Saturday, 4 May 2024
EducationNewsAgencyforAll

การศึกษาโลกอนาคต อีกนานไหม(ไทย)ถึงพร้อม | เปิด(ปม)ภาคการศึกษา EP.5

จากวิกฤตเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่เข้ามาเขย่าวงการการศึกษา เรียกได้ว่าแตกกระจุยไม่ว่าจะเป็น การเรียนออนไลน์ การปรับหลักสูตรและวิธีการสอน รวมไปถึง Mindset ของครูอาจารย์และผู้ปกครอง

หลายคนสามารถปรับตัวได้ แต่ก็มีอีกหลายคนท่ีไม่ได้เป็นเช่นนั้น ปัจจุบันประเทศไทย อยู่จุดไหนของโลก ชมจากคลิปนี้พร้อมๆ กันเลย‼️

.

.

ในหลักฐานทางประวัติศาสตร์อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นราว 3,150 ปีก่อนคริสต์ศักราช ด้วยความสวยงาม ความลี้ลับ และ ตำนานที่นำมากล่าวขานกัน ผ่านภาพยนตร์ หนังสือต่าง ๆ ทำให้ผู้คนสนใจและใคร่รู้เกี่ยวกับความลับของแดนอียิปต์แห่งนี้

บทความนี้ พาไปย้อนประวัติศาสตร์ของแดนพีระมิด ในประเทศอียิปต์กันเล็กน้อย โดยผมอยากมาเล่าเรื่องราวของฟาโรห์ที่เชื่อว่าหลายท่านคงพอผ่านหูผ่านตากันมาบ้าง แต่จริง ๆ แล้วเรื่องของ ‘ฟาโรห์’ ยังมีประเด็นที่น่าสนใจ และความอัศจรรย์ที่ซ่อนอยู่อีกมากครับ 

ฟาโรห์ (Pharaoh) เป็นชื่อตำแหน่งพระมหากษัตริย์อียิปต์โบราณของทุกราชวงศ์ มีรากศัพท์จากคำว่า ‘pr-aa’ แปลว่า ‘บ้านหลังใหญ่’ อันเป็นคำอุปมาหมายถึง ‘ปราสาทพระราชมนเทียร อียิปต์โบราณ’ หรือ ‘ไอยคุปต์’ ซึ่งเป็นหนึ่งในอารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดในโลก ตั้งอยู่ทางตะวันออกเฉียงเหนือของทวีปแอฟริกา มีพื้นที่ตั้งแต่ตอนกลางจนถึงปากแม่น้ำไนล์ โดยปัจจุบันเป็นที่ตั้งของประเทศอียิปต์

อารยธรรมอียิปต์โบราณเริ่มขึ้นราว 3,150 ปีก่อนคริสต์ศักราช โดยการรวมอำนาจทางการเมืองของอียิปต์ตอนเหนือและตอนใต้ ภายใต้ฟาโรห์องค์แรกแห่งอียิปต์ และมีการพัฒนาอารยธรรมต่อเนื่องเรื่อยหลายพันปี 

ประวัติของอียิปต์โบราณที่เป็นช่วงที่โลกรู้จักกันอย่างมาก เป็นช่วงที่ ‘ราชอาณาจักร’ มีการแบ่งยุคสมัยของอียิปต์แบบมากมายไปตามราชวงศ์ที่ขึ้นมาปกครอง จนกระทั่งถึงราชอาณาจักรสุดท้าย หรือที่รู้จักกันในชื่อว่า ‘ราชอาณาจักรกลาง’ ซึ่งอยู่ในช่วงที่มีการพัฒนามากมาย และก็ค่อย ๆ ลดลง อันเป็นเวลาเดียวกันที่ชาวอียิปต์พ่ายในการทำสงครามกับชนชาติอื่น เช่น อัสซีเรีย และเปอร์เซีย จนกระทั่งเมื่อ 332 ปีก่อนคริสต์ศักราช ก็ถึงกาลสิ้นสุดอารยธรรมอียิปต์โบราณลง เมื่อพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชสามารถยึดครองอียิปต์ และจัดให้อียิปต์เป็นเพียงจังหวัดหนึ่งในจักรวรรดิมาซิโดเนีย

Maat เป็นทั้งเทพธิดาและตัวตนของความจริงและความยุติธรรม โดยขนนกกระจอกเทศของ Maat แสดงถึงความจริง

นอกจากนี้ ในสังคมอียิปต์โบราณ ‘ศาสนา’ เป็นศูนย์กลางของชีวิตประจำวัน โดยบทบาทหนึ่งของฟาโรห์ คือ การทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างเทพเจ้าและผู้คน ดังนั้นฟาโรห์ จึงเป็นตัวแทนของเทพเจ้าในบทบาทที่เป็นทั้งผู้ปกครองและผู้นำทางศาสนา รวมถึงเป็นเจ้าของดินแดนทั้งหมดในอียิปต์ สามารถออกกฎหมายเก็บภาษี และปกป้องอียิปต์จากผู้รุกรานในฐานะผู้บัญชาการทหารสูงสุด ส่วนในทางศาสนาแล้วฟาโรห์ทรงเป็นผู้นำในพิธีกรรมทางศาสนา และทรงเลือกสถานที่ตั้งของวัด มีหน้าที่รับผิดชอบในการรักษา Maat หรือ Maʽat (ระเบียบจักรวาลแห่งความสมดุลและความยุติธรรม) และรวมไปถึงการเข้าสู่สงครามเมื่อจำเป็น เพื่อปกป้องประเทศ หรือโจมตีผู้อื่นเมื่อเชื่อว่า สิ่งนี้จะมีส่วนช่วย Maat เช่น เพื่อการเพิ่มพูนทรัพยากร

ก่อนการรวมกันของอียิปต์ตอนบนและตอนล่าง Deshret หรือ "มงกุฎสีแดง" เป็นตัวแทนของอาณาจักรอียิปต์ตอนล่าง ในขณะที่ Hedjet ซึ่งเป็น "มงกุฎสีขาว" ถูกสวมใส่โดยกษัตริย์ของอาณาจักรแห่งอียิปต์ตอนบน หลังจากการรวมอาณาจักรทั้งสองเป็นหนึ่งเดียว จึงเป็นการรวมกันของมงกุฎทั้งสีแดงและสีขาวกลายเป็นมงกุฎของกษัตริย์อย่างเป็นทางการ เมื่อมีการเริ่มใช้ผ้าโพกศีรษะในช่วงระหว่างราชวงศ์ต่าง ๆ บางครั้งมีการพรรณนาถึงการสวมใส่เครื่องประดับศีรษะหรือมงกุฎเหล่านี้ด้วย

มัมมี่โบราณจากราชวงศ์ที่ 18 (1550 ถึง 1292 B.C.) เป็นหนึ่งในการค้นพบทางโบราณคดีจำนวนมากในสุสานที่อยู่ในเมืองลักซอร์ อียิปต์

แน่นอนว่าหากพูดถึงอียิปต์ อีกเรื่องที่ต้องพูดถึง คือ มัมมี่ (Mummy) หรือ ศพที่ดองหรือแช่ในน้ำยาพิเศษตามความเชื่อของอียิปต์โบราณ ที่มีการพันทั่วทั้งร่างกายด้วยผ้าลินินสีขาว เพื่อเป็นการรักษาสภาพของศพ ด้วยเชื่อว่า สักวันวิญญาณของผู้ตายจะกลับคืนร่างของตนเอง 

ตามความเชื่อของชาวอียิปต์โบราณ คำว่า ‘มัมมี่’ มาจากคำว่า ‘มัมมียะ’ (Mummiya) ซึ่งเป็นคำในภาษาเปอร์เซีย หมายถึง ร่างของซากศพที่ถูกดองจนกลายเป็นสีดำ ชาวอียิปต์โบราณจะทำมัมมี่ของฟาโรห์และเชื้อพระวงศ์ทุกพระองค์ และนำไปฝังในลักษณะแนวนอนภายใต้พื้นแผ่นทรายของอียิปต์ อาศัยแรงลมที่พัดผ่านในแถบทะเลทรายอาระเบียและทะเลทรายในพื้นที่รอบบริเวณสุสาน เพื่อป้องกันการเน่าเปื่อยของซากศพที่อาบด้วยน้ำยา 

อียิปต์โบราณนั้นมีความเชื่อในเรื่องของชีวิตหลังความตาย การที่วิญญาณหวนกลับคืนร่าง ด้วยเชื่อว่า เมื่อวิญญาณออกจากร่างไปชั่วระยะเวลาหนึ่งจะหวนกลับคืนสู่ร่างเดิมของผู้เป็นเจ้าของ จึงต้องมีการรักษาสภาพของร่างเดิมเอาไว้ โดยการแช่และดองด้วยน้ำยาขี้ผึ้งหรือบีทูมิน (ยางสีดำสูตรเฉพาะในการทำมัมมี่) ซึ่งจะช่วยรักษาและป้องกันไม่ให้ซากศพเน่าเปื่อยผุพังไปตามกาลเวลา

ค.ศ. 1922 Howard Carter ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก George Herbert, 5th Earl of Carnarvon เป็นผู้ค้นพบสุสาน KV62 ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน

สำหรับ ‘ฟาโรห์’ ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดได้แก่ ‘ฟาโรห์ตุตันคาเมน’ (Tutankhamen) ซึ่งเป็นฟาโรห์พระองค์หนึ่งในราชวงศ์ที่ 18 ของอียิปต์โบราณ มีพระชนม์อยู่ในราว 1341–1323 ปีก่อนคริสตกาล และเสวยราชย์ราวเก้าปีในช่วง 1332–1323 ปีก่อนคริสตกาลตามลำดับเวลามาตรฐาน อยู่ในช่วงที่ประวัติศาสตร์อียิปต์เรียกว่า ‘ราชอาณาจักรใหม่’ (New Kingdom) หรือ ‘จักรวรรดิใหม่’ (New Empire) นอกจากนี้ ในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. 2010 ผลการตรวจสอบทางพันธุกรรมได้ยืนยันว่า ‘ฟาโรห์แอเคอนาเทิน’ (Akhenaten) มีความสัมพันธ์กับพี่สาวหรือน้องสาวของตน คือ ศพที่ตั้งชื่อว่า The Younger Lady จนมีโอรสด้วยกัน คือ ฟาโรห์ตุตันคาเมน 

ใน ค.ศ. 1922 Howard Carter ซึ่งได้รับการสนับสนุนทางการเงินจาก George Herbert, 5th Earl of Carnarvon เป็นผู้ค้นพบสุสาน KV62 ซึ่งเป็นสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งมีสภาพที่ค่อนข้างสมบูรณ์ จึงกลายเป็นจุดสนใจของสื่อมวลชนทั่วโลก ทั้งทำให้สาธารณชนสนใจอียิปต์ และหน้ากากพระศพก็ได้ถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของอียิปต์โบราณมาจนทุกวันนี้ ส่วนข้าวของเครื่องใช้จากสุสานของฟาโรห์ตุตันคาเมน ยังได้ถูกนำไปจัดแสดงทั่วโลก 

นอกจากนี้ยังมีการเชื่อมโยงการตายของบุคคลหลายคน นับแต่ค้นพบพระศพของพระองค์เป็นต้นมาว่าเกี่ยวข้องกับคำสาปฟาโรห์ ที่มีความเชื่อว่า สุสานฟาโรห์มีเวทมนตร์ที่ทรงพลังในตัวเอง และเชื่อว่ากษัตริย์ที่สิ้นพระชนม์แล้วจะมีวิญญาณที่ทรงพลัง โดยการฝังพระศพในหมู่บรรพบุรุษ อาจจะช่วยให้ฟาโรห์ตุตันคาเมนบรรลุชีวิตหลังความตายได้ 

ถึงกระนั้น ก็ดูเหมือนว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมน จะทรงต้องการถูกฝังไว้ในหลุมฝังพระศพที่สวยงามทั้งในหุบเขาหลักหรือในทุ่งนอกหุบเขาตะวันตกที่ซึ่งเสด็จปู่ของพระองค์ ฟาโรห์อาเมนโฮเทปที่ 3 ทรงถูกฝังอยู่ แต่ไม่ว่าพระองค์จะทรงตั้งใจอะไรก็ตาม ก็เป็นที่ทราบกันว่า พระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกฝังอยู่ในหลุมฝังพระศพที่คับแคบ ซึ่งลึกลงไปในพื้นของหุบเขาหลัก

ฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากที่สุดได้แก่ ฟาโรห์ตุตันคาเมน (Tutankhamen)

8 เรื่องที่เรา (อาจ) ไม่รู้เกี่ยวกับฟาโรห์ตุตันคาเมน

1.) พระนามเดิมไม่ใช่ ตุตันคาเมน แต่เป็น ตุตันคาเตน ซึ่งแปลตามตัวอักษรได้ว่า ‘ภาพที่มีชีวิตของเอเทน’ สะท้อนให้เห็นถึงความจริงที่ว่า พระบิดาและพระมารดาของฟาโรห์ตุตันคาเมนบูชาเทพเจ้าแห่งดวงอาทิตย์ที่เรียกว่า ‘เอเทน’ หลังจากนั้นไม่กี่ปีในบัลลังก์ ฟาโรห์ตุตันคาเมน กษัตริย์หนุ่มก็ทรงเปลี่ยนศาสนาละทิ้งเอเทน และทรงเริ่มบูชาเทพเจ้าอามุน [ซึ่งเป็นที่เคารพในฐานะราชาแห่งเทพเจ้า] สิ่งนี้ทำให้พระองค์ทรงเปลี่ยนพระนามเป็น ตุตันคาเมน ซึ่งแปลว่า “รูปชีวิตของอามุน”

2.) สุสานหลวงของฟาโรห์ตุตันคาเมนเป็นสุสานหลวงมีขนาดเล็กที่สุดในหุบเขากษัตริย์ ฟาโรห์พระองค์แรกสร้างปิรามิดที่อลังการจนสามารถมองเห็นกลางทะเลทรายทางตอนเหนือของอียิปต์ อย่างไรก็ตามเมื่อถึงยุคอาณาจักรใหม่ (1550-1069 ปีก่อนคริสตกาล) ความนิยมเช่นนี้สิ้นสุดลง และกษัตริย์ส่วนใหญ่ทรงถูกฝังอยู่อย่างเป็นความลับในสุสานที่สร้างด้วยด้วยหินตัดเป็นก้อน ซึ่งมีการขุดอุโมงค์เข้าไปในหุบเขากษัตริย์ทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำไนล์ที่เมืองธีบส์ทางตอนใต้ (อันเป็นเมืองลักซอร์ในปัจจุบัน) สุสานเหล่านี้มีประตูที่ไม่สะดุดตา แต่ภายในทั้งกว้างขวางและได้รับการตกแต่งเป็นอย่างดี อาจเป็นไปได้ว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์เสียชีวิตตั้งแต่ยังวัยเยาว์เกินไปที่จะทำตามแผนการอันยิ่งใหญ่ของพระองค์ได้สำเร็จ หลุมฝังพระศพของพระองค์ยังสร้างไม่เสร็จ ดังนั้นพระองค์เขาจึงต้องทรงถูกฝังไว้ในสุสานที่ไม่ใช่ของราชวงศ์แทน อย่างไรก็ตามดูเหมือนว่าไม่น่าเป็นไปได้ เนื่องจากกษัตริย์พระองค์อื่นทรงสามารถสร้างสุสานที่เหมาะสมได้ในเวลาเพียงสองหรือสามปี และดูเหมือนว่า ฟาโรห์เอย์ (Ay) รัชทายาทผู้สืบทอดราชบัลลังก์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่สืบทอดบัลลังก์ในฐานะผู้อาวุโสทรงได้ใช้เวลาเพียงสี่ปีหลังจากการสิ้นพระชนม์ของฟาโรห์ตุตันคาเมน ฟาโรห์เอย์เองก็ทรงถูกฝังอยู่ในหลุมฝังพระศพที่สวยงามในหุบเขาตะวันตกใกล้กับหลุมฝังพระศพของฟาโรห์อเมนโฮเทปที่ 3 หลุมฝังพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนที่มีขนาดเล็กอย่างไม่เชื่อ นำไปสู่สมมติฐานที่ว่าอาจมีบางส่วนของสุสานที่ยังไม่ถูกค้นพบ ปัจจุบันนักไอยคุปต์วิทยากำลังตรวจสอบความเป็นไปได้ที่อาจจะมีห้องลับซ่อนอยู่หลังกำแพงฉาบปูนของห้องฝังพระศพของพระองค์

3.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกบรรจุฝังในโลงศพใช้แล้ว มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนบรรจุอยู่ในโลงศพทองคำสามใบซึ่งประกอบเข้าด้วยกันเหมือนตุ๊กตารัสเซีย ในระหว่างพิธีพระศพจะมีการวางโลงศพไว้ในโลงศพที่ทำด้วยหินรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า น่าเสียดายที่โลงศพด้านนอกมีขนาดใหญ่เกินไปเล็กน้อย และส่วนนิ้วเท้าของโลงโผล่พ้นขอบโลงศพทำให้ไม่สามารถปิดฝาได้ ช่างไม้จึงถูกเรียกมาอย่างรวดเร็ว และส่วนนิ้วเท้าของโลงศพถูกตัดออกไป กระทั่งกว่า 3,000 ปีต่อมา Howard Carter จึงพบเศษชิ้นส่วนของโลงตกอยู่ที่บริเวณฐานโลงศพ

4.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงโปรดการล่านกกระจอกเทศ มีการค้นพบพัดขนนกกระจอกเทศของฟาโรห์ตุตันคาเมนอยู่ในห้องฝังพระศพใกล้ๆ กับพระศพของฟาโรห์ เดิมพัดประกอบด้วยด้ามจับสีทองยาวที่มี 'ที่จับรูปฝ่ามือ' ทรงครึ่งวงกลมรองรับขนนกสีน้ำตาลและสีขาวสลับกัน 42 อัน ขนเหล่านี้ร่วงโรยไปนานแล้ว แต่เรื่องราวของพวกมันถูกเก็บรักษาไว้เป็นลายลักษณ์อักษรบนด้ามจับของพัด สิ่งนี้บอกว่า ขนมาจากนกกระจอกเทศที่ฟาโรห์ทรงล่าเองในระหว่างการล่าสัตว์ในทะเลทรายทางตะวันออกของเฮลิโอโปลิส (ใกล้กับไคโรในปัจจุบัน) ฉากนูนบนที่จับรูปฝ่ามือแสดงให้เห็นใบหน้าของฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงออกเดินทางบนราชรถเทียมม้าเพื่อล่านกกระจอกเทศ และในทางกลับกันฟาโรห์เสด็จนิวัติอย่างมีชัยพร้อมกับเหยื่อของพระองค์

5.) อวัยวะส่วนหัวใจของฟาโรห์ตุตันคาเมนขาดหายไป ชาวอียิปต์โบราณเชื่อว่าสามารถมีชีวิตได้อีกครั้งหลังความตาย แต่คิดว่าสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อร่างกายได้รับการรักษาให้อยู่ในสภาพเหมือนจริง สิ่งนี้ทำให้พวกเขาพัฒนาศาสตร์แห่งการทำมัมมี่ขึ้น โดยพื้นฐานแล้วการทำมัมมี่เกี่ยวข้องกับการผึ่งศพให้แห้งในเกลือเนตรอนจากนั้นพันด้วยผ้าพันแผลหลาย ๆ ชั้นเพื่อรักษารูปร่างให้เหมือนจริง อวัยวะภายในร่างกายถูกนำออกเมื่อเริ่มกระบวนการทำมัมมี่ และเก็บรักษาแยกกัน สมองซึ่งเป็นส่วนที่ไม่รู้จักในเวลานั้นว่าทำหน้าที่อะไรถูกทิ้งไป หัวใจในยุคนั้นถูกมองว่า เป็นอวัยวะแห่งการให้เหตุผลแทนที่จะเป็นสมอง ด้วยเหตุนี้หัวใจจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับชีวิตหลังความตาย ดังนั้นจึงถูกเก็บไว้ หรือถ้าเอาออกโดยไม่ได้ตั้งใจก็จะเย็บกลับทันที แม้ว่าจะไม่ได้อยู่ในตำแหน่งเดิมก็ตาม มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมนไม่มีหัวใจ เรื่องนี้อาจเกิดขึ้นเพียงเพราะ ความประมาทของผู้ทำมัมมี่ แต่ก็อาจเป็นสัญญาณว่า ฟาโรห์ตุตันคาเมนสิ้นพระชนม์จากพระราชวัง เมื่อพระศพของพระองค์มาถึงห้องปฏิบัติการในการทำมัมมี่หัวใจของพระองค์อาจจะเน่าสลายจนเกินกว่าจะรักษาไว้ได้

6.) สมบัติชิ้นที่ทรงโปรดของฟาโรห์ตุตันคาเมนคือ กริชเหล็ก Howard Carter ค้นพบกริชสองเล่มที่ห่ออย่างระมัดระวังในผ้าพันแผลมัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคาเมน กริชเล่มหนึ่งมีใบมีดสีทอง ส่วนอีกเล่มมีใบมีดที่ทำจากเหล็ก กริชแต่ละเล่มมีปลอกทอง กริชเหล็กทั้งสองมีค่ามากเพราะในช่วงชีวิตของฟาโรห์ตุตันคาเมน (ครองราชย์ตั้งแต่ 1336-1327 ปีก่อนคริสตกาล) เหล็กหรือ "เหล็กจากท้องฟ้า" ตามที่ทราบกันดีว่าเป็นโลหะหายากและมีค่า ตามชื่อของมันคือ "เหล็กจากท้องฟ้า" ของอียิปต์นั้นได้มาจากอุกกาบาตเกือบทั้งหมด

7.) เสียงแตรของพระองค์สร้างความบันเทิงให้กับผู้ชมมากกว่า 150 ล้านคน สมบัติจากหลุมพระศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนมี เครื่องดนตรีชิ้นเล็ก ๆ ได้แก่ แคลปเปอร์ (Clappers) งาช้าง 1 คู่ ซิสตร้า (Sistra) 2 ตัว (เครื่องเขย่าแล้วเกิดเสียง) และทรัมเป็ตอีก 2 อัน อันหนึ่งทำจากเงินพร้อมปากเป่าสีทอง และอีกอันหนึ่งทำด้วยทองสัมฤทธิ์หุ้มด้วยทองคำบางส่วน และดูเหมือนว่า ดนตรีจะไม่ได้อยู่ในลำดับความสำคัญของชีวิตหลังความตายของฟาโรห์ตุตันคาเมนมากนัก ในความเป็นจริงแตรของพระองค์ควรได้รับการจัดประเภทให้เป็นยุทโธปกรณ์ทางทหารจะเหมาะกว่า วันที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2482 แตรทั้งสองได้ถูกเล่นในรายการวิทยุถ่ายทอดสดของ BBC จากพิพิธภัณฑ์ไคโร ซึ่งมีผู้ฟังประมาณ 150 ล้านคน Bandsman James Tappern ใช้กระบอกเป่าแบบปัจจุบันที่ทันสมัย ซึ่งทำให้กับทรัมเป็ตตัวสีเงินเสียงหาย ในปี พ.ศ. 2484 มีการเล่นทรัมเป็ตสำริดอีกครั้ง และคราวนี้ไม่มีกระบอกเป่าแบบปัจจุบัน ที่ทันสมัยแล้ว บางตำนานใน “คำสาปของฟาโรห์ตุตันคาเมน” อ้างว่า ทรัมเป็ตมีพลังอำนาจในการทำให้เกิดสงคราม การออกอากาศในปี พ.ศ. 2482 จึงทำให้อังกฤษต้องเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่สอง

8.) ฟาโรห์ตุตันคาเมนทรงถูกบรรจุในโลงศพที่แพงที่สุดในโลก สองในสามโลงศพของฟาโรห์ตุตันคาเมนทำด้วยไม้ปิดด้วยแผ่นทอง แต่เป็นที่ประหลาดใจอย่างยิ่งของ Howard Carter ซึ่งพบว่า โลงศพด้านในสุดทำจากแผ่นทองหนา ๆ โลงศพนี้มีความยาว 1.88 เมตร และหนัก 110.4 กิโลกรัม ราคาในวันนี้จะมากกว่า 1 ล้านปอนด์ 

มัมมี่ในขบวนพาเหรดของผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณเดินผ่านกลางกรุงไคโร

ปรากฎการณ์มัมมี่ในขบวนพาเหรดของผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณที่เดินผ่านกลางกรุงไคโรนั้น ทางฟาโรห์ทั้งแปดและราชินีทั้งสี่จะถูกเชิญขึ้นยานพาหนะที่สั่งทำพิเศษ ซึ่งติดตั้งด้วยโช้คอัพพิเศษ โดยมีชาวอียิปต์ร่วมเป็นสักขีพยานในขบวนแห่ของผู้ปกครองอันเก่าแก่ผ่านกรุงไคโรนครหลวงของอียิปต์ 

มัมมี่ 22 ตัว เป็นของฟาโรห์ 18 พระองค์และราชินี 4 พระองค์ มูลค่าหลายล้านดอลลาร์ถูกเคลื่อนย้ายจากพิพิธภัณฑ์อียิปต์ไปยังสถานที่ตั้งแสดงแห่งใหม่ที่อยู่ห่างออกไปราว 5 กม. (สามไมล์) ด้วยการรักษาความปลอดภัยอย่างแน่นหนาสมกับเป็นราชวงศ์ และสถานะที่เป็นสมบัติของชาติ ซึ่งมัมมี่ทั้งหมดจะถูกย้ายไปยังพิพิธภัณฑ์แห่งอารยธรรมอียิปต์ของชาติที่ใหม่ ด้วยขบวนพาเหรดทองคำของฟาโรห์ และมัมมี่แต่ละตัวจะถูกเชิญขึ้นรถที่ได้รับการตกแต่งซึ่งติดตั้งโช้คอัพพิเศษ รวมถึงรถศึกที่ลากด้วยม้าจำลอง 

แต่เดิมบรรดามัมมี่จะถูกตั้งแสดงในพิพิธภัณฑ์อียิปต์อันเป็นสัญลักษณ์ และมีนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกมาเยี่ยมชมมากมายในช่วงศตวรรษที่ผ่านมา รัฐบาลอียิปต์หวังว่า พิพิธภัณฑ์แห่งใหม่ (Royal Hall of Mummies) ซึ่งเปิดให้บริการอย่างเต็มรูปแบบจะช่วยฟื้นฟูการท่องเที่ยว ซึ่งเป็นแหล่งเงินตราต่างประเทศที่สำคัญของประเทศ โดยห้องโถงได้รับการออกแบบเพื่อให้ผู้มาเยือนได้สัมผัสกับภาพจำลองเสมือนจริงของหุบเขากษัตริย์ในเมืองลักซอร์ และพิพิธภัณฑ์ Grand Egyptian แห่งใหม่ โดยเป็นที่เก็บของสะสมของฟาโรห์ตุตันคาเมนที่มีชื่อเสียง เปิดให้บริการใกล้ๆ กับมหาปิรามิดแห่งกิซ่า จนกระทั่งอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของอียิปต์ได้รับความเสียหายจากความวุ่นวายทางการเมืองในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา และจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 

'คำสาปของฟาโรห์' (Pharaoh's curse) เคยถูกสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้ว

คำสาปของฟาโรห์

แม้ว่า ขบวนพาเหรดของฟาโรห์ผู้ปกครองอียิปต์สมัยโบราณผ่านกลางกรุงไคโร จะถูกมองว่า เป็นงานที่ยิ่งใหญ่และสนุกสนาน แต่มัมมี่ของอียิปต์มีความเกี่ยวข้องกับความเชื่อโชคลางและลางสังหรณ์ในอดีต ในห้วงเวลานั้นอียิปต์ต้องเผชิญกับภัยพิบัติหลาย ๆ อย่าง เช่น อุบัติเหตุรถไฟชนกันมีผู้เสียชีวิตหลายสิบคนในเมือง Sohag อียิปต์ตอนบน ขณะที่มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 18 คนเมื่ออาคารในกรุงไคโรถล่มลงมา จากนั้นเมื่อมีการเตรียมการเพื่อขนย้ายมัมมี่อย่างเต็มที่ คลองสุเอซก็ถูกเรือบรรทุกสินค้า MS Ever Given เกยฝั่งขวางกั้นเป็นเวลาเกือบหนึ่งสัปดาห์ 

จริยธรรมในการแสดงมัมมี่ของอียิปต์โบราณ จึงกลายเป็นที่ถกเถียงกันอย่างมาก โดยนักวิชาการมุสลิมหลายคนเชื่อว่า คนตายควรได้รับการปฏิบัติอย่างให้เกียรติและด้วยความเคารพ และไม่จัดแสดงเป็นสิ่งสนใจ จนกระทั่งในปี พ.ศ. 2523 อดีตประธานาธิบดีอันวาร์ ซาดัต ได้สั่งปิดห้องมัมมี่ที่พิพิธภัณฑ์อียิปต์ โดยอ้างว่าห้องนี้ทำให้ผู้ตายเสื่อมเสีย เขาต้องการให้มัมมี่ถูกฝังใหม่แทน แม้ว่าจะไม่สมปรารถนาก็ตาม

กระทรวงศึกษาธิการจีนสั่งเพิ่มความเข้มงวดตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากหลายสถาบัน รวมทั้ง มหาวิทยาลัยเกริกของไทย หากไม่ได้รับการรับรองจะทำให้ปริญญาบัตรไม่สามารถใช้เรียนต่อและทำงานในประเทศจีนได้

ศูนย์นักศึกษาต่างชาติ กระทรวงศึกษาธิการจีน ออกประกาศเมื่อวันที่ 3 ก.ย. ระบุว่าได้รับการร้องเรียนจำนวนมากว่า ในช่วงการระบาดของโรคโควิด สถาบันการศึกษาในต่างประเทศหลายแห่งได้เปิดหลักสูตรการเรียนออนไลน์ที่มีคุณภาพต่ำเพื่อดึงดูดนักศึกษา

เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของนักศึกษาชาวจีนที่ไปเรียนในต่างประเทศ และการดำเนินการที่เหมาะสมของตลาดการศึกษา กระทรวงศึกษาธิการจีนจะเพิ่มความเข้มในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยดังต่อไปนี้

1. Sekolah Tinggi Ilmu Ekonomi IBMT อินโดนีเซีย

2. University of Perpetual Help System Dalta ฟิลิปปินส์

3. มหาวิทยาลัยเกริก ประเทศไทย

4. Universidad Rey Juan Carlos สเปน

กระทรวงศึกษาธิการจีนจะเพิ่มระยะเวลาในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยเหล่านี้ โดยใช้เวลาไม่เกิน 60 วันทำการ โดยจะตรวจสอบเอกสารและสถานภาพที่เกี่ยวข้องอย่างเป็นอิสระ

ต้นฉบับประกาศ http://www.cscse.edu.cn/web/xsy/411032/504070/index.html

ก่อนหน้านี้ มีรายงานข่าวว่า มหาวิทยาลัยเกริก ถูกซื้อกิจการโดยกลุ่มทุนจากประเทศจีน เพื่อขยายหลักสูตรนานาชาติโดยมีนักศึกษาชาวจีนเป็นกลุ่มเป้าหมาย ขณะที่หลักสูตรของนักศึกษาไทยก็ยังทำการเรียนการสอนตามปกติ

ขณะนี้ รัฐบาลจีนมีนโยบายจัดระเบียบธุรกิจด้านการศึกษา โดยสั่งระงับกิจการโรงเรียนกวดวิชาจำนวนมาก และกำลังขยายผลมายังการศึกษาในต่างประเทศ ซึ่งมหาวิทยาลัยหลายแห่งเปิดหลักสูตรเพื่อดึงดูดนักศึกษาจีน โดยไม่ได้มาตรฐาน

ก่อนหน้านี้ กระทรวงศึกษาธิการจีนได้มีคำสั่งระงับการรับรองวุฒิการศึกษาของ North Borneo University College ประเทศมาเลเซีย และสั่งเพิ่มความเข้มงวดในการตรวจสอบวุฒิการศึกษาจากมหาวิทยาลัยในประเทศเบราลุส


ที่มา: https://mgronline.com/china/detail/9640000087937

อว. จับมือ บีโอไอ ป้อนแรงงานคุณภาพสูงตามความต้องการอุตสาหกรรมไฮเทคจากไต้หวัน ได้ฝึกทักษะควบคู่ทำงานจริง รูปแบบ “โรงเรียนในโรงงาน” รับค่าจ้างไม่ต่ำกว่า 15,000/เดือน

ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก เหล่าธรรมทัศน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เปิดเผยหลังการประชุมหารือร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.) สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) และ บริษัท แคล-คอมพ์ อีเล็คโทรนิคส์ (ประเทศไทย) จำกัด(มหาชน) เรื่องการสนับสนุนกำลังคนทักษะสูงตามความต้องการของอุตสาหกรรมระดับสูงจากต่างประเทศ โดยกล่าวว่า

อว. พร้อมสนับสนุนบีโอไอ ในการสร้างความมั่นใจแก่นักลงทุนจากต่างประเทศ ทั้งนักลงทุนเก่าและนักลงทุนใหม่ ที่จะลงทุนด้านเทคโนโลยีระดับสูงในประเทศไทย ซึ่งต้องการแรงงานคุณภาพสูง มีทักษะที่จำเป็นในการทำงานในโรงงานที่มีเทคโนโลยีระดับสูง โดย สอวช. และ สวทช. มีประสบการณ์ในการจัดหา ดูแล ประสานงาน และฝึกอบรมแรงงาน ภายใต้โครงการบูรณาการการเรียนรู้กับการทำงาน (Work-integrated Learning: WiL) ในรูปแบบ โรงเรียนในโรงงาน โดยทำงานร่วมกับมหาวิทยาลัยและบริษัทเอกชน

รมว.อว.กล่าวต่อว่า ตัวอย่างที่เป็นรูปธรรมในวันนี้ คือบริษัทแคล-คอมพ์จากไต้หวัน เป็นผู้ผลิตและประกอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รายใหญ่ ลงทุนตั้งโรงงานในประเทศไทยมากว่า 30 ปี มีความต้องการขยายฐานการผลิตร่วมกับบริษัทที่ย้ายฐานการผลิตจากประเทศจีน เนื่องจากสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ ในช่วงที่ผ่านมา โดยต้องการแรงงานทักษะสูงประมาณ 400 ตำแหน่งภายในปีนี้

แรงงานดังกล่าวจะได้รับการฝึกฝนทักษะไปพร้อม ๆ กับการทำงานจริง ได้รับเงินเดือนไม่ต่ำกว่าเดือนละ 15,000 บาท โดยมีนักศึกษาระดับปริญญาโทเป็นพี่เลี้ยง ทั้งนี้ บริษัทมีแผนขยายโรงงานและรับแรงงานเพิ่มไม่ต่ำกว่า 2,000 ตำแหน่งในอนาคต

“นี่เป็นเพียงตัวอย่างของหนึ่งบริษัทจากต่างประเทศที่เลือกลงทุนด้านเทคโนโลยีระดับสูงในประเทศไทย เมื่อมีการประชาสัมพันธ์ถึงความพร้อมของประเทศไทยโดยบีโอไอ ประกอบกับการดำเนินการจัดตั้งศูนย์พัฒนากำลังคนเพื่อสนับสนุนการลงทุน โดย อว. จะทำให้มั่นใจได้ว่า ประเทศไทยจะมีแรงงานทักษะสูงที่พร้อมป้อนเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมไฮเทค สร้างงานและรายได้ให้แก่คนไทย เพิ่มจีดีพีให้แก่ประเทศ แสดงให้เห็นถึงความสามารถในการปรับตัวหรือ Resiliency ของประเทศไทย ที่จะผ่านพ้นวิกฤตและมุ่งสู่การเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วในอนาคต” ศ.(พิเศษ) ดร.เอนก กล่าว


ที่มา: https://www.facebook.com/184257161601372/posts/4950589134968127/

ผู้ว่าฯ สงขลา มอบโล่เกียรติคุณ แก่น้องสไปรท์ นักเรียนโรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ ที่คว้าเหรียญทอง จากการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 62 ประจำปี 2564 (IMO 2021)

ผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา มอบโล่เกียรติคุณแก่เด็กชายพิพิชชญะ ศรีดำ หรือน้องสไปรท์ นักเรียนจากโรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ที่ได้รับเหรียญทองในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ ครั้งที่ 62 ประจำปี 2564 (IMO 2021) ซึ่งเป็นการแข่งขันผ่านระบบออนไลน์จากประเทศไทย โดยมีสหพันธรัฐรัสเซียเป็นประเทศเจ้าภาพ ระหว่างวันที่ 14–24 กรกฎาคม 2564 



สำหรับการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระหว่างประเทศ จัดขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยในปีนี้มีเยาวชนกว่า 619 คน จาก 107 ประเทศเข้าร่วมแข่งขัน ข้อสอบประกอบไปด้วยคำถาม 6 ข้อที่ถูกเลือกมาจากเนื้อหาคณิตศาสตร์ระดับมัธยมศึกษาหลายสาขา ผู้เข้าแข่งขันจะต้องหาคำตอบและแสดงวิธีทำ โดยแต่ละคำถามมีคะแนนเต็ม 7 คะแนน ผู้เข้าแข่งขันต้องทำคะแนนรวมให้ได้ 24, 19 และ 12 คะแนนจากคะแนนเต็ม 42 คะแนน จึงจะได้เหรียญทอง, เงิน และทองแดงตามลำดับ



ด้านผู้ว่าราชการจังหวัดสงขลา ได้กล่าวชื่นชม และแสดงความยินดีกับน้องสไปรท์ อายุ 14 ปี นักเรียนชั้นมัธยมต้น Year 9 ของโรงเรียนนานาชาติบลูมส์เบอรี่ หาดใหญ่ ที่เป็นตัวแทนนักเรียนไทย 1 ใน 6 คน เข้าร่วมแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิก ซึ่งถือเป็นความภาคภูมิใจของพี่น้องชาวสงขลาทุกคน เพราะเป็นนักเรียนชั้นมัธยมต้นในต่างจังหวัดเพียงคนเดียวของประเทศไทย ที่ผ่านเข้าไปแข่งขันกับนักเรียนมัธยมปลาย จนได้รับการคัดเลือกให้เป็นตัวแทนประเทศไทยในการแข่งขันคณิตศาสตร์โอลิมปิกระดับนานาชาติ ครั้งที่ 62 ผ่านระบบออนไลน์ และได้รับคะแนนสูงสุด สามารถคว้าเหรียญทองได้เพียงคนเดียวของทีม


 

ทุกวันนี้จำนวนประเทศที่ผ่านกฎหมายให้ อาชีพโสเภณี เป็นอาชีพถูกกฎหมายนั้นมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลเพราะทางรัฐของประเทศที่เห็นชอบมองว่า การตรวจตราธุรกิจที่ดำเนินอย่างเปิดเผย ย่อมง่ายกว่าธุรกิจหลบซ่อน

ช่วงนี้กระแสความสนใจในการหาช่องทางด้านอาชีพ เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตในต่างแดน มีความแพร่หลายอย่างมาก ในเพจเฟซบุ๊ก ‘โยกย้าย มาโยกย้ายส่ายสะโพก’ เป็นเพจหนึ่งที่ได้แชร์ข้อมูลเกี่ยวกับอาชีพต่าง ๆ ขึ้นมานับร้อยอาชีพ เพื่อสนองต่อผู้ที่อพยพย้ายถิ่นฐานได้สำเร็จแล้วนั้น 

แน่นอนว่าในสาระสำคัญของอาชีพที่เชื่อหลายคนคงคุ้นเคยกันดี ก็จะมีตั้งแต่ พยาบาล, โปรแกรมเมอร์, แอร์โฮสเตส, หมอนวด, ครู, งานครัว, งานบนเรือสำราญ ฯลฯ 

แต่ที่น่าสนใจ คือ มีกลุ่มอาชีพที่ไม่ค่อยมีใครนึกถึงปรากฎขึ้นมาจากข้อมูลในเพจดังกล่าวให้สืบค้นต่อ!! ซึ่งมีอะไรบ้าง เด่วจะไล่กันแบบจากเบาไปหาหนัก 

อาชีพที่ว่าได้แก่...
1.) นักสปารองเท้าและกระเป๋า
2.) คนทำความสะอาดสุสาน 
และ ๆ ๆ
3.) อาชีพโสเภณีอย่างถูกกฎหมาย 
เกิดแรงสะดุด จนนิ้วไม่กล้าคลิกข้ามอาชีพ ‘โสเภณี’ เพราะมันเตะลูกกะตายิ่งนัก!!

และก็เชื่ออย่างแรงว่าผู้คนที่เข้าไปแวะเวียนในเพจดังกล่าว ก็คงรู้สึกไม่ต่างกัน เพราะมีการโพสต์สอบถามเกี่ยวกับอาชีพโสเภณีมากมาย มีผู้กด Like กว่า 3 หมื่น และมีการคอมเมนต์ สอบถาม และพูดคุยกันกว่า 5 พันคอมเมนต์ในช่วงเวลาเพียง 2 วัน 

ที่น่าสนใจมากๆ คือ มีข้อมูลยืนยันจากผู้ใช้กฎหมายในประเทศนั้นๆ หรือจากผู้ที่อยู่อาศัยในประเทศนั้นเป็นเวลานาน มาแถลงไขจนใครที่เข้าไปอ่าน สามารถเข้าใจลักษณะการค้ากามารมณ์แบบครบถ้วน ตั้งแต่ขั้นตอนการขอใบประกอบอาชีพโสเภณีอย่างถูกต้องตามกฎหมาย และเมื่อได้ใบอนุญาตแล้วจะต้องทำอย่างไรต่อ 

ณ ที่นี้ ขอยกตัวอย่างหนึ่งจากโสเภณีต่างชาติที่เข้าไปทำงานกันเล็กน้อย ซึ่งตัวอย่างนี้มาจากสิงคโปร์ โดยเผยว่าถ้าจะทำงานที่นั่นต้อง…

- มีการเซ็นสัญญาการทำงาน ระหว่าง 6 เดือน ถึง 2 ปี
- ระหว่างนั้นห้ามแต่งงานกับคนสิงคโปร์
- หลังหมดสัญญาแล้วจะไม่สามารถเดินทางเข้าสิงคโปร์ได้อีก
- สัญญาจะระบุเวลาการทำงาน มีทั้งเริ่มแต่เช้า 10.00 น. หรือ เที่ยง หรือบ่าย หรือเย็น
- วันหยุดคือวันที่มีประจำเดือน โดยจะได้หยุด 3 วัน
- สถานที่ทำงานนั้นเรียกว่า ‘บ้าน’
- โสเภณีประจำบ้าน จะออกจากบ้านได้หลังจากเลิกงานแล้วเท่านั้น และต้องแจ้งเวลากลับบ้านให้ชัดเจน
- ต้องตรวจสุขภาพตามกำหนด
- ค่าอาหารต้องออกเอง/บางบ้านอุปกรณ์ทำงานก็ต้องออกเอง
- ค่าแรงในการทำงาน อยู่ที่ 20-25 ดอลลาร์สิงคโปร์ (ประมาณ 580 บาท) ต่องานไม่เกิน 30 นาที
- ไม่เน้นคุณภาพการให้บริการ เมื่อหมดเวลาแล้วพร้อมรับแขกต่อไป

โอ้โห!! ฟังละอึ้ง

นอกจากสิงคโปร์แล้ว ยังมีผู้ให้ข้อมูลการประกอบอาชีพโสเภณีในเยอรมนี ซึ่งเป็นอีกพิกัดมีชื่อเรื่องธุรกิจกามารมณ์ที่ถูกกฎหมายมาตั้งแต่สมัยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยในช่วงท้ายของทศวรรษ 60s นั้น มาจนถึงปัจจุบัน เยอรมนีมีซ่องขนาดใหญ่ลือเลื่องรู้กันดีทั่วโลก 

โดยมีคนไทยที่ทำอาชีพโสเภณีอย่างถูกกฎหมายในเยอรมนีได้ให้ข้อมูลไว้ว่า ตัวเธอเรียนจบปริญญาตรี และปริญญาโท จากเมืองไทย และตั้งใจจะมาเรียนปริญญาเอกในยุโรป แต่ชีวิตผิดแผน กลายมาเป็นโสเภณีอย่างถูกต้อง มีใบอนุญาต ได้รับการดูแลจากรัฐ เช่นเดียวกับอาชีพอื่น ๆ อย่างช่วงโควิด-19 ก็ได้รับเงินช่วยเหลือเกือบ 1 ล้านบาท 

ยิ่งไปกว่านั้นรายได้จากการประกอบอาชีพของเธอ สามารถส่งเสียครอบครัวในเมืองไทยได้อย่างสบาย เวลาติดต่อราชการไม่เจอสายตาเหยียด หรือกริยาดูถูก 

พอเห็นแบบนี้แล้ว ก็ทำให้รู้สึกคัน (คันไม้คันมืออยากค้นหาข้อมูลนะ) จนไปไล่ดูว่า...ทุกวันนี้จำนวนประเทศที่ผ่านกฎหมายให้ อาชีพโสเภณี เป็นอาชีพถูกกฎหมายนั้นมีมากน้อยแค่ไหน

ปรากฎว่ามีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เหตุผลเพราะทางรัฐของประเทศที่เห็นชอบมองว่า การตรวจตราธุรกิจที่ดำเนินอย่างเปิดเผย ย่อมง่ายกว่าธุรกิจหลบซ่อน ในบางประเทศเห็นว่า การค้าประเวณีอย่างถูกต้องช่วยลดอาชญากรรมทางเพศ และลดความรุนแรงในครอบครัว หรือด้วยหลักการอื่น ๆ

เอาเป็นว่ามาลองไล่เรียง เป็นความรู้กัน!! ว่า ‘อาชีพโสเภณี’ ในโลกกว้างนี้ มีมิติเช่นไรกันบ้าง?

สำหรับประเทศในยุโรป ที่อาชีพโสเภณีที่ได้รับการจดทะเบียน เป็นอาชีพถูกต้องตามกฎหมายและมีการตรวจตราอย่างเป็นระบบ ได้แก่ เยอรมนี, สวิสเซอร์แลนด์, ออสเตรีย, กรีซ, ตุรกี, เบลเยี่ยม, สาธารณรัฐเช็กฯ, เนเธอร์แลนด์, ฮังการี, อิตาลี, สเปน, โปรตุเกส และ ลัตเวีย

ส่วนในแถบสแกนดิเนเวียและใกล้เคียง ได้แก่ ฟินแลนด์, เอสโตเนีย, สโลเวเนีย, โปแลนด์ และยังมีประเทศอื่น ๆ ที่อาชีพโสเภณีไม่ผิดกฎหมาย แต่ไม่มีการตรวจตราควบคุม 

ข้ามมาฟากแถบทวีปอเมริกา ในอาร์เจนตินา อาชีพโสเภณี ก็เป็นอาชีพถูกกฎหมาย แต่ไม่อนุญาตให้หาประโยชน์จากโสเภณี จึงไม่อนุญาตให้มีพ่อเล้า แม่เล้า และห้ามค้าประเวณีในเขต 500 เมตรที่มีโรงเรียนตั้งอยู่ 

ในออสเตรีย อาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแต่มีการตรวจตราดูแลอย่างรัดกุม 3 ระดับคือ ระดับชาติ ระดับจังหวัด และระดับชุมชน

โสเภณีในบังคลาเทศ ค้าประเวณีได้อย่างถูกกฎหมาย แต่สังคมยังตราหน้าว่าเป็นอาชีพที่ไร้เกียรติ ทำให้โสเภณีถูกมองว่าเป็นอาชญากร

ในประเทศโบลิเวีย ผู้ที่อายุเกิน 18 ปี สามารถค้าประเวณีได้อย่างถูกกฎหมาย จึงสามารถพบเห็นผู้ยึดอาชีพโสเภณีได้ทั่วไป แต่ไม่มีกฎหมายที่จะให้ความคุ้มครองหรือดูแล ทำให้เกิดความเสี่ยงทั้งทั้งด้านสุขภาพ และความปลอดภัยต่อชีวิตของโสเภณี ทั้งกามโรคต่าง ๆ และการค้ามนุษย์ การบังคับให้ผู้อายุต่ำกว่าเกณฑ์ร่วมเพศกับลูกค้า

สาธารณรัฐโดมินิกัน ให้อาชีพโสเภณีเป็นอาชีพถูกต้องตามกฎหมาย และได้ทำให้โดมิกันเป็นจุดหมายปลายทางสำคัญของการท่องเที่ยวเพื่อเซ็กซ์

ส่วนในเอกวาดอร์ นอกจากอาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังไม่ห้ามการหาประโยชน์จากโสเภณี เช่น การตั้งช่อง หรือสถานที่ให้บริการทางเพศ หรือการเป็นพ่อเล้า หรือแม่เล้า หรือนายหน้า แถมเอกวาดอร์ ยังดึงดูดโสเภณีจากโคลอมเบีย ให้มาหากินในเอกวาดอร์ เพราะค่าตอบแทนเป็นดอลลาร์สหรัฐฯ ต่างจากเงินเปโซของโคลอมเบียที่ไม่เสถียร ซึ่งมีการสำรวจคร่าว ๆ ในเอกวาดอร์พบว่า มีโสเภณีจำนวนไม่น้อยกว่า 35,000 คนกันเลยทีเดียว

ในเอลซัลวาดอร์ กฎหมายระดับชาติ ไม่มีบทลงโทษผู้ค้าประเวณี แต่กฎหมายในระดับเทศบาลสามารถเอาผิดในคดีค้าประเวณีได้ ดังนั้นกลุ่มลูกค้า จึงได้พัฒนาเขตเฉพาะขึ้น เพื่อให้เกิดความปลอดภัยต่อโสเภณีและการดำเนินกิจกรรมค้าประเวณี 

เอธิโอเปีย อนุญาตให้ผู้ที่มีอายุเกิน 18 ปี ประกอบอาชีพโสเภณีได้อย่างถูกกฎหมาย จึงพบเห็นโสเภณีได้ทั่วไป แต่กฎหมายยังจำกัดการหาผลประโยชน์จากโสเภณี และอาชีพแมงดาให้เป็นเรื่องผิดกฎหมายอยู่

การค้าประเวณีและการซื้อขายเซ็กซ์ในฟินแลนด์ เป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎหมาย แต่หากผู้ซื้อได้ตกลงซื้อบริการทางเพศ จากผู้ขายที่เป็นเหยื่อของการค้ามนุษย์ ผู้ซื้อจะมีความผิดโดยบทลงโทษนั้น มีทั้งโทษปรับและจำ

การค้าประเวณีเป็นสิ่งถูกกฎหมายสำหรับผู้มีอายุเกิน 18 ปี ในอิสราเอล แต่มีบทลงโทษจำคุก 3 ปี ต่อผู้ซื้อเซ็กซ์จากผู้เยาว์ และอาชีพ ‘แมงดา’ จะถูกจำคุก 5 ปี 

ส่วนในญี่ปุ่น กฎหมายระบุว่า การซื้อขายเซ็กซ์นั้นผิดกฎหมาย โดยมีการระบุนิยามความหมายเพิ่มเติมความผิดภายใต้คำว่า ‘กิจกรรมทางเพศ’ ไว้ ซึ่งหมายถึงว่าการร่วมเพศกับอวัยวะเพศหญิงเท่านั้นที่ผิด ฉะนั้นกิจกรรมทางเพศ ที่ไม่ได้กระทำต่ออวัยวะเพศหญิง จึงถือว่าไม่ผิดกฎหมาย (อ่า)

ในมอลตา ประเทศเกาะกลางทะเลเมดิเตอร์เรเนียน การประกอบอาชีพโสเภณีด้วยความสมัครใจถือว่าไม่ผิดกฎหมาย แต่การกระทำใด ที่เป็นการล่อหลอก หว่านล้อม หรือบังคับ ให้ผู้อื่นประกอบอาชีพโสเภณีนั้นผิดกฎหมาย และการหาประโยชน์จากโสเภณีมีบทลงโทษ

เม็กซิโก ประกอบด้วยรัฐ 32 รัฐ และมีกฎหมายกลางที่ใช้กับทุกรัฐ ระบุกว่า ห้ามจัดตั้งซ่อง แหล่งค้าประเวณี หรือเป็นพ่อเล้า แม่เล้า ผู้ประกอบอาชีพโสเภณี ต้องจดทะเบียนและพกบัตรตรวจโรคติดตัวไว้ตลอดเวลา การซื้อขายเซ็กซ์ไม่ผิดกฎหมาย แต่อนุญาตให้แต่ละท้องถิ่น ออกกฎหมายบังคับใช้เพิ่มเติมได้ ดังนั้นกฎหมายว่าด้วยโสเภณีและการค้าประเวณีของเม็กซิโก จึงไม่มีลักษณะปูพรมผืนเดียวทั้งประเทศ มีความแตกต่างในแต่ละภูมิภาคและเมือง

กฎหมายว่าด้วยการค้าประเวณีของนอร์เวย์ มีความแตกต่างและน่าสนใจ คือ กฎหมายอนุญาตให้คนสัญชาตินอร์เวย์ขายบริการทางเพศได้ แต่ห้ามไม่ให้ผู้มีสัญชาตินอร์เวย์ หรือผู้ที่พำนักในนอร์เวย์ ซื้อบริการทางเพศ ไม่ว่าจะอยู่ในประเทศหรือนอกประเทศ การซื้อบริการทางเพศมีโทษทั้งปรับ และจำคุกนาน 1 ปี ในสวีเดนก็ไม่ต่างกันคือ ชาวสวีเดนสามารถค้าประเวณีได้ แต่ห้ามเป็นผู้ซื้อ

ในเซเนกัล เกณฑ์อายุที่จะยึดอาชีพโสเภณีได้คือ 21 ปี ซึ่งเป็นเกณฑ์อายุในการประกอบอาชีพที่สูงกว่าประเทศอื่น และมีการตรวจตราอย่างสม่ำเสมอ ทั้งการตรวจโรคและการไม่ถูกหลอกลวง หรือตกเป็นเครื่องมือของกลุ่มค้าประเวณี หรือพ่อเล้า แม่เล้า

ส่วนในสิงคโปร์นั้น แม้อาชีพโสเภณีไม่ผิดกฎหมาย แต่มีกฎหมายผูกพันมากมาย เช่น ห้ามหาลูกค้าในสถานที่สาธารณะ ห้ามหาประโยชน์จากโสเภณี ห้ามเป็นเจ้าของซ่อง ห้ามโฆษณาหรือประกาศขายเซ็กซ์ รวมทั้งทางอินเตอร์เน็ต 

จะเห็นได้ว่า ในประเทศที่อนุญาตให้อาชีพโสเภณีถูกต้องตามกฎหมาย มักจะเน้นว่า ห้ามหาผลประโยชน์จากโสเภณี 

แต่ในความเป็นจริง ก็เชื่อว่าการหากินบนหลังโสเภณีนั้นมีอยู่ จึงต้องมีกฎหมายคุ้มครอง ‘ในทางปฎิบัติ’ เพราะอาชีพนี้ มันยากมากที่จะปลอดจาก แมงดา พ่อเล่า หรือแม่เล้า  

อย่างไรก็ตาม โสเภณี ก็เป็นอาชีพอย่างอิสระอย่างหนึ่ง และก็ควรจะได้รับสิทธิในการคุ้มครองที่ดี การปฏิบัติตน การให้เกียรติจากสังคม เพื่อไม่ให้โสเภณีเหล่านั้น หลุดเข้าไปสู่วัฏจักรอันเลวร้าย วนเวียนสู่วงจรของอาชญากรรมจัดตั้ง

ที่นำมาเล่านี้ เป็นประสบการณ์ของอาชีพหนึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้เป็นการส่อแววอนาจารหรือสนับสนุนใด ๆ เพียงแต่เป็นการตีแผ่เรื่องจริง ที่ได้แรงหนุนจากบรรดาคอมเมนต์ ‘เพจโยกย้ายฯ’ ก็มีคอนเทนต์มากมายทั้งชุดคำพูดสนุกสนาน ขบขัน หรือข้อมูลความรู้ทั่วไปแบบเล่าสู่กันฟัง 

แต่อย่างไรเสีย บทสรุปของอาชีพนี้ ที่ทิศทางคำถามได้ในแนวเดียวกัน คือ “ทำไมถึงอยากเป็นโสเภณี?” 

คำตอบแบบชัด ๆ อาจระบุไม่ได้ แต่หากให้คลี่คลายอย่างผิวเผินและไม่เป็นทางการนั้น มีความจริงเพียงแค่หนึ่งเดียว...

“เพราะค่าตอบแทนคุ้มค่าแรงไง”

“แค่นั้นจริงๆ”


เขียนโดย: แพท แสงธรรม นักวิชาการอิสระ ด้าน Communication facilitator และอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญในด้านอื่น ๆ ระยะเวลามากกว่า 23 ปี
 

ใครที่ชอบการออกกำลังกายที่ใช้แรงกำลังช่วงขามาก ๆ อาจจะต้องพึงระวังถึงการบาดเจ็บของ “เอ็นหัวเข่า” เพราะการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทกเช่นการกระโดดหรือการวิ่ง หลาย ๆ คนอาจจะไม่ได้ให้สำคัญตรงบริเวณหัวเข่าอาจทำให้เกิด “เอ็นหัวเข่าอักเสบ” ขึ้นได้

คนที่มีปัญหาน้ำหนักเกินส่วนใหญ่​มักเผชิญกับปัญหา​การเจ็บเข่าแบบเป็น ๆ​ หาย ๆ​ ยิ่งพยายามออกกำลังกายเพื่อลดน้ำหนัก​กลับยิ่งทำให้เจ็บเข่ามากยิ่งขึ้น​ เป็นปัญหา​วนไปวนมา​ไม่จบสิ้น​ จนมีคำถามผุดขึ้นมาในใจว่า​ เอ๊ะ! หรือฉันกำลังเป็นโรค ​"เข่าเสื่อม" ??

การมีน้ำหนักเกินมาตรฐาน​เป็นปัจจัยเสี่ยงอันดับต้น ๆ​ ของโรคข้อเข่าเสื่อม​ แต่ก่อนที่จะไปถึงขั้นนั้น​ โรคที่เกี่ยวกับหัวเข่ายอดฮิตที่พบได้มากในกลุ่มวัยรุ่นจนถึงวัยทำงาน​ คือ​ "เอ็นหัวเข่าอักเสบ"

“เอ็นหัวเข่าอักเสบ”​ มักเกิดขึ้นจากการออกกำลังกาย​ โดยเฉพาะการออกกำลังกายที่มีแรงกระแทก เช่น การกระโดด และ การวิ่ง แม้แต่การออกกำลังกายที่มีการขยับ​ไปมาของข้อเข่ามาก ๆ​ เช่น การปั่นจักรยาน​ ก็ยังพบอาการเอ็นหัวเข่าอักเสบได้​เช่น​กัน นอกจากนี้อุบัติเหตุพลัดตก หกล้ม หรือเดินขาพลิกผิดจังหวะต่าง ๆ ก็นำมาซึ่งปัญหาเอ็นหัวเข่าอักเสบได้

เอ็นกล้ามเนื้อหัวเข่า (tendon) ที่มักเกิดการอักเสบ ได้แก่ ส่วนปลายของกล้ามเนื้อหน้าขา (Quadriceps) และกล้ามเนื้อต้นขาด้านหลัง (Hamstrings: Biceps femoris, Semimembranosus, Semitendinosus)​ ส่วนปลายของกล้ามเนื้อนี้จะไปเกาะกับส่วนหนึ่งของกระดูกบริเวณหัวเข่า (tibia & fibula) ​จึงเกิดการบาดเจ็บได้ง่าย​ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของข้อเข่าที่มากเกินไป​หรือมีแรงกระแทกซ้ำ ๆ​ การบาดเจ็บของเอ็นหัวเข่านี้จึงมักเกิดขึ้นแบบ​ค่อยเป็นค่อยไปสะสมจนมีการปวดเรื้อรัง

เอ็นกล้ามเนื้อ (tendon) มีหน้าที่เชื่อมต่อระหว่างกล้ามเนื้อและกระดูก ช่วยในการออกแรง​เพื่อให้เกิดการเคลื่อนไหวของข้อเข่า

นอกจากนี้หากมีแรงกระแทกมาก ๆ ร่วมกับการบิดหมุนของข้อเข่า เช่น อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬา ​อาจจะทำให้เอ็นกระดูก (Ligament) ซึ่งเป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างกระดูกหัวเข่าแต่ละชิ้น ได้รับ​บาดเจ็บ​ ซึ่งการบาดเจ็บลักษณะนี้มักเกิดขึ้นแบบฉับพลัน​ทันที​

เอ็นกระดูก (Ligament) เป็นส่วนที่เชื่อมระหว่างกระดูกแต่ละชิ้น มีความแข็งแรงมาก มีหน้าที่เพิ่มความมั่นคงและแข็งแรงของข้อเข่า

อาการของเอ็นเข่าอักเสบ
>> เจ็บด้านหน้าหรือด้านหลังเข่าบริเวณข้อพับ บางคนเจ็บเข่าด้านในหรือด้านนอก ขณะยืน เดิน ขึ้น ลงบันไดหรือพื้นลาดชัน บางคนเจ็บมากตอนเริ่มต้นเหยียดขาลุกขึ้นยืน
>> อาการอักเสบ บางครั้งอาจรู้สึกอุ่น ๆ หรือมีอาการแดงที่บริเวณที่ปวดร่วมด้วย
>> มีอาการบวมของถุงน้ำรอบ ๆ ข้อเข่าร่วมด้วยได้ในบางกรณี
>> อาการเอ็นอักเสบส่วนใหญ่มักดีขึ้นเองภายใน 2-3 วัน ด้วยการพักและดูแลรักษาตนเอง แต่หากพบว่ายังคงมีอาการรุนแรงต่อเนื่อง กระทบต่อการทำกิจกรรมในชีวิตประจำวันเป็นเวลานานกว่านั้น อาจมีภาวะเอ็นกล้ามเนื้อฉีกขาด ควรไปพบแพทย์เพื่อรับการตรวจรักษา
>> หากมีการบาดเจ็บที่เอ็นกระดูกหรือเอ็นกล้ามเนื้อซ้ำ ๆ​ เรื้อรัง​โดยไม่ได้รับการรักษา​ที่ถูกต้อง​ อาจนำไปสู่ปัญหาข้อเข่า​เสื่อมได้เร็วขึ้น

การรักษาเส้นเอ็นเข่าอักเสบ
>> หยุดพักกิจกรรมที่ต้องใช้การเคลื่อนไหวข้อเข่าจนกว่าอาการอักเสบจะดีขึ้น
>> ประคบด้วยความเย็นนาน 20 นาทีเพื่อช่วยลดปวดและลดอักเสบ
>> การทำกายภาพบำบัดเป็นวิธีบำบัดรักษาโดยใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัดและการออกกำลังกาย เพื่อช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นและความแข็งแรงของเอ็นข้อเข่าที่อักเสบ รวมถึงกล้ามเนื้อบริเวณรอบ ๆ รวมทั้งการตรวจประเมิน​การเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ​ เช่น​ การทรงตัวของขา เป็นต้น
>> เมื่ออาการปวดและบวมลดลงแล้ว สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติและหลีกเลี่ยงกิจกรรมหนักในช่วงแรก

ท่ากายบริหารที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อสะโพก ​และเอ็นรอบหัวเข่า​จะช่วยลดโอกาสการบาดเจ็บของ​เอ็นรอบหัวเข่าได้ ดังนี้

1.) Squat ยืนกางขา​กว้างเท่าระดับไหล่ หลังตรง​ เกร็งหน้าท้องเล็กน้อย งอเข่า​พร้อมแอ่นก้นไปทางด้านหลัง​ ระวังอย่าให้ระดับหัวเข่าเลยปลายเท้า​ แล้วยืดตัวขึ้นตามเดิม ทำ​วันละประมาณ​ 10-15​ ครั้ง​ วันละ​ 3​ รอบ​

2.)​ Lunge ยืนตรง​ ก้าวขาไปด้านหน้า​ 1​ ก้าว ย่อเข่าทั้ง​ 2​ ข้าง​ เป็นมุมฉาก ทรงตัวให้น้ำหนักอยู่ตรงกลาง แล้วยืดตัวขึ้นตามเดิม​ ทำสลับขาทั้ง​ 2​ ข้าง ทำข้างละประมาณ​ 10-15​ ครั้งต่อรอบ​ วันละ​ 3​ รอบ

3.)​ Clam shell นอนตะแคง​ สวมยางยืดแบบวงไว้ระหว่างหัวเข่าทั้ง​ 2​ ข้าง ออกแรงกางหัวเข่า​แบบเปิดสะโพกออกสู้กับแรงตึงของยางยืด จากนั้นผ่อนแรงกลับสู่ท่าปกติ ทำสลับขาทั้ง​ 2​ ข้าง ทำข้างละประมาณ​ 10-15​ ครั้งต่อรอบ​ วันละ​ 3​ รอบ

นอกจากนี้การฝึกฝนความคล่องแคล่ว​และการทรงตัวก็จะมีส่วนช่วยให้เอ็นหัวเข่ามีความแข็งแรงและบาดเจ็บได้ยากขึ้น​เช่น​กัน​ แต่การฝึกดังกล่าวควรทำเมื่อไม่มีอาการบาดเจ็บแล้วเท่านั้น​ เช่น​ การเดินสไลด์ไปทางด้านข้าง​ การวิ่งเหยาะ ๆ​ ไปด้านหน้าและหลัง​ การยืนทรงตัวด้วยขาข้างเดียว​ เป็นต้น

.

เขียนโดย: กภ.อุสา บุญเพ็ญ ปริญญาโท วิทยาศาสตร์มหาบัณฑิต พัฒนาการมนุษย์ มหาวิทยาลัยมหิดล เจ้าของคลินิกกายภาพบำบัด และเพจสุขภาพดี


เอกสารอ้างอิง
https://orthoinfo.aaos.org/en/diseases--conditions/quadriceps-tendon-tear/
http://physio4richmond.co.uk/news/hamstring-tendinopathy-in-runners/
https://www.physio-pedia.com/File:Quadriceps_muscle.jpg
https://www.impactphysicaltherapy.com/4-tips-to-prevent-an-anterior-cruciate-ligament-acl-injury/
https://cbphysicaltherapy.com/how-to-perform-a-perfect-squat/
https://www.123rf.com/photo_124593050_woman-making-lunges-doing-sport-exercises-in-gym-leg-workout-muscle-building-healthy-and-active-life.html?vti=o1wiboi1ylu3gw7v4z-1-1
https://www.fitwirr.com/exercise/mini-band-clamshell-exercise/

ในปัจจุบันที่โลกมีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ส่วนประกอบสำคัญที่จะเป็นแรงผลักดัน ชิ้นส่วนต่าง ๆ ต้องมีการค้นพบและวิจัยอย่างมาก อย่าง “สินแร่โลหะ (Rare Earth)” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในเทคโนโลยีต่าง ๆ ประเทศไทยยังเป็นประเทศสำคัญในการผลิตอีกด้วย

การผลิตสินแร่โลหะหายากเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 2020 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 240,000 เมตริกตัน (MT) ทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 220,000 MT ในปี ค.ศ. 2019 และ 190,000 MT ในปี ค.ศ. 2018

องค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบัน “สินแร่โลหะหายาก” จึงกลายเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้กันทางเศรษฐกิจ ในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ “สินแร่โลหะหายาก” (Rare Earth) ถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่ เส้นใยแก้วนำแสง และแม่เหล็ก ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนอยู่อย่างมากมายในระดับเปลือกของโลก แต่ด้วยคุณสมบัติทางธรณีเคมี ทำให้สินแร่โลหะหายากนั้นอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และไม่เข้มข้นพอที่จะสกัดออกมาได้ในราคาถูก

กระบวนการที่สกัดสินแร่โลหะหายากออกจากหินนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะธาตุต่าง ๆ ในก้อนหินนั้นมีประจุไฟฟ้าเดียวกัน และมีขนาดใกล้เคียงกัน ซึ่งในการสกัดและทำบริสุทธิ์สินแร่โลหะหายากนั้น ต้องใช้ขั้นตอนต่าง ๆ หลายพันขั้นตอน ในตารางธาตุของวิชาเคมีจะเห็นชื่อของสินแร่โลหะหายากปรากฏในอนุกรมแลนทาไนด์ (Lanthanide Series) จำนวน 15 ธาตุ ได้แก่ 
แลนทานัม (Lanthanhanum) 
ซีเรียม (Cerium) 
พราซีโอดิเมียม (Praseodymium) 
นีโอไดเมียม (Neodymium) 
โปรเมเธียม (Promethium) 
ซามาเรียม (Samarium) 
ยูโรเปียม (Europium) 
กาโดลิเนียม (Gadolinium) 
เทอร์เบียม (Terbium) 
ดิสโพรเซียม (Dysprosium) 
โฮลเมียม (Holmium) 
เออร์เบียม (Erbium) 
ธูเลียม (Thulium) 
อิทเทอร์เบียม (Ytterbium) 
ลูเทเทียม (Lutetium) 

และยังมีอีก 2 ธาตุ คือ สแกนเดียม (Scandium) และอิทเทรียม (Yttrium) ซึ่งไม่ได้อยู่ในอนุกรมนี้ แต่จัดเป็นสินแร่โลหะหายากเช่นกัน เพราะมักพบในองค์ประกอบแร่เดียวกับที่พบในธาตุแลนทาไนด์ และแสดงคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกัน

สินแร่โลหะหายากนั้นเป็นโลหะจึงมีคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ อย่าง เช่น ทนความร้อนสูงจัดได้เยี่ยม มีคุณสมบัติแม่เหล็กแรงสูง นำไฟฟ้าได้ดี และเป็นมันเงา ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นธาตุหลักที่ใช้ผลิตสารประกอบเพื่อผลิตวัสดุในชีวิตประจำวัน เช่น หลอดแอลอีดี (LED) เส้นใยแก้วนำแสง หลอดฟลูออเรสเซนต์ ตัวเร่งปฏิกิริยา สารประกอบเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ

สำหรับสินแร่โลหะหายากที่ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นประจำ ได้แก่ แลนทานัม ซีเรียม นีโอดีเมียม ซามาเรียม ยูโรเปียม เทอร์เบียม และดิสโพรเซียม และความต้องการสินแร่โลหะหายากนี้ก็เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้อุปกรณ์ที่ต้องพึ่งพาสินแร่โลหะหายาก โดยข้อมูลจากอุตสาหกรรมการสื่อสารทางไกลนานาชาติ เผยว่า เมื่อปี ค.ศ. 1998 มีการใช้โทรศัพท์มือถือที่ต้องอาศัยแบตเตอรีที่ใช้สินแร่โลหะหายากเพียง 5.3% ของจำนวนประชากรทั้งโลก แต่เมื่อถึงปี ค.ศ. 2017 ปริมาณโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเป็น 103.4% ด้วยประชากรส่วนหนึ่งมีโทรศัพท์มากกว่าคนละ 1 เครื่อง

จากการประเมินของ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (United States Geological Survey) ในปี ค.ศ. 2018 ทั่วโลกมีสินแร่โลหะหายากประมาณ 120 ล้านตัน ในจำนวนนั้นเป็นของจีน 44 ล้านตัน บราซิล 22 ล้านตัน และรัสเซีย 18 ล้านตัน

การผลิตแร่หายากยังต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในปริมาณมหาศาล และการเร่งขุดแร่หายาก เพื่อตอบสนองความต้องสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นั้น ยังส่งผลให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงมลพิษทางน้ำด้วย
ความต้องการโลหะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพลังงานหมุนเวียนมีความสำคัญมากขึ้นทั่วโลก สินแร่โลหะหายากอย่างนีโอไดเมียม (อยู่ในประเภทมีโครงสร้างสารประกอบเป็นธาตุที่หายาก เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า แร่แลนทาไนด์ ซึ่งแร่โลหะชนิดนี้มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งทนทาน และมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กชนิดถาวรในตัวเอง เมื่อนำมาผ่านกระบวนการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปทรงให้กลายเป็นแม่เหล็กแรงสูงนีโอไดเมียมขนาดต่าง ๆ สามารถนำไปใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านเครื่องยนต์กลไก สำหรับอุตสาหกรรม หรืองานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ และพราซีโอไดเมียม ซึ่งมีความสำคัญในการใช้งานพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมไฮเทค อยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยม

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังทำให้ความสนใจในแร่หายาก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตวัสดุรายใหญ่ที่สุดของโลก ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศต่าง ๆ จึงมุ่งความสนใจไปที่ปัญหาห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแร่หายาก

ด้วยเหตุนี้ จึงควรทราบตัวเลขการผลิตสินแร่โลหะหายากสิบประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากที่สุดในปี 2020 ตามข้อมูลล่าสุดจาก US Geological Survey

1.) ประเทศจีน กำลังการผลิตจากเหมือง : 140,000 ตัน ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในการผลิตสินแร่โลหะหายาก ดังที่กล่าวไว้ ประเทศจีนได้ครอบครองการผลิตแร่หายากเป็นเวลาหลายปี ในปี 2020 ผลผลิตในประเทศ 140,000 ตันเพิ่มขึ้นจาก 132,000 ตันในปีที่แล้ว

จีนเป็นประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยผลิตได้มากกว่า 95% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั่วโลก และสหรัฐฯ ก็นำเข้าสินแร่โลหะหายากจากจีนมากถึง 80% ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน สหรัฐฯ และอีกหลายประเทศก็ผลิตสินแร่โลหะหายากได้ จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1990 ที่จีนเริ่มพัฒนาการผลิตสินแร่โลหะหายากอย่างจริงจัง ทำให้หลายประเทศไม่สามารถผลิตได้ถูกกว่าจนต้องล้มเลิกกิจการไป

ผู้ผลิตจีนต้องปฏิบัติตามระบบโควตาสำหรับการผลิตแร่หายาก โควตาครึ่งปีสำหรับการขุดแร่หายากในปี ค.ศ. 2021 ตั้งไว้ที่ 84,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.2% จากปีก่อนหน้า) ในขณะที่โควตาสำหรับการถลุงแร่และการแยกส่วนอยู่ที่ 81,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.6 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า) ที่น่าสนใจคือ ระบบนี้ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำเข้าแร่หายากอันดับต้น ๆ ของโลกในปี ค.ศ. 2018

ระบบโควตาเป็นการตอบสนองต่อปัญหาอันยาวนานของจีนเกี่ยวกับการขุดแร่หายากที่ผิดกฎหมาย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อทำความสะอาด รวมถึงการปิดเหมืองสินแร่โลหะหายากที่ผิดกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และการจำกัดการผลิตและการส่งออกแร่หายาก

รอยเตอร์ระบุว่า จีนเป็นผู้นำโลกในการส่งออกสินแร่โลหะหายาก ส่วนหนึ่งมาจากการกล้าเผชิญความเสี่ยงด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมเนื่องจากมีผลพลอยได้เป็นขยะพิษ และกากแร่ก็ยังปล่อยรังสีที่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ ทำให้บางประเทศยุติการขุดสินแร่โลหะหายากของประเทศออกมา โดยปัจจุบัน มีบริษัทของรัฐ 6 รายรับผิดชอบอุตสาหกรรมสินแร่โลหะหายากของจีน ในทางทฤษฎีจึงทำให้จีนสามารถจัดการกับการผลิตได้อย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การสกัดแร่หายากอย่างผิดกฎหมายยังคงเป็นเรื่องท้าทาย และรัฐบาลจีนยังคงดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อควบคุมกิจกรรมนี้

2.) สหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตจากเหมือง : 38,000 ตัน สหรัฐอเมริกาผลิตแร่หายาก 38,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 28,000 ตันในปี ค.ศ. 2019

แหล่งแร่หายากในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากเหมือง Mountain Pass ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งกลับไปสู่การผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี ค.ศ. 2018 หลังจากได้รับการดูแลและบำรุงรักษาในไตรมาสที่ 4 ปี ค.ศ. 2015 Molycorp ดำเนินการก่อนที่มันจะล้มละลาย และถูกซื้อโดย Oaktree Capital Management และปัจจุบันกลายเป็น Neo Performance Materials 

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าวัสดุโลหะหายากรายใหญ่ โดยมีความต้องการสารประกอบและโลหะมูลค่า 110 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งลดลงจาก 160 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2019 สหรัฐฯ ได้จำแนกสินแร่หายากให้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อันเนื่องจากปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

3.) เมียนมาร์ (พม่า) กำลังการผลิตจากเหมือง : 30,000 ตัน เมียนมาร์ขุดแร่หายากได้ 30,000 ตันในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 22,000 ตันในปีที่แล้ว 

มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแหล่งแร่โลหะหายาก และโครงการขุดแร่ของประเทศ แต่เมียนมาร์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยในปี ค.ศ. 2020 เมียนมาร์ได้จัดหาวัตถุดิบสำหรับโลหะหายากขนาดกลางถึงหนัก 50 เปอร์เซ็นต์ของจีน การทำรัฐประหารโดยกองทัพเมียนมาร์ในปี ค.ศ. 2021 ทำให้เกิดความกังวลว่าการนำเข้าแร่หายากเหล่านั้นอาจถูกตัดออก แต่ ณ ต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 ยังไม่มีปรากฏการหยุดชะงักทางการค้าของสินแร่หายากในเมียนมาร์แต่อย่างใด

4.) ออสเตรเลีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 17,000 ตัน การผลิตแร่หายากในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตลดลงเหลือ 17,000 MT จาก 20,000 MT ในปี ค.ศ. 2019

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีแหล่งแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และพร้อมที่จะเพิ่มผลผลิต Lynas ซึ่งมีฐานอยู่ในออสเตรเลีย (ASX:LYC,OTC Pink:LYSCF) ดำเนินการเหมือง Mount Weld และโรงงานผลิตความเข้มข้นในประเทศ และเพิ่งประกาศแผนการที่จะเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์นีโอไดเมียม-แพรซีโอไดเมียมเป็น 10,500 ตันต่อปีภายในปี ค.ศ. 2025

Northern Minerals (ASX:NTU) เปิดเหมืองแร่โลหะหายากหนักแห่งแรกของออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2018 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เทอร์เบียมและดิสโพรเซียม ซึ่งใช้ในเทคโนโลยีเช่น แม่เหล็กถาวร

5.) มาดากัสการ์ กำลังการผลิตจากเหมือง : 8,000 ตัน มาดากัสการ์บันทึกการสกัดแร่หายาก 8,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นสองเท่าของปีก่อน มีโครงการโลหะหายากแทนทาลัสซึ่งมีออกไซด์ของโลหะหายาก 562,000 ตัน

6.) อินเดีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 3,000 ตัน ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 2014 Indian Rare Earths และ Toyota Tsusho Exploration ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการสำรวจและผลิตแร่หายากผ่านการขุดในทะเลลึก

แม้จะมีข้อตกลงนี้ แต่อุตสาหกรรมการผลิตแร่หายากของอินเดียยังต่ำกว่าศักยภาพมาก ประเทศถือครองแร่ทรายชายหาดเกือบร้อยละ 35 ของโลก ซึ่งเป็นแหล่งแร่หายากที่สำคัญ แต่การผลิตในปี ค.ศ. 2020 ในอินเดียมีเพียง 3,000 ตัน เพิ่มขึ้นเพียง 100 ตันจากปี ค.ศ. 2019

7.) รัสเซีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,700 ตัน รัสเซียผลิตแร่หายาก 2,700 ตันในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อสองปีก่อน รัฐบาลของประเทศถูกกล่าวหาว่า "ไม่พอใจ" กับการจัดหาแร่หายาก มีรายงานว่ารัสเซียกำลังลดภาษีการขุดและเสนอสินเชื่อลดราคาให้กับนักลงทุนในโครงการ 11 โครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากทั่วโลกของประเทศจากปัจจุบัน 1.3% เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี ค.ศ. 2030

8.) ประเทศไทย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,000 ตัน การผลิตแร่หายากของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 1,900 ตันในปี ค.ศ. 2019 และ 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2018 ปัจจุบันยังไม่ทราบปริมาณสำรองแร่หายากของประเทศ แต่ประเทศนี้ยังคงเป็นผู้ผลิตสินแร่โลหะหายาก 10 อันดับแรกนอกประเทศจีน

9.) เวียดนาม กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน การผลิตแร่หายากของเวียดนามลดลงจาก 1,300 ตันในปี ค.ศ.2019 เป็น 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตสำหรับปีนั้นเทียบเท่ากับการผลิตแร่หายากในบราซิล ซึ่งหมายความว่าทั้งสองจริง ๆ แล้วทั้งสองอยู่ในอันดับที่เก้า

มีรายงานว่าประเทศดังกล่าว เป็นแหล่งสะสมแร่หายากหลายแห่งที่มีปริมาณมากแถบบริเวณชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือกับจีน และตามแนวชายฝั่งตะวันออก เวียดนามสนใจที่จะเสริมสร้างกำลังการผลิตในพลังงานสะอาด ซึ่งรวมถึงแผงโซลาร์เซลล์ และได้รับการกล่าวขานว่ากำลังมองหาการผลิตแร่หายากมากขึ้นสำหรับห่วงโซ่อุปาทานของตนด้วยเหตุผลดังกล่าว

10.) บราซิล กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2012 มีการค้นพบแหล่งแร่หายากมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในบราซิล จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่า ยังไม่มีการทำเหมืองดังกล่าว แม้ว่าในปี ค.ศ. 2020 ปริมาณแร่หายากที่ขุดได้ในประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นจาก 710 MT ในปี ค.ศ. 2019 เป็น 1,000 MT ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งมีปริมาณการผลิตเท่ากับเวียดนาม

สำหรับประเทศไทยของเรานั้นในอดีต “แร่ดีบุก” เป็นทรัพยากรสำคัญที่สร้างรายได้หลักให้กับภูเก็ตมาตลอด แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ราคาดีบุกในตลาดโลกเริ่มต่ำลง การค้าดีบุกจึงซบเซา พร้อม ๆ กับปริมาณ “ดีบุก” ที่มีการขุดพบมีปริมาณลดลง ระหว่างที่อุตสาหกรรมการผลิตและการค้าดีบุกชะลอตัว ก่อนหน้านั้นชาวภูเก็ต ได้รับรู้และพบว่า 'ขี้ตะกรันดีบุก' หรือ 'สะแหลกดีบุก' เป็นแร่ที่สามารถขายได้ในราคาดี เพราะมีแร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ ซึ่งเป็นแร่ยุทธปัจจัยใช้สำหรับทำยานอวกาศ หรือหัวจรวดนำวิถี ตลอดจนขีปนาวุธต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะมีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เสียดสีของอากาศได้สูงมาก แร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ มีราคากิโลกรัมละ 60-70 บาท และเมื่อนำมาผ่านกระบวนการสกัดต่อจนได้ “แร่แทนทาลัม” จะมีราคาสูงกว่าแร่แทนทาไลต์หรือขี้ตะกรันดีบุกประมาณ 40-50 เท่า 

เมื่อชาวบ้านทราบว่า “ขี้ตะกรัน” เป็นของมีราคาจึงแตกตื่น ส่งผลให้บรรดานายทุนต่าง ๆ ยื่นประมูลต่อทางการ โดยขอขุดถนนเก่า ๆ ทุกสายในตัวเมืองภูเก็ต โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อขุดเสร็จแล้วจะสร้างถนนใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่ปลูกสร้างอยู่บนเตาถลุงที่มีขี้ตะกรันฝังอยู่มาก ๆ ก็จะถูกรื้อหรือทุบพื้นทิ้งเพื่อขุดเอาขี้ตะกรันดังกล่าวขึ้นมา ในขณะนั้นคนภูเก็ตสามารถทำรายได้จากการขุดขาย “ขี้ตะกรันดีบุก” หรือรับจ้างขุด สูงถึงวันละ 180 บาท (ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในขณะนั้นอยู่ที่วันละห้าสิบกว่าบาท)

ผลจากการตื่นตัวใน “แร่แทนทาลัม” ส่งผลให้เกิดแนวคิดที่จะสร้าง “โรงงานถลุงแทนทาลัม” ขึ้น โดยในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2522 บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทฯ โดยมีโครงการก่อสร้างโรงงานที่อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ต่อมาได้รับใบอนุญาตให้สร้างโรงงานในปี พ.ศ. 2526 จนก่อสร้างแล้วเสร็จ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2529 แต่โรงงานไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เพราะประสบปัญหาการคัดค้านจากหลายภาคส่วนทั้งในระดับจังหวัดและประเทศอย่างรุนแรง เนื่องจากชาวภูเก็ตได้รับข้อมูลจากฝ่ายคัดค้านการเปิดโรงงานว่า โรงงานแทนทาลัมจะก่อให้เกิดมลพิษต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมของภูเก็ต จนนำมาสู่ความขัดแย้งแผ่ขยายตัว 

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.อุตสาหกรรมในขณะนั้น ได้เดินทางไปยังจังหวัดภูเก็ตเพื่อรับฟังความคิดเห็นตามความต้องการของตัวแทนกลุ่มคัดค้าน โดยนัดหมายที่ศาลาประชาคม แต่เมื่อไปถึงผู้ชุมนุมกลับแสดงทีท่าต่อต้านรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและคณะด้วยความรุนแรง โดยผู้ชุมนุมจำนวนหลายพันคนพยายามเข้าประชิดและขว้างปาและทุบรถ แม้ว่านายจิรายุ ได้ชี้แจงให้ผู้ชุมนุมทราบว่า รัฐบาลฯ กำลังดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา และจะให้คำตอบแก่ชาวภูเก็ตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ตามที่ผู้ชุมนุมกำหนด และระหว่างนี้ได้ให้โรงงานยุติการดำเนินการชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ผล

การประท้วงได้รุนแรงขึ้น และมีการเผาโรงงานแทนทาลัมและโรงแรมภูเก็ตเมอร์ลินซึ่งเป็นที่พักของนายจิรายุและคณะ จนรัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดภูเก็ต และมีการประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ กว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ปกติต้องใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ และประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 การจลาจลครั้งนั้น ได้สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท และสุดท้าย บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด มีมติให้ย้ายโรงงานแทนทาลัมจากภูเก็ตไปตั้งที่อื่น เหตุการณ์จลาจลกรณี “แร่แทนทาลัม” สินแร่โลหะหายาก เมื่อ 35 ปีก่อน จึงเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสินแร่โลหะหายากที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา 


เขียนโดย: ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ

ทฤษฎี 21 วัน กับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ว่ากันว่า ถ้าเราทำสิ่งไหนต่อเนื่องกันเป็นเวลา 21 วัน สิ่งนั้นจะติดเป็นนิสัย เกิดเป็นความเคยชิน แล้วสามารถนำมาปรับใช้กับเรื่องของความรักได้อย่างไร?!

เชื่อว่าหลายคนต้องเคยได้ยินเรื่องของทฤษฎี 21 วัน มาบ้างแล้ว มันคือทฤษฎีอะไร? มาจากไหน? แล้วเกี่ยวข้องกับความรักได้อย่างไร ทำแล้วจะได้ผลจริงไหม วันนี้เราจะพาไปรู้จักกับทฤษฎีนี้กันค่ะ

“ลองทักคนที่ชอบไปต่อเนื่อง 21 วัน แล้ววันที่ 22 ให้เราลองเงียบหายไป ถ้าเขาชอบเรา เขาจะทักกลับมาเอง!” 


 
หลายคนคงต้องเคยได้ยินประโยคนี้ หรือไม่แน่อาจจะเคยลงมือทำกันไปบ้างแล้ว ที่มาของเรื่องนี้นั้นมาจาก ทฤษฎี 21 วัน ซึ่งเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่อธิบายถึงการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของมนุษย์ โดยสาระสำคัญที่ Dr.Maxwell Maltz นายแพทย์ชื่อดังชาวสหรัฐฯ เขียนไว้ในหนังสือ Psycho-Cybernetics คือ การกระทำจะตกผลึกกลายเป็นนิสัย โดยการกระทำต่อเนื่องอย่างน้อย 21 วัน บนพื้นฐานความเชื่อว่าเป็นไปได้ และมีสติในการลงมือทำ

ว่ากันว่า ถ้าเราทำสิ่งไหนต่อเนื่องกันเป็นเวลา 21 วัน สิ่งนั้นจะติดเป็นนิสัย เกิดเป็นความเคยชิน ช่วงแรกอาจจะต้องฝืนตัวเองกันสักหน่อย แต่เมื่อกระทำต่อเนื่องครบ 21 วัน วันที่ 22 เป็นต้นไป เราจะสามารถทำได้เองโดยที่ไม่ต้องฝืน 

ทฤษฎีนี้ไม่เฉพาะเจาะจงแค่เรื่องของความรักเท่านั้น เพราะสามารถนำมาปรับใช้กับทุกเรื่องในชีวิตของเราได้ การพยายามสร้างนิสัยบางอย่าง การปรับเปลี่ยนตัวเองเป็นคนที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็น การปรับเวลานอน การออกกำลังกาย นิสัยรักการอ่าน การออมเงิน การจดบันทึกประจำวัน เช่น เราอาจจะตั้งเป้าออกกำลังกายทุกวัน วันละ 30 นาที หลังจากพยายามทำต่อเนื่องจนครบ 21 วันแล้ว อาจจะเกิดความเคยชิน ลุกขึ้นมาออกกำลังกายโดยที่ไม่ต้องฝืนตัวเอง หรือเขียนไดอารี่ต่อเนื่องทุกวันก่อนนอน จนติดเป็นนิสัย ต้องเขียนทุกๆ คืน


 
ส่วนการนำมาประยุกต์ใช้ในเรื่องของความรัก ว่ากันว่า ให้เราลองเป็นฝ่ายทักคนที่แอบชอบไปทุกวันอย่างต่อเนื่อง 21 วัน กระทั่งวันที่ 22 ให้หยุด ลองเงียบหายไป ถ้าเขาชอบเราเขาจะทักกลับมา จริงๆ แล้วอาจเป็นเรื่องของความต่อเนื่อง สร้างความมีตัวตนของเรา ให้เขาหรือเธอเกิดความเคยชิน ติดนิสัยในการคุยกับเรา 

แต่คิดอีกมุมนึง ถ้าเขาชอบเราจริง ไม่ต้องรอถึง 21 วัน ก็ทักมาหาแล้ว ของแบบนี้มันขึ้นอยู่ที่ความรู้สึกด้วยน้า ที่สำคัญช่วงระยะเวลา 21 วันอาจไม่สามารถฟันธงได้ขนาดนั้น สิ่งที่เราต้องทำคือ เป็นตัวของตัวเอง พูดคุยแลกเปลี่ยนทัศนคติที่เป็นตัวตนของเราจริงๆ แบบที่ไม่ฝืนตัวเอง


 
แต่เดี๋ยวก่อน!! ความเป็นจริงแล้วนั้น Maltz ไม่เคยบอกว่าระยะเวลา 21 วัน เพียงพอที่จะเปลี่ยนนิสัยหรือการรับรู้ได้ทุกอย่าง เป็นเพียงแค่ข้อสังเกตเท่านั้น ยังไม่ได้ทำการศึกษาอย่างจริงจัง แต่ความเชื่อนี้ดันแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว สุดท้ายสิ่งนี้อาจขึ้นอยู่กับความแตกต่างของแต่ละบุคคล  ไม่ใช่ทุกคนที่จะทำอะไรให้ติดเป็นนิสัยได้ภายใน 21 วัน

สำหรับใครที่อยากลองสร้างนิสัยบางอย่าง หรือกำลังมองหาวิธีสานสัมพันธ์กับคนที่แอบชอบ วิธีนี้ก็ถือว่าน่าสนใจ ไม่ได้เสียหายอะไร ใครเคยทำแล้วได้ผลเป็นยังไงลองมาแบ่งปันกันได้นะคะ

เขียนโดย: เพลิน ภารวี สุภามาลา Content Editor THE STUDY TIMES


ข้อมูลอ้างอิง:

https://shortrecap.co/thinking/ทฤษฎี21วัน/
https://twentyonetoys.com/blogs/teaching-21st-century-skills/21-days-to-form-habits
 

มรดกโลก “อเลิท์ซ กลาเซียร์” (Aletsch Glacier) มหาธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ ธรรมชาติสวยสะกดสายตา เติมเต็มความสุขทางใจ

“Aletsch glacier” (ธารน้ำแข็งอาเล็ทช์ กลาเซียร์) เป็นธารน้ำแข็งที่ใหญ่ที่สุดในเทือกเขาแอลป์ (Alps) อยู่ในรัฐ Wallis (วาลิส) มีความยาวถึง 23 กิโลเมตรกินพื้นที่ตั้งแต่ Jungfrau มาจนถึง Valias (Wallis) ช่วงที่หนาที่สุดของธารน้ำแข็งคือลึกประมาณ 900 เมตรเลยนะ แถมเจ้าธารน้ำแข็ง Aletsch ยังเคลื่อนที่ด้วยความเร็วประมาณ 200 เมตรต่อปี แบบที่เราไม่รู้สึกเลยด้วยซ้ำ 

การเดินทางก็สามารถเลือกได้หลายเส้นทาง  
>> 1.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Fiesch ไปที่ Fiescheralp และต่อไปที่ยอดเขา Eggishorn จากตรงนี้ถ้าอากาศดีจะสามารถมองเห็น Jungfrau Joch (ยุงเฟรา Top of Europe) และ Matterhorn (มัทเทอร์ฮอร์น) ได้ด้วย 
>> 2.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Mörel (เมอเรล) ไปที่ยอดเขา Riederalp ตรงนี้สามารถ Hiking เส้นทางง่าย ๆ ได้ เส้นทางป่าตรงนี้สวยงามมาก จุดนี้ไม่มีร้านอาหารมีแต่เป็นเหมือนรถตู้เก่า ๆ เปิดให้เราสามารถซื้อเครื่องดื่มต่าง ๆ มีโต๊ะวางกลางแจ้งอยู่ 2-3 โต๊ะ แต่จะเปิดเฉพาะอากาศดีเท่านั้น 
>> 3.) ขึ้นกระเช้าจากเมือง Betten (เบทเท่น) ไปที่เมือง Bettmeralp (เบทเมอร์อัล์ป) แล้วต่อกระเช้าไปที่ยอดเขา Bettmerhorn (เบทเมอร์ฮอร์น) ตรงนี้มีร้านอาหารให้นั่งดื่มกาแฟดูวิวสวย ๆ ชิล ๆ ได้ด้วย ซึ่งวี่เลือกแบบที่ 3 เพราะหลงรักเมืองเล็ก ๆ บนภูเขาที่ชื่อ Bettmeralp มาก และมาบ่อยมาก ในช่วง 20 ปีที่ผ่านมา

“Bettmeralp” เป็นหมู่บ้านเล็ก ๆ ที่ปลอดมลพิษคล้าย ๆ Zermatt เพราะมีแต่รถไฟฟ้าวิ่งเท่านั้น ไม่มีรถยนต์ที่เป็นเครื่องเบนซินหรือดีเซลเลย ช่วงหน้าหนาวที่นี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวเพื่อการเล่นสกี แต่หน้าร้อนก็สวยไม่แพ้กัน ที่วี่ชอบมากเพราะบ้านจะเป็นบ้านไม้แบบสมัยก่อน แม้กระทั่งโรงแรม หรือ airbnb ก็จะทรงเดียวกันหมดเลย ที่สถานี Betten สามารถซื้อตั๋ว 3 days pass ได้ในราคา 45 ฟรังค์ (ถ้ามีบัตรครึ่งราคา) ถ้าไม่มีราคาเต็มคือ 65 ฟรังค์ สำหรับวี่ว่าราคาเหมาะสมนะ เพราะสามารถขึ้นกระเช้าในระแวกนั้นฟรี และขึ้นรถบัส-รถไฟระแวกนั้นฟรีทั้งหมด

ที่วี่มาคราวนี้ไม่ใช่แค่มาชมความยิ่งใหญ่และสวยงามของธารน้ำแข็ง Aletsch เพียงเท่านั้น เพราะอย่างที่บอกว่ามาหลายครั้งมากแล้ว ครั้งนี้ตั้งใจเพื่อมา Hiking โดยเฉพาะ และว่ากันว่ามีหลายเส้นทางที่สวย แต่วี่สนใจอยู่ 2 เส้นทาง คือ 

>> เส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) เส้นทางสันเขา ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) กับเส้นทางที่เรียบขนานธารน้ำแข็งหรือเส้นทาง 360 องศา ‘Panorama’ เป็นเส้นทางที่เราจะเดินใกล้ธารน้ำแข็งได้มากที่สุด มีระยะทาง 12.2 กิโลเมตร แต่เดินจริง GPS จับได้ระยะทางประมาณเกือบ 15 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินรวมกับการพักเกือบ 6 ชั่วโมง วี่เองก็กลัวไม่ไหว...ประกอบกับดูพยากรณ์อากาศบอกว่าสักช่วงบ่ายสามจะมีพายุฝน เลยชั่งใจอยู่ว่าจะไปทางไหน ซึ่งเส้นทาง ‘UNESCO’ (ยูเนสโก) คือเดินบนสันเขาได้วิวมุมสูง ระยะทางแค่ 3-4 กิโลเมตร แต่เป็นการเดินขึ้นและลงแบบสุดแรง และถ้าฟ้าไม่เปิดจะมองไม่เห็นอะไร ส่วนอีกทางมีระยะทางยาว และเส้นทางช่วงต้น ๆ จะเดินยากนิดหน่อย ใช้เวลานาน ซึ่งไม่รู้จะทันบ่ายสามก่อนพายุเข้าไหม ถ้าไม่ทันจะไม่สนุกแน่เพราะจะเจอพายุบนเขา สรุปวี่เลยเลือกเส้นทางนี้ เพราะวี่มีความต้องการที่จะเข้าใกล้ธารน้ำแข็งให้มากที่สุด

>> เส้นทาง ‘360 องศา panorama’ เริ่มจาก Bettmerhorn ที่ความสูง 2,858 เมตรจากระดับน้ำทะเล อ้อมไปด้านหลังของยอดเขา Eggishorn (เอกิสฮอร์น) ผ่านทะเลสาป Vordersee มาจบที่สถานีกระเช้า Fiescheralp ที่ความสูง 2,212 เมตรจากระดับน้ำทะเล เพื่อลงมาที่เมือง Fiesch และนั่งรถบัสหรือรถไฟ ก็ได้กลับมาที่เมือง Betten เพื่อมานั่งกระเช้าขึ้นมาที่ Bettmeralp เพราะโรงแรมอยู่ที่นี่ ถึงแม้ระยะทางมันจะยาวแต่วิวมันว๊าวมันสวยสะกดมากกกกก!! มีล้านให้เต็มล้านเลยแหละ 

ส่วนคำเตือนของเส้นทางนี้คือไม่เหมาะกับคนที่เวียนหัวง่าย เพราะบางช่วงบางตอนทางแคบ ตัดจากทางเดินคือเป็นผาและตัดตรงลงพื้น ด้วยความสูงขนาดนี้คงไม่ต้องบอกเนาะว่าตกมาจะเป็นไง... ดังนั้นจึงมีป้ายเตือนก่อนตรงจุดตั้งต้น และแนะนำควรใส่รองเท้า Hiking เพราะพื้นผิวของเส้นทางมีความหลากหลายสำหรับผู้ไม่คุ้นชิน ต่อมาก็ลงมาถึงสถานีกระเช้าช่วง 4 โมงเย็น พายุกำลังโหม ทำให้กระเช้าเล็กที่นั่งเกิดการแกว่งไปมาเพราะลม เดินสัก 2 กิโลเมตรสุดท้าย ก็เกิดลมแรง ทั้งฝน ทั้งเหนื่อย ทั้งเปียก ทั้งหนาว ความรู้สึกของขาเรามันเหมือนหนักสักร้อยกิโล ยกเหมือนจะไม่ขึ้น เหมือนจะเดินไม่รอด แต่ในที่สุดวี่ก็ทำได้สำเร็จและกลับมาถึงโรงแรม นึกขอบคุณตัวเองที่ตัดสินใจไปในวันนี้ มันเติมเต็มความรู้สึกดีมาก และมีความสุขมากจริง ๆ

วี่รักบรรยากาศหมู่บ้าน Bettmeralp รู้สึกอบอุ่นผ่อนคลายและสบายใจ ชอบขึ้นไปนั่งดูธารน้ำแข็ง นั่งดูได้ทีละนาน ๆ ไม่รู้จักเบื่อเลย ยังนึกไปด้วยซ้ำว่าเราเป็นแค่คนซึ่งถ้าเทียบกับธารน้ำแข็งที่ยิ่งใหญ่เราก็ตัวเล็กนิดเดียว และเราไม่สามารถที่จะงัดข้อกับธรรมชาติที่แสนจะยิ่งใหญ่ได้เลย ธรรมชาติบางครั้งก็ช่างสวยงามเสียเหลือเกิน แต่บางคราก็อาจจะน่ากลัวได้อย่างไม่น่าเชื่อเช่นกัน...


เขียนโดย: วีวี่ เซเลบภูเขา 
ตาล หรือ วีวี่ สาวสัตหีบชาวไทย เรื่องราวที่อยากบอกเล่า จากประสบการณ์ชีวิตมากกว่า 21 ปี ในประเทศสวิตเซอร์แลนด์
 


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top