Sunday, 5 May 2024
NASA

NASA และ Roscosmos องค์กรสำรวจอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา และ รัสเซีย บรรลุข้อตกลงระยะยาวฉบับใหม่ ที่จะยังคงใช้สถานีอวกาศนานาชาติร่วมกัน แถมกำลังจะมีโครงการแลกเปลี่ยนนักบิน และแชร์ไฟลต์สู่อวกาศร่วมกันในเดือนก.ย. นี้

เมื่อวันศุกร์ที่ 15 กรกฎาคม 65 ที่ผ่านมา NASA และ Roscosmos องค์กรสำรวจอวกาศแห่งชาติของสหรัฐอเมริกา และ รัสเซีย เพิ่งบรรลุข้อตกลงระยะยาวฉบับใหม่ ที่จะยังคงใช้สถานีอวกาศนานาชาติร่วมกัน แถมกำลังจะมีโครงการแลกเปลี่ยนนักบิน และแชร์ไฟลต์สู่อวกาศร่วมกันในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้

Roscosmos หน่วยงานที่รับผิดชอบด้านโครงการอวกาศของรัสเซียกล่าวว่า ข้อตกลงนี้ เป็นการเห็นชอบร่วมกันทั้ง 2 ฝ่าย เพื่อพัฒนากรอบความร่วมมือของโครงการสถานีอวกาศนานาชาติ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการสำรวจอวกาศเพื่อสันติ 

จากข้อตกลงนี้ จะทำให้ทั้งสหรัฐฯ และ รัสเซีย ยังคงใช้สถานีอวกาศนานาชาติร่วมกันได้ และนักบินอวกาศสหรัฐฯ ยังสามารถเข้าถึงยานแคปซูล Suyuz ของรัสเซียได้ด้วย 

ส่วนโครงการแลกเปลี่ยนนักบินอวกาศจะเริ่มต้นในเดือนกันยายน โดยเที่ยวบินแรก สหรัฐอเมริกาจะส่ง แฟรงค์ รูบิโอ นักบินอวกาศจาก NASA ไปกับยานอวกาศของมอสโคว์ ที่ส่งจากฐานปล่อยยาน ไบโคนูร์คอสโมโดรม ในประเทศคาซัคสถาน ร่วมกับนักบินอวกาศของรัสเซียอีก 2 คน 

ในทางกลับกัน รัสเซียก็จะส่ง แอนนา คิคินา นักบินอวกาศหญิงของรัสเซีย ไปกับยาน Space X Dragon พร้อมลูกเรือชาวอเมริกัน 2 คน และจากญี่ปุ่นอีก 1 คน โดยปล่อยยานจากศูนย์อวกาศเคเนดี ในรัฐฟลอริด้า และนี่จะเป็นครั้งแรกที่นักบินอวกาศรัสเซียจะได้เดินทางสู่อวกาศไปกับยานของ Space X อีกด้วย

ในขณะที่สหรัฐอเมริกา และรัสเซีย ตัดขาดความสัมพันธ์แทบทุกอย่างบนโลก เนื่องจากความขัดแย้งในกรณีข้อพิพาทรัสเซีย-ยูเครน แต่ความร่วมมือกันในโครงการสถานีอวกาศนานาชาติ อาจกลายเป็นโปรเจกต์เดียวที่ยังเหลืออยู่ 

NASA เปลี่ยนวงโคจรดาวเคราะห์น้อยได้สำเร็จเป็นครั้งแรก เชื่อช่วยต่อยอดความรู้ป้องภัยดาวพุ่งชนโลกได้ในอนาคต

(13 ต.ค.65) สถาบันวิจัยดาราศาสตร์แห่งชาติได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก ระบุว่า...

องค์การนาซายืนยันถึงการพุ่งชนดาวเคราะห์น้อยของยานในภารกิจ DART ช่วยเปลี่ยนลักษณะการโคจรของดาวเคราะห์น้อยเป้าหมาย

จากการวิเคราะห์ข้อมูลที่ของทีมงานในภารกิจ DART (Double Asteroid Redirection Test) ขององค์การนาซา แสดงให้เห็นว่าการพุ่งชนดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสของยานอวกาศ สามารถเบี่ยงวิถีของดาวเคราะห์น้อยเป้าหมายได้สำเร็จ และกลายเป็นภารกิจเบี่ยงวิถีโคจรของวัตถุในอวกาศที่สำเร็จเป็นครั้งแรกของมนุษยชาติ ซึ่งจะใช้เป็นองค์ความรู้พื้นฐานของการปกป้องโลกจากการพุ่งชนของดาวเคราะห์น้อยในอนาคตต่อไป

ก่อนหน้าการพุ่งชน ดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสใช้เวลาโคจรรอบดาวเคราะห์น้อยดวงแม่ (ดาวเคราะห์น้อยดีดิมอส) นาน 11 ชั่วโมง 55 นาที แต่หลังจากการพุ่งชนของยาน DART เมื่อวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2022 ที่ผ่านมา นักดาราศาสตร์ใช้กล้องโทรทรรศน์จากทั่วโลก ตรวจวัดคาบการโคจรของดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสอีกครั้ง จนถึงตอนนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ยืนยันแล้วว่า การพุ่งชนของยาน DART ทำให้คาบการโคจรของดาวเคราะห์น้อยไดมอร์ฟอสเร็วขึ้นประมาณ 32 นาที ซึ่งคาบการโคจรที่เปลี่ยนไปบ่งชี้ว่า ดาวเคราะห์น้อยมีวงโคจรที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิม หากดาวเคราะห์น้อยมีคาบการโคจรสั้นลง แสดงว่าวงโคจรใหม่จะหดลงเข้าใกล้ดาวเคราะห์น้อยดวงแม่มากขึ้น และในทางตรงข้าม หากมีคาบการโคจรที่นานขึ้น จะแสดงว่ามีวงโคจรใหม่ที่กว้างกว่าเดิม

แม้ว่าทีมนักวิทยาศาสตร์ในภารกิจ DART จะยืนยันว่าสามารถเบี่ยงวิถีดาวเคราะห์น้อยได้แล้ว แต่ก็ยังต้องการข้อมูลการสังเกตการณ์เพิ่มเติมจากเครือข่ายหอดูดาวทั่วโลก รวมไปถึงข้อมูลจากเรดาร์ของห้องปฏิบัติการเครื่องยนต์ขับเคลื่อนไอพ่น (JPL) ของนาซา และกล้องโทรทรรศน์วิทยุกรีนแบงค์ของ NRAO 

ขณะนี้ ทีมนักวิทยาศาสตร์ในโครงการ DART หันมาให้ความสนใจในเรื่องการถ่ายโอนโมเมนตัมจากยาน DART ที่พุ่งชนเป้าหมายด้วยอัตราเร็ว 22,530 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รวมถึงการวิเคราะห์ Ejecta หรือเศษวัสดุที่สาดกระเด็นไปในอวกาศ ซึ่งช่วยขยายแรงจากการพุ่งชนของยาน ในลักษณะเดียวกับกระแสลมที่พุ่งออกจากรูรั่วบนลูกโป่ง แล้วทำให้ลูกโป่งเคลื่อนไปในทิศตรงข้าม

อย่างไรก็ดี เพื่อทำความเข้าใจในประเด็นข้างต้น นักวิทยาศาสตร์จำเป็นต้องศึกษาคุณสมบัติทางกายภาพของดาวเคราะห์น้อยมากกว่านี้ อย่างเรื่องลักษณะและความแข็งแรงของพื้นผิวดาวเคราะห์น้อย ซึ่งปัจจุบันอยู่ในขั้นตอนที่กำลังศึกษา

‘NASA’ ค้นพบ ‘ดาวเคราะห์น้อยทองคำ 16 Psyche’ คาด!! มูลค่ามากกว่า ‘GDP’ ของคนทั้งโลกรวมกัน

องค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ หรือ ‘NASA’ ได้เผยข้อมูลการค้นพบ ‘ดาวเคราะห์น้อย 16 Psyche’ ที่มีวงโคจรในแถบดาวเคราะห์น้อยระหว่างดาวอังคารและดาวพฤหัส แม้จะเป็นเพียงแค่หนึ่งในดาวเคราะห์น้อยที่มีอยู่อย่างมากมายในวงโคจรแถบนี้ แต่ 16 Psyche มีความพิเศษจากดาวเคราะห์น้อยดวงอื่น ๆ คือมีมวลที่อัดแน่นไปด้วยแร่โลหะที่มีมูลค่ามหาศาล โดยเฉพาะ ‘แร่ทองคำ’ อีกทั้งยังมี เหล็ก นิกเกิล

ด้วยขนาดของดาวเคราะห์น้อย 16 Psyche ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางอยู่ที่ 225 กิโลเมตร จึงได้มีการตีราคาแร่ที่มีอยู่ ซึ่งตีเป็นมูลค่าบนโลกมนุษย์ได้ประมาณ 10,000 ล้านล้านเหรียญ และมากกว่า GDP ของประชากรทั้งโลกรวมกันเสียอีก (อ้างอิงข้อมูลจากธนาคารโลก GDP ของทั้งโลกเราอยู่ที่ 85.6 ล้านล้านเหรียญ)

ในอนาคต ทาง NASA ได้มีการเผยว่า มีแผนการจะส่งกระสวยเข้าไปสำรวจดาวเคราะห์น้อย 16 Psyche ภายในปีหน้านี้ ซึ่งนอกเหนือจากสำรวจแร่โลหะมูลค่ามหาศาลภายในแล้ว อาจจะพบความลับของการถือกำเนิดดาวเคราะห์ต่าง ๆ รวมถึงโลกด้วย ซึ่งตามแผนการที่ได้วางไว้ NASA ตั้งเป้าไว้ว่า จะส่งกระสวยออกไปภายในเดือนสิงหาคม ปี 2022 นี้ แต่ด้วยการทำงานผิดพลาดของซอฟต์แวร์ และปัญหาต่าง ๆ ทำให้แผนการต้องเลื่อนออกไปเป็นเดือนตุลาคม ปี 2023 แทน 

'นาซา' ระแวง!! หวั่นจีนอาจอ้างกรรมสิทธิ์เหนือดวงจันทร์ หากชนะสหรัฐฯ ในสมรภูมิแข่งขันด้านอวกาศ

จีนอาจพยายามเข้าควบคุมตำแหน่งที่ตั้งต่าง ๆ ซึ่งอุดมไปด้วยทรัพยากรมากที่สุดบนดวงจันทร์ หากว่าปักกิ่งมีชัยชนะในการแข่งขันเหนืออเมริกา สำหรับดวงดาวบริวารเพียงดวงเดียวของโลกดวงนี้ จากความเห็นของ บิล เนลสัน ผู้อำนวยการองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ (นาซา)

"มันเป็นความจริง เราอยู่ในศึกแข่งขันด้านอวกาศ" เนลสัน ให้สัมภาษณ์กับเว็บไซต์ข่าวสหรัฐฯ ‘โพลิติโค’ เมื่อวันอาทิตย์ (1 ม.ค.) พร้อมเตือนว่า "และมันเป็นความจริงที่เราต้องระแวดระวังมากขึ้นว่าจีนจะไม่เข้าควบคุมสถานที่หนึ่งๆ บนดวงจันทร์ ภายใต้หน้ากากของงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ และมันไม่ใช่เรื่องเกินเลยในขอบเขตความเป็นไปได้ ที่พวกเขาจะบอกว่าพื้นที่นี้ห้ามเข้า เราอยู่ที่นี่ นี่คือดินแดนของเรา"

ผู้อำนวยการองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ กล่าวต่อว่า "ปัญหาคือ ณ ตอนนี้มันมีหลายพื้นที่ทางขั้วใต้ของดวงจันทร์เท่านั้นที่เหมาะสมกับสิ่งที่เราคิด สำหรับกักเก็บน้ำและอื่น ๆ เป็นต้น"

เนลสัน พาดพิงพฤติกรรมของจีนในผืนโลก ในการให้เหตุผลเกี่ยวกับคำกล่าวอ้างดังกล่าว โดยระบุว่า "ถ้าคุณคลางแคลงใจ คุณลองดูสิ่งที่พวกเขาทำกับหมู่เกาะสแปตลีย์สิ" เขากล่าวอ้างถึงหมู่เกาะในทะเลจีนใต้ ซึ่งประเทศอื่น ๆ โต้แย้งกล่าวอ้างกรรมสิทธิ์เช่นกัน แต่กองทัพจีนได้เข้าไปจัดตั้งฐานทัพเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

ในปี 2019 จีนกลายเป็นประเทศแรกที่สามารถลงจอดแบบนุ่มนวลในด้านห่างไกลของดวงจันทร์ ส่วนหนึ่งในภารกิจของยานฉางเอ๋อ 4 และหุ่นยนต์สำรวจขนาดเล็กที่ชื่อ อวี้ทู่ 2 ทั้งนี้ ต่อมามันได้ส่งตัวอย่างดวงจันทร์กลับมายังโลก และทางปักกิ่งคาดหมายว่าพวกเขาจะสามารถส่งมนุษย์ขึ้นไปบนดวงจันทร์ก่อนปี 2023 และจากนั้นจะจัดตั้งสถานีวิจัยทางวิทยาศาสตร์บนดวงจันทร์เป็นลำดับต่อไป

ช่วงไม่ปีที่ผ่านมา องค์กรอวกาศแห่งชาติจีน (CNSA) ยังประสบความสำเร็จในการส่งยานอวกาศและยานโรเวอร์ไปดาวอังคารด้วยเช่นกัน รวมถึงปล่อยสถานีอวกาศแห่งชาติขึ้นสู่วงโคจรรอบโลก

เนลสันยอมรับว่า "ภายในทศวรรษที่ผ่านมา จีนประสบความสำเร็จอย่างมโหฬารและมีความก้าวหน้ามากมายในด้านโครงการอวกาศ" 

ชาวโลกระทึก!! ‘นาซา’ เฝ้าตามติด ส่องดาวเคราะห์น้อย ‘2023 DW’ หลังพบมีโอกาสพุ่งชนโลก ในวาเลนไทน์ปี 2046

องค์การนาซา เฝ้าติดตามดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่ง ที่อาจพุ่งชนโลกในวันวาเลนไทน์ปี 2046

ระบบสุริยะมีดาวเคราะห์น้อยหลายล้านดวง แต่มีดาวเคราะห์น้อยดวงหนึ่งแม้มีขนาดไม่ใหญ่โต แต่ก็มีโอกาสพุ่งชนโลก หลังนักวิทยาศาสตร์พบดาวเคราะห์น้อยดวงใหม่เมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน 

สำนักงานอวกาศยุโรป รายงานว่า ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ มีชื่อว่า ‘2023 DW’ ถูกพบครั้งแรกเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา และอยู่ในรายชื่อความเสี่ยงขององค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติสหรัฐฯ หรือ นาซา ในประเภทวัตถุอวกาศที่อาจส่งผลกระทบต่อโลก 

นักวิจัย เชื่อว่า ดาวเคราะห์น้อย ‘2023 DW’ มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางราว 50 เมตร หรือประมาณ 1 ใน 10 ของสระว่ายน้ำในกีฬาโอลิมปิก ส่วนสำนักงานอวกาศยุโรป ประเมินว่า โอกาสที่ดาวเคราะห์น้อย ‘2023 DW’ จะพุ่งชนโลกอยู่ที่ 1 ใน 607 และโอกาสที่ดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนโลกไม่เกินปี 2046 คาดว่า น่าจะเป็นวันวาเลนไทน์ 

ขณะที่ สำนักงานความร่วมมือเพื่อปกป้องดาวเคราะห์ของนาซา กำลังติดตามดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ และความเสี่ยงที่จะสร้างผลกระทบต่อโลกในปี 2046 ยังคงน้อยมาก 

ด้านปิเอโร ซิโคลี นักดาราศาสตร์ เชื่อว่า มีโอกาส 1 ใน 400 ที่ดาวเคราะห์น้อยจะพุ่งชนโลก นอกจากนี้ ปัจจุบัน ดาวเคราะห์น้อย 2023 DW อยู่ในมาตราโตรีโน ซึ่งหมายความว่า ไม่มีเหตุที่ประชาชนต้องตื่นตระหนก

ภารกิจต่างดาว ‘เพนตากอน’ ชี้!! วัตถุประหลาด อาจเป็นยานแม่ต่างดาว ทำหน้าที่ปล่อยยานสำรวจขนาดเล็ก ระหว่างเคลื่อนที่ผ่านโลก

(14 มี.ค. 66) มีความเป็นไปได้ที่ย่านแม่ของสิ่งมีชีวิตนอกโลกและยานสำรวจ อาจเดินทางเยือนดาวเคราะห์ต่าง ๆ ในระบบสุริยะของเรา จากความเห็นของหัวหน้าสำนักงานวิจัยปรากฏการณ์ทางอากาศที่ไม่สามารถระบุเอกลักษณ์ของกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ (เพนตากอน) เผยในร่างรายงานฉบับหนึ่ง ซึ่งมีการเผยแพร่เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว

“วัตถุระหว่างดวงดาวไม่เป็นไปตามธรรมชาติอันหนึ่ง มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นยานแม่ที่ปล่อยยานสำรวจขนาดเล็กมากมาย ระหว่างที่มันเคลื่อนผ่านโลกในระยะใกล้ รูปแบบของปฏิบัติการ ไม่ต่างจากภารกิจของนาซาเท่าไหร่” ฌอน เคิร์กแพทริก ผู้อำนวยการสำนักงาน All-domain Anomaly Resolution Office (AARO) ของเพนตากอน เขียนในรายงานการวิจัยร่วมกับ อับราฮัม อาวี โลบ ประธานคณะดาราศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด

ทั้งนี้ สำนักงาน AARO มีหน้าที่ตรวจสอบ สืบสวน และระบุวัตถุที่ไม่สามารถระบุได้ รวมถึงวัตถุบินเหนืออากาศและใต้น้ำ ที่อาจเป็นภัยคุกคาม เพื่อความปลอดภัยและความมั่นคงของชาติสหรัฐฯ

‘นาซา’ เผยโฉมชุดนักบินอวกาศใหม่ ในภารกิจอาร์ทิมิส 3 เตรียมส่งนักบินอวกาศ เยือนดวงจันทร์อีกครั้งในรอบ 50 ปี

‘องค์การนาซา’ กับบริษัท ‘แอกเซียม สเปซ’ พัฒนาชุดนักบินอวกาศรุ่นใหม่ สำหรับโครงการอาร์ทิมิส 3 ที่จะส่งนักบินอวกาศไปลงดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี

(16 มี.ค. 66) องค์การนาซา (NASA) และบริษัทแอกเซียม สเปซ (Axiom Space) เปิดตัวชุดอวกาศรุ่นใหม่ สำหรับการส่งนักบินอวกาศกลับไปยังดวงจันทร์อีกครั้งในภารกิจอาร์ทิมิส 3 ในปี 2568 ที่ ซึ่งชุดนี้สวมใส่โดย นายเจมส์ สไตน์ หัวหน้าวิศวกรของบริษัท แอกเซียม สเปซ

องค์การนาซา ทำสัญญากับบริษัท แอกเซียม สเปซมูลค่า 228 ล้านดอลลาร์หรือราว 7,870 ล้านบาท ในการออกแบบและผลิตชุดนักบินอวกาศโครงการอาร์ทิมิส 3 ที่จะไปสำรวจดวงจันทร์ครั้งแรกในรอบกว่า 50 ปี

‘NASA’ เผย การโคจรสำรวจรอบดวงจันทร์ สำเร็จในรอบ 50 ปี คาด มนุษย์อาจสามารถไปใช้ชีวิตอยู่ที่นั่นได้ภายใน 10 ปีนี้!!

หลังจาก โครงการอาร์ทิมิส 1 (Artemis I) ของ NASA ที่ได้ส่งจรวดกลับไปสำรวจ ด้วยการโคจรรอบดวงจันทร์ ในรอบ 50 ปี เป็นผลสำเร็จ ทำให้วงการดาราศาสตร์ได้มีการคาดการว่า มนุษย์โลกจะสามารถย้ายไปอยู่ในดวงจันทร์ ดาวบริวารเพียงหนึ่งเดียวของโลกได้ในอีก 10 ปีนี้

‘โฮวาร์ด ฮู’ (Howard Hu) หัวหน้าโครงการยานอวกาศโอไรออน (Orion) ในโครงการอาร์ทิมิส 1 ได้กล่าวว่า มนุษย์จะขึ้นไปอยู่ทำงานทางวิทยาศาสตร์และใช้ชีวิตบนดวงจันทร์อยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่งก่อนสิ้นทศวรรษนี้

“แน่นอนว่าในทศวรรษนี้ เราจะมีคนอยู่ที่นั่นชั่วระยะเวลาหนึ่ง ขึ้นอยู่กับว่าเราจะให้อยู่บนพื้นผิว (ดวงจันทร์) นานแค่ไหน พวกเขาจะมียานโรเวอร์อยู่บนพื้นดิน” ฮู กล่าว “เราจะส่งคนลงไปที่พื้นผิว และพวกเขาจะอาศัยอยู่ที่นั่นพร้อมกับทำงานด้านวิทยาศาสตร์”

สำหรับโครงการอาร์ทิมิส 1 เป็นโครงการของนาซาพยายามนำมนุษย์กลับไปสู่ดวงจันทร์อีกครั้งในรอบ 50 ปี โดยในเที่ยวบินแรกที่เพิ่งปล่อยตัวไปนี้เป็นการทดสอบระบบจรวดใหม่ที่มีชื่อว่า ‘Space Launch System’ หรือ SLS เป็นหนึ่งในจรวดที่ทรงพลังที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา และมียานอวกาศโอไรออนติดตั้งอยู่ส่วนบนสุดของจรวด

ในโครงการการสำรวจนี้ ภายที่ปล่อยนั้น จะมีหุ่นคล้ายมนุษย์ทำหน้าที่บันทึกสิ่งต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับลูกเรือที่เป็นมนุษย์ในอนาคตเช่นความดัน แรงของการบิน และการสัมผัสกับรังสี นอกจากนี้โอไรออนยังบรรทุกเมล็กพืช รา ยีสต์ และสาหร่ายไว้ในภาชนะที่เรียกว่า ‘การทดลองทางชีวภาพ 1 (Biological Experiment - 1)’ ซึ่งจะช่วยเผยให้เห็นว่าสิ่งมีชีวิตตอบสนองต่อสภาพที่รุนแรงของห้วงอวกาศอย่างไร และรวมไปถึงการตอบสนองต่อสภาวะไร้น้ำหนัก

“ผมคิดว่านี่เป็นวันประวัติศาสตร์สำหรับนาซา และก็เป็นวันประวัติศาสตร์สำหรับทุกคนที่รักการบินอวกาศของมนุษย์ รวมทั้งการสำรวจห้วงอวกาศด้วย เรากำลังกลับไปที่ดวงจันทร์ และทำงานเพื่อโครงการที่ยั่งยืน และนี่คือพาหนะที่จะนำพาผู้คนกลับไปเหยียบดวงจันทร์อีกครั้ง”

หัวหน้าโครงการยานอวกาศโอไรออน กล่าวเสริมตามแผนที่ได้วางไว้ในการกลับไปดวงจัทร์อีกครั้ง เป้าหมายเร็วที่สุดคือภายในเดือนพฤษภาคมปี 2024 ในโครงการ ‘อาร์ทิมิส 2’ และ ‘อาร์ทิมิส 3’ จะมีลูกเรือคนแรกที่เดินทางจากพื้นผิวดวงจันทร์ไปสู่การผจญภัยครั้งใหม่ จากนั้น ‘อาร์ทิมิส 4’ จะเป็นการเริ่มก่อสร้างสถานีอวกาศในวงโครจรของดวงจันทร์

“นี่เป็นการเปิดหน้าแรกของการสำรวจอวกาศบทใหม่” จาคอบ บลีชเชอร์ (Jacob Bleacher) หัวหน้านักวิทยาศาสตร์ของโครงการกล่าว

ขณะที่ บิล เนลสัน (Bill Nelson) ผู้บริหารของนาซา เสริมว่า “เรากำลังกลับไปที่ดวงจันทร์เพื่อใช้ชีวิตและเรียนรู้ เพื่อที่จะไปดาวอังคาร นั่นคือการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ต่อไป”


ที่มา : BBC / National Geographic Thailand
https://mgronline.com/science/detail/9660000040954
 

‘Kim Ung-Yong’ มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลก ที่ยังมีชีวิตอยู่ กับเส้นทางชีวิตที่เลือกจะขอมี ‘ความสุข’ มากกว่า ‘ความสำเร็จ’


‘Kim Ung-Yong’ เด็กชายอัจฉริยะที่ทำให้โลกต้องตะลึง!!


‘Kim Ung-Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ ชายชาวเกาหลีใต้ ผู้ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น ‘มนุษย์ที่ฉลาดที่สุดในโลกที่ยังมีชีวิตอยู่’ โดย Guinness World Records นั้นได้บันทึกสถิติว่าชายผู้นี้เป็น ‘คนที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย IQ ของเขาสูงถึง 210 เลยทีเดียว


คุณจะทำอย่างไร? ถ้าคุณเป็นคนที่ฉลาดที่สุดในโลก อาจฟังดูเป็นเรื่องที่ไร้สาระ แต่คำถามนี้เป็นสิ่งที่คิม อุงยอง ต้องเผชิญอยู่เสมอมา

คิม อุงยอง เกิดมาพร้อมกับความถนัดโดยกำเนิด และเป็นความถนัดด้านการเรียนรู้ที่ไม่สามารถหาตัวจับได้ ความสามารถทางสติปัญญาของเขาเป็นที่ประจักษ์ตั้งแต่อายุยังน้อย ความอัจฉริยะของเขาเริ่มเด่นชัดมากยิ่งขึ้นก่อนที่เขาจะเดินได้ด้วยซ้ำ เรื่องราวของเขานั้น นับเป็นหนึ่งในเรื่องที่ไม่ธรรมดาเลย เพราะเขามีความสามารถที่เหนือความคาดหมายที่สุดของคนปกติ และประสบความสำเร็จทางสติปัญญาอย่างน่าทึ่ง น่าแปลกที่วันนี้แทบจะไม่มีใครรู้จักชื่อของเขาเลย เกิดอะไรขึ้นกับ ‘คิม อุงยอง’ เด็กอัจฉริยะจากเกาหลีใต้คนนี้? 


‘Kim-Ung Yong’ หรือ ‘คิม อุงยอง’ เป็นลูกชายของ ‘Kim Soo-Sun’ บิดาผู้เป็นศาสตราจารย์ฟิสิกส์ของ Hanyang University และ ‘Yoo Myung-Hyun’ มารดาผู้เป็นอาจารย์ที่ Seoul National University เพราะเหตุนี้ เขาจึงดูเหมือนจะถูกลิขิตให้ไปสู่ความยิ่งใหญ่ทางวิชาการตั้งแต่เริ่มต้น อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถจินตนาการได้ว่าสติปัญญาของเขาจะพัฒนาไปจนถึงขีดสุดได้อย่างไร


เขาเกิดเมื่อวันที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2505 ในกรุงโซล เมืองหลวงของเกาหลีใต้ คิมไม่เสียเวลาเติมพลังสติปัญญาเลย เมื่อคิมอายุเพียง 4 เดือน เขาก็เริ่มพูดได้ พอ 6 เดือน เขาก็สามารถพูดจาสื่อสารได้อย่างคล่องแคล่วแล้ว เมื่ออายุ 1 ขวบ เขาก็มีความเชี่ยวชาญทั้งอักษรเกาหลีและอักษรจีนมากกว่า 1,000 ตัวแล้ว จากการเรียน Thousand Character Classic ซึ่งเป็นบทกวีจีนในศตวรรษที่ 6 ความสามารถทางสติปัญญาของเขามีความโดดเด่นตั้งแต่อายุยังน้อยมาก เขาสามารถอ่านและเขียนได้หลายภาษา อาทิ ญี่ปุ่น เกาหลี เยอรมัน และอังกฤษ ตอนอายุ 3 ขวบ เขาสามารถแก้โจทย์แคลคูลัสได้แล้ว นอกจากนี้ เขายังจัดพิมพ์หนังสือเรียงความ คัดลายมือ พร้อมภาพประกอบความยาว 247 หน้า ด้วยความช่วยเหลือจากพ่อแม่ของเขาได้อย่างน่าประหลาดใจ!!


สติปัญญาที่เหลือเชื่อของ คิม อุงยอง ดูเหมือนจะมีอยู่ตั้งแต่ตอนที่เขาเกิด และถึงแม้จะอายุน้อย แต่พรสวรรค์ของคิมก็ไม่อาจปฏิเสธได้ เด็กอัจฉริยะชาวเกาหลีใต้คนนี้ได้รับความสนใจจากนานาชาติอย่างรวดเร็ว เมื่อเอายุได้ 5 ขวบ เขาก็สามารถพูดภาษาต่างๆ ได้อย่างคล่องแคล่วถึง 5 ภาษา อาทิ เกาหลี ญี่ปุ่น อังกฤษ เยอรมัน และฝรั่งเศส เขาได้เข้าเรียนเป็นนักศึกษาพิเศษของภาควิชาฟิสิกส์ที่ Hanyang University ซึ่งมีบิดาของเขาเป็นอาจารย์อยู่ที่นั่นอีกด้วย เห็นได้ชัดตั้งแต่เริ่มแรกว่า ความสามารถอันโดดเด่นของคิมนั้นจะเปลี่ยนวิถีชีวิตของเขา และอาจเปลี่ยนกระทั่งความเป็นมนุษย์ไปตลอดกาล


Terence Tao บุคคลที่มี IQ 230 สูงที่สุดในโลกในปัจจุบัน


‘บุคคลที่มีไอคิวสูงที่สุดในโลก’ ความเฉลียวฉลาดอันน่าทึ่งและความสามารถพิเศษของคิมนั้น เปรียบเสมือนแม่เหล็กดึงดูดความสนใจมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่ออายุ 4 ขวบ คิมสร้างความประหลาดใจด้วยการทำคะแนนแบบทดสอบ IQ ที่ออกแบบมาสำหรับเด็กอายุ 7 ขวบได้อย่างน่าทึ่งถึง 210 คะแนน ความสำเร็จที่น่าประทับใจนี้ทำให้เขาได้รับการบันทึกว่า ‘เป็นผู้ที่มี IQ สูงที่สุดในโลก’ โดย Guinness Book of World Records (Terence Tao เป็นเจ้าของสถิติ IQ ที่สูงที่สุดในโลกที่ 230 คะแนนในปัจจุบัน)


ชื่อเสียงของเขาเผยกระจายอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขาได้แสดงความสามารถทางคณิตศาสตร์ทางโทรทัศน์ช่อง ‘Fuji TV’ ของญี่ปุ่น ขณะที่เขาอายุได้เพียง 4 ปี 8 เดือน คิมเคยออกรายการโทรทัศน์ แสดงความสามารถแก้โจทย์คณิตศาสตร์ชั้นสูง ที่เรียกว่า ‘สมการดิฟเฟอเรนเชียล’ (Differential Equation) ที่ซับซ้อนได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว (ซึ่งปกติจะมีเรียนในหลักสูตรวิศวกรรมศาสตร์ชั้นปีที่ 3) จนบรรดาผู้ชมต่างประหลาดใจ

ในที่สุดสติปัญญาที่ก้าวหน้าอย่างไม่หยุดยั้งของคิม ก็ได้ดึงดูดความสนใจขององค์กรอวกาศที่มีชื่อเสียงที่สุดของโลก ความเฉลียวฉลาดที่ไม่ธรรมดาของ ‘คิม อุงยอง’ ทำให้เขาได้รับคัดเลือกจาก ‘NASA’ องค์การอวกาศที่มีชื่อเสียงระดับโลก ให้เข้าร่วมงานเมื่อเขาอายุได้ 8 ขวบ ครอบครัวเขาจึงคว้าโอกาสนั้นไว้ เขาทำงานให้กับ NASA ประมาณหนึ่งทศวรรษ ในช่วงเวลานี้ เขาทำให้เพื่อนร่วมงานประหลาดใจอย่างต่อเนื่องด้วยความจำอันยอดเยี่ยม และความสามารถในการแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์ที่ซับซ้อน


อย่างไรก็ตาม การทำงานที่ NASA นั้นไม่ใช่เพียงแค่ความฝันเท่านั้น และชีวิตใหม่ของเขาก็ไม่ง่ายเลย เขารู้สึกโดดเดี่ยวและเดียวดาย ไม่มีเพื่อนนอกจากผู้ใหญ่ที่เขาทำงานด้วย ซึ่งอายุมากกว่ามาก และยุ่งเกินกว่าจะมาสังสรรค์กับเขา แม้จะยังไม่ใช่วัยรุ่น แต่เขาก็ทำงานหนักอย่างเหลือเชื่อ และทำประโยชน์อันมีค่ามากมายให้กับองค์กร แต่ในที่สุดเขาก็ท้อแท้กับงานที่ทำอยู่ คิมรู้สึกว่างานวิจัยของเขาถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการทำลายล้าง และบรรดาเจ้านายของเขาต่างก็ได้รับเครดิตจากการทำงานหนักและความคิดของเขา คิมรู้สึกว่า ตัวเองไม่มีคุณค่า ซ้ำยังถูกตีราคาเป็นมูลค่า และไม่มีความสุขเลย จนกระทั่งในที่สุด คิมและครอบครัวตัดสินใจเดินทางกลับเกาหลีใต้ในปี พ.ศ. 2521 เมื่อเขาอายุได้ 16 ปี และได้เข้าเรียนต่อจนจบ เขาสำเร็จการศึกษาขั้นพื้นฐานที่จำเป็นทั้งหมด และได้รับประกาศนียบัตรเทียบเท่ามัธยมปลายในเวลาเพียง 2 ปี หลังจากนั้น เขาสมัครเข้าเรียนใน Chungbuk National University ในสาขาวิศวกรรมโยธาจนจบปริญญาเอก


Kim Ung-Yong ในวัยหนุ่ม

การตัดสินใจออกจากองค์การ NASA ของคิมนั้น ทำให้สังคมเกาหลีใต้เต็มไปด้วยความสงสัยและมีคำวิจารณ์จากผู้ที่เห็นว่า การออกจากองค์การ NASA ของเขาเป็นการเสียพรสวรรค์อันน่าทึ่งของเขาไปโดยเปล่าประโยชน์ แม้จะประสบความสำเร็จก่อนหน้านี้ทั้งหมด แต่ชีวิตที่เหลือ (หลังจากออกจากองค์การ NASA) ของเขาก็จะเต็มไปด้วยคำวิจารณ์ประเภทนี้ และใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายในฐานะ ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’

โดยหลังจากจบปริญญาเอกแล้ว คิม อุงยองเข้าทำงานอย่างเงียบๆ ในบริษัทเกาหลีใต้ที่ชื่อ ‘Chungbuk Development’ โดยทำงานเป็นผู้จัดการระดับกลาง แม้ว่า อดีตเด็กอัจฉริยะคนนี้ถูกวิพากษ์วิจารณ์จากบางคนว่าเป็น ‘อัจฉริยะที่ล้มเหลว’ เนื่องจากไม่ได้ใช้ชีวิตตามสติปัญญาอันน่าทึ่งที่เขามี ถึงกระนั้น เขายังคงมองโลกในแง่ดีและค่อนข้างพอใจกับชีวิตของเขา


Kim Ung-Yong เป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University

ในปี พ.ศ. 2550 เขาทำงานเป็นอาจารย์พิเศษที่ Chungbuk University จนกระทั่งต่อมาในปี พ.ศ. 2557 ในที่สุดเขาก็สมหวัง เพราะความฝันตลอดชีวิตของเขาคือ ‘การเป็นอาจารย์’ เขาออกจากบริษัท Chungbuk Development เข้าเป็นอาจารย์ของ Shinhan University ได้รับตำแหน่งรองศาสตราจารย์ เมื่อ 14 มีนาคม พ.ศ. 2557 และยังรับตำแหน่งรองประธานของ North Kyeong-gi Development Research Center หลังจากเริ่มงานใหม่ คิมได้บอกกับสื่อต่างๆ ว่า เขารู้สึกตื่นเต้นอย่างเหลือเชื่อ โดยกล่าวว่า “ผมจะอุทิศตัวเองเพื่อสอนคนรุ่นต่อไป” แม้ว่า ประวัติของเขาจะดูไม่ธรรมดา แต่ดูเหมือนว่า คิม อุงยอง จะตัดสินใจตั้งแต่อายุยังน้อยที่จะให้ความสำคัญกับ ‘ความสุข’ มากกว่า ‘สถิติโลก’ ทำให้เขาเลือกที่จะหันหลังให้กับ IQ ที่สูงมากๆ และ ‘ความสำเร็จ’ ในวัยเด็กของเขา


ปัจจุบัน Kim Ung-Yong เป็นศาสตราจารย์ของ Chungbuk University

บทเรียนที่ต้องเรียนรู้จากชายที่ฉลาดที่สุดในโลก ซึ่งหลาย ๆ คนอาจมองชีวิตของคิม อุงยอง ว่า น่าผิดหวัง หรือล้มเหลว แต่มีบทเรียนที่ดีกว่าให้เรียนรู้จากเรื่องราวชีวิตที่พลิกผันและน่าสนใจของเขา การตัดสินใจของ คิม อุงยอง เป็นตัวอย่างหนึ่งในการเลือกชีวิตที่สงบสุขและมีความสุขมากกว่าความรุ่งโรจน์ ความสำเร็จ หรือความมั่งคั่ง แม้ว่าเขาจะมีความสามารถพิเศษทางปัญญาตั้งแต่ยังเป็นเด็ก แต่เขากลับไม่พบความสุขกับบทบาทของเขาในฐานะ ‘เด็กอัจฉริยะ’ จนกระทั่งเขาใช้ชีวิตอย่างสงบและสบายขึ้น เขาจึงพบว่า “ตัวเองมีความสุข”


Kim Ung-Yong สรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า 
“ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

คิม อุงยอง มีส่วนในการช่วยเหลือสังคมมากมายตั้งแต่อายุยังน้อย บางทีหนึ่งในบทเรียนที่สำคัญที่สุดที่ได้จากเขาคือ การตระหนักถึงความสำคัญของการเลือกความสุข เขากล่าวว่า “ชีวิตของเขาเป็นของเขาเอง ไม่ใช่คนรอบข้าง หรือวิสัยทัศน์ของผู้คนที่เกี่ยวข้องกับลูกหลานของพวกเขา” และเขายังกล่าวสรุปถึงทางเลือกของตัวเขาเองว่า “ผมกำลังพยายามที่จะบอกกับคนอื่นๆ ว่า ผมมีความสุขในแบบที่ผมเป็น”

หวังว่าเรื่องราวของ คิม อุงยอง จะช่วยให้พ่อ-แม่ในสังคมไทยได้เข้าใจลูกๆ และปล่อยให้ลูกๆ ได้เป็นอย่างที่พวกเขาอยากเป็น เพียงแต่พ่อ-แม่ช่วยดูแลให้ลูกอยู่ในแนวทางที่มีความเหมาะสมและพอดี โดยพิจารณาด้วยเหตุและผลที่ถูกต้อง ซึ่งทั้งพ่อ-แม่ และลูกๆ ต่างฝ่ายต่างยอมรับได้

‘ซีพีเอฟ’ ประเดิม 3 เมนูให้นักบินปลายปี 66 กระเพราไก่จานแรก ส่วนอีก 2 เมนูรอพัฒนา

นำร่อง ‘ไก่ไทย’ สู่อวกาศปลายปี 66 ซีพีเอฟประเดิม 3 เมนู ส่งกระเพราไก่จานแรก ส่วนอีก 2 เมนูอยู่ระหว่างการพัฒนา หลังเป็นสินค้าแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับการยอมรับจากองค์การนาซาให้ส่งสินค้าให้นักบินรับประทาน

(11 ก.ค. 66) นายประสิทธิ์ บุญดวงประเสริฐ ประธานคณะผู้บริหาร บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ ‘ซีพีเอฟ’ (CPF) เปิดเผยว่า ซีพีเอฟจะเริ่มส่งอาหารให้กับองค์การนาซา สำหรับให้นักบินอวกาศรับประทานประมาณปลายปี 66

ทั้งนี้ เบื้องต้นจะเริ่มนำร่องส่ง ‘ไก่ไทย’ ด้วย 3 เมนู ได้แก่ กะเพราไก่ และอีก 2 เมนูอยู่ระหว่างการพัฒนา จากปกตินักบินอวกาศจะรับประทานอาหารเม็ด แคปซูล ที่ทางองค์การนาซาเป็นผู้ผลิตให้เท่านั้น

“ซีพีเอฟถือเป็นสินค้าแบรนด์แรกของโลกที่ได้รับการยอมรับจากองค์การนาซา ให้ส่งอาหารขึ้นไปให้กับนักบินอวกาศรับประทานด้วยเมนูไก่แปรรูป”

สำหรับการนำอาหารขึ้นไปบนอวกาศนั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะนักบินอวกาศต้องการอาหารที่มีความปลอดภัยสูงสุด ผ่านการคัดเลือกอย่างถี่ถ้วนทุกขั้นตอน การนำไก่ไทยขึ้นไปสู่อวกาศได้ ถือเป็นก้าวสำคัญสำหรับอนาคตอาหารของประเทศไทย

รวมถึงเป็นจุดแข็งของคนไทยเรื่องการผลิตอาหารที่มีคุณภาพสูงให้คนทั่วโลก ดังนั้นการส่งอาหารขึ้นไปบนอวกาศจะทำให้ทั่วโลกได้รับทราบว่าอาหารของซีพีเอฟ มีมาตรฐานและความปลอดภัยสูง โดยช่วยแรกบริษัทได้รับมาตรฐานด้านไก่ สดที่ไม่มีสารปนเปื้อน การเลี้ยงที่ไม่ใช้ยาปฏิชีวนะ ขั้นตอนต่อไปอยู่ระหว่างขอมาตรฐานอาหารแปรรูป

ปัจจุบันไก่เป็น 1 ในสินค้าส่งออกของไทยมากถึงปีละกว่า 1 แสนล้านบาท มากเป็นอันดับ 4 ของโลก โดยที่ซีพีเอฟส่งออกปีละประมาณ 25,000-30,000 ล้านบาท สัดส่วน 25% ของรายได้ทั้งหมด ซึ่งเป็นกลุ่มอาหารแปรรูป 50% ส่วนใหญ่ส่งออกไปอังกฤษ ญี่ปุ่น และเยอรมนี

ขณะที่ปีนี้จะเน้นสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับสินค้าไก่ ให้เข้ากับแต่ละประเทศและการขยายโรงงานในประเทศฟิลิปปินส์ ที่เป็นธุรกิจไก่ หมู กุ้ง ไข่ เพิ่มเพื่อรองรับความต้องการที่ขยายตัว คาดว่าปีนี้มีรายได้รวม 660,000 ล้านบาท


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top