Saturday, 18 May 2024
โรงเรียน

‘ดร.หิมาลัย’ เตือน 'พนันออนไลน์' อันตรายไม่ต่างจาก 'ยาเสพติด' เยาวชนเข้าถึงได้ง่าย เพราะเล่นได้ ทุกที่ทุกเวลา

เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 66 ดร.หิมาลัย ผิวพรรณ ผู้ประสานงานพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ได้เล่าถึงประเด็น การพนันออนไลน์ ผ่านรายการ ‘คุยกับ ดร. หิมาลัย’ โดยระบุว่า…

พนันออนไลน์ร้ายกว่าเสพยา ทำไมหลายคนชอบเล่นการพนัน ถ้ามนุษย์เรามีความตื่นเต้นมีการลุ้น มันก็จะมีสารตัวนึงที่หลั่งออกมา สารนี้ชื่อว่าโดฟามีน

สารชนิดนี้ เป็นสารชนิดเดียว กับสารที่มาจากยาเสพติด มาเล่นการพนันสารชนิดนี้ก็จะหลั่งออกมาจากสมองผู้เล่นการพนันก็จะมีความรู้สึกว่าตัวเองมีความสุข ผู้เล่นการพนันจึงติดการเล่นพนัน

การเปิดบ่อนเสรีนั้น มีการถกเถียงกันมาโดยตลอดมีการหยิบยกข้อดีและข้อเสียมาพูดคุยกัน ข้อดีก็อย่างเช่นเป็นการหาเงินเข้าประเทศ เงินทองไม่รั่วไหลออกนอกประเทศ ข้อเสียก็อย่างเช่นอาจจะกระทบกับสถาบันครอบครัวซึ่งสุดท้ายแล้ว ตอนนี้ในประเทศไทยก็ยังไม่มีการเปิดก่อนเสรีกัน

การเปิดบ่อนการพนันนั้น อย่างน้อยก็จะต้องมีสถานที่ ในการเปิดบ่อน การพนัน การจะเข้าไปเล่นในบ่อนได้ก็จะมีผู้คัดกรอง ซึ่งเด็กๆไม่สามารถเข้าไปเล่นได้อย่างแน่นอน

แต่เมื่อพูดถึงการพนันออนไลน์ มันไม่จำกัดสถานที่ นี่คือสิ่งที่น่ากลัว นั่งอยู่ในห้องเรียน อาจารย์ กำลังสอนอยู่หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ก็สามารถเล่นการพนันได้แล้ว การพนันออนไลน์สามารถเล่นได้ทุกที่ทุกเวลา เด็กและเยาวชนก็สามารถเข้าไปเล่นได้ เพราะมันไม่มีการคัดกรอง ใช้เว็บเป็นก็สามารถเล่นได้หมด การพนันออนไลน์จึงเกิดการหาลูกค้าหน้าใหม่ขึ้นมา จากงานวิจัยนั้นผู้เล่นอายุ 15-25 ปี มีจำนวนอยู่ประมาณ 3 ล้านกว่าคน ซึ่งเป็นผู้เล่นหน้าใหม่ ซึ่งอายุขนาดนี้ ก็ย่อมจะเป็นผู้เล่นกลุ่มนักเรียนนักศึกษา เมื่อมันเล่นออนไลน์แล้วก็ไม่มีเงินกินข้าวไม่มีเงินไปโรงเรียน แล้วก็ไม่กล้าที่จะบอกพ่อแม่ สิ่งที่ตามมาก็คือการไม่เข้าห้องเรียน ขาดเรียน ปัญหาสังคมก็เกิดตามมา เมื่อไม่ไปโรงเรียนก็ไปรวมกันที่แหล่ง มั่วสุม แล้วก็เจอคนชักจูงไปในทางที่ผิดเด็กที่หน้าตาดีก็จะถูกชักจูงไปขายบริการทางเพศ ถ้าใจถึงหน่อยก็ชวนไปรับเล็กขโมยน้อยไปเป็นเด็กเดินยาเสพติดหรือไปก่ออาชญากรรมอื่นๆ ซึ่งก็จะเกิดปัญหาตามมา

เด็กวัยรุ่น ที่เดินเข้าสู่การพนันออนไลน์ก็จะมีค่านิยมอยากจะกินหรู อยู่สบาย งานเบา อยากจะหาเงินได้เงินแบบง่ายๆ แล้วเมื่อเด็กวัยรุ่นกลุ่มนี้อายุมากขึ้นเขาจะไปทำอะไรต่อ ในเมื่อเขาไม่เคยอดทนไม่เคยทำงานที่ลำบาก ก็อาจจะพัฒนาตัวเองขึ้นมาเป็นเจ้าของเว็บไซต์การพนันขนาดเล็ก จนเติบโตไปสู่เว็บพนันขนาดใหญ่เป็นวัฏจักร

ประเทศชาติ ไม่ได้อะไรจากการพนันออนไลน์เลย ภาษีก็ไม่ได้ เศรษฐกิจก็ไม่มีการพัฒนา แต่มีผลเสียก็คือไปดูดเงินของคนในสังคม ออกมาสู่เงินนอกระบบ

เจ้าของเว็บพนันออนไลน์ เมื่อมีเงินแล้วก็เริ่มจะเข้าสู่ สังคมด้วยการใช้เงินนั้นสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้ตัวเองดูดี เริ่มใช้เงินนั้นเข้าไปหาผู้มีอำนาจ เพื่อให้ผู้มีอำนาจนั้นการันตีตัวเองว่าตัวเองนั้นเป็นคนดี และต่อมา ก็อาจจะเข้าสู่การเป็นผู้มีอำนาจเสียเอง ก็จะเดินเข้ามาสู่การเมือง ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่อันตรายต่อประเทศชาติ

สื่อมวลชน เป็นอาชีพที่การพนันออนไลน์นั้นซื้อไม่ได้ เราจะเห็นได้ว่าเรื่องการพนันออนไลน์เรื่องนอกระบบนั้น ถูกเปิดเผยให้สังคมได้รับรู้ผ่านทางสื่อมวลชนที่มีจรรยาบรรณ ไม่ว่าคุณจะอยู่ตรงไหนสื่อมวลชนก็จะตามไปหาข้อมูลมานำเสนอต่อสังคม เพื่อเอามาตีแผ่

เปิด 7 สัญญาณเตือน ที่ทำให้ลูกคุณเปลี่ยนไป หลัง ‘เพื่อน-โรงเรียนใหม่’ เปลี่ยนเขาเป็น ‘เหยื่อ’

(4 ก.ค. 66) หลังจากที่ทุกสถานศึกษาได้เปิดเรียนมาช่วงระยะเวลาหนึ่ง เด็กๆ หลายคนอาจจะกำลังปรับตัวการกับการเข้าเรียนในโรงเรียนแห่งใหม่ หรือเจอเพื่อนใหม่ ซึ่งเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่อาจจะมีการไม่เข้าใจ ทะเลาะ หรือกระทบกระทั่งกันบ้าง แต่บางครั้งก็อาจรุนแรงถึงขั้นทำร้ายร่างกายกัน

ตำรวจสอบสวนกลาง (CIB) มีวิธีแนะนำสำหรับพ่อแม่หรือผู้ปกครอง ควรสังเกตอาการของลูกหลาน หากมีพฤติกรรมเหล่านี้ ควรสอบถามและดูแลอย่างใกล้ชิด เพราะอาจมีความเป็นไปได้ว่าบุตรหลานของท่านจะถูกทำร้ายที่โรงเรียน

1.) บาดแผลตามร่างกาย
รอยแผลที่เกิดจากการถูกทำร้ายบางครั้งอาจจะเป็นรอยช้ำนิดหน่อย แต่เป็นรอยฟกช้ำที่ดูผิดปรกติ เช่น รอยถูกหยิก หรือหูที่บวมแดง รอบบวมตามแขน ขา เป็นต้น

2.) พฤติกรรมที่เปลี่ยนไป
อาจมีพฤติกรรมที่ผิดแปลกจากเดิม ตกใจง่าย มีปัญหาการเข้ากับเพื่อน หรือไม่ยอมไปโรงเรียน หรือแสดงออกมาเป็นพฤติกรรมที่ควบคุมไม่ได้ เช่น การนอนสะดุ้งจากฝันร้าย หรือกลับไปฉี่รดที่นอนอีกครั้ง

3.) ความเงียบไม่ใช่เรื่องดีเสมอไป
เด็กหลายคนที่ถูกทำร้ายเลือกที่จะเงียบมากกว่าโวยวาย เพราะเด็กกลัวว่าเขาจะถูกทำร้ายมากขึ้น หรือแม้แต่กลัวว่าจะเข้ากับสังคมที่โรงเรียนไม่ได้ เด็กบางคนเลือกที่จะเงียบ เมื่อลูกเกิดเงียบจนผิดปกติ คุยน้อยลงจนน่าแปลกใจ หรือถามคำตอบคำแทนที่จะร่าเริง ให้คิดว่าอาจจะเกิดเรื่องขึ้นได้

4.) อารมณ์รุนแรง
การถูกทำร้ายร่างกายนั้นส่งผลกระทบต่อพัฒนาการของเด็ก ๆ และยังอาจจะทำให้เด็กเกิดพฤติกรรมอื่น ๆ เช่น เหม่อลอย ขี้ลืม สมาธิสั้น โกรธโมโหง่าย ฉุนเฉียวง่าย ที่อาจจะเกิดจากความคับข้องใจที่ต้องการระบาย บางคนแสดงออกด้วยความก้าวร้าว ต่อต้าน

5.) เริ่มมีการใช้ความรุนแรง
เห็นว่าการใช้ความรุนแรงอย่างการทำร้ายร่างกายทำให้เกิดผลดีได้ เช่น การที่เห็นเพื่อนโดนครูตีแล้วหยุดดื้อ หรือการที่เพื่อนโดนครูหยิกแล้วหยุดคุยกัน ทำให้เด็กแปรผลของพฤติกรรมทางลบนั้นเป็นเรื่องบวก ทำให้เกิดการเลียนแบบโดยใช้ความรุนแรง เพราะเขามองว่าความรุนแรงยุติปัญหาได้ ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ากลัวมาก ๆ

6.) ขาดความมั่นใจ
ถ้าอยู่ ๆ ลูกเคยทำอะไรได้ แต่กลับไม่กล้าทำ คุณพ่อคุณแม่อาจจะต้องเอะใจสักนิดว่าเกิดอะไรขึ้นที่โรงเรียนหรือไม่ อาจจะต้องใช้วิธีให้กำลังใจก่อนจะค่อย ๆ ถามว่าเกิดอะไรขึ้น พร้อมกับให้คำแนะนำ เพื่อเพิ่มความมั่นใจ และให้แนวคิดที่ถูกต้อง

7.) การกินและการนอนที่เปลี่ยนไป
เด็กที่ถูกทำร้ายอาจจะส่งผลต่อพฤติกรรมหลายอย่าง เด็กอาจจะเศร้าจนกินได้ไม่มากเท่าเดิม หรือนอนฝันร้าย นอนสะดุ้ง ปัสสาวะรดที่นอน เหล่านี้ล้วนเป็นสัญญาณที่คุณพ่อคุณแม่ต้องเอะใจว่าอาจจะเกิดเรื่องไม่ดีที่โรงเรียนอย่างแน่นอน

การตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในวัยเด็กนั้นถือเป็นเรื่องใหญ่ หลายคนอาจคิดว่าโตขึ้นเด็กคงลืมได้ แต่แท้จริงแล้วความรุนแรงนั้นจะแฝงอยู่จนเมื่อเด็กเหล่านี้โตขึ้น พวกเขาจะเลือกใช้ความรุนแรงเพื่อแก้ปัญหา เพราะเรียนรู้ในวัยเด็กว่า ความรุนแรงนั้นยุติปัญหาได้จริง ดังนั้นจึงขอให้พ่อแม่ ผู้ปกครอง ควรสังเกตอาการของลูก ๆ หลาย ในเบื้องต้น เพื่อป้องกันเด็กถูกทำร้าย และป้องกันตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงในโรงเรียน

‘ข้าวหมาร้านป้าอ้อย’ เมนูสุดฮือฮาแห่งโลกโซเชียล ออเดอร์เพียบ ไรเดอร์วิ่งเข้า-ออกกันทั้งวัน

‘ข้าวหมา’ ความอร่อยที่สวนทางกับรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างมาก

ลักษณะทางกายภาพ ไม่อาจตัดสินรสชาติได้ ‘ข้าวหมาร้านป้าอ้อย’ เมนูชื่อแปลก ที่เกิดขึ้นจากความบังเอิญ เนื่องจากร้านอาหารแห่งนี้ อยู่ใกล้โรงเรียนนครสวรรค์ ตอนหัวค่ำมีเด็กนักเรียนที่อยู่หอพักบริเวณนี้ เกิดความหิว และมาสั่งข้าวผัดกิน แต่ช่วงใกล้ปิดร้าน ทำให้วัตถุดิบของที่ร้านในตอนนั้น มีเพียงข้าว และบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปอย่างละนิดหน่อย แต่ด้วยความหิวของเด็กๆ เขายืนยันว่าทานได้ จึงตั้งใจผัดข้าวพร้อมกับบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปให้เด็กได้ทาน ซึ่งวันนั้น เมื่อเด็กได้เห็นครั้งแรก เขาก็อุทานออกมาเลยนะว่า เหมือนข้าวหมาเลย แต่ปรากฏว่า วันต่อมา เด็กคนเดิมกลับมาสั่งเอาข้าวหมาเหมือนอย่างวันเมื่อวานที่ป้าทำให้ จนเพื่อนๆ เห็นก็แปลกใจ จึงสั่งตาม กระทั่งทุกวันนี้ เขามาสั่งกินกันแบบนี้ตลอด กลายเป็นตำนาน ข้าวหมา ในที่สุด ซึ่งปัจจุบันเป็นเมนูยอดฮิตที่คนฮือฮา สั่งกันวันละหลายร้อยออเดอร์ 

สำหรับการทำ ‘ข้าวหมา’ มีส่วนประกอบหลักๆ คือ การนำข้าวสวย เส้นบะหมี่กึ่งสำเร็จรูปที่ต้มสุก น้ำพริกเผา ผักบุ้งจีนหมูสับ และปรุงด้วยสูตรของทางร้าน ลงไปผัดรวมกันในกระทะ ทำให้มีกลิ่นหอมชวนรับประทาน ได้รสชาติที่เข้มข้นลงตัว คือมีทั้งรสชาติ เปรี้ยว หวาน เค็ม เผ็ด ซึ่งความอร่อยนั้น สวนทางกับรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างมาก ขายในราคา35 บาท แต่ถ้าต้องการท็อปปิ้งเพิ่มจะมีตั้งแต่ 5-10 บาท

ร้านป้าอ้อย ตั้งอยู่ที่ หลังโรงเรียนชาย จังหวัดนครสวรรค์ ใครที่สนใจอยากจะลิ้มลองความอร่อย ก็สามารถติดต่อไปได้ที่ 085-530-0053

‘ฝรั่งเศส’ จ่อแบนชุด ‘อาบายะห์’ ของชาวมุสลิมในโรงเรียนรัฐฯ อ้าง!! ลดการบ่งบอกศาสนาที่นับถือ ผ่านการแต่งกาย-สัญลักษณ์

(29 ส.ค. 66) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการฝรั่งเศส ออกประกาศว่า เด็กนักเรียนหญิงในโรงเรียนรัฐบาลทุกแห่ง จะถูกห้ามไม่ให้ใส่ชุดคลุมยาวอาบายะห์ มาตรการนี้ จะเริ่มมีผลบังคับใช้ทันทีในภาคการศึกษาใหม่ โดยจะเริ่มต้นในวันที่ 4 กันยายนที่จะถึงนี้ โดยรัฐบาลจะประกาศแนวทางปฏิบัติในระดับประเทศต่อไป

ทั้งนี้ ฝรั่งเศสมีข้อบังคับเข้มงวด และห้ามไม่ให้มีการสวมใส่เครื่องแต่งกาย หรือแสดงสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเชื่อทางศาสนาอย่างชัดเจนในโรงเรียนรัฐฯ รวมถึงหน่วยงานราชการ มาตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 เพื่อไม่ให้ขัดต่อหลักปรัชญาโลกิยนิยม และไม่ก่อให้เกิดความรู้สึกแปลกแยก หรือไม่เป็นส่วนหนึ่งของสังคม ซึ่งข้อบังคับนี้ครอบคลุมไปถึงไม้กางเขนของศาสนาคริสต์ด้วย

‘กาเบรียล อัตตัล’ (Gabriel Attal) รัฐมนตรีกระทรวงศึกษาธิการ ได้ให้สัมภาษณ์กับ TF1 TV ว่า “เมื่อคุณเดินเข้ามาในห้องเรียน คุณไม่ควรจะรู้ศาสนาที่นักเรียนคนนั้น ๆ นับถือได้ทันทีจากการแค่มองดู ผมจึงตัดสินใจว่าไม่ควรให้สวมชุดคลุมอาบายะห์ในโรงเรียนอีกต่อไป”

ด้าน CFCM องค์กรที่เป็นตัวแทนชาวมุสลิม ระบุว่า เสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเพียงอย่างเดียว ไม่ถือเป็นสัญลักษณ์ทางศาสนา

‘ยูเครน’ สร้างโรงเรียนใต้ดิน ดึงการศึกษาคืนเยาวชน กลายเป็นห้องเรียนในหลุมหลบภัยที่แรกของประเทศ

(3 ต.ค. 66) สงครามรัสเซีย-ยูเครน ที่กินเวลายาวนานเกือบ 3 ปี ทำวิถีชีวิตของชาวยูเครนเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ซึ่งกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด หนีไม่พ้นกลุ่มเด็กเล็กวัยเรียนของยูเครน ที่หลายโรงเรียนจำเป็นต้องหยุดการเรียน การสอน เพราะอยู่ในเขตสู้รบ ในขณะที่อีกหลายแห่งจำเป็นต้องเปิดการสอนผ่านทางออนไลน์เท่านั้น

จึงเป็นเรื่องน่าเศร้า ที่เด็กๆ ยูเครนต้องจำใจจากบรรยากาศห้องเรียน เสียงกระดาน และฝุ่นชอล์ก เพียงเพราะความขัดแย้งรุนแรงในโลกของผู้ใหญ่

วันนี้ รัฐบาลท้องถิ่นเมืองคาร์คีฟจึงตัดสินใจสร้างโรงเรียนใต้ดิน ที่เปิดการเรียน การสอนแบบชั้นเรียนเต็มรูปแบบ ที่มีห้องเรียนมากกว่า 60 ห้อง ที่สามารถรองรับนักเรียนได้ถึง 1,000 คน นับเป็นโรงเรียนใต้ดินแห่งแรกของยูเครนอย่างเป็นทางการ

โดยทางการเมืองคาร์คีฟได้ดัดแปลงพื้นที่ภายในสถานีรถไฟใต้ดิน มาปรับสร้างเป็นโรงเรียนที่นักเรียนสามารถเข้ามานั่งเรียนได้อย่างปลอดภัย แม้จะมีสัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศบนภาคพื้นดินก็ตาม 

‘อิฮอร์ เทเลคอฟ’ นายกเทศมนตรีเมืองคาร์คีฟ ได้โพสต์ข้อความลงใน Telegram กล่าวว่า มั่นใจในความปลอดภัยของโรงเรียนใต้ดินแห่งแรกในคาร์คีฟมาก และโรงเรียนในหลุมหลบภัยแห่งนี้จะช่วยให้เด็กๆ นับพันคน มีโอกาสเรียนหนังสือในบรรยากาศที่มีปฏิสัมพันธ์โดยตรงกับเพื่อนร่วมชั้น และ ครู ได้อีกครั้งหนึ่ง

‘คาร์คีฟ’ เป็นเมืองทางภาคตะวันออกที่ใหญ่เป็นอันดับ 2 ในยูเครน และตั้งอยู่ห่างจากพรมแดนรัสเซียเพียง 35 กิโลเมตรเท่านั้น เมืองนี้เคยมีประชากรถึง 1.4 ล้านคน ก่อนเกิดสงครามระหว่าง 2 ชาติ อีกทั้งยังเคยเป็นเป้าหมายสำคัญของกองกำลังรัสเซีย ถึงแม้วันนี้คาร์คีฟจะสงบลงมากแล้ว แต่ยังมีสัญญาณเตือนภัย และการโจมตีทางอากาศเกิดขึ้นไม่เว้นในแต่ละวัน

ส่วนระบบขนส่งทางรถไฟใต้ดินของเมืองนี้ เปิดให้บริการตั้งแต่ปี 1975 นับเป็นเมืองที่ 2 ของยูเครนถัดจากกรุงเคียฟ ที่มีระบบรถไฟใต้ดินใช้ ปัจจุบันมีสายรถไฟ 3 สาย เปิดบริการ 30 สถานี โดยสถิติผู้ใช้งานรถไฟใต้ดินเมืองคาร์คีฟในปี 2018 มีมากถึง 223 ล้านคน

ต่อมาในปี 2022 ระหว่างที่เกิดการสู้รบระหว่างกองทัพยูเครน และรัสเซีย ในเมืองคาร์คีฟอย่างหนัก รถไฟใต้ดินถูกนำมาใช้เป็นหลุมหลบภัยของชาวเมืองนับแสนคน ทำให้ อิฮอร์ เทเลคอฟ นายกเทศมนตรี เกิดความคิดที่จะปรับเอาพื้นที่สถานีรถไฟใต้ดินบางส่วนมาเปิดสอนเด็กๆ ระหว่างหลบภัย

ก่อนจะพัฒนากลายเป็นชั้นเรียนทดลอง ที่นำหลักสูตรในโรงเรียนมาสอนอย่างจริงจังซึ่งนอกจากวิชาหลักที่ใช้สอนอย่าง คณิตศาสตร์ ภาษายูเครน ภาษาอังกฤษ และกิจกรรมสันทนาการเสริมแล้ว ยังเพิ่มทักษะการป้องกันตัวด้วยการเชิญตำรวจเข้ามาอธิบายวิธีการหาที่หลบอย่างปลอดภัย เมื่อได้ยินสัญญาณเตือนภัยการโจมตีทางอากาศอีกด้วย

‘โอฮา เดเมนโก’ ผู้อำนวยการสำนักงานด้านการศึกษาของเมืองคาร์คีฟ กล่าวว่า การที่เด็กเล็กๆ ขาดการปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนวัยเดียวกัน หรือกับบรรดาครูอาจารย์ที่โรงเรียนนานๆ อาจส่งผลต่อทักษะทางสังคมของเด็ก นอกจากนี้ เด็กๆ ยังมีภาวะเครียด จากผลกระทบของสงคราม จึงมีความจำเป็นที่ต้องดึงเด็กๆ กลับสู่ชั้นเรียนแบบปกติให้เร็วที่สุด

หลังจากที่ทดสอบห้องเรียนในหลุมหลบภัยมาแล้วหลายเดือน วันนี้ทางการเมืองคาร์คีฟจึงตัดสินใจเดินหน้า ขยายชั้นเรียนนำร่องโรงเรียนแห่งนี้ เป็นโรงเรียนใต้ดินเต็มรูปแบบแห่งแรกของประเทศ และจะนำหลักสูตรที่ทันสมัยที่สุดมาใช้ในโรงเรียนแห่งนี้ ซึ่งนายกเทศมนตรีให้คำมั่นสัญญาว่า จะไม่ตัดงบประมาณด้านการพัฒนาโรงเรียนแม้แต่เหรียญเดียว อีกทั้งยังตั้งเป้าผลักดันให้คาร์คีฟเป็นเมืองอัจฉริยะที่สุดในยูเครนอีกด้วย

แม้เสียงสงคราม และ สนามรบยังไม่จบ แต่อนาคตของเด็กๆ ชาวยูเครนยังต้องดำเนินต่อไป ที่ไม่อาจรอจนถึงวันสิ้นสงครามได้ แต่การศึกษาของเด็กๆ ในวันนี้สำคัญเสมอ

เรื่อง: ยีนส์ อรุณรัตน์

‘เพจดัง’ ฉะ!! ‘นโยบายปลอด 0 ร มส’ กัดกินการศึกษาไทย มองผิวเผินดีเลิศ แท้จริงทำเด็กขาดวินัย-ไร้ความรับผิดชอบ

(5 ต.ค. 66) เพจวันนั้นเมื่อฉันสอน ซึ่งเป็นเพจของครูหนุ่มในพื้นที่ต่างจังหวัดที่มีผู้ติดตามกว่า 1.6 แสนคน ได้เขียนบทความเรื่อง ‘นโยบายปลอด 0 ร มส กำลังผลิตเด็กที่ขาดความรับผิดชอบ’ ระบุว่า ดาบสองคมของนโยบายที่แสนดี พูดความจริงได้มั้ยกับการศึกษาไทย ถ้าพูดไม่ได้ทุกอย่างมันก็ดีเลิศประเสิฐศรีมณีเด้ง แต่ถ้าพูดได้คุณจะได้รับฟังความจริงอีกด้าน

นโยบายปลอด 0 ร มส แนวคิดอันแสนดีของระบบการศึกษาที่จะนำพาประเทศเราไปสู่ฝั่งฝัน เพราะเด็กทุกคนตั้งใจเรียนครูเอาใจใส่ช่วยเหลือเด็กให้จบการศึกษาได้ทุกคน

แต่ความจริงแล้วกลับไม่เป็นอย่างนั้นเพราะเด็กเกิดความรู้สึกว่า ‘เรียนยังไงก็ผ่าน’ ‘ไม่ส่งงานก็ผ่าน’ ‘ทำยังไงก็ผ่านวันสุดท้ายค่อยไปแก้’

สิ่งเหล่านี้ได้ก่อให้เกิดเด็กที่ไม่มีความรับผิดชอบอีกมากมายสู่สังคม คนตั้งใจเรียนก็ท้อใจเพราะคนที่ไม่ตั้งใจก็ผ่านเหมือนกันจนไม่รู้ว่าจะทำดีไปทำไมเพราะไม่เรียนก็ผ่านเหมือนกัน ครูเองก็ถูกบีบให้ตัดสินด้วยผลการเรียนปลอม ๆ ออกมา

ผมเคยคุยกับ ผอ.ของผมท่านหนึ่งเรื่องการรายงานผลอ่านเขียนว่าจะให้รายงานตามความจริงไหม ? ทำไมต้องถามอย่างงั้นล่ะเพราะสถานศึกษาบางแห่งเมกคะแนนสอบจนเป็นเรื่องปกติ ผลการสอบเลิศหรูแต่เด็กก็อ่านไม่ออกก็มี มีการโกงข้อสอบเอาเฉลยมาให้บอก และที่มันเป็นแบบนี้ส่วนหนึ่งเพราะนโยบายที่บีบลงมาต้องได้ 90 เต็มร้อย จึงจะมีหน้าตาอยู่ได้

ระบบที่ครูพูดความจริงไม่ได้ ระบบที่ครูตัดสินตามความจริงไม่ได้กำลังกัดกินการศึกษาไทย ในชั้นเรียนระดับมัธยมเราจะเจอทั้งเด็กที่อ่านไม่ออกท่องสูตรคูณไม่ได้เป็นเรื่องปกติ ‘เพราะอ่านไม่ออกก็ได้เลื่อนชั้นอยู่ดี’

ถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราต้องตั้งคำถามว่า สิ่งที่เป็นอยู่มันดีแล้วจริง ๆ ใช่ไหมกับการทำให้เด็กเกิดความคิดว่า ‘เรียนอย่างไรก็ได้ ทำยังไงก็ผ่าน’

ถ้ามันดีจริงก็คงไว้ แต่ถ้ามันไม่ได้ดีอย่างที่คิดก็ควรเกิดการเปลี่ยนแปลงปัญหาการศึกษาเป็นปัญหาของทุกคนเพราะถ้าเด็กคนหนึ่งได้รับการศึกษาที่ไม่มีคุณภาพวันหนึ่งเขาอาจจะเป็นภัยของสังคม ลูกคุณเรียนเก่งแล้วเรียนดีแล้ว คุณให้การอบรมสั่งสอนที่ดี แต่วันหนึ่งเขาอาจจะถูกทำร้ายจากเด็กคนอื่นที่ขาดการศึกษาที่ดีของสังคมก็ได้

จงอย่ารอให้เรื่องเหล่านี้เกิดขึ้น

สุดช็อก!! เหตุกลั่นแกล้งในโรงเรียนที่ ‘ญี่ปุ่น’ พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ เผย ปี 2022 พบเด็กขาดเรียน-ถูกแกล้ง-ใช้ความรุนแรงกว่า 6 แสนเคส

เมื่อวันที่ 4 ต.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, โตเกียว รายงานว่า กระทรวงศึกษาธิการ วัฒนธรรม กีฬา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีของประเทศญี่ปุ่น รายงานว่ากรณีกลั่นแกล้งอันเป็นที่รับรู้ในโรงเรียนของญี่ปุ่น พุ่งสูงเป็นประวัติการณ์กว่า 680,000 กรณีในปีการศึกษา 2022

ผลสำรวจจากกระทรวงฯ พบว่ากรณีกลั่นแกล้งอันเป็นที่รับรู้ในโรงเรียนประถม มัธยมต้น และมัธยมปลายของญี่ปุ่นในปีการศึกษา 2022 ซึ่งสิ้นสุดเดือนมีนาคม รวมอยู่ที่ 681,948 กรณี เพิ่มขึ้นจากปีการศึกษาก่อนหน้ามากกว่า 60,000 กรณี และเพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 10

กรณีกลั่นแกล้งอันเป็นที่รับรู้ในโรงเรียนของญี่ปุ่นในปีการศึกษา 2022 แบ่งเป็นโรงเรียนประถม 551,944 กรณี โรงเรียนมัธยมต้น 111,404 กรณี โรงเรียนมัธยมปลาย 15,568 กรณี และโรงเรียนการศึกษาพิเศษ 3,032 กรณี

ทั้งนี้ มีกรณีกลั่นแกล้งอันเป็นที่รับรู้ในโรงเรียนของญี่ปุ่นที่ถูกพิจารณาเป็นกรณี ‘ร้ายแรง’ เนื่องด้วยเด็กที่ถูกกลั่นแกล้งฆ่าตัวตายหรือไม่มาเรียนทั้งหมด 923 กรณี

ผลสำรวจยังพบโรงเรียนในญี่ปุ่น 29,842 แห่ง หรือคิดเป็นร้อยละ 82.1 เผยว่ามีการรับรู้ถึงกรณีกลั่นแกล้ง ซึ่งเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากปีการศึกษาก่อนหน้า ขณะจำนวนพฤติกรรมใช้ความรุนแรงและการไม่เข้าเรียนพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ด้วย

สำหรับปีการศึกษา 2022 ญี่ปุ่นมีเด็กขาดเรียนเป็นเวลา 30 วันขึ้นไป เพิ่มขึ้นติดต่อกันเป็นปีที่ 10 อยู่ที่ 299,048 คน ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ และเพิ่มขึ้นกว่า 54,000 คน หรือร้อยละ 22 จากปีการศึกษาก่อนหน้า

หมู่บ้านดัง ร้องโรงเรียนเลิกใช้นกหวีดจัดจราจร อ้างเสียสุขภาพจิต  ทั้งที่ รร.มาก่อนหมู่บ้าน 30 ปี แถมตอนสร้างก็ไม่มีใครออกมาบ่น

เมื่อวานนี้ (25 ธ.ค.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผู้ใช้เฟซบุ๊ก Theeraphat Sirirat โพสต์ถึงกรณีปัญหาการปรับตัวระหว่างโรงเรียนกับชุมชนใกล้เคียง โดยระบุว่า…

“โรงเรียนแห่งหนึ่งตั้งมาก่อนหมู่บ้านเกือบ 30 ปี

แต่พอมีหมู่บ้านแล้วผู้คนเริ่มเข้ามาพักอาศัย กลับถูกผู้พักอาศัยบางกลุ่มร้องเรียนเรื่องการจราจร
(เสียงนกหวีด) ที่ว่าทำให้ส่งผลเสียต่อสุขภาพจิต ให้เปลี่ยนไปใช้สัญญาณไฟแทน

อย่าลืมว่า มันคือเขตโรงเรียน ความปลอดภัยหน้าโรงเรียนต้องมีเป็นอันดับแรก ยังไงก็ขอให้ปรับสภาพและหาพื้นที่ตรงกลางกันให้ได้นะครับ จะได้อยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข”

ขณะที่มีผู้มาคอมเมนต์ ระบุว่า ในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการก่อสร้างโรงเรียนได้รับผลกระทบเรื่องรถบรรทุกที่เข้ามาถมดินในโครงการในช่วงเวลาที่นักเรียนต้องมาโรงเรียน ครูก็อำนวยความสะดวกให้ต่างๆ ทำไมโรงเรียนไม่เคยร้องเรียนคุณเลย นั้นเพราะเรามองเห็นการเปลี่ยนแปลงและโรงเรียนต้องปรับตัวเหมือนที่ครูได้เล่าให้ฟังทุกอย่าง ที่โรงเรียนมีกิจกรรมเราถูกร้องเรียนหมดครับ แต่เราเลือกที่จะเงียบแค่นั้นเอง

และระบุว่า เสียงนกหวีดจะหายไป ปิดถนนข้างโรงเรียนกลับไปใช้เส้นทางเดิมเหมือนเมื่อก่อน วนขวาไปไม่มีถนนตรงนี้เราก็อยู่ได้ นักเรียนข้ามถนนได้ปลอดภัยครูไม่ต้องเป่านกหวีด นักเรียนครูปลอดภัย…เพื่อลดแรงกระแทกของผู้พักอาศัยเพียงคนเดียว…แต่เขาต้องตอบสังคมให้ได้ครับ…ว่าต้องการเช่นนั้นไหม

ในฐานะครูเป็นหัวหน้างานจราจรของโรงเรียน ครูปรับเปลี่ยนการเดินรถของครูและบุคลากรของโรงเรียนให้วนเข้าประตูด้านหลังเข้าประตู 2 ข้างห้องพลศึกษา เพื่อที่จะไม่ขวางรถที่จะต้องวิ่งผ่านทางตรงหน้าโรงเรียนและเข้าซอยหมู่บ้าน ทุกคนปรับเปลี่ยนเวลาที่ปริมาณรถที่มาจากไทยรามัญจำนวนมาก เราก็จะปล่อยในปริมาณมาก เราทำแบบนี้ทุกวัน รถจำนวนมาก คนจำนวนมาก เราจึงจำเป็นต้องใช้สัญญาณนกหวีดเพื่อเป็นการออกคำสั่งระยะไกล เสียงนกหวีดยาวคือหยุด สั้นๆ สลับกันคือให้เคลื่อนที่ และเราเป่าเฉพาะทิศทางหน้าโรงเรียนให้หยุดทางทิศทางรถที่มาจากไทยรามัญเท่านั้น นอกนั้นกรรมการนักเรียนจะมีธงสีแดงกั้นรถ แค่ช่วงเวลา 06.30-07.30 น. หลังจากนั้นจะปล่อยรถวิ่งสวนกันสลับกันเองตามปกติ แค่นั้น

ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าโรงเรียนดังกล่าวอยู่ในย่าน ถนนไทยรามัญ แขวงสามวาตะวันตก เขตคลองสามวา กรุงเทพมหานคร

‘คารม’ ย้ำ สถานศึกษาต้องยกเลิกคำสั่งอยู่เวรในโรงเรียน ยัน!! ‘รัฐบาล-ศธ.’ ให้ความสำคัญกับชีวิตครูมากกว่าสิ่งใด

(28 ม.ค. 67) นายคารม พลพรกลาง รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวย้ำให้สถานศึกษายกเลิกคำสั่งอยู่เวรรักษาการณ์ที่สั่งไว้เดิมโดยทันที ส่วนมาตรการที่เกี่ยวกับการรักษาความปลอดภัยสถานที่ราชการ อยู่ระหว่างดำเนินการของกระทรวงศึกษาธิการ หากดำเนินการแล้วเสร็จจะแจ้งให้ทราบต่อไป

นายคารม กล่าวว่า เพื่อสร้างความเข้าใจที่ตรงกัน และเพื่อให้การปฏิบัติไปในทิศทางเดียวกัน ทางเลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้มีหนังสือด่วนที่สุด ถึงผู้อำนวยการสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษา (สพท.) ทุกเขต เรื่อง ซักซ้อมความเข้าใจในการดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการ โดย ให้สถานศึกษาได้รับการยกเว้นการปฏิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 6 กรกฎาคม 2542 (เรื่อง การปรับปรุง แก้ไข หรือยกเลิกมติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับการจัดเวรรักษาการณ์ประจำสถานที่ราชการ) และดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง ดังต่อไปนี้

การดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการในพื้นที่กรุงเทพมหานคร

1.1) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร เป็นหน่วยงานหลักในพื้นที่ระดับจังหวัด ประสานศึกษาธิการจังหวัด เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล เพื่อให้ได้ซึ่งมาตรการรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการ และแผนเผชิญเหตุให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2567 เรื่อง การดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการให้แก่สถานศึกษาในจังหวัด ตามบริบทของพื้นที่และความเหมาะสม

1.2) ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอื่น นอกเหนือจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษากรุงเทพมหานคร สรุปข้อมูลจำนวนสถานศึกษาในสังกัด เพื่อบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานฝ่ายปกครองและสถานีตำรวจนครบาล เพื่อวางแผนในการดูแลรักษาความปลอดภัยสถานศึกษา ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่และให้สอดคล้องตามข้อ 1.1 การดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการในพื้นที่จังหวัดอื่น

2.1) สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 เป็นหน่วยงานหลักในพื้นที่ระดับจังหวัด ประสานศึกษาธิการจังหวัด เพื่อบูรณาการการทำงานร่วมกับผู้ว่าราชการจังหวัด และผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัด เพื่อให้ได้ซึ่งมาตรการรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการ และแผนเผชิญเหตุให้เป็นไปตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2567 เรื่อง การดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานที่ราชการให้แก่สถานศึกษาในจังหวัด ตามบริบทของพื้นที่และความเหมาะสม

2.2) ให้สำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาอื่น นอกเหนือจากสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา เขต 1 ดำเนินการบูรณาการร่วมกันกับหน่วยงานฝ่ายปกครองระดับอำเภอ และสถานีตำรวจภูธร เพื่อวางแผนในการดูแลรักษาความปลอดภัยในสถานศึกษาในสังกัด ให้เหมาะสมกับบริบทของพื้นที่ และให้สอดคล้องกับแผนระดับจังหวัดตามข้อ 2.1

“รัฐบาล และกระทรวงศึกษาธิการ ให้ความสำคัญกับสวัสดิภาพและความปลอดภัยของครู นักเรียน และสถานศึกษา ทั้งนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจต่อครู ขอให้ผู้อำนวยการสถานศึกษายกเลิกคำสั่งให้ครูอยู่เวรรักษาการณ์ในโรงเรียน และขอให้ครูมั่นใจว่าการไม่อยู่เวรฯ ไม่มีความผิด” นายคารม กล่าว

‘จีน’ เตรียมดึง ‘ครูเกษียณ’ กลับมาทำงาน หวังช่วยพัฒนาการศึกษาโรงเรียนเอกชน

(14 ก.พ.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า หนังสือเวียนจากกระทรวงศึกษาธิการของจีนเผยว่าจีนกำลังพยายามปรับปรุงคุณภาพการศึกษาในโรงเรียนเอกชน ด้วยการส่งเสริมให้ครูเกษียณอายุที่มีประสบการณ์เข้ามาสนับสนุนการทำงาน

หนังสือเวียนระบุว่าจะมีการเปิดตัวโครงการรณรงค์พิเศษเพื่อส่งเสริมให้ครูเกษียณอายุมีส่วนร่วมสนับสนุนการสอนและการวิจัยในโรงเรียนเอกชน ซึ่งคาดว่าหลังจากเปิดตัวโครงการดังกล่าวจะมีการคัดเลือกครูเกษียณอายุราว 20,000 คนทุกๆ ปี

โดยครูเกษียณอายุได้รับการส่งเสริมให้ช่วยทำงานในโรงเรียนเอกชนในภูมิภาคทางตะวันตกของจีนและภูมิภาคของกลุ่มชาติพันธุ์ส่วนน้อย โดยระหว่างนี้คาดการณ์ว่าบรรดาโรงเรียนเอกชนจะพัฒนาระบบพี่เลี้ยงสำหรับครูเกษียณอายุ เพื่อเป็นการแบ่งปันความรู้และประสบการณ์กับเพื่อนร่วมอาชีพรุ่นใหม่


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top