ในปัจจุบันที่โลกมีเทคโนโลยีก้าวหน้ามากขึ้น ส่วนประกอบสำคัญที่จะเป็นแรงผลักดัน ชิ้นส่วนต่าง ๆ ต้องมีการค้นพบและวิจัยอย่างมาก อย่าง “สินแร่โลหะ (Rare Earth)” ที่เป็นองค์ประกอบสำคัญในเทคโนโลยีต่าง ๆ ประเทศไทยยังเป็นประเทศสำคัญในการผลิตอีกด้วย

การผลิตสินแร่โลหะหายากเพิ่มมากขึ้นอีกครั้งในปี ค.ศ. 2020 โดยเพิ่มขึ้นเป็น 240,000 เมตริกตัน (MT) ทั่วโลก ซึ่งเพิ่มขึ้นจาก 220,000 MT ในปี ค.ศ. 2019 และ 190,000 MT ในปี ค.ศ. 2018

องค์ประกอบสำคัญของเทคโนโลยีที่ใช้อยู่ในชีวิตประจำวัน ปัจจุบัน “สินแร่โลหะหายาก” จึงกลายเป็นอาวุธที่ใช้ต่อสู้กันทางเศรษฐกิจ ในสงครามการค้าระหว่างจีนและสหรัฐฯ “สินแร่โลหะหายาก” (Rare Earth) ถูกใช้อย่างแพร่หลายในอุตสาหกรรมและผลิตภัณฑ์ในชีวิตประจำวัน เช่น สมาร์ทโฟน แบตเตอรี่ เส้นใยแก้วนำแสง และแม่เหล็ก ทั้ง ๆ ที่มีจำนวนอยู่อย่างมากมายในระดับเปลือกของโลก แต่ด้วยคุณสมบัติทางธรณีเคมี ทำให้สินแร่โลหะหายากนั้นอยู่กันอย่างกระจัดกระจาย และไม่เข้มข้นพอที่จะสกัดออกมาได้ในราคาถูก

กระบวนการที่สกัดสินแร่โลหะหายากออกจากหินนั้นเป็นเรื่องยากมาก เพราะธาตุต่าง ๆ ในก้อนหินนั้นมีประจุไฟฟ้าเดียวกัน และมีขนาดใกล้เคียงกัน ซึ่งในการสกัดและทำบริสุทธิ์สินแร่โลหะหายากนั้น ต้องใช้ขั้นตอนต่าง ๆ หลายพันขั้นตอน ในตารางธาตุของวิชาเคมีจะเห็นชื่อของสินแร่โลหะหายากปรากฏในอนุกรมแลนทาไนด์ (Lanthanide Series) จำนวน 15 ธาตุ ได้แก่ 
แลนทานัม (Lanthanhanum) 
ซีเรียม (Cerium) 
พราซีโอดิเมียม (Praseodymium) 
นีโอไดเมียม (Neodymium) 
โปรเมเธียม (Promethium) 
ซามาเรียม (Samarium) 
ยูโรเปียม (Europium) 
กาโดลิเนียม (Gadolinium) 
เทอร์เบียม (Terbium) 
ดิสโพรเซียม (Dysprosium) 
โฮลเมียม (Holmium) 
เออร์เบียม (Erbium) 
ธูเลียม (Thulium) 
อิทเทอร์เบียม (Ytterbium) 
ลูเทเทียม (Lutetium) 

และยังมีอีก 2 ธาตุ คือ สแกนเดียม (Scandium) และอิทเทรียม (Yttrium) ซึ่งไม่ได้อยู่ในอนุกรมนี้ แต่จัดเป็นสินแร่โลหะหายากเช่นกัน เพราะมักพบในองค์ประกอบแร่เดียวกับที่พบในธาตุแลนทาไนด์ และแสดงคุณสมบัติทางเคมีคล้ายคลึงกัน

สินแร่โลหะหายากนั้นเป็นโลหะจึงมีคุณสมบัติพิเศษหลาย ๆ อย่าง เช่น ทนความร้อนสูงจัดได้เยี่ยม มีคุณสมบัติแม่เหล็กแรงสูง นำไฟฟ้าได้ดี และเป็นมันเงา ซึ่งเหมาะสำหรับนำไปประยุกต์ใช้ในผลิตภัณฑ์ได้หลากหลาย อีกทั้งยังเป็นธาตุหลักที่ใช้ผลิตสารประกอบเพื่อผลิตวัสดุในชีวิตประจำวัน เช่น หลอดแอลอีดี (LED) เส้นใยแก้วนำแสง หลอดฟลูออเรสเซนต์ ตัวเร่งปฏิกิริยา สารประกอบเพื่อควบคุมมลพิษทางอากาศ

สำหรับสินแร่โลหะหายากที่ถูกนำไปใช้ในอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์เป็นประจำ ได้แก่ แลนทานัม ซีเรียม นีโอดีเมียม ซามาเรียม ยูโรเปียม เทอร์เบียม และดิสโพรเซียม และความต้องการสินแร่โลหะหายากนี้ก็เพิ่มขึ้นตามปริมาณความต้องการใช้อุปกรณ์ที่ต้องพึ่งพาสินแร่โลหะหายาก โดยข้อมูลจากอุตสาหกรรมการสื่อสารทางไกลนานาชาติ เผยว่า เมื่อปี ค.ศ. 1998 มีการใช้โทรศัพท์มือถือที่ต้องอาศัยแบตเตอรีที่ใช้สินแร่โลหะหายากเพียง 5.3% ของจำนวนประชากรทั้งโลก แต่เมื่อถึงปี ค.ศ. 2017 ปริมาณโทรศัพท์เพิ่มขึ้นเป็น 103.4% ด้วยประชากรส่วนหนึ่งมีโทรศัพท์มากกว่าคนละ 1 เครื่อง

จากการประเมินของ สำนักงานสำรวจทางธรณีวิทยาสหรัฐฯ (United States Geological Survey) ในปี ค.ศ. 2018 ทั่วโลกมีสินแร่โลหะหายากประมาณ 120 ล้านตัน ในจำนวนนั้นเป็นของจีน 44 ล้านตัน บราซิล 22 ล้านตัน และรัสเซีย 18 ล้านตัน

การผลิตแร่หายากยังต้องใช้พลังงานและทรัพยากรในปริมาณมหาศาล และการเร่งขุดแร่หายาก เพื่อตอบสนองความต้องสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ๆ และอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ นั้น ยังส่งผลให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า รวมถึงมลพิษทางน้ำด้วย
ความต้องการโลหะเพิ่มขึ้นเนื่องจากพลังงานหมุนเวียนมีความสำคัญมากขึ้นทั่วโลก สินแร่โลหะหายากอย่างนีโอไดเมียม (อยู่ในประเภทมีโครงสร้างสารประกอบเป็นธาตุที่หายาก เรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า แร่แลนทาไนด์ ซึ่งแร่โลหะชนิดนี้มีโครงสร้างที่แข็งแกร่งทนทาน และมีคุณสมบัติเป็นแม่เหล็กชนิดถาวรในตัวเอง เมื่อนำมาผ่านกระบวนการพัฒนาปรับเปลี่ยนรูปทรงให้กลายเป็นแม่เหล็กแรงสูงนีโอไดเมียมขนาดต่าง ๆ สามารถนำไปใช้งานที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นด้านเครื่องยนต์กลไก สำหรับอุตสาหกรรม หรืองานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า เครื่องเสียง คอมพิวเตอร์ และพราซีโอไดเมียม ซึ่งมีความสำคัญในการใช้งานพลังงานสะอาดและอุตสาหกรรมไฮเทค อยู่ในความสนใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อรถยนต์ไฟฟ้าและรถยนต์ไฮบริดได้รับความนิยม

ปัจจัยอื่น ๆ เช่น ความตึงเครียดอย่างต่อเนื่องระหว่างสหรัฐฯ และจีน กำลังทำให้ความสนใจในแร่หายาก เนื่องจากจีนเป็นผู้ผลิตวัสดุรายใหญ่ที่สุดของโลก ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นระหว่างประเทศต่าง ๆ จึงมุ่งความสนใจไปที่ปัญหาห่วงโซ่อุปทานในอุตสาหกรรมแร่หายาก

ด้วยเหตุนี้ จึงควรทราบตัวเลขการผลิตสินแร่โลหะหายากสิบประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากที่สุดในปี 2020 ตามข้อมูลล่าสุดจาก US Geological Survey

1.) ประเทศจีน กำลังการผลิตจากเหมือง : 140,000 ตัน ประเทศจีนเป็นประเทศที่ใหญ่ที่สุดในการผลิตสินแร่โลหะหายาก ดังที่กล่าวไว้ ประเทศจีนได้ครอบครองการผลิตแร่หายากเป็นเวลาหลายปี ในปี 2020 ผลผลิตในประเทศ 140,000 ตันเพิ่มขึ้นจาก 132,000 ตันในปีที่แล้ว

จีนเป็นประเทศที่ผลิตสินแร่โลหะหายากได้เป็นอันดับหนึ่งของโลก โดยผลิตได้มากกว่า 95% ของปริมาณที่ผลิตได้ทั่วโลก และสหรัฐฯ ก็นำเข้าสินแร่โลหะหายากจากจีนมากถึง 80% ทั้งที่ก่อนหน้านี้เมื่อประมาณ 30 ปีก่อน สหรัฐฯ และอีกหลายประเทศก็ผลิตสินแร่โลหะหายากได้ จนกระทั่งถึงช่วงทศวรรษ 1990 ที่จีนเริ่มพัฒนาการผลิตสินแร่โลหะหายากอย่างจริงจัง ทำให้หลายประเทศไม่สามารถผลิตได้ถูกกว่าจนต้องล้มเลิกกิจการไป

ผู้ผลิตจีนต้องปฏิบัติตามระบบโควตาสำหรับการผลิตแร่หายาก โควตาครึ่งปีสำหรับการขุดแร่หายากในปี ค.ศ. 2021 ตั้งไว้ที่ 84,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.2% จากปีก่อนหน้า) ในขณะที่โควตาสำหรับการถลุงแร่และการแยกส่วนอยู่ที่ 81,000 ตัน (เพิ่มขึ้น 27.6 เปอร์เซ็นต์จากปีก่อนหน้า) ที่น่าสนใจคือ ระบบนี้ทำให้จีนกลายเป็นผู้นำเข้าแร่หายากอันดับต้น ๆ ของโลกในปี ค.ศ. 2018

ระบบโควตาเป็นการตอบสนองต่อปัญหาอันยาวนานของจีนเกี่ยวกับการขุดแร่หายากที่ผิดกฎหมาย ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา ประเทศได้ดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อทำความสะอาด รวมถึงการปิดเหมืองสินแร่โลหะหายากที่ผิดกฎหมายหรือไม่เป็นไปตามข้อกำหนดด้านสิ่งแวดล้อม และการจำกัดการผลิตและการส่งออกแร่หายาก

รอยเตอร์ระบุว่า จีนเป็นผู้นำโลกในการส่งออกสินแร่โลหะหายาก ส่วนหนึ่งมาจากการกล้าเผชิญความเสี่ยงด้านผลกระทบสิ่งแวดล้อมเนื่องจากมีผลพลอยได้เป็นขยะพิษ และกากแร่ก็ยังปล่อยรังสีที่เป็นอันตราย ซึ่งเป็นปัจจัยที่ ทำให้บางประเทศยุติการขุดสินแร่โลหะหายากของประเทศออกมา โดยปัจจุบัน มีบริษัทของรัฐ 6 รายรับผิดชอบอุตสาหกรรมสินแร่โลหะหายากของจีน ในทางทฤษฎีจึงทำให้จีนสามารถจัดการกับการผลิตได้อย่างแข็งแกร่ง อย่างไรก็ตาม การสกัดแร่หายากอย่างผิดกฎหมายยังคงเป็นเรื่องท้าทาย และรัฐบาลจีนยังคงดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อควบคุมกิจกรรมนี้

2.) สหรัฐอเมริกา กำลังการผลิตจากเหมือง : 38,000 ตัน สหรัฐอเมริกาผลิตแร่หายาก 38,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 28,000 ตันในปี ค.ศ. 2019

แหล่งแร่หายากในสหรัฐอเมริกาในปัจจุบันส่วนใหญ่มาจากเหมือง Mountain Pass ในมลรัฐแคลิฟอร์เนียเท่านั้น ซึ่งกลับไปสู่การผลิตในไตรมาสที่ 1 ของปี ค.ศ. 2018 หลังจากได้รับการดูแลและบำรุงรักษาในไตรมาสที่ 4 ปี ค.ศ. 2015 Molycorp ดำเนินการก่อนที่มันจะล้มละลาย และถูกซื้อโดย Oaktree Capital Management และปัจจุบันกลายเป็น Neo Performance Materials 

สหรัฐอเมริกาเป็นผู้นำเข้าวัสดุโลหะหายากรายใหญ่ โดยมีความต้องการสารประกอบและโลหะมูลค่า 110 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งลดลงจาก 160 ล้านดอลลาร์ในปี ค.ศ. 2019 สหรัฐฯ ได้จำแนกสินแร่หายากให้เป็นแร่ธาตุที่สำคัญ ซึ่งเป็นความแตกต่างที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้อันเนื่องจากปัญหาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน

3.) เมียนมาร์ (พม่า) กำลังการผลิตจากเหมือง : 30,000 ตัน เมียนมาร์ขุดแร่หายากได้ 30,000 ตันในปี 2020 เพิ่มขึ้นจาก 22,000 ตันในปีที่แล้ว 

มีข้อมูลเพียงเล็กน้อยเกี่ยวกับแหล่งแร่โลหะหายาก และโครงการขุดแร่ของประเทศ แต่เมียนมาร์ มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับจีน โดยในปี ค.ศ. 2020 เมียนมาร์ได้จัดหาวัตถุดิบสำหรับโลหะหายากขนาดกลางถึงหนัก 50 เปอร์เซ็นต์ของจีน การทำรัฐประหารโดยกองทัพเมียนมาร์ในปี ค.ศ. 2021 ทำให้เกิดความกังวลว่าการนำเข้าแร่หายากเหล่านั้นอาจถูกตัดออก แต่ ณ ต้นเดือนมีนาคม ค.ศ. 2021 ยังไม่มีปรากฏการหยุดชะงักทางการค้าของสินแร่หายากในเมียนมาร์แต่อย่างใด

4.) ออสเตรเลีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 17,000 ตัน การผลิตแร่หายากในออสเตรเลียเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตาม ในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตลดลงเหลือ 17,000 MT จาก 20,000 MT ในปี ค.ศ. 2019

ออสเตรเลียเป็นประเทศที่มีแหล่งแร่หายากที่ใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 6 ของโลก และพร้อมที่จะเพิ่มผลผลิต Lynas ซึ่งมีฐานอยู่ในออสเตรเลีย (ASX:LYC,OTC Pink:LYSCF) ดำเนินการเหมือง Mount Weld และโรงงานผลิตความเข้มข้นในประเทศ และเพิ่งประกาศแผนการที่จะเพิ่มการผลิตผลิตภัณฑ์นีโอไดเมียม-แพรซีโอไดเมียมเป็น 10,500 ตันต่อปีภายในปี ค.ศ. 2025

Northern Minerals (ASX:NTU) เปิดเหมืองแร่โลหะหายากหนักแห่งแรกของออสเตรเลียในปี ค.ศ. 2018 ผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ เทอร์เบียมและดิสโพรเซียม ซึ่งใช้ในเทคโนโลยีเช่น แม่เหล็กถาวร

5.) มาดากัสการ์ กำลังการผลิตจากเหมือง : 8,000 ตัน มาดากัสการ์บันทึกการสกัดแร่หายาก 8,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นสองเท่าของปีก่อน มีโครงการโลหะหายากแทนทาลัสซึ่งมีออกไซด์ของโลหะหายาก 562,000 ตัน

6.) อินเดีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 3,000 ตัน ในฤดูใบไม้ร่วงปี ค.ศ. 2014 Indian Rare Earths และ Toyota Tsusho Exploration ได้ทำข้อตกลงเกี่ยวกับการสำรวจและผลิตแร่หายากผ่านการขุดในทะเลลึก

แม้จะมีข้อตกลงนี้ แต่อุตสาหกรรมการผลิตแร่หายากของอินเดียยังต่ำกว่าศักยภาพมาก ประเทศถือครองแร่ทรายชายหาดเกือบร้อยละ 35 ของโลก ซึ่งเป็นแหล่งแร่หายากที่สำคัญ แต่การผลิตในปี ค.ศ. 2020 ในอินเดียมีเพียง 3,000 ตัน เพิ่มขึ้นเพียง 100 ตันจากปี ค.ศ. 2019

7.) รัสเซีย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,700 ตัน รัสเซียผลิตแร่หายาก 2,700 ตันในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งเป็นระดับเดียวกับเมื่อสองปีก่อน รัฐบาลของประเทศถูกกล่าวหาว่า "ไม่พอใจ" กับการจัดหาแร่หายาก มีรายงานว่ารัสเซียกำลังลดภาษีการขุดและเสนอสินเชื่อลดราคาให้กับนักลงทุนในโครงการ 11 โครงการที่มีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มส่วนแบ่งการผลิตแร่หายากทั่วโลกของประเทศจากปัจจุบัน 1.3% เป็น 10 เปอร์เซ็นต์ภายในปี ค.ศ. 2030

8.) ประเทศไทย กำลังการผลิตจากเหมือง : 2,000 ตัน การผลิตแร่หายากของประเทศไทยเพิ่มขึ้นเป็น 2,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 เพิ่มขึ้นจาก 1,900 ตันในปี ค.ศ. 2019 และ 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2018 ปัจจุบันยังไม่ทราบปริมาณสำรองแร่หายากของประเทศ แต่ประเทศนี้ยังคงเป็นผู้ผลิตสินแร่โลหะหายาก 10 อันดับแรกนอกประเทศจีน

9.) เวียดนาม กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน การผลิตแร่หายากของเวียดนามลดลงจาก 1,300 ตันในปี ค.ศ.2019 เป็น 1,000 ตันในปี ค.ศ. 2020 ผลผลิตสำหรับปีนั้นเทียบเท่ากับการผลิตแร่หายากในบราซิล ซึ่งหมายความว่าทั้งสองจริง ๆ แล้วทั้งสองอยู่ในอันดับที่เก้า

มีรายงานว่าประเทศดังกล่าว เป็นแหล่งสะสมแร่หายากหลายแห่งที่มีปริมาณมากแถบบริเวณชายแดนทางตะวันตกเฉียงเหนือกับจีน และตามแนวชายฝั่งตะวันออก เวียดนามสนใจที่จะเสริมสร้างกำลังการผลิตในพลังงานสะอาด ซึ่งรวมถึงแผงโซลาร์เซลล์ และได้รับการกล่าวขานว่ากำลังมองหาการผลิตแร่หายากมากขึ้นสำหรับห่วงโซ่อุปาทานของตนด้วยเหตุผลดังกล่าว

10.) บราซิล กำลังการผลิตจากเหมือง : 1,000 ตัน ย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 2012 มีการค้นพบแหล่งแร่หายากมูลค่า 8.4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐในบราซิล จนถึงตอนนี้ ดูเหมือนว่า ยังไม่มีการทำเหมืองดังกล่าว แม้ว่าในปี ค.ศ. 2020 ปริมาณแร่หายากที่ขุดได้ในประเทศเพิ่มขึ้นเล็กน้อย โดยเพิ่มขึ้นจาก 710 MT ในปี ค.ศ. 2019 เป็น 1,000 MT ในปี ค.ศ. 2020 ซึ่งมีปริมาณการผลิตเท่ากับเวียดนาม

สำหรับประเทศไทยของเรานั้นในอดีต “แร่ดีบุก” เป็นทรัพยากรสำคัญที่สร้างรายได้หลักให้กับภูเก็ตมาตลอด แต่ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2524 ราคาดีบุกในตลาดโลกเริ่มต่ำลง การค้าดีบุกจึงซบเซา พร้อม ๆ กับปริมาณ “ดีบุก” ที่มีการขุดพบมีปริมาณลดลง ระหว่างที่อุตสาหกรรมการผลิตและการค้าดีบุกชะลอตัว ก่อนหน้านั้นชาวภูเก็ต ได้รับรู้และพบว่า 'ขี้ตะกรันดีบุก' หรือ 'สะแหลกดีบุก' เป็นแร่ที่สามารถขายได้ในราคาดี เพราะมีแร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ ซึ่งเป็นแร่ยุทธปัจจัยใช้สำหรับทำยานอวกาศ หรือหัวจรวดนำวิถี ตลอดจนขีปนาวุธต่าง ๆ ทั้งนี้เพราะมีคุณสมบัติพิเศษที่ทนต่อความร้อนที่เกิดจากการเผาไหม้เสียดสีของอากาศได้สูงมาก แร่โคลัมไบต์-แทนทาไลต์ มีราคากิโลกรัมละ 60-70 บาท และเมื่อนำมาผ่านกระบวนการสกัดต่อจนได้ “แร่แทนทาลัม” จะมีราคาสูงกว่าแร่แทนทาไลต์หรือขี้ตะกรันดีบุกประมาณ 40-50 เท่า 

เมื่อชาวบ้านทราบว่า “ขี้ตะกรัน” เป็นของมีราคาจึงแตกตื่น ส่งผลให้บรรดานายทุนต่าง ๆ ยื่นประมูลต่อทางการ โดยขอขุดถนนเก่า ๆ ทุกสายในตัวเมืองภูเก็ต โดยมีข้อตกลงว่า เมื่อขุดเสร็จแล้วจะสร้างถนนใหม่ทดแทน ส่วนบ้านที่ปลูกสร้างอยู่บนเตาถลุงที่มีขี้ตะกรันฝังอยู่มาก ๆ ก็จะถูกรื้อหรือทุบพื้นทิ้งเพื่อขุดเอาขี้ตะกรันดังกล่าวขึ้นมา ในขณะนั้นคนภูเก็ตสามารถทำรายได้จากการขุดขาย “ขี้ตะกรันดีบุก” หรือรับจ้างขุด สูงถึงวันละ 180 บาท (ขณะที่ค่าแรงขั้นต่ำในขณะนั้นอยู่ที่วันละห้าสิบกว่าบาท)

ผลจากการตื่นตัวใน “แร่แทนทาลัม” ส่งผลให้เกิดแนวคิดที่จะสร้าง “โรงงานถลุงแทนทาลัม” ขึ้น โดยในวันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2522 บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด ได้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นบริษัทฯ โดยมีโครงการก่อสร้างโรงงานที่อำเภอเมือง จังหวัดภูเก็ต ต่อมาได้รับใบอนุญาตให้สร้างโรงงานในปี พ.ศ. 2526 จนก่อสร้างแล้วเสร็จ และคาดว่าจะเปิดดำเนินการตั้งแต่ต้นปี พ.ศ. 2529 แต่โรงงานไม่สามารถเปิดดำเนินการได้ เพราะประสบปัญหาการคัดค้านจากหลายภาคส่วนทั้งในระดับจังหวัดและประเทศอย่างรุนแรง เนื่องจากชาวภูเก็ตได้รับข้อมูลจากฝ่ายคัดค้านการเปิดโรงงานว่า โรงงานแทนทาลัมจะก่อให้เกิดมลพิษต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อมของภูเก็ต จนนำมาสู่ความขัดแย้งแผ่ขยายตัว 

วันที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2529 นายจิรายุ อิศรางกูร ณ อยุธยา รมว.อุตสาหกรรมในขณะนั้น ได้เดินทางไปยังจังหวัดภูเก็ตเพื่อรับฟังความคิดเห็นตามความต้องการของตัวแทนกลุ่มคัดค้าน โดยนัดหมายที่ศาลาประชาคม แต่เมื่อไปถึงผู้ชุมนุมกลับแสดงทีท่าต่อต้านรัฐมนตรีอุตสาหกรรมและคณะด้วยความรุนแรง โดยผู้ชุมนุมจำนวนหลายพันคนพยายามเข้าประชิดและขว้างปาและทุบรถ แม้ว่านายจิรายุ ได้ชี้แจงให้ผู้ชุมนุมทราบว่า รัฐบาลฯ กำลังดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา และจะให้คำตอบแก่ชาวภูเก็ตในวันที่ 2 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 ตามที่ผู้ชุมนุมกำหนด และระหว่างนี้ได้ให้โรงงานยุติการดำเนินการชั่วคราว แต่ก็ไม่ได้ผล

การประท้วงได้รุนแรงขึ้น และมีการเผาโรงงานแทนทาลัมและโรงแรมภูเก็ตเมอร์ลินซึ่งเป็นที่พักของนายจิรายุและคณะ จนรัฐบาลต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินในเขตท้องที่จังหวัดภูเก็ต และมีการประกาศแต่งตั้งพนักงานเจ้าหน้าที่ทหารและตำรวจเข้าควบคุมสถานการณ์ กว่าสถานการณ์จะเข้าสู่ปกติต้องใช้เวลานานกว่า 1 สัปดาห์ และประกาศยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินในวันที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2529 การจลาจลครั้งนั้น ได้สร้างความเสียหายกว่า 2 พันล้านบาท และสุดท้าย บริษัท ไทยแลนด์ แทนทาลัม อินดัสตรี จำกัด มีมติให้ย้ายโรงงานแทนทาลัมจากภูเก็ตไปตั้งที่อื่น เหตุการณ์จลาจลกรณี “แร่แทนทาลัม” สินแร่โลหะหายาก เมื่อ 35 ปีก่อน จึงเป็นหนึ่งในประวัติศาสตร์ที่เกี่ยวกับสินแร่โลหะหายากที่เคยเกิดขึ้นในบ้านเรา 


เขียนโดย: ดร.โญธิน มานะบุญ นักวิชาการอิสระ