Wednesday, 15 May 2024
ในหลวงรัชกาลที่10

‘มิกค์ ทองระย้า’ ร่วมพิธีถวายพระพรชัยมงคล เทิดพระเกียรติ เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

(27 ก.ค. 66) ‘มิกค์​ ชรินทร์​ ทองระย้า’ นักแสดงและนายแบบลูกครึ่งไทย-เดนมาร์ก ได้โพสต์ภาพพร้อมข้อความถวายพระพรชัยมงคล เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ผ่านอินสตาแกรมส่วนตัว ‘mik_thongraya’ โดยระบุว่า…

“เนื่องในโอกาสวันเฉลิมพระชนมพรรษา พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว 28 กรกฎาคม 2566 ช่อง 7HD จัดกิจกรรม ‘7HD รวมใจถวายพระพรชัยมงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว’ นำโดย นายพัฒนพงค์ หนูพันธ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการ พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร นักแสดง ผู้ประกาศข่าว และเจ้าหน้าที่ จากช่อง 7HD ร่วมพิธีถวายพระพรชัยมงคล และลงนามถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว”

‘พล.ท.นันทเดช’ เล่าความหลังครั้งยังเป็นราชองค์รักษ์เวร และพระเมตตาอันเปี่ยมล้นของในหลวง รัชกาลที่ 10

เมื่อวันที่ 28 ก.ค. 66  พล.ท.นันทเดช เมฆสวัสดิ์ อดีตหัวหน้าศูนย์ปฏิบัติการพิเศษ ศูนย์รักษาความปลอดภัยแห่งชาติ ศรภ.โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กส่วนตัวระบุข้อความว่า…

เมื่อผมเป็นราชองค์รักษ์เวรของในหลวง รัชกาลที่ 10

ผมเริ่มต้นทำหน้าที่ราชองค์รักษ์เวรครั้งแรก เป็นการปฏิบัติหน้าที่ถวายในหลวง ร.9 ส่วนใหญ่อยู่ที่พระตำหนักสวนจิตรลดา เวลาเข้าเวรช่วงกลางคืน ถ้าอยู่ตรงทางขึ้นพระตำหนักในตอนหัวค่ำ เมื่อมองออกไปทางเขาดิน จะเห็นฝูงยุงจำนวนมหาศาล บินออกมาจากเขาดิน คล้ายก้อนเมฆสีดำเล็กๆ มุ่งหน้ามายังสวนจิตรลดา และบ้านเรือนผู้คนที่ตั้งอยู่บริเวณสี่แยกราชวิถี ดังนั้น เมื่อในหลวง ร.10 ทรงย้ายเขาดิน ผมจึงไม่ได้สงสัยอะไรเลย เพราะนอกจากยุงแล้ว ใครพาเด็กๆ ไปเที่ยวเขาดิน ก็จะกลับมาไม่สบายเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากพื้นที่มีจำกัด สะสมเชื้อโรคไว้นานาชนิด นานกว่า 80 ปี ผมจึงคิดว่า ถ้าพระองค์ไม่ลงมือทำใครจะทำครับ

ต่อมาผมได้ย้ายมาเป็นราชองค์รักษ์เวร ของในหลวง ร.10 (พระยศ ขณะนั้นเป็นพระบรมโอรสาธิราชฯ) ตอนแรกก็เกิดความวิตก เนื่องจาก ผมทั้งอ้วนจากการนั่งโต๊ะทำงานจนดึก และกินมาก เวลาออกกำลังกายมีน้อย ถ้าให้วิ่งในระยะทางไม่เกิน 100 เมตร ผมก็เริ่มมีอาการหอบแล้ว ประกอบกับผมไม่ได้มาจากโรงเรียนเหล่าทัพโดยตรงด้วย เหมือนราชองค์รักษ์ประจำคนอื่น จึงกลัวว่าผมจะไปทำอะไรผิดเข้า ซึ่งก็เป็นจริง วันแรกก็ผิดแล้ว ตอนถวายรายงานเลยครับ ผมลงท้ายว่า “... ด้วยเกล้าด้วยกระหม่อม ขอเดชะ” พระองค์ทรงยิ้ม กล่าวว่า “ยังไม่ต้องเดชะหรอก” และก็ไม่ได้ทรงตำหนิอะไรอีก

หลายวันต่อมา พระองค์ทรงรถกอล์ฟเสด็จจากพระตำหนักไปเปิดร้านค้าที่หน้าพระราชวัง ระยะทางประมาณ 150 เมตร ผมก็วิ่งตามไปสัก 50 เมตร ก็เริ่มมีอาการเหนื่อยหอบแล้ว ทันใดนั้น ปรากฏว่ารถกอล์ฟส่วนพระองค์ ก็ชะลอช้าลงอย่างผิดปกติ ผมจึงกึ่งวิ่งกึ่งเดินตามไปอย่างสบายๆ ทั้งขาไปและกลับ พระองค์มีทรงพระเมตตายิ่งนัก จากนั้นมา ผมก็เริ่มหาเวลาออกกำลังกาย ซึ่งส่งผลทำให้ผมมีสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น อยู่มาอย่างสบายจนถึงทุกวันนี้ แม้อายุใกล้จะ 80 ปีเข้าไปแล้ว

เมื่อเกิดเหตุรุนแรงทางภาคใต้ได้ประมาณ 2 ปี ผมถูกเรียกตัวให้เข้าเฝ้า ในหลวง ร.10 (ขณะนั้นพระองค์ยังทรงดำรงตำแหน่ง พระบรมโอรสสาธิราชฯ) เพื่อกราบทูลรายงานเบื้องหลังเหตุการณ์รุนแรงดังกล่าว โดยมีประธานองคมนตรีท่านปัจจุบันร่วมอยู่ด้วย ผมได้กราบทูลเรื่องราวอย่างค่อนข้างเป็นทางการ แต่ไม่ได้ลงลึกในรายละเอียดมากนัก เมื่อกราบทูลจบ พระองค์ทรงยิ้ม มีพระราชดำรัสว่า “ให้เล่าใหม่ เอาจริงๆ เลย” ผมจึงกราบทูลใหม่โดยลงละเอียดอย่างไม่ตกแต่งให้เป็นทางการหรือสวยหรูอะไรอีก พระองค์ทรงมีพระราชดำรัสถามเป็นระยะๆ บางคำถาม ผมซึ่งทำงานอยู่ในพื้นที่ก็ยังนึกไม่ถึง เมื่อผมเล่าถวายจบ ซึ่งใช้เวลามากกว่าครึ่งชั่วโมงแล้ว พระองค์ทรงยิ้มอีก และมีพระราชดำรัสว่า “ต้องอย่างนี้ซิ”

ในใจผมซาบซึ้งถึงพระเมตตา นึกอยู่ตลอดเวลาว่า พระองค์ทรงสนพระทัยทุกข์สุขของประชาชนและบ้านเมืองอย่างจัง และยังทรงมีพระปฏิภาณไหวพริบถึงขนาดนี้ ผมจึงลุกขึ้นจากเก้าอี้ทรุดตัวลงกราบแทบเบื้องพระบาทด้วยจิตใจที่เปี่ยมด้วยความจงรักภักดี ในหลวง ร.10 ทรงมีพระราชดำรัสว่า “เขาเป็นองค์รักษ์ของฉันด้วย”

ยังมีอีกหลายเรื่องที่บอกได้ว่า ในหลวงของเรา เป็นเสาหลักค้ำจุนชาติสืบเนื่องต่อกันมาจากบูรพกษัตริย์ทุกพระองค์ ได้อย่างสมบูรณ์

ซึ่งจะขอนำมาเล่าให้อ่านกันอีกในปลายเดือนกรกฎาคม ปีหน้าครับ

ขอพระองค์ทรงพระเจริญยิ่งยืนนาน ด้วยเกล้า ด้วยกระหม่อม ขอเดชะ

เผยความจริง ‘ในหลวงรัชกาลที่ 10’ ทรง 'สืบสาน-รักษา-ต่อยอด' ตามรอยพระราชปณิธานในหลวงรัชกาลที่ 9 เพื่อปวงชนชาวไทย

(1 ส.ค. 66) ผู้ใช้ TikTok บัญชี @user4667894730230 ได้แชร์คลิปวิดีโอเกี่ยวกับ พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ผู้ทรงปิดทองหลังพระและทรงทำงานอย่างเงียบๆ มาโดยตลอด เพื่อให้เข้าถึงประชาชนให้มากที่สุด ไม่ว่าที่แห่งนั้นจะทุรกันดารแค่ไหน ตามพระราชปณิธาน ‘สืบสาน รักษา ต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป’ โดยในคลิปได้ระบุว่า…

ส่วนใหญ่คนที่อ้างว่า ‘ในหลวงรัชกาลที่ 10’ ไม่เห็นทําอะไรเลย เราต้องดูว่าท่านขึ้นครองราชย์เป็นรัชกาลปัจจุบันมาแล้วกี่ปี หากจะไปเปรียบเทียบกับรัชกาลที่แล้วของพ่อท่าน ก็คงไม่ได้ เพราะสิ่งที่ท่านทํา ท่านได้เคยพูดเอาไว้แล้วตั้งแต่วันนั้น คือ ‘การสืบสาน รักษา และต่อยอด และครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งอาณาราษฎรตลอดไป’ ซึ่งขณะนี้ท่านก็ได้ทรงต่อยอดอยู่ ไม่ว่าจะเป็น โครงการเกษตรวิชญา, โครงการจัดหาน้ำบาดาลขนาดใหญ่ แก้ปัญหาภัยแล้ง, โครงการก่อสร้างระบบประปาบ้านผัง 16, โครงการฝายห้วยโสกรังพร้อมระบบส่งน้ำ ซึ่งโครงการเหล่านี้ที่เราได้นำเสนอมา คือโครงการในรัชกาลปัจจุบันที่พระองค์ท่านทรงทําและริเริ่มขึ้นมาในสิ่งที่ประชาชนเดือดร้อนจริงๆ แล้วพวกเราเดือดร้อนเรื่องอะไร? ดูได้จากเรื่องน้ำ ตรงไหนที่แห้งแล้ง น้ำก็ไปถึงประชาชน จนสามารถอยู่ดีกินดี และมีน้ำใช้ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อเลี้ยงสัตว์ หรือทําการเกษตร มีฝาย มีโคกหนองนา เคยรู้หรือเปล่าว่าสิ่งเหล่านี้คือของในหลวงรัชกาลที่ 10 หากศึกษาให้ดี ยังสามารถลองเอามาปรับใช้ในชีวิตจริงได้อีกด้วย อย่างน้ำบาดาล ภาคอีสาน และภาคกลาง ที่ไหนแห้งแล้งน้ำก็ไปถึง จนสามารถทําการเกษตรได้แบบที่เปลี่ยนไปเลย จากที่ทําแล้วเก็บเป็นรายปีไป ตอนนี้สามารถทําได้ทุกวันแล้ว

“ทุกวันนี้สบายกันเร็ว ตั้งแต่มีโครงการพระราชดําริเข้ามา ทำให้เราเลือกกินเลือกใช้ได้ จนสามารถใช้คําว่าสบายได้เลย” ชาวบ้านท่านหนึ่ง ได้กล่าว

นอกจากนี้ยังสามารถต่อยอดทางด้านอาชีพได้อีกด้วย จากสิ่งที่เห็นในรัชกาลปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นน้ำบาดาล ทําฝาย โคกหนองนา หรืออื่นๆ สำหรับคนที่มองว่าในหลวงรัชกาลที่ 10 ไม่ทําอะไร อยากให้ไปดูและท่านจะได้เบิกเนตรว่าของจริงเป็นแบบนี้ ถ้าไม่รู้จริงๆ ไม่ควรพูด และไม่เปรียบเทียบดีกว่า เพราะสิ่งที่ได้เห็นจากการไปลงพื้นที่ และคิดว่าหลายๆคนอาจยังไม่ทราบ อย่างโครงการน้ำบาดาล ที่จังหวัดกาญจนบุรี ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จเปิดพิธีเอง แต่หากพูดถึงเรื่องน้ำอยากจะบอกว่ามันชัดเจนมากสำหรับบ้านเราในหลายๆที่ที่ขาดแคลนน้ำ ทั้งนี้ ยังมีเหตุการณ์ที่ในหลวงรัชกาลที่ 10 ทรงเสด็จไปถึง แล้วไปดูว่าประชาชนได้เขียนจดหมายถึงในหลวงว่าพวกเขาเดือดร้อนอะไรกันบ้าง แล้วท่านก็รับทราบปัญหานี้ ซึ่งก็อยู่ในพระเนตรพระกรรณมาตลอด จากนั้นท่านก็ทรงแก้ปัญหาให้ 

หลังจากนั้นได้มีชาวบ้านต่างเล่าว่าพระองค์จะคอยส่งคนถวายฎีกามาเฝ้าติดตามและมาสอบถามเสมอ “ที่นี่ดีขึ้น เพราะว่าโครงการทำให้ ไม่ว่าอะไรท่านก็ทำให้หมด”

มันมีคนดื้อด้านที่ไม่ยอมรับ ประมาณว่าในหลวงรัชกาลที่ 9 ทํามาเยอะแล้ว 4 พัน 5 พันโครงการ ใช่…คุณรู้แค่นั้น แต่รัชกาลปัจจุบันท่านทํา คุณไม่รู้ไง…เพราะท่านทรงทําผ่านโครงการต่างๆ

“มีพื้นที่ทําในหมู่บ้านแล้วไม่ต้องไปที่ไหน เราสามารถสร้างอาชีพ สร้างรายได้ในหมู่บ้านได้เลย ที่สําคัญเกษตรกรจะมีรายได้ตลอดหมุนเวียน” ทั้งนี้ ได้มีชาวบ้านท่านหนึ่ง เอ่ยพร้อมน้ำตาที่ซึมว่าตนนั้นรักพระมหากษัตริย์มากแค่ไหน 

“เพราะพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงสืบสาน รักษา ต่อยอด และทรงทํางานอย่างเงียบๆ แต่เข้าถึงความต้องการของคนไทย ไม่ว่าจะถิ่นทุรกันดารแค่ไหน ในหลวงก็ไปถึง”

'ในหลวง ร.10' ไม่ทอดทิ้ง 'ประชาชน-ผู้เดือดร้อน' เหตุพลุระเบิด ทรงรีบจัดหาโรงครัว-รับผู้บาดเจ็บทุกคนไปอยู่ในความดูแล

(2 ส.ค. 66) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'ปริม พาดาฤดี' ได้โพสต์ข้อความถึงการช่วยเหลือประชาชนจากเหตุพลุระเบิดที่นราธิวาส โดยในหลวง ร.10 ทรงรีบให้การช่วยเหลือประชาชนของท่านทันที ระบุว่า...

ในวันที่พลุระเบิด มีคนตายนับสิบ บาดเจ็บนับร้อย ก็มีแต่พระเจ้าอยู่หัวนี่แหละ ที่ทรงรีบจัดหาโรงครัวไปช่วยเหลือ รับผู้บาดเจ็บทุกคนไปอยู่ในความดูแล

ส่วนนักการเมืองนั้น เขาห่วงพวกคุณได้แค่หน้าเฟสหรือบนทวิตเตอร์ ไข่สักฟองเขายังไม่สละมาช่วยเลย

‘อาร์ต พศุตม์’ เผยวินาทีรับเสด็จ ‘ในหลวง-พระราชินี’ แสนปลื้มใจ ทั้งสองพระองค์ทรงจำตนได้

เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งเรื่องราวสุดปลื้มปิติ เมื่อล่าสุดนักแสดงหนุ่มชื่อดังอย่าง “อาร์ต พศุตม์” ได้ออกมาได้เผยภาพขณะเฝ้าฯ รับเสด็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ณ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัลเวิลด์

โดยเจ้าตัวโพสต์ข้อความระบุว่า “ทรงพระเจริญ… ดีใจที่สองพระองค์ท่านจำได้ มาออกบูธ คุณชายหมูกรอบ ที่ CTW โชคดีมาก ท่านเสด็จพอดี ก็เลยรอรับเสด็จ อยากเอาหมูกรอบถวายท่าน แต่คิดแล้วคงไม่เหมาะ ไม่สมควร”

นอกจากนี้ ‘อาร์ต พศุตม์’ ยังได้โพสต์คลิปเหตุการณ์ขณะเฝ้าฯ รับเสด็จ โดยในหลวงและพระราชินี ทรงทักทายและแย้มพระโอษฐ์ ระหว่างเสด็จฯ ผ่านหน้าตนเอง พร้อมเปิดใจว่า “ทรงพระเจริญ… ปลื้มใจเป็นที่สุด สองพระองค์ท่านจำได้”

ย้อนฟังคำสัมภาษณ์ ‘อดีตนายกฯ อานันท์ ปันยารชุน’ เผยความจริงเกี่ยวกับพระราชอำนาจของสถาบันฯ

จากคลิปเมื่อนานมาแล้ว นายอานันท์ ปันยารชุน อดีตนายกรัฐมนตรีไทยคนที่ 18 ของไทย ได้ออกมาพูดถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ ผ่านรายการ ‘สยามวาระ’ ตอน ‘สถาบันพระมหากษัตริย์กับประวัติศาสตร์การเมืองไทย’ เมื่อวันพุธที่ 12 ธ.ค.2555 ทางไทยพีบีเอส โดยระบุว่า…

“ผมมองว่าพระองค์ท่านนั้น ทรงเป็น ‘นักประชาธิปไตย’ นะครับ แต่ท่านมีขอบจํากัด อย่าไปนึกว่า ในหลวงรัชกาลที่ 9 ของเรา หรือพระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง หรือพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 10 ท่านเป็นชนชาวไทย แต่ท่านขาดสิทธิมากมาย สิทธิอันหนึ่งที่ท่านทั้งสามพระองค์ทรงขาดไปอย่างมาก คือท่านไม่สามารถโต้ตอบอะไรได้เลยครับ สมมติท่านรู้ดีว่า นายกฯ รัฐมนตรี หรืออธิบดีคนนั้นคนนี้ก็ดี หรือเหล่านักธุรกิจ เวลาเขาพูดไม่จริง ท่านก็ออกมาบอกไม่ได้ หรือถ้าเขาดีท่านก็ชมไม่ได้อีก เพื่อรักษาความเป็นกลาง”

“เพราะฉะนั้น การเป็นพระเจ้าแผ่นดิน หรือเป็นเจ้านายอื่นๆ นั้นมีข้อจํากัดมาก ท่านไม่สามารถใช้สิทธิตามสิทธิมนุษยชน เยี่ยงปวงชนชาวไทยได้เลยนะครับ เพราะท่านมีหน้าที่ที่ท่านต้องทำ ปัจจุบันท่านอยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ท่านไม่มีพระราชอํานาจอะไรจริงจัง ส่วนพระราชอํานาจลงนามแต่งตั้งอธิบดีคนนั้น นายพลคนนี้ เป็นอํานาจซึ่งมาจากการเสนอของรัฐบาลและของนายกรัฐมนตรี และเมื่อพระองค์ท่านลงพระปรมาภิไธยไปแล้ว ก็จะต้องมีนายกรัฐมนตรีหรือประธานสภา หรือรัฐมนตรีคนใดคนหนึ่งที่รับมอบหมายเป็นผู้สนองรับพระบรมราชโองการ สืบมาว่าผู้รับสนองนั้น คือผู้รับผิดชอบโดยตรง”

“ซึ่งในสังคมไทยยังคงมีความสับสนกับเรื่องนี้เป็นอย่างมาก บอกว่าพระเจ้าอยู่หัวของเมืองไทยนั้นมีพระราชอํานาจมาก แต่พระราชอํานาจจริงๆ ตามรัฐธรรมนูญนั้น ท่านไม่มีเลย แต่ที่ท่านดูมีพระราชอํานาจมากนั้น เป็นเพราะท่านมีบารมีมาก เพราะท่านปกครองประเทศชาติมาตั้ง 60-70 ปี ท่านทําดีไว้มาก และท่านยังเข้าถึงประชาชน อีกทั้งประชาชนคนไทยทุกคนก็เทิดทูนท่าน รักท่านมาก จนอาจจะทำให้มีประชาชนส่วนหนึ่งที่ไม่ชอบท่าน ก็ไม่ใช่เป็นของแปลกอะไร

แต่หากเราดูดีๆ ว่าเมืองไทยมีพลเมืองมากกว่า 70 ล้านคน ถ้าไปเปรียบเทียบกับพลเมืองของประเทศอังกฤษหรือประเทศอื่นๆ ที่เขามีพระมหากษัตริย์เหมือนกัน ความจงรักภักดีที่ราษฎรถวายให้กับพระมหากษัตริย์ของแต่ละประเทศนั้น ผมว่าเมืองไทยสูงสุดนะครับ แต่สิ่งที่สําคัญคือ พระองค์ท่านมีพระบารมีมากและตลอดเวลาที่ท่านทรงทํางานมานั้น ท่านนึกถึงแต่ทุกข์สุขของประชาชนคนไทยอย่างเดียว”

“เมื่อครั้งที่ในหลวงรัชกาลที่ 9 ท่านขึ้นครองราชย์ในปี ค.ศ. 1950 ท่านก็มีพระบรมราชโองการที่ทรงตรัสมาอย่างแน่ชัดว่า…

“เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม”

ดังนั้น คนไทยต้องถามตัวเองว่าตลอดกว่า 60-70 ปี ที่ท่านครองราชย์มานั้น ท่านทรงทําตามสิ่งที่ท่านตรัสไว้หรือเปล่า ผมว่าคนไทยส่วนใหญ่จะเห็นว่า ท่านแน่วแน่ในคําสัญญาที่ท่านให้ไว้กับประชาชนชาวไทย แต่หากจะถามต่อว่า ทุกอย่างที่ท่านทํานั้นสําเร็จ 100 เปอร์เซ็นต์หรือไม่ ก็คงไม่ใช่ เพราะตัวพระองค์ท่านเองก็ทรงเคยบอก

แต่ทุกอย่างที่ท่านทรงทํานั้น ก็เพื่อประโยชน์สุขของชาวสยาม และเพื่อความเป็นธรรม ความถูกต้อง อันนี้เราไม่สามารถหาข้อโต้แย้งได้ และจากเหตุผลเหล่านี้ก็ทำให้มีคนที่รักท่านมาก และคนที่ไม่ชอบท่านก็คงจะมี แต่ผมคิดว่ามีส่วนน้อยมาก”

‘หมอวรงค์’ ยินดี ‘ทักษิณ’ ยอมรับผิด โชคดีที่เรามีในหลวงเป็นที่พึ่ง

(2 ก.ย.66) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม หัวหน้าพรรคไทยภักดี โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊ก ‘Warong Dechgitvigrom’ ระบุว่า...

“ทักษิณสำนึกผิด ยอมรับผิดในการกระทำ จึงได้รับพระมหากรุณา โชคดีที่เรามีในหลวงเป็นที่พึ่ง ยินดีด้วยครับ”

‘พีระพันธุ์’ เผย ‘ในหลวง’ รับสั่ง ครม.ทำหน้าที่อย่างซื่อสัตย์ นำพาประเทศชาติเดินหน้า ประชาชนมีความสงบสุข-ร่มเย็น

‘พีระพันธุ์’ รับสนองพระบรมราโชวาท ทำให้บ้านเมืองเดินหน้า-ประชาชนมีความสงบร่มเย็น พร้อมย้ำ ‘นายกฯ’ เตรียมออกมาตรการช่วยเหลือ ปชช.เรื่องพลังงานในการประชุม ครม.นัดแรก ด้าน ‘วราวุธ’ เผย ‘ในหลวง’ ทรงให้ซื่อสัตย์ ทำงานเพื่อประชาชน

(5 ก.ย. 66) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ให้สัมภาษณ์ภายหลังเข้าถวายสัตย์ปฏิญาณ ว่า พวกเราจะต้องรับสนองพระบรมราโชวาทพระองค์ท่าน เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้า พัฒนาต่อไป

ผู้สื่อข่าวถามว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเน้นย้ำอะไรเป็นพิเศษหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า “ให้พวกเราปฏิบัติหน้าที่ให้เต็มที่ ทำให้บ้านเมืองเดินหน้า พี่น้องประชาชนมีความสงบร่มเย็น”

เมื่อถามว่า ดูเหมือน นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ระบุขอให้เชื่อมั่นในรัฐบาลชุดนี้ ในส่วนของกระทรวงพลังงาน เรื่องของพลังงานจะบอกกับประชาชนอย่างไร นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตนคิดว่านโยบายของรัฐบาล โดยเฉพาะนายกฯ ที่ได้บอกไปแล้ว ซึ่งมีนโยบายที่จะปรับลด โดยได้ไปดูเบื้องต้น โครงสร้างของราคาพลังงานทั้งหลาย โดยมี 2 ส่วน บางส่วนอยู่เหนือการควบคุม เช่น ราคาแก๊ส ซึ่งปรับลดในส่วนนั้นไม่ได้ แต่ในโครงสร้างราคาทั้งหมด มีหลายส่วนที่จะไปดู เบื้องต้นสามารถปรับลดได้อย่างแน่นอน

เมื่อถามว่า การประชุม ครม.นัดแรก ในวันที่ 12 ก.ย.จะมีมาตรการบางส่วนก่อนเลยหรือไม่ หรือต้องรอก่อน นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า หลังจากแถลงนโยบายเสร็จ และการประชุม ครม.นัดแรกก็ต้องมีมาตรการออกมา ซึ่งนายกฯ และกระทรวงพลังงานได้เตรียมการเรื่องนี้แล้ว ส่วนเรื่องของรูปแบบในการช่วยเหลือประชาชน อันดับแรก เพื่อให้เกิดความรวดเร็วจะใช้โครงสร้างเดิมก่อน ดูว่าส่วนไหนสามารถปรับลดลงไปได้ เพราะโครงสร้างราคาต่างๆ เหล่านี้ ประกอบไปด้วยหลายส่วน ส่วนไหนที่ปรับลดได้ก็ปรับลด ปรับลดราคาสุดท้ายที่ขาย เพียงแต่รัฐฯ ก็ต้องยอมเสียสละในส่วนที่เคยได้อยู่ ต้องยอมเสียสละออกไป

เมื่อถามว่า งบประมาณที่อยู่ จำเป็นต้องกู้ยืมหรือใช้งบประมาณในส่วนอื่น นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ตรงนั้นเป็นเรื่องที่กำลังพิจารณาอยู่ว่าจะเป็นรูปแบบไหน ก็ต้องเลือกในสิ่งที่ดีที่สุด และคุ้มค่าที่สุด ที่สำคัญ เอาประชาชนเป็นที่ตั้ง พยายามหาทางลดภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน หลักเกณฑ์ต่างๆ ของรัฐบาล คือ การไม่ไปสร้างอุปสรรคต่อการประกอบธุรกิจ หรือการดำรงชีวิตของประชาชน ต้องเป็นรัฐบาลที่สร้างการสนับสนุนให้ภาคเอกชนเดินหน้าต่อไปในทุกเรื่อง

ส่วนเรื่องการแถลงนโยบายต่อรัฐสภานั้น ในส่วนของพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ก็เรียบร้อย ไม่มีปัญหา ประเด็นหลักๆ มีหมด เช่น การป้องกันการทุจริต ประพฤติมิชอบ เรื่องของสถาบัน เรื่องของความไม่เป็นธรรม เรื่องของกฎหมาย โดยเฉพาะเรื่องการปฏิรูปพลังงาน และข้อกฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการดำรงชีวิต ซึ่งเป็นเรื่องที่ตนเคยพูดเอาไว้ทั้งหมด

เมื่อถามอีกว่า ถือเป็นการต่อยอดนโยบายของพรรค รทสช.ด้วยหรือไม่ นายพีระพันธุ์ กล่าวว่า ถ้าต่อยอดได้ด้วยก็ดี

ด้าน นายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ กล่าวว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระบรมราโชวาทว่า ขอให้มีสติปัญญาในการทำงานให้กับพี่น้องประชาชน ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต และขอให้มีความขยันทำงานเพื่อประเทศชาติ ผู้สื่อข่าวถามว่า มองความท้าทายของรัฐบาลชุดนี้อย่างไรบ้าง นายวราวุธ กล่าวว่า ตนว่าความท้าทายคือ มีปัญหาของประเทศชาติอยู่หลายมิติ ที่เป็นความคาดหวังของพี่น้องประชาชน คงจะต้องเร่งทำงานกันในทุกๆ มิติ

‘ในหลวง-พระราชินี’ โปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์ เข้าเยี่ยมชาวจีนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุกราดยิงในห้างดัง

เมื่อวานนี้ (5 ต.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘Chinese Embassy Bangkok สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย’ ได้โพสต์ข้อความ ระบุว่า…

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี โปรดเกล้าฯ ให้ผู้แทนพระองค์เข้าเยี่ยมชาวจีนที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุกราดยิง

ช่วงเช้าวันที่ 4 ตุลาคม พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้เชิญดอกไม้และตะกร้าสิ่งของพระราชทานไปมอบแก่ชาวจีนผู้ได้รับบาดเจ็บจากเหตุกราดยิง ณ โรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์ นายหาน จื้อเฉียง เอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย ซึ่งกำลังเยี่ยมชาวจีนผู้ได้รับบาดเจ็บที่โรงพยาบาล เป็นผู้รับผู้แทนพระองค์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี พระราชทานพระราชกระแสแสดงความเสียพระราชหฤทัย ต่อชาวจีนผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ดังกล่าว และพระราชทานกำลังใจแก่ครอบครัวของชาวจีนผู้เสียชีวิตและชาวจีนผู้ได้รับบาดเจ็บ และทรงให้กำลังใจให้ผู้ได้รับบาดเจ็บหายจากอาการบาดเจ็บโดยเร็ว

เอกอัครราชทูต หาน จื้อเฉียง กล่าวแสดงความขอบคุณพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี ของฝ่ายจีน ครอบครัวชาวจีนผู้เสียชีวิตและชาวจีนผู้ได้รับบาดเจ็บ โดยกล่าวว่าเหตุกราดยิงถือเป็นโศกนาฏกรรมอันน่าสะเทือนใจ แต่ความห่วงใยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินี รวมถึงความพยายามของรัฐบาลไทยในการจัดการกับผลที่ตามมานั้นน่าอบอุ่นใจ ฝ่ายจีนยินดีที่ทำงานร่วมกับฝ่ายไทยโดยยกระดับมาตรการที่มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น เพื่อความปลอดภัยของชาวจีนที่อยู่ในประเทศไทย

28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระราชพิธีสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย  สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร

วันนี้เมื่อ 51 ปีก่อน ในหลวงรัชกาลที่ 9 เสด็จออกประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ณ ท้องพระโรงพระที่นั่งอนันตสมาคม ในงานพระราชพิธีเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ์ สยามมกุฎราชกุมาร ซึ่งเป็นพระราชพิธีประวัติศาสตร์ การสถาปนาสยามมกุฎราชกุมาร ‘พระองค์ที่ 3’ ของไทย

ในปี พ.ศ. 2515 อันเป็นวาระที่ ‘สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ’ ทรงมีพระชนมายุครบ 20 พรรษานั้น พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ 9 จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าวชิราลงกรณฯ ทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ สยามมกุฎราชกุมาร’ ตามโบราณขัตติยราชประเพณี หลังจากพระราชพิธีนี้ได้ว่างเว้นมาเป็นเวลากว่า 80 ปี 

โดยได้มีการอนุโลมการจัดพระราชพิธีฯ ตามโบราณราชขัตติยราชประเพณี โดยกำหนดเป็น 5 ตอน คือ

วันที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระราชพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏและพระราชลัญจกร ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง 

วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระราชพิธีศรีสัจจปานกาล การเสกน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง 

วันที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลทักษิณานุปทาน ณ พระที่นั่งอมรินทรวินิจฉัยฯ พระบรมมหาราชวัง 

วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระราชพิธีสถาปนา เฉลิมพระนามาภิไธย ณ พระที่นั่งอนันตสมาคม พระราชวังดุสิต 

วันที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2515 พระราชพิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา ณ พระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม พระบรมมหาราชวัง 

ทั้งนี้ ทรงมีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราลงกรณ บดินทรเทพยวรางกูร สิริกิตยสมบูรณสวางควัฒน์ วรขัตติยราชสันตติวงศ์ มหิตลพงศอดุลยเดช จักรีนเรศยุพราชวิสุทธิ สยามมกุฎราชกุมาร’ และทรงเป็น ‘มกุฎราชกุมาร’ พระองค์ที่ 3 แห่งราชวงศ์จักรีและของประเทศไทย 

‘พระราชพิธีสถาปนาเฉลิมพระนามาภิไธย สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมาร’ เป็นพระราชพิธีที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคงของราชอาณาจักร และพระบรมราชจักรีวงศ์ เกี่ยวกับการแต่งตั้งรัชทายาทสืบสันตติวงศ์ ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 

ราชประเพณีการแต่งตั้งรัชทายาทเพื่อสืบราชสมบัติ ได้ปรากฏเป็นกฎหมายมั่นคงมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาเป็นราชธานี โดยสมเด็จพระรามาธิบดีที่ 1 (พระเจ้าอู่ทอง) ทรงตรากฎมณเฑียรบาลขึ้นไว้เมื่อจุลศักราช 720 (พ.ศ. 1901) ลำดับพระอิสริยยศพระราชโอรสว่า ‘พระราชกุมารอันเกิดด้วยพระอัครมเหสีเป็นสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า พระราชกุมารอันเกิดแต่แม่ยั่วเมืองเป็นพระมหาอุปราช’ แต่ก็มิได้กำหนดให้ชัดเจนว่า ตำแหน่งสมเด็จหน่อพระพุทธเจ้าเป็นรัชทายาท 

จนถึงแผ่นดิน สมเด็จพระบรมไตรโลกนาถ ทรงตราพระอัยการตำแหน่งนาพลเรือนขึ้นเมื่อ พ.ศ. 1998 ทรงกำหนดให้ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ ซึ่งได้เฉลิมพระราชมณเฑียรแล้วทรงศักดินาหนึ่งแสน และทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็นพระมหาอุปราช รัชทายาทแห่งราชบัลลังก์ 

ในสมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้พระราชทานตำแหน่ง ‘พระมหาอุปราช’ แก่พระบรมวงศ์ผู้มีความชอบอันยิ่งใหญ่ เรียกว่า ‘กรมพระราชวังบวรสถานมงคล’ ตามแบบอย่างกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย แต่เมื่อตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคลว่างลง ก็มิได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งพระบรมวงศ์พระองค์ใดขึ้นดำรงตำแหน่งนี้เป็นเวลาสืบต่อกันหลายปีก็มี 

จนถึงรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 กรมพระราชวังบวรสถานมงคลที่ทรงดำรงตำแหน่งพระมหาอุปราชเสด็จทิวงคต เมื่อวันที่ 28 สิงหาคม พ.ศ. 2428 พระองค์จึงทรงมีพระราชดำริว่าตำแหน่งนี้ไม่เหมาะสมกับกาลสมัย มีประโยชน์น้อยและทำให้ชาวต่างประเทศเข้าใจสับสน จึงมีพระบรมราชโองการประกาศยกเลิกตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล เมื่อวันที่ 5 กันยายน ปีเดียวกัน 

และมีพระราชดำริต่อมาว่า พระราชอิสริยยศ ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช’ ซึ่งเรียกว่า ‘สมเด็จหน่อพระพุทธเจ้า’ ที่ได้ตั้งขึ้นไว้ตั้งแต่ครั้งสมเด็จพระเจ้าอู่ทองนั้น เป็นขัตติยราชประเพณีอันมีมาแต่โบราณกาล และสอดคล้องตามแบบอย่างการสืบสันตติวงศ์ของพระมหากษัตริย์ในนานาอารยประเทศ ที่มีราชประเพณีแต่งตั้งพระราชโอรสองค์ใหญ่เป็นมกุฎราชกุมารดำรงตำแหน่งรัชทายาท จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มี พระราชพิธีสถาปนา ‘สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ’ พระราชโอรสองค์ใหญ่ในสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี (สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี พระพันวัสสาอัยยิกาเจ้า) เฉลิมพระนามาภิไธยเป็น ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร’ ดำรงพระราชอิสริยยศตำแหน่งรัชทายาท เมื่อวันที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2429 

เวลาต่อมา ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร’ ทรงเสด็จสวรรคต เมื่อปี พ.ศ. 2437 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ประกาศสถาปนาพระราชโอรสพระองค์ลำดับถัดมา คือ สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ ในสมเด็จพระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี พระบรมราชินีนาถ (สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง) ขึ้นดำรงพระราชอิสริยยศเป็น ‘สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิราวุธ สยามมกุฎราชกุมาร’ เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2437 โดยทรงเสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 6 แห่งราชวงศ์จักรี ต่อจากสมเด็จพระบรมชนกนาถ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top