกถึงเส้นเงิน ที่ตัวเขาเป็นคนถือบัญชี ซึ่งนายสามารถอ้างว่า เป็นเงินใช้หนี้ และให้โอนเข้ามาในบัญชีนี้ และพบว่ามีการโอนเงินเข้ามา 2 ส่วน คือ บริษัท ดิไอคอน กรุ๊ป แต่ไม่ใช่จากนายวรัตน์พล วรัทย์วรกุล หรือ บอสพอล แต่เป็นหนึ่งในบอสของ ดิไอคอน ประมาณ 3 ล้านบาท โดยต้องตรวจสอบว่าเป็นการโอนเข้ามา เพราะบอสพอล เป็นคนสั่งการหรือไม่ ซึ่งหากพิจารณาแล้วเป็นการเรียกรับ ตำรวจสอบสวนกลางจะเป็นคนสอบเอง แต่หากพบว่าโอนเข้ามาจากบริษัท ดิไอคอน จะเข้าข่ายคดีฟอกเงินเพิ่มอีกหนึ่งคดี ตอนนี้ได้ประสานกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อที่จะสอบปากคำพยานคนดังกล่าวในสัปดาห์หน้า ส่วนเงินในบัญชีอีกส่วนเป็นการโอนเข้ามาของผู้ประกอบการที่ถูกรีดไถ จำนวน 500,000 บาท ซึ่งมีการแจงความไว้แล้ว

พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวต่อว่า ส่วนอื่นๆที่เราได้มีการตรวจสอบ พบว่าเกิดเหตุในลักษณะนี้ กับอีกหลายคนและอีกหลายส่วน และบางส่วนยังไม่ให้ความร่วมมือ เราจึงพยายามพูดคุย และพบว่าเกี่ยวข้องกับคนในหลายแวดวง ทางข้าราชการ หรือแม้แต่บุคคลที่บริษัท ดิไอคอน จ้างงาน ซึ่งมีเส้นเงินเชื่อมโยง ดังนั้น ต้องมีการตรวจสอบบัญชีอีกหลายส่วน ทั้งนี้ เส้นเงินที่เราแตกออกไปหลายส่วนนั้น อยู่ในจำนวน 100 กว่าล้านบาท ซึ่งเงินบางส่วนเราเห็นแล้วว่าน่าจะเป็นเงินที่มาจากการเล่นพนันบอล ซึ่งพบจากคนใกล้ชิด ประมาณ 30 ล้านบาทและเสียไปประมาณ 50 ล้านบาท ซึ่งยังเหลืออีก 50-60 ล้านบาท ที่ต้องตรวจสอบที่มาที่ไป ดังนั้นตำรวจสอบสวนกลางต้องตรวจสอบให้ละเอียดว่าเส้นเงินไปถึงใครบ้าง เพื่อพยายามที่จะเรียกบุคคลนั้นๆเข้ามาสอบปากคำ และยืนยันว่าจะดำเนินคดีในทุกเรื่อง

เมื่อถามถึงที่นายสามารถ ระบุว่าไม่ได้รับความเป็นธรรมในการถูกดำเนินคดี และมีการอดข้าวประท้วง พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เราไม่อยากให้มีการอดอาหารประท้วง และยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทำไปตามพยานหลักฐาน ไม่ได้กลั่นแกล้ง การตรวจสอบเส้นเงินเป็นวิทยาศาสตร์ และผู้เสียหายก็มีอยู่จริง

"นายสามารถ ต้องยอมรับสภาพว่าสิ่งที่ทำจะทิ้งหลักฐานไว้ สิ่งเหล่านี้กำลังตามหลอกหลอน ให้ต้องถูกดำเนินคดี เจ้าหน้าที่ตำรวจไม่มีใครที่จะไปกลั่นแกล้ง แต่นายสามารถเป็นบุคคลคนหนึ่งที่เราต้องการ นำเข้าสู่การบังคับใช้กฎหมาย และนำเข้าสู่สำนวนคดี เพราะมีคลิปเสียงชัดเจนในการเรียกรับ และมีคำพูดค่อนข้างดูถูกข้าราชการ ในการแต่งตั้งข้าราชการเข้าไปดูแลบอสพอล หรือช่วยเหลือผู้ประกอบการ ดังนั้น เราต้องมีความพยายาม ต้องดำเนินการแม้บอสพอล จะไม่ได้มีการร้องทุกข์ดำเนินคดี ยืนยัน ไม่มีการกลั่นแกล้งและขอให้ไปสู้กันในชั้นศาล หากมีพยานที่สามารถหักล้างเหตุผลได้ ก็ไม่จำเป็นต้องอดข้าว ขณะนี้ยังมีเวลาแก้ไข หากกระทำผิดก็ต้องชดใช้ ในสิ่งที่ทำไว้" พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าว

เมื่อถามต่อว่าจะมีการมอบของขวัญช่วงปีใหม่ให้กับอินฟลูเอนเซอร์หรือผู้ที่เกี่ยวข้องในคดีดิไอคอนอีกหรือไม่ พล.ต.ต.จรูญเกียรติ กล่าวว่า เป็นเรื่องของการปัดกวาดทางสังคมให้สะอาด ให้บรรดาอินฟลูเอนเซอร์เพจต่างๆ เข้ามาสู่ระบบเคารพกฎหมาย เพราะที่ผ่านมามีการบูลลี่หน่วยงานรัฐ โดยไม่มีหลักฐาน แต่ยืนยันพวกเราไม่ใช่คนไร้น้ำใจ หรือเป็นคนใจร้าย แต่ทางผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.)ระบุว่าสิ่งใดที่ทำให้สังคมไขว้เขว ใส่ร้ายสังคม ใส่ร้ายข้าราชการ เราต้องปัดกวาด รวมถึงหากข้าราชการตำรวจมีการกระทำความผิด ก็ต้องดำเนินการอย่างเด็ดขาดเอาออกไปเช่นกัน ก็เป็นการกวาดบ้านตัวเอง เป็นการทำทุกหน่วยงานให้เป็นของขวัญให้กับพี่น้องประชาชนในช่วงปีใหม่

‘อาจารย์อุ๋ย’ ชี้!! ‘เมียนมาร์’ ใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ยิงเรือประมงไทย ละเมิด!! หลักกฎหมายระหว่างประเทศ จี้!! รัฐบาลดำเนินการตอบโต้

(1 ธ.ค. 67) นายประพฤติ ฉัตรประภาชัย หรืออาจารย์อุ๋ย นักวิชาการด้านกฎหมายและอดีตผู้สมัคร สส. กรุงเทพมหานคร เขตบางกะปิ พรรคประชาธิปัตย์ ได้แสดงความเห็นผ่านเฟสบุ๊กว่า

กรณีที่เรือรบเมียนมายิงเรือประมงไทย 3 ลำ จนทำให้ลูกเรือบาดเจ็บ 2 คน เสียชีวิต 1 คน และจับกุมเรือประมงไทย 1 ลำพร้อมลูกเรือ 31 ไว้นั้น กฎบัตรสหประชาชาติ (UN Charter) มาตรา 51 ให้สิทธิแก่รัฐสมาชิกในการใช้กำลังป้องกันตนเองโดยใช้อาวุธ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะมีการรุกล้ำน่านน้ำหรือไม่ ด้วยหลักจารีตประเพณีและคำพิพากษาของศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea) ซึ่งได้เคยวางหลักไว้ในคดี SAINT VINCENT AND THE GRENADINES V. GUINEA ว่า การใช้กำลังอาวุธด้วยการยิงเข้าใส่เรือประมงจนเกิดการบาดเจ็บและเสียชีวิตของลูกเรือ ถือเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุ และละเมิดหลักกฎหมายระหว่างประเทศ 

ทั้งนี้ ภายใต้หลักกฎหมายระหว่างประเทศ รัฐทุกรัฐจักต้องหลีกเลี่ยงการใช้กำลังอาวุธให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เมื่อทำการเข้าจับกุมเรือ แม้ว่าจะเป็นเรือที่ทำผิดกฎหมายก็ตาม เพราะการใช้กำลังอาวุธจะทำให้มีความเสี่ยงอย่างยิ่งที่จะทำให้คนของชาติอื่นต้องบาดเจ็บหรือเสียชีวิต และจะทำให้เกิดความบาดหมางต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยไม่จำเป็น ซึ่งวิธีที่ยึดถือปฏิบัติกันมาในทางระหว่างประเทศเมื่อพบเรือต่างชาติที่ต้องสงสัย คือการเตือนด้วยเสียงหรืออาณัติสัญญาณในรูปแบบที่เห็นได้ชัดให้เรือต้องสงสัยนั้นหยุด และหากเรือต้องสงสัยนั้นไม่ตอบสนองหรือไม่หยุด เจ้าหน้าที่จึงสามารถเข้าขึ้นเรือและใช้กำลังเข้าควบคุมความสงบเรียบร้อยได้ หรือหากเรือต้องสงสัยนั้นมีการใช้กำลังอาวุธยิงเข้าใส่ เจ้าหน้าที่จึงสามารถใช้อาวุธยิงตอบโต้ได้ หากปรากฎข้อเท็จจริงว่าเจ้าหน้าที่เมียนมายิงเข้าใส่เรือประมงไทยโดยไม่มีการเตือนหรือแจ้งล่วงหน้าให้หยุดเรือจึงเป็นการกระทำที่เกินกว่าเหตุและละเมิดกฎหมายระหว่างประเทศ

ซึ่งรัฐบาลไทยต้องเรียกร้องให้รัฐบาลเมียนมาเยียวยาความเสียหาย และปล่อยตัวลูกเรือที่ถูกจับโดยเร็ว มิเช่นนั้นจะต้องดำเนินมาตรการตอบโต้ (retortion/reprisal) เช่น ส่งทูตกลับประเทศ ปิดน่านน้ำ ปิดชายแดน จำกัดการนำเข้าสินค้า บอยคอตสินค้า ตัดความช่วยเหลือต่าง ๆ กับประเทศเมียนมา ฯลฯ ซึ่งเป็นการกระทำที่ทำได้ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ ทั้งนี้เพื่อผดุงไว้ซึ่งศักดิ์ศรีของประเทศไทยและเรียกร้องความเป็นธรรมให้กับคนไทยที่ประสบเหตุ อย่างเต็มที่ ด้วยความปรารถนาดี 

‘สภาพัฒน์’ เผย!! คนไทย ถูกหลอกทำบุญออนไลน์ มีผู้เสียหายกว่า 2.65 ล้านคน มูลค่า!! พุ่งทะลุ 2.3 พันล้านบาท ‘Gen Z – Gen Y’ ถูกหลอกง่ายที่สุด

(1 ธ.ค. 67) สังคมไทยเป็นสังคมแห่งการช่วยเหลือ คนไทยส่วนใหญ่มีจิตใจดี ชอบทำบุญ ในปัจจุบันมีการเชิญชวนทำบุญหรือบริจาคเงินช่วยเหลือผ่านช่องทางออนไลน์เป็นจำนวนมาก ซึ่งคนจำนวนมากได้เข้าไปร่วมทำบุญผ่านวิธีนี้เนื่องจากมีความสะดวก ไม่ต้องเดินทางไปสถานที่จริงก็สามารถโอนเงินไปร่วมทำบุญได้ อย่างไรก็ตามก็เป็นช่องทางของมิจฉาชีพในการหลอกลวงและฉ้อโกง นอกจากได้เงินไปแล้วยังมีการออกใบอนุโมทนาบัตรปลอมอีกด้วย ซึ่งที่ผ่านมามีคนที่ตกเป็นเหยื่อถูกหลอกลวงเป็นจำนวนมาก

ข้อมูลจากการแถลงข่าวภาวะสังคมไตรมาสที่ 3/2567 ของสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) เปิดเผยว่าหนึ่งในสถานการณ์ทางสังคมที่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินที่ต้องให้ความสำคัญคือ ‘การหลอกลวงจากการทำบุญหรือช่วยเหลือทางออนไลน์’  โดยจากผลการสำรวจสถานการณ์การถูกหลอกลวงผ่านช่องทางออนไลน์" ของศูนย์วิจัยเพื่อการพัฒนาสังคมและธุรกิจ (SAB) ในปี 2566พบผู้เคยถูกหลอกลวงโดยอาศัยความสงสารหรือความสัมพันธ์จำนวน 2.65 ล้านคน คิดเป็นมูลค่าความเสียหายจำนวนรวมสูงถึง 2.3 พันล้านบาท

ซึ่งในจำนวนนี้ส่วนหนึ่งตกเป็นผู้เสียหายถูกหลอกลวงจากการขอรับบริจาคช่วยเหลือหรือการระดมเงินทำการกุศล โดยหากพิจารณาจำแนกตามกลุ่ม Generation จะพบว่า กลุ่ม Gen Z และ Gen Y เป็นกลุ่มที่ถูกหลอกลวงในลักษณะดังกล่าวอยู่ที่13% และ 10% ตามลำดับ มากกว่ากลุ่ม Gen Xและ Baby Boomer

โดยที่มีรูปแบบการหลอกลวง เช่น การหลอกโอนเงินไถ่ชีวิตโคกระบือ/การช่วยเหลือสัตว์ บาดเจ็บ การแอบอ้างร่วมบริจาคเงินซื้อถังออกซิเจน ใบอนุโมทนาบัตรออนไลน์อ้างลดหย่อนภาษี นอกจากนี้ในช่วงวิกฤตต่าง ๆ เช่น สถานการณ์น้ำท่วม ประชาชนจำนวนมากได้รับความเสียหายในหลายพื้นที่หน่วยงานจากภาคส่วนต่าง ๆ รวมถึงบุคคลที่มีชื่อเสียงมีการเปิดร่วมรับบริจาคเงินหรือสิ่งของจำเป็นเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยส่งผลให้กลายเป็นอีกหนึ่งช่องทางฉวยโอกาสของมิจฉาชีพ กระทำการหลอกลวงให้โอนเงินช่วยเหลือผ่านการสแกน OR Code หรือบัญชีม้า และการหลอกลวงผู้ประสบภัยโดยมักแอบอ้างเป็นหน่วยงานรัฐหลอกลวงให้ผู้ประสบภัยกรอกข้อมูลลงทะเบียนบนเว็บไซต์/ลิงก์ปลอม หรือวิธีการอื่น ๆ เพื่อรับเงินช่วยเหลือเยียวยา

ทั้งนี้ สามารถตรวจสอบบัญชีธนาคาร เบอร์โทรศัพท์ หรือเว็บไซต์ที่น่าสงสัย ได้ทาง www.checkgon.go.th ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หรือติดตามมาตรการช่วยเหลือต่าง ๆ ของหน่วยงานภาครัฐจากเว็บไซต์หรือแพลตฟอร์มออนไลน์ที่เป็นทางการเท่านั้น

สอดคล้องกับข้อมูลศูนย์ต่อต้านข่าวปลอมประเทศไทย (Anti-Fake News Center) ที่มีการเตือนเรื่องทำบุญออนไลน์ ระวังตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ โดยระบุว่าหากอยากจะทำบุญออนไลน์ต้องตรวจสอบให้ดี ระวังมิจฉาชีพใช้กลโกงหลอกหลวง โดยสิ่งที่ต้องระวังมีดังนี้

• เช่าวัตถุมงคล เครื่องราง ของขลังออนไลน์ อาจเจอของปลอม ไม่ตรงปกหรือหลอกให้โอนเงิน แต่ไม่ส่งของให้
• เวียนเทียนออนไลน์ มิจฉาชีพอาจหลอกให้กดลิงก์ติดตั้งแอปฯ รีโมทควบคุมโทรศัพท์ เพื่อดูดเงินจากบัญชี หรือหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัวเพื่อนำไปทำเรื่องผิดกฎหมาย
• ทำบุญออนไลน์ มิจฉาชีพอาจหลอกให้โอนเงินทำบุญ ด้วยการให้หมายเลขบัญชีปลอม
• สะเดาะเคราะห์ แก้กรรม ดูดวงออนไลน์ อาจเป็นโจรแฝงตัวหลอกเอาข้อมูลส่วนตัว วันเดือนปีเกิด ที่อยู่ รูปถ่าย ภาพโป๊เปลือย ข้อมูลบัตรประชาชน เลขบัตรเครดิต ฯลฯ
• ใบอนุโมทนาบัตรออนไลน์ อ้างลดหย่อนภาษี อาจเป็นโจรสวมรอยหลอกให้กรอกข้อมูลส่วนตัว ก่อนคลิก ก่อนโอน ก่อนกรอกข้อมูลใด ๆ ต้องมีสติ ดูให้ดี มิฉะนั้นอาจตกเป็นเหยื่อของมิจฉาชีพ


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top