Saturday, 9 November 2024
EducationNewsAgencyforAll

โอกาสสำหรับคนอยากเรียนต่อจีน!! ขอเชิญร่วมงาน OPEN DAY Online แนะนำทุนการศึกษาจีนและยื่นขอทุนผ่านชมรมศิษย์เก่าโรงเรียนจี๋เหม่ยแห่งประเทศไทย

งาน OPEN DAY วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2021

????รอบเช้า 08.30 - 11.00 น.

????รอบบ่าย 13.00 - 15.30 น.

(2 รอบ เหมือนกัน เลือกเข้าเวลาใดเวลาหนึ่งได้)

????ช่องทาง ออนไลน์ ผ่านแอพ VooV Meeting 藤讯会议 https://bit.ly/3hDxH6w ????

ลงทะเบียนร่วมกิจกรรม OPEN DAY ฟรี

https://forms.gle/wMYPwa7Nu8zgwTPo9

ลงทะเบียนได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง **19 กุมภาพันธ์ 2021**

แนะนำทุนการศึกษาจีน ตั้งแต่ ระดับ ม.ปลาย/ปวช./ปวส./ป.ตรี/ป.โท/ป.เอก จากหลากหลายสถานศึกษา โดยมีทุนการศึกษาเฉินเจียเกิง เป็นทุนหลัก ตามด้วย ทุนมณฑล / ทุนมหาวิทยาลัย /ทุนรัฐบาลจีน / ทุนสถาบันขงจี๊อ / ฯลฯ

มีทุนให้สำหรับทั้ง ผู้ที่มีผลสอบ HSK และ ผู้ไม่มีพื้นฐานภาษาจีน (ไม่มีผลสอบ HSK)

ติดตามข่าวสารและสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โอเพนแชท "ศูนย์แนะแนวทุนจีน ชมรมศิษย์เก่าฯจี๋เหม่ย 教育辅导中心" โปรดแตะลิงก์ด้านล่างเพื่อเข้าร่วมโอเพนแชทนี้

https://line.me/ti/g2/rPxjj9Q2hZwO5Gh-cyO3cA?utm_source=invitation&utm_medium=link_copy&utm_campaign=default


ขอขอบคุณทุกท่านที่ให้ความสนใจในโครงการต่างๆ ที่จัดโดยชมรมศิษย์เก่าโรงเรียนจี๋เหม่ยแห่งประเทศไทย

Before Valentine’s Day รักตัวเองก่อน แล้วความรักจะจัดสรรเอง

“Love yourself first and everything else falls into line. You really have to love yourself to get anything done in this world.” - Lucille Ball

“รักตัวเองก่อน และทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางเอง คุณจำเป็นต้องรักตัวเองให้ได้จริง ๆ แล้วคุณทำสิ่งใดก็จะสำเร็จ” ประโยคกล่าวถึงความรักอันเลื่องลือของ ลูซิลล์ บอล นักแสดงตลกผู้เป็นไอคอนคนดังผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งของวงการ Hollywood เคยกล่าวไว้ ซึ่งผู้เขียนพยายามค้นหาว่าเธอพูดที่ไหน ในงานอะไร หรือในภาพยนตร์ ละครเรื่องใดก็หารู้ไม่ แต่หากค้นหาประโยคและชื่อของเธอ ก็จะเห็นภาพตัดต่อคำกล่าวนี้และภาพนิ่งของเธออยู่นับร้อยภาพเลยทีเดียว

ประโยคนี้อาจไม่ได้กล่าวถึงความรักในแง่มุมของความสัมพันธ์ แต่ครอบคลุมและลึกซึ้งกว่านั้นมากทีเดียว ผู้เขียนได้อ่านแล้วจึงไม่แปลกใจว่าเหตุใดเธอจึงเป็นไอคอนและคำพูดของเธอถึงทรงอิทธิพล เพราะทุกคำนั้นช่างประทับจิตโดนใจ ไม่ล้าสมัย และนำไปใช้ได้ตลอดกาล

สำหรับคนที่ผ่านชีวิตมาในระดับหนึ่งอย่างผู้เขียน แม้จะไม่ได้มากนักแต่ก็ผ่านเรื่องราวของความรักมาหลากหลายรูปแบบพอสมควร สมหวังบ้าง ผิดหวังบ้าง แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็คือประสบการณ์ชีวิตให้เราได้เรียนรู้ทั้งสิ้น และสิ่งที่ผู้เขียนได้เรียนรู้นั้นก็ต้องกล่าวว่า ไม่ต่างจากประโยคอันเลื่องลือประโยคนี้เลย ผู้เขียนจะของแยกประโยคออกเป็น 2 ท่อน ดังนี้

Love yourself first and everything else falls into line. รักตัวเองก่อนและทุกอย่างจะเข้าที่เข้าทางเอง

ประโยคที่ฟังดูง่าย เพราะเวลาอกหัก หรือผิดหวังกับเรื่องอะไรแล้วรู้สึกเศร้าง คิดลบ มองโลกในแง่ร้าย หรือมีเรื่องราวรุมเร้า คนที่หวังดีก็จะปลอบโยนกันว่า “รักตัวเองก่อน” แต่ก็ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะอารมณ์และความคิด ณ ตอนนี้มันก็มักจะดำดิ่ง จนไม่รู้ว่าจะรักตัวเองไหวยังไง ผู้เขียนเองก็เคยมีห้วงเวลาแบบนั้น แบ่งปันแบบนี้ว่า ในห้วงเวลาอารมณ์ดำดิ่ง บางทีก็ปล่อยให้ดิ่งลงไปสักพัก แล้วคอยเฝ้าดูอย่างใช้เหตุผลว่า อารมณ์เศร้าเคล้าน้ำตานั้น ทำให้ชีวิตและจิตใจของเรานั้นดีขึ้นหรือไม่

ชีวิตและจิตใจดีนั้นสังเกตไม่ยาก จิตดี ๆ ที่สบาย ๆ ชีวิตสดใสร่าเริง นอนหลับสนิท ก็บ่งบอกชัดว่าดีแน่นอน เพราะฉะนั้นลองเฝ้าดูจิตใจอย่างมีเหตุผล ตั้งเวลาให้ตัวเอง แล้วกล้าตัดสินใจ ออกไปมีความสุขกับชีวิตดีกว่า แล้วเชื่อเถอะว่า เมื่อสภาพจิตใจและทำเรื่องดี ๆ ให้กับชีวิต ความรักดี ๆ คนที่ใช่ หรือสิ่งดี ๆ จะเกิดขึ้นรอบตัวเรา เพราะตัวเราเรียนรู้ที่จะรักตัวเองแล้ว ความรักแผ่ซ่านรอบตัวเรา แล้วเราจะไม่ดึงดูดความรักดี ๆ เข้ามาหาเราได้อย่างไร

You really have to love yourself to get anything done in this world. คุณจำเป็นต้องรักตัวเองให้ได้จริงๆ แล้วคุณทำสิ่งใดก็จะสำเร็จ

ประโยคนี้อ่านแล้วแรก ๆ แล้วก็ดูทะนงตัว หรือหากตีความผิดไปก็อาจจะเหมือนกับเห็นแก่ตัว แต่ผู้เขียนคิดว่านัยยะไม่ได้เป็นเช่นนั้น แต่หมายถึงการที่เรารักตัวเอง ในแบบเข้าใจข้อดี ข้อเสีย รู้จักตัวเองต่างหาก หากเราเข้าอกเข้าใจตัวเองแล้ว เราก็จะรู้ว่าจะรักตัวเองอย่างไร จุดไหนที่ยังบกพร่องที่ต้องได้รับการพัฒนา เราทำผิดอะไรไปบ้าง และเราทำอะไรได้ดี หากตัวเราสามารถรู้จักตัวเองได้ขนาดนี้ เราก็จะรู้ว่าเราจะรักตัวเองให้ดีที่สุดในแบบไหน และสามารถต่อยอดไปได้ว่า เราทำงานอะไรที่มีความสุขและประสบความสำเร็จ

บทความนี้ผู้เขียนตั้งใจจะมอบให้กับผู้อ่านทุกท่านในห้วงเวลาวันแห่งความรัก กับมุมมองในการรักตัวเอง ที่ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะหลายครั้งเรามักจะรักใครต่อใครมากมาย แต่สุดท้ายลืมรักตัวเอง จนกลายเป็นคนดีที่มีแต่ความทุกข์

ขอให้ผู้อ่านทุกท่านมีความสุขในวันแห่งความรักและรักตัวเองอย่างที่ควรจะเป็นนะคะ


โดย กุญชนิตา กุญชร ณ อยุธยา Head of content editor THE STUDY TIMES

มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2021 จัดอันดับโดย QS World University Rankings

การจัดอันดับ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก โดย QS หรือ Quacquarelli Symonds ซึ่งเป็นผู้ให้บริการการวิเคราะห์และข้อมูลเชิงลึกชั้นนำของโลกสำหรับภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วโลก ซึ่งครั้งนี้เป็นการรวบรวมรายชื่อมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเอเชีย ประจำปี 2021 มีมหาวิทยาลัยไหนบ้าง ไปดูกัน!

1.) อันดับ 11 ของทั้งโลก National University of Singapore (NUS

2.) อันดับ 13 ของทั้งโลก Nanyang Technological University, Singapore (NTU)

3.) อันดับ 15 ของทั้งโลก Tsinghua University

4.) อันดับ 22 ของทั้งโลก The University of Hong Kong

5.) อันดับ 23 ของทั้งโลก Peking University

6.) อันดับ 24 ของทั้งโลก The University of Tokyo

7.) อันดับ 27 ของทั้งโลก The Hong Kong University of Science and Technology

8.) อันดับ 34 ของทั้งโลก Fudan University

9.) อันดับ 37 ของทั้งโลก Seoul National University

10.) อันดับ 38 ของทั้งโลก Kyoto University


ขอบคุณที่มา : 

https://www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2021

https://www.sanook.com/campus/1402911/

รักภาษาอะไร?! บอกรักยังไงให้แฟนงง 7 ภาษาบอกรักจากทั่วโลก

วาเลนไทน์ทั้งที ก็ต้องมีโมเมนต์หวานเอาใจคนมีความรักกันสักหน่อย แต่จะให้บอก ‘ฉันรักคุณ’ แบบธรรมดาก็อาจจะเชยไป วันนี้เรามีภาษาบอกรักแบบอินเตอร์ส่งตรงจากประเทศต่าง ๆ มาฝาก บอกเลยว่าคัดมาแต่ภาษาแปลก ๆ รีบไปฝึกออกเสียงให้ดี แล้วพุ่งไปบอกคนที่คุณรักในวันวาเลนไทน์นี้ได้เลยยยย

มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในไทย ประจำปี 2021 จัดอันดับโดย QS World University Rankings

การจัดอันดับ มหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในโลก โดย QS หรือ Quacquarelli Symonds ซึ่งเป็นผู้ให้บริการการวิเคราะห์และข้อมูลเชิงลึกชั้นนำของโลกสำหรับภาคการศึกษาระดับอุดมศึกษาทั่วโลก ซึ่งครั้งนี้เป็นการรวบรวมรายชื่อมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในไทย ประจำปี 2021 มีมหาวิทยาลัยไหนบ้าง ไปดูกัน!

1.) อันดับ 208 ของทั้งโลก จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

2.) อันดับ 252 ของทั้งโลก มหาวิทยาลัยมหิดล

3.) อันดับ 561-570 ของทั้งโลก มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์

4.) อันดับ 601-650 ของทั้งโลก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

5.) อันดับ 801-1000 ของทั้งโลก มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์

6.) อันดับ 801-1000 ของทั้งโลก มหาวิทยาลัยขอนแก่น

7.) อันดับ 801-1000 ของทั้งโลก มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรี

8.) อันดับ 801-1000 ของทั้งโลก มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์


ขอบคุณที่มา :

https://www.topuniversities.com/university-rankings/world-university-rankings/2021

https://www.sanook.com/campus/1402911/

ทำความรู้จักกับ ‘Music Medication’ เพราะเรียนดนตรีไม่ใช่แค่เรื่องของเด็ก บทสัมภาษณ์จากประสบการณ์ตรงของครูสอนเปียโนและนักอรรถบำบัด ที่สอนได้ตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กพิเศษ วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ไม่เว้นแม้วัยสูงอายุ (ตอนที่ 1)

ณ สตูดิโอเปียโนแห่งหนึ่ง ย่าน ม.เกษตร บางเขน ที่ที่ครูส้ม ครูสอนเปียโนและนักอรรถบำบัดหรือนักแก้ไขการพูดใช้เป็นสถานที่สอนดนตรีและสอนอรรถบำบัด สตูดิโอนี้ดูเหมือนกับห้องนั่งเล่นของเพื่อนมากกว่าห้องเรียนดนตรี ครูส้มนั้นเป็นครูที่มีเทคนิคสอนดนตรีที่เป็นเอกลักษณ์ เนื่องจากครูเรียนจบด้านความผิดปกติของการสื่อความหมายจากคณะแพทยศาสตร์ รามาธิบดี พร้อมประสบการณ์นักอรรถบำบัดมาหลายปี และผันตัวเองมาเป็นนักดนตรีเพราะใจรักอย่างเต็มตัว 

ทักษะ ประสบการณ์ และความรู้เฉพาะทางของครูส้มบูรณาการกัน ออกมาเป็นสูตรการสอนที่มีความเฉพาะ ไม่ยึดติดกับรูปแบบเดิม เน้นผลลัพธ์และสามารถปรับใช้กับทุกเพศทุกวัยได้อย่างหาตัวจับยากในเมืองไทยเลยก็ว่าได้ และคงจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็น้อย หากได้พูดคุยกับครู

ตอนนี้ครูส้มทำอะไรบ้างคะ?

ตอนนี้ส้มเป็นครูสอนเปียโน สอนดนตรีเด็กเล็ก สอนอรรถบำบัด แล้วก็สะสมเครื่องเล่นดนตรีสไตล์วินเทจจนตอนนี้กลายเป็นอีกงานนึงไปด้วย

เครื่องเล่นดนตรีสไตล์วินเทจหรอคะ? 

ใช่ค่ะ เครื่องดนตรีวินเทจ มันมีเสน่ห์ ทั้งเสียงและดีไซน์ไม่เหมือนใคร เล่นง่าย เล่นสนุก ทำให้นึกถึงความทรงจำตอนเด็ก ๆ แล้วก็หาซื้อไม่ได้แล้ว

ครูสอนเปียโนระดับไหน สอนวัยอะไรบ้าง?

ส้มสอนได้ทุกระดับทุกวัย ตั้งแต่เด็กเล็ก วัยผู้ใหญ่ไปจนอายุ 80 ปีก็มี

ทำไมตอนนั้นถึงเลือกเรียนเกี่ยวกับความผิดปกติทางการสื่อสาร?

เอาจริง ๆ คือตอนนั้นอยากเรียนภาษามือ แล้วก็คิดเอาเองว่าเรียนคณะนี้แล้วจะได้เรียนภาษามือ พอได้เข้ามาเรียนแล้ว เราก็แบบ อ้าว ภาษามือมันต้องไปเรียนอีกคณะนึงนี่หน่า (ครูหัวเราะ) แต่เราก็ยังเลือกที่จะเรียน และได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ มากมาย

พอได้หลงเข้าไปเรียนแล้วเป็นไงบ้าง?

สนุกดี จบมาก็ได้ทำงานตรงสาย เป็นนักอรรถบำบัดมากว่า 10 ปีแล้ว แล้วส้มได้เรียนเกี่ยวกับจิตวิทยาด้วย ซึ่งส้มเอาหลักจิตวิทยามาใช้ในการสอนดนตรี เวลาเจอเด็กพิเศษ เราก็สามารถช่วยเค้าได้มากกว่าครูสอนดนตรีทั่วไป จริง ๆ จิตวิทยาไม่ใช่วิชาหลักของคณะที่เรียนแต่มันเป็นส่วนสำคัญในการบำบัดที่ส้มนำมาปรับใช้ได้ดีจนถึงทุกวันนี้ 



ครูส้มคิดว่าการให้ลูกเรียนดนตรีมันดียังไง?

การเรียนดนตรีเป็นผลดีทั้งนั้น ทั้งนี้ ส้มอยากให้กลับไปดูที่วัตถุประสงค์ก่อน ว่ามาเรียนเพราะอะไร อย่างที่มาเรียนกันบางคนมาเรียนตามเทรนด์ บางคนอยากให้ลูกมีโปรไฟล์ความสามารถพิเศษ หรือพ่อแม่ที่ไม่มีโอกาสได้เรียน ก็อยากให้ลูกไปเรียน เหตุผลสุดท้ายคือ เด็กอยากมาเรียนเอง ซึ่งเคสนี้เจอน้อยสุด สามเคสแรกจะเจอบ่อย แต่เหตุผลสามอันแรกที่ไม่ได้เกิดจากตัวเด็กเองส้มว่าไม่จำเป็น 

เพราะประโยชน์จากดนตรีมันไม่ใช่ว่าจะหาจากที่อื่นไม่ได้ สามารถหาจากกิจกรรมอื่นก็ได้ อย่างเช่น ปั้นดินก็ได้ เรียนศิลปะก็ได้ กวนทรายก็ได้ หรืออย่างของส้มเป็นเปียโน หลาย ๆ ครั้ง ส้มก็จะใช้กิจกรรมที่ไม่เกี่ยวกับเปียโนมาเสริม ในฐานะครู ส้มรู้ว่าได้ประโยชน์เหมือนกัน ส่วนตัวส้มว่าอิงจากความชอบดีกว่า ถ้าเค้าชอบเค้าจะทำได้ดี และเค้าจะได้ประโยชน์ในเรื่องพัฒนาสมองได้เต็มที่กว่าด้วย

แปลว่าถ้าเค้าชอบและอยากมาเรียนเอง เค้าก็จะเรียนได้ดีด้วยมั้ย?

ใช่ อันนี้ตอบได้เต็มปาก ตัวชี้วัดที่ส้มให้ว่าใครจะเรียนได้ดีหรือไม่ดีมีสองตัวชี้วัด คือ ความชอบกับวินัย ส้มให้ความชอบกับวินัยอย่างละครึ่ง ๆ เลย ถึงจะชอบแต่ไม่มีวินัยเรียนให้ตายก็เล่นไม่ได้ ได้เล่นเพื่อผ่อนคลายเฉย ๆ หรือถ้าเด็กถูกฝึกให้มีวินัยแต่ไม่ชอบ ส่วนใหญ่จะเล่นได้แต่ไม่มีความสุข พอถึงจุดหนึ่งเมื่อเค้าเจอสิ่งที่เค้าชอบเค้าจะหยุด เค้าจะไปเอาดีอย่างอื่น ไม่เอาอันนี้ ที่ฝึกมาก็สูญเปล่า สูญเสียเวลาที่จะไปใช้ฝึกฝนกับสิ่งที่ตัวเองสนใจจริง ๆ ด้วย

อย่างเด็กที่ส้มสอน เด็กบางคนมาเพราะความชอบเลย เค้าก็ทำได้ดีไปเลย หรือกับบางคนเค้าดูเหมือนชอบตอนแรก เพราะเราจะสร้าง trust กับเค้าก่อน แต่พอถึงตอนที่ต้องใช้ความพยายามเด็กก็ไม่อยากทำ 

เด็กไปบอกพ่อแม่ว่า ไม่ทำแล้วมันยาก ซึ่งถ้าถึงตรงนี้พ่อแม่ให้กำลังใจเพื่อให้เค้าไปต่อจนเค้าผ่านคอขวดตรงนี้ได้ เค้าจะรู้สึกภาคภูมิใจในตัวเอง รู้สึกได้ทำสิ่งที่ยากสำหรับเค้าได้ด้วยตัวเอง แล้วเค้าจะเริ่มสร้าง self-confidence หรือความเชื่อมั่นในตนเอง หลังจากนั้นจะสบายละ เค้าจะไปต่อได้ของเค้าเอง แต่ถ้าพ่อแม่คิดว่าลูกไม่ชอบ คิดว่าดนตรีคงไม่ใช่ทางของเค้าและหยุดก่อนที่จะหลุดคอขวดนี้ไปได้ พอเค้าไปเรียนวิชาอื่นหรือเรียนสิ่งอื่น เค้าก็จะไม่หลุดคอขวดของความยากไปได้เหมือนกัน เค้าจะหยุดแค่นั้น

สุดท้ายไม่ก่อเกิดการสร้าง self-confidence แล้วทีนี้เราต้องมาใช้ reinforcement หรือแรงผลักจากภายนอก เช่น การให้รางวัล หนูทำอันนี้สิจะได้รางวัล ส่วนตัวส้มมองว่ามันเป็นผลลัพธ์ที่ไม่มีประสิทธิภาพ เปรียบเทียบเหมือนกับสินค้าจีนแดงกับสินค้าญี่ปุ่น สินค้าที่พอใช้ได้แต่คุณภาพอาจไม่ดี การเล่นดนตรีหรือกิจกรรมอื่น ๆ ก็เช่นกัน ถ้าใช้แรงภายนอกมากระตุ้น ก็พอให้ทำได้แต่คุณภาพอาจจะไม่ดี

(การสร้าง trust หรือสร้างความไว้ใจที่ครูส้มกล่าวถึง เป็นเทคนิคทางจิตวิทยาที่ใช้เพื่อทำให้เด็กรู้สึกปลอดภัยและสบายใจที่จะเรียนกับเรา) 

เราจะรู้ได้อย่างไรว่าเด็กเค้าจะชอบหรือไม่ชอบ?

อันนี้ถ้าในเด็กที่ยังเล็กอยู่ ต้องอาศัยความแม่นยำของพ่อแม่ พ่อแม่ต้องมองให้ขาด ถ้าพ่อแม่มองไม่ขาด พ่อแม่จะเห็นเหมือนกับว่าลูกไม่ชอบอะไรเลยซักอย่าง อย่างเช่นเด็กกลุ่มที่ชอบเล่นแบบ Free Play หรือการเล่นแบบอิสระ เค้าจะไม่ชอบทำอะไรซ้ำ ๆ เค้าจะเหมาะกับการเล่น playground ในสนามเด็กเล่นที่ได้สร้างจินตนาการเปิดโลกมากกว่า ซึ่งแบบนี้จะไม่ค่อยได้ทำอะไรซ้ำ ๆ  ส่วนดนตรีเป็นกลุ่มการเรียนที่ต้องการการทำซ้ำ ต้องฝึกฝนถึงจะทำได้ ได้ฝึกความอดทน ถ้าพ่อแม่มองไม่ขาด คิดว่าลูกไม่ชอบ แล้วให้ลูกเรียนเป็นสิบ ๆ อย่าง แต่ผลสัมฤทธิ์ไม่ดีซักอย่างเลย เพราะไม่ได้ทำอย่างใดอย่างหนึ่งอย่างจริงจัง ของพวกนี้มันต้องใช้เวลา

อายุมีผลต่อการเรียนดนตรีมั้ย? 

มีผล เด็กมากยังไม่ได้ฝึกวินัย การเลี้ยงดูก็มีส่วน ถ้าเด็กถูกเลี้ยงโดยพี่เลี้ยงเด็ก เค้าถูกตามใจบ่อยและอาจจะไม่มีวินัยได้ ฉะนั้น ส้มจะถามพ่อแม่ที่นำลูกมาเรียนก่อนว่าที่บ้านเด็กช่วยทำงานบ้านมั้ย กินข้าวเองมั้ย ใส่เสื้อเองติดกระดุมเองรึเปล่า ดูตามวิวัฒนาการ ประมาณ 4 ขวบ ควรเริ่มมีวินัยละ เล่นของเล่นเสร็จเก็บของเอง ช่วยเก็บจานที่พอถือไหวได้

เห็นมีสอนเด็กพิเศษด้วย เด็กพิเศษกับเด็กธรรมดาแตกต่างกันยังไงคะ?

ความแตกต่างจะสังเกตอย่างง่าย ๆ ได้ตอนเด็กอายุ 4 ขวบขึ้นไป วัย 4 ขวบเค้าจะเริ่มตอบคำถามเชิงเหตุผลได้ ถ้าเด็กตอบไม่ตรงวัย เช่น ถ้าเราถามว่า ทำไมหนูไม่ชอบอันนี้ แล้วเด็กตอบเป็นเหตุเป็นผลไม่ได้ บอกได้แค่ว่าชอบหรือไม่ชอบเท่านั้น ซึ่งวัย 4 ขวบควรจะเริ่มตอบได้แล้ว หรือสังเกตจากกล้ามเนื้อเด็ก ที่ควรพัฒนาตามวัยด้วย ส้มก็จะใช้วิธีสอนที่ต่างกันให้เหมาะสมกับเด็ก

พ่อแม่ที่มีลูกเป็นเด็กพิเศษควรส่งลูกไปเรียนดนตรีมั้ย?

ไม่จำเป็น แต่เรียนก็ดี ขึ้นอยู่ที่ครูด้วยว่าครูผู้สอนเข้าใจการสอนเด็กพิเศษมั้ย ถ้าเป็นครูที่ไม่รู้การสอนเด็กพิเศษเรียนไปก็ไม่ได้อะไรเพราะมันเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับพัฒนาการของเด็กพิเศษ

ถ้าอยากจะแก้ปัญหาจริง ๆ อับดับแรกต้องไปหาหมอก่อนแล้วค่อยไปหานักบำบัด จะเลือกใช้ดนตรีบำบัดก็ต้องเป็นนักดนตรีบำบัดที่มีใบรับรอง ซึ่งหมอก็อาจจะเลือกกิจกรรมอื่นในการบำบัด การเรียนดนตรีเฉย ๆ ไม่ใช่การบำบัด เด็กบางคนอาจไม่ตอบสนองกับดนตรี ดนตรีเป็นเหมือนอาหารเสริม ไม่ใช่อาหารหลัก การเรียนดนตรีเฉย ๆ ยังไม่ใช่ดนตรีบำบัด

ก่อนที่เราจะคุยกับครูส้ม เราได้เข้าไปดูคลิปการสอนในเพจของครูก่อน ในคลาสดนตรีของครูส้มนั้น ครูไม่ได้เพียงสอนเปียโนอย่างเดียว แต่มีกิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการเรียนเปียโนให้เด็กได้เล่นเพื่อเปิดจินตนาการและฝึกกล้ามเนื้อ ที่สำคัญ เด็กสนุกและมีรอยยิ้มตลอดการเรียนในคลาส 

นอกจากเด็ก ๆ แล้ว ยังมีคลาสสำหรับผู้ใหญ่วัยทำงานหรือแม้แต่คุณยาย ซึ่งบรรยากาศการเรียนจะแตกต่างกันไปตามที่ครูส้มจะออกแบบให้เหมาะกับผู้เรียนนั้น ๆ

ส่วนคลาสเรียนดนตรีสำหรับผู้ใหญ่นั้น จะมีวิธีการเรียนอย่างไร และทำไมผู้ใหญ่หรือคุณพ่อคุณแม่ควรมาเรียนเรียนดนตรีสไตล์อรรถบำบัด ติดตามในตอนที่  2 ค่ะ 


เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์

Credit: เพจ The Study Times
 

ทำความรู้จักกับ ‘Music Medication’ เพราะเรียนดนตรีไม่ใช่แค่เรื่องของเด็ก บทสัมภาษณ์จากประสบการณ์ตรงของครูสอนเปียโนและนักอรรถบำบัด ที่สอนได้ตั้งแต่เด็กเล็ก เด็กพิเศษ วัยรุ่น ผู้ใหญ่ ไม่เว้นแม้วัยสูงอายุ (ตอนที่ 2)

จากบทสัมภาษณ์ครูส้ม ตอนที่ 1 เราทิ้งท้ายไว้ว่า การเรียนดนตรีสำหรับผู้ใหญ่ ก็น่าสนใจไม่แพ้กับการเรียนดนตรีของเด็กๆ แต่เหตุผลในการเล่นดนตรี และการเรียนนั้นต่างกันออกไปตามช่วงวัยที่ต่างกัน

สอนดนตรีผู้ใหญ่เป็นยังไงบ้างคะ ทำไมเค้ามาเรียนกัน?

นักเรียนที่เป็นผู้ใหญ่ วัตถุประสงค์หลักของเค้าคือคลายเครียด และโดยพื้นฐานเค้าจะมีความชอบดนตรีอยู่แล้ว มีร้องเพลงบ้าง เรียนเปียโนบ้าง อายุที่มาเรียนก็ประมาณ 30 ปีจนถึง 80 ปี

การเรียนดนตรีของผู้ใหญ่เป็นไงบ้าง แตกต่างจากการเรียนของเด็กมั้ย?

การสอนดนตรีของผู้ใหญ่สำหรับผู้สอนจะท้าทายหน่อย เพราะผู้ใหญ่มีความคาดหวังสูง เค้าได้ยินเพลงมาเยอะ เค้าอยากเล่นเพราะ ๆ ให้ได้เหมือนนักดนตรีที่เค้าชื่นชอบ อย่างโชแปงหรือบีโทเฟน แต่มีข้อจำกัดด้านเวลา ผู้ใหญ่ไม่ค่อยมีเวลาซ้อมเนื่องจากงานหรือภาระต่าง ๆ ผู้ใหญ่จะใจร้อนกว่า คิดเยอะ วิเคราะห์เยอะ แต่เอาจริง ๆ แล้วกล้ามเนื้อยังไม่พร้อม ความคิดกับทักษะที่มียังไม่บาลานซ์กัน

ส่วนเด็กเค้าจะพอใจง่ายเมื่อเค้าเล่นโน้ตได้ไม่กี่ตัว สำหรับเด็กแค่เล่นเพลงหนูมาลีได้ก็ดีใจแล้ว มีความสุขแล้ว แต่ผู้ใหญ่ก็ยังมีข้อดีอีกอย่าง คือผู้ใหญ่จะมีแพชชั่นมากกว่าเด็ก ตั้งใจกว่าพยายามเยอะกว่าไปได้เร็วกว่าถ้าเค้าซ้อม ถ้าขยันเล่นแปบเดียวก็เป็นเพลงแล้ว มีข้อจำกัดนิดหน่อยเรื่องมือสวยซึ่งเกี่ยวกับกล้ามเนื้อ ต้องแยกระหว่างเล่นเป็นกับเล่นเพราะ บอกตามตรงเลยคือผู้ใหญ่เล่นเป็นเร็วแต่จะเล่นเพราะช้ากว่าเด็กหน่อย มันเป็นเรื่องเทคนิค เรื่องกล้ามเนื้อ ส่วนเด็กเล่นเป็นช้าแต่ซ้อมสม่ำเสมอก็จะเล่นได้เพราะเอง

 

สิ่งหนึ่งที่ส้มเห็นเลย คือผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเรียนดนตรีมาก่อน เค้าจะได้เจอกับมิติที่ไม่ใช่การทำงาน เป็นมิติของความผ่อนคลาย เหมือนเป็นอีกโลกหนึ่งที่ไม่ต้องคิดเรื่องงาน ปล่อยให้อารมณ์พาไปสู่ความรู้สึกสงบ ต่อให้ยังเล่นไม่เป็นเพลงก็เข้าถึงความสงบได้

แบบนี้เรียกว่า music medication คือดนตรีเพื่อลดหรือบรรเทาอาการเครียด ช่วยให้จิตใจได้ผ่อนคลาย คนละอันกับ music therapy คนไทยอาจเข้าใจสับสนได้ ในภาษาไทยเราชอบใช้คำว่าบำบัด แต่ในภาษาอังกฤษ บำบัด คือคำว่า therapy ซึ่งต้องเป็น therapist หรือนักบำบัดเท่านั้น ส้มจะเลี่ยงใช้คำว่าบำบัด จะไม่เคลมว่าเป็นนักดนตรีบำบัด บ้านเราจะใช้คำว่าบำบัดทั้งในทางการแพทย์และในทางเพื่อผ่อนคลาย อย่างไรก็แล้วแต่ ประโยชน์ที่ทุกคนจะได้แน่ ๆจากดนตรีก็คือช่วยผ่อนคลายช่วยบรรเทาความเครียด

แปลว่าที่ผู้ใหญ่มาเรียนดนตรีเค้ามาเพื่อความผ่อนคลาย?

ใช่ค่ะ ผู้ใหญ่ชัดเจนมาก มาเพื่อผ่อนคลาย มาเรียนร้องเพลงบ้าง เรียนเปียโนบ้าง หรือบางคนเรียนเพื่อป้องกันไม่ให้สมองเสื่อม ส่วนเด็กมาเพื่อเสริมสร้างพัฒนาการ นอกจากนั้นสิ่งที่พ่อแม่ส่วนใหญ่ไม่รู้แต่ได้กลับไปหลังจากมาเรียนดนตรี คือพ่อแม่ที่เล่นดนตรีจะช่วยให้สามารถสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกได้ ต่างจากพ่อแม่ที่อยากเรียนแต่กลับส่งลูกไปเรียนแทน ซึ่งถ้าลูกเค้าไม่ได้อยากเรียนเหมือนเรา ลูกจะรู้สึกถูกบังคับถูกกดดัน เกิดความสัมพันธ์ที่ไม่ดี เป็น negative feeling

แต่ถ้าพ่อแม่มาเรียนดนตรีด้วยตัวเองจะช่วยให้พ่อแม่ได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูก คุยเรื่องดนตรีด้วยกันกับลูก พอลูกเห็นเราเล่นดนตรีแล้วรู้สึกสนใจ ลูกก็อยากเรียนกับเราอยากเล่นกับเราไปด้วย เกิด positive feeling เสริมสร้างภูมิคุ้มกันในครอบครัว

ฉะนั้น พ่อแม่ที่สนใจอยากเรียนดนตรีอยู่แล้วควรมาเรียนด้วยตัวเองจะดีกว่า ได้ทั้งผ่อนคลาย ได้เรียนอะไรใหม่ ๆ และได้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีในครอบครัวไปด้วย

หากใครกำลังคิดจะเริ่มเรียนดนตรี ครูส้มมีวิธีในการเลือกเครื่องดนตรีให้เหมาะกับเรามั้ย?

เลือกจากเสียงเครื่องดนตรีที่เราชอบฟัง เสียงเพลงที่เราชอบฟัง ลองสังเกตว่าเพลงนี้ใช้เครื่องดนตรีอะไรเล่นนะ

 

อยากให้ครูชักชวนคนที่กำลังตัดสินใจมาเรียนดนตรีหน่อย?

ถ้าชอบ มีตังค์ มีเวลา ทำเลย ไม่ต้องกลัว  อะไรที่ทำแล้วมีความสุขทำเลย ส้มมองว่าการคิดว่าอายุเยอะแล้ว แก่แล้วทำไม่ได้หรอกมันเป็นเรื่องทัศนคติ แค่ได้เริ่มเราจะรู้ว่าเราทำได้ ส้มไม่ขายฝันนะ ไม่ง่ายนะ ลองทำสิ่งที่ท้าทายตัวเอง การเล่นดนตรีทำให้เราหลั่งสารอะดรีนาลีนในตอนที่เรากำลังเล่นท่อนนั้นท่อนนี้ อารมณ์เหมือนเรากำลังเล่นเกมเก็บเลเวล พอเล่นได้มันจะฟินนาเล่มาก

อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะเสริม คือวัตถุประสงค์หลักของดนตรีคือการได้ผ่อนคลาย ถ้าเราเรียนดนตรีเพื่อไว้โชว์ความสามารถก็ทำได้ แต่มันทำให้เรากลัวที่จะเล่น และความสุขของเราจะไปอยู่แค่ตอนที่เราเล่นได้สำเร็จ ซึ่งจริง ๆความสุขมันเกิดขึ้นตั้งแต่ได้เล่นแล้ว

สุดท้าย ครูมีอะไรอยากจะฝาก?

เราพูดถึงเด็กกับผู้ใหญ่ไปแล้ว ยังไม่ได้พูดถึงนักเรียน นักศึกษา ส้มฝากถึงนักเรียน นักศึกษา ถ้าใจรักจะเป็นนักดนตรีต้องเริ่มจริงจังตั้งแต่เด็ก เก็บไว้แต่เนิ่น ๆ ตั้งแต่เบบี๋ นี่คือประสบการณ์ตรงของส้มเลย ซึ่งส้มว่ามันสำคัญที่จะแบ่งปัน ถ้าคิดว่าไม่ต้องรีบฝึกหนักก็ได้ในตอนที่เรายังเป็นนักเรียนแล้วมัวทำตามสังคมที่นิยมไปเรื่อย ๆ ทำสิ่งที่คนอื่น ๆ ว่าดี ทั้ง ๆ ที่เราก็ชอบดนตรี พอเรียนจบเราต้องทำงาน มีความรับผิดชอบด้านอื่น มีภาระตามมา พอเราโตแล้วเรารู้ว่าดนตรีคือส่วนหนึ่งของเรา มันจะไม่ทันแล้ว

การเป็นนักดนตรีมืออาชีพกับการเล่นดนตรีเพื่อผ่อนคลายเพื่อความสุขมันคนละเรื่องกัน สำหรับคนเป็นนักดนตรี การเล่นดนตรีคือข้าว อาหารที่เราต้องกินทุกวัน ฉะนั้น ถ้าคิดจะเลือกเป็นนักดนตรีต้องตัดสินใจให้ดีและฝึกฝน นักเรียน นักศึกษาควรคำนึงถึงตรงนี้และวางแผนให้ดีด้วย

มีกิจกรรมผ่อนคลายความเครียดหลากหลายวิธีให้เราเลือก แล้วแต่ความชอบความสะดวกของแต่ละบุคคล  หากการเล่นดนตรีนอกจากจะให้ความเพลิดเพลินความผ่อนคลายแล้วยังช่วยสร้างความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัวได้ และยังเสริมสร้างวินัยแก่ผู้เรียนดนตรีอีกด้วย

การเรียนดนตรีน่าจะเป็นหนึ่งในกิจกรรมที่สมควรรับไว้พิจารณาในช่วงที่เราเริ่มมีเวลา เปิดโอกาสตัวเองให้ได้ลองสัมผัสกับอีกมิติที่ครูส้มบอกทิ้งไว้ว่า มันคืออีกโลกแห่งความสงบของคนเป็นผู้ใหญ่ โลกที่ยังมีอะไรที่ไม่ใช่เพียงการทำงาน


ขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์ ครูส้ม ณัจยา อร่ามกุล

เขียนและเรียบเรียงเรื่องโดย: พิมพ์นารา สุวรรณไตรย์

Credit: เพจ The Study Times

นักเขียนรุ่นใหม่ไฟแรง ใฝ่ฝันทำสื่อสร้างสรรค์สังคม 'สรวง สิทธิสมาน' | Click on Clever EP.2

จากการอบรมบ่มเพาะของครอบครัวนักเขียน นักสื่อสารมวลชน ทำให้เกิดแรงบันดาลใจที่อยากจะเล่าเรื่องผ่านงานเขียน จากมุมมองของตัวเองตั้งแต่อายุ 17 ปี

วันนี้ "สรวง สิทธิสมาน" พร้อมส่งต่อพลังสร้างสรรค์ของคนรุ่นใหม่ เพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น แบบใช้เหตุผลมากกว่าอารมณ์

ทำความรู้จักกับนักเขียนหนุ่มไฟแรงคนนี้ได้เลยค่ะ

.

 

 

ม.เกษตรศาสตร์ ทุ่มงบกว่า 300 ล้านบาท ให้ความช่วยเหลือนิสิตอย่างต่อเนื่อง ลดหย่อนค่าธรรมเนียมการศึกษา มอบทุน จัดระบบให้บริการสนับสนุนการเรียนการสอนและการสอบออนไลน์ ออกมาตรการยกเว้นและลดหย่อนค่าหอพักแก่นิสิต ทุกวิทยาเขต

ดร.จงรัก วัชรินทร์รัตน์ อธิการบดีมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เปิดเผยว่า มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ มีความห่วงใยและคำนึงถึงความปลอดภัยของนิสิตและบุคลากรในสถานการณ์ที่ยังมีการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโควิด-19 แม้ว่าขณะนี้ในภาพรวมของประเทศ ได้มีนโยบายผ่อนคลายมาตรการและแนวทางการปฏิบัติต่าง ๆ แล้วก็ตาม

มหาวิทยาลัยตระหนักถึงปัญหาความเดือดร้อนของนิสิต อาจารย์ บุคลากรและผู้ปกครองในช่วงสถานการณ์โควิด-19 โดยกำหนดมาตรการให้ความช่วยเหลือนิสิตและผู้ได้รับผลกระทบจากสถานการณ์ดังกล่าว ตั้งแต่เดือนเมษายน 2563 จนถึงปัจจุบัน ซึ่งประกอบด้วย 2 มาตรการหลัก ดังนี้

มาตรการที่หนึ่ง การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการศึกษา และให้ทุนการศึกษา ในภาคฤดูร้อน ภาคต้น และภาคปลาย ปีการศึกษา 2563 รวมเป็นเงินจำนวน 237,331,307.30 บาท ได้แก่ การลดหย่อนค่าธรรมเนียมการศึกษาร้อยละ 10 หรือมากกว่า ระดับปริญญาตรีและระดับบัณฑิตศึกษา ภาคฤดูร้อน และ ภาคต้น ปีการศึกษา 2563 เป็นเงิน 147,012,540 บาท ทุนช่วยเหลือนิสิตช่วงโควิด-19 ภาคปลาย ปีการศึกษา 2563 จำนวน 939 ทุน ทุนละ 10,000 บาท เป็นเงิน 9,390,000 บาท ทุนการศึกษา ทั้งภาคต้นและภาคปลาย ปีการศึกษา 2563 เช่น ทุนการศึกษาผ่านกองกิจการนิสิต ทุนการศึกษาโครงการเรียนล่วงหน้า ทุนการศึกษาจากสมาคมนิสิตเก่ามหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ในพระบรมราชูปถัมภ์ เป็นเงิน 80,928767.30 บาท

มาตรการการที่สอง การจัดระบบให้บริการสนับสนุนการเรียนการสอนและการสอบออนไลน์ และปรับลดค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ในภาคต้นและภาคปลาย ปีการศึกษา 2563 แก่นิสิตและอาจารย์ รวมเป็นเงินจำนวน 23,079,638.40 บาท ได้แก่ สนับสนุนและจัดหาซิมการ์ดอินเทอร์เน็ต แก่นิสิตระดับปริญญาตรี จำนวน 2,000 คน เป็นเงิน 550,000 บาท จัดหา iPad ราคา education จำนวน 170 เครื่อง สนับสนุนและพัฒนาระบบการเรียนการสอนและการสอบออนไลน์ เช่น ระบบ KU Learn ,KU- LAM ปรับปรุงห้องเพื่อการสอบ Walk-in Exam เป็นเงิน 22,039,638.40 บาท ออกเอกสารรับรองทางการศึกษาในรูปแบบดิจิทัล และพัฒนาระบบรับคำร้องออนไลน์ เป็นเงิน 490,000 บาท ยกเว้นค่าปรับและค่าธรรมเนียมที่มีเหตุผลจำเป็น เช่น การลงทะเบียนล่าช้า,การขยายเวลาผ่อนผันชำระเงินค่าธรรมเนียมการศึกษา จำนวน 1,446 คน

นอกจากนี้ มหาวิทยาลัย ยังได้ออกมาตรการยกเว้นและลดหย่อนค่าหอพักแก่นิสิต ทุกวิทยาเขต สำหรับบางเขน ในช่วงเดือน เมษายน–ธันวาคม 2563 มีจำนวน 1,690 คน เป็นเงิน 12,857,200 บาท และเร่งดำเนินการช่วยเหลือนิสิต บัณฑิต ผู้ปกครอง และ บุคคลทั่วไปที่ได้รับผลกระทบจาก โควิด -19 เพื่อบรรเทาความเดือดร้อนทางด้านเศรษฐกิจ โดยการจ้างงาน ให้ทำงาน ในส่วนงานต่างๆ ของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ระยะที่ 1-2 ในช่วงเดือน มิถุนายน - กันยายน 2563 จำนวน 592 อัตรา เป็นเงิน 16,299,000 บาท และระยะที่ 3 โครงการมหาวิทยาลัยสู่ตำบล สร้างรากแก้วให้ประเทศ ในช่วงเดือนพฤศจิกายน 2563–ธันวาคม 2564 มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ฯ ได้รับงบประมาณเพื่อจ้างงานสูงสุด 140 ตำบล 66 อำเภอ 27 จังหวัด 2800 อัตรา วงเงิน 487,620,000 บาท

"มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์มีความห่วงใยและพร้อมให้การช่วยเหลือเพื่อบรรเทาความเดือดร้อนแก่นิสิตและผู้ปกครองอย่างต่อเนื่อง และกำชับทุกหน่วยงานของมก.จัดระบบให้บริการและอำนวยความสะดวกในเรื่องการเรียนการสอน และการสอบออนไลน์อย่างเต็มที่ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต หากนิสิตมีปัญหาต้องการคำแนะนำในด้านจิตวิทยา การปฏิสัมพันธ์ การใช้ชีวิตวิถีใหม่ฯ เรามี KU Happy Place หรือ หน่วยส่งเสริมสุขภาวะนิสิตและให้คำปรึกษา ตลอด 24 ชั่วโมง เราจะต้องปรับตัวและอยู่ร่วมกับสถานการณ์โควิด-19 นี้ให้ได้ ขอเป็นกำลังใจให้กับทุกคนร่วมกันผ่านพ้นวิกฤตนี้ไปด้วยกันและใช้ชีวิตในวิถีปกติใหม่ให้เร็วที่สุด" ดร.จงรัก กล่าว


ที่มา: https://siamrath.co.th/n/219727

ประกาศโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม เรื่อง การปิดที่ทำการชั่วคราวเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรค COVID-19

ประกาศโรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม เรื่อง การปิดที่ทำการชั่วคราวเนื่องจากการแพร่ระบาดของเชื้อโรค COVID-19


© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top