Friday, 3 May 2024
อุ๊งอิ๊ง

'เพื่อไทย' ยุ่งแล้ว!! คนอีสานชู 'สุดารัตน์' ขึ้นแท่นนายกฯ 'แพทองธาร' มาที่สอง

ถือว่ามาตามนัด สำหรับ 'หญิงอ้อ' คุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ ที่เฉิดฉายอย่างยิ่งในกิจกรรม 'สะบัดชัย เพื่อไทยมาเหนือ' ณ ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้านานาชาติฯ จ.เชียงใหม่ พร้อมเพรียงด้วยบุคคลในครอบครัวนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพลพรรคเพื่อไทย ซึ่งต่างมาให้กำลังใจคุณแพทองธาร ชินวัตร กันอย่างคับคั่ง ประกาศศักดาครอบครัวเพื่อไทยยืนหนึ่งในเวทีการเลือกตั้งหนหน้า

ทว่าในวันนี้ (10 ก.ย.65) อีสานโพล ศูนย์วิจัยธุรกิจและเศรษฐกิจอีสานมหาวิทยาลัยวิทยาลัยขอนแก่น ได้เปิดเผยผลสำรวจในหัวขัอ 'ความเครียดของคนอีสานกับปัญหาเศรษฐกิจ' โดยผลการสำรวจพบว่า 3 ปัญหาที่คนอีสานกำลังเผชิญและมีความเครียดมากที่สุด คือ ค่าครองชีพสูงและราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ค่าใช้จ่ายด้านพลังงานเพิ่มขึ้นมาก และรายได้ไม่พอกับรายจ่ายจนต้องมีหนี้เพิ่ม และยังมีปัญหาเศรษฐกิจอื่นๆ ที่คนอีสานราวๆ 30% รู้สึกเครียดมากและรอการบรรเทาปัญหา ไม่ว่าจะเป็นการหางานใหม่ยากหรือหางานทำยาก ภาระรายจ่ายด้านการศึกษา ผ่อนชำระหนี้กับสถาบันการเงินไม่ไหวขาดทุนจากการทำเกษตรหรือแทบไม่มีกำไร ขาดแคลนเงินทุนหรือสินเชื่อในการทำมาหากิน เป็นผู้สูงอายุที่มีเงินไม่พอใช้หรือมีภาระต้องเลี้ยงดูผู้สูงอายุ และผ่อนชำระหนี้นอกระบบไม่ไหว

รศ.ดร.สุทิน เวียนวิวัฒน์ หัวหน้าโครงการอีสานโพล เปิดเผยว่า การสำรวจนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อสำรวจความคิดเห็นของคนอีสานต่อความเครียดที่คนอีสานกำลังเผชิญกับปัญหาเศรษฐกิจและการเงินเพื่อสะท้อนปัญหาของคนอีสานให้กับทางภาครัฐหรือพรรคการเมืองต่างๆ ได้หาแนวทางบรรเทาปัญหาเศรษฐกิจให้กับคนอีสาน จากกลุ่มตัวอย่างอายุ 18 ปีขึ้นไป 1,065 รายในเขตพื้นที่ภาคอีสาน 20 จังหวัด โดยเมื่อสอบถามกลุ่มตัวอย่างเกี่ยวกับความเครียดเกี่ยวกับปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเงินใน 14 ประเด็น 

แต่ประเด็นไฮไลต์จากผลโพลล์ดังกล่าว อยู่ที่ 'การเลือกตั้งครั้งใหม่ อยากให้ใครเป็นนายกรัฐมนตรี' เพื่อมาแก้ปัญหาเศรษฐกิจ พบว่า อันดับ 1 เป็นของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ ร้อยละ 23.4 รองลงมาคุณแพทองธาร ชินวัตร ร้อยละ 21.1 อันดับ 3 คุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ร้อยละ 20.2 ตามมาด้วย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ร้อยละ 12.5 นานอนุทิน ชาญวีรกุล ร้อยละ 9.9 คนอื่นๆ จากพรรคเพื่อไทย ร้อยละ 6.5 คุณจุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ ร้อยละ 2.8 พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส ร้อยละ 1.7 และอื่นๆ ร้อยละ 1.9

'นิด้า' เผยโพล คนอีสาน ยก 'อุ๊งอิ๊ง' ยืนหนึ่ง นั่งนายกรัฐมนตรี ยก 'พิธา' เป็นที่สอง

(9 ต.ค. 65) ศูนย์สำรวจความคิดเห็น 'นิด้าโพล' สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เปิดเผยผลสำรวจของประชาชน เรื่อง “คนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ของคนอีสาน” ทำการสำรวจระหว่างวันที่ 3-6 ตุลาคม 2565 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ กระจายทุกระดับการศึกษา อาชีพ และรายได้ รวมทั้งสิ้น จำนวน 2,000 หน่วยตัวอย่าง เกี่ยวกับคนที่ใช่ พรรคที่ชอบ ของคนอีสาน การสำรวจอาศัย การสุ่มตัวอย่างโดยใช้ความน่าจะเป็นจากบัญชีรายชื่อฐานข้อมูลตัวอย่างหลัก (Master Sample) ของ 'นิด้าโพล' สุ่มตัวอย่างด้วยวิธีแบบง่าย (Simple Random Sampling) เก็บข้อมูลด้วยวิธีการสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ โดยกำหนดค่าความเชื่อมั่น ร้อยละ 97.0

จากการสำรวจเมื่อถามถึงบุคคลที่คนอีสานจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรีในวันนี้ พบว่า อันดับ 1 ร้อยละ 36.45 ระบุว่าเป็น

น.ส.แพทองธาร (อุ๊งอิ๊งค์) ชินวัตร (พรรคเพื่อไทย) เพราะ เป็นคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบพรรคเพื่อไทย นโยบายของพรรคทำได้จริง ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบผลงานของตระกูลชินวัตร

อันดับ 2 ร้อยละ 12.65 ระบุว่าเป็น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ (พรรคก้าวไกล) เพราะ เป็นคนรุ่นใหม่ ชื่นชอบการอภิปรายในสภาผู้แทนราษฎร เป็นคนมีวิสัยทัศน์ ขณะที่บางส่วนระบุว่า ชื่นชอบนโยบายและอุดมการณ์ทางการเมืองของพรรคก้าวไกล

อันดับ 3 ร้อยละ 10.20 ระบุว่าเป็น คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ (พรรคไทยสร้างไทย) เพราะ มีประสบการณ์ด้านการบริหาร ชื่นชอบนโยบายของพรรค ซื่อสัตย์สุจริต ขณะที่บางส่วนระบุว่า ต้องการเปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาบริหารประเทศ และยังหาคนที่เหมาะสมไม่ได้

ในสัดส่วนที่เท่ากัน อันดับ 4 ร้อยละ 9.85 ระบุว่าเป็น พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา เพราะ ซื่อสัตย์สุจริต ทำให้บ้านเมืองเกิดความสงบ และต้องการให้บริหารประเทศอย่างต่อเนื่อง อันดับ 5 ร้อยละ 6.50 ระบุว่าเป็น พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียเวส (พรรคเสรีรวมไทย) เพราะ เป็นคนตรงไปตรงมา มีความซื่อสัตย์สุจริต และชื่นชอบวิธีการทำงาน อันดับ 6 ร้อยละ 3.95 ระบุว่าเป็น นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว (พรรคเพื่อไทย) เพราะ ชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา เป็นคนที่พูดจริงทำจริง และชื่นชอบพรรคเพื่อไทย อันดับ 7 ร้อยละ 2.80 ระบุว่าเป็น นายอนุทิน ชาญวีรกูล (พรรคภูมิใจไทย) เพราะ ชื่นชอบวิธีการทำงาน และชื่นชอบนโยบายของพรรคภูมิใจไทย ขณะที่บางส่วนระบุว่า เป็นคนลงพื้นที่ดูแลประชาชนอย่างต่อเนื่อง อันดับ 8 ร้อยละ 1.75 ระบุว่าเป็น นายกรณ์ จาติกวณิช (พรรคชาติพัฒนากล้า) เพราะ มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ เป็นผู้มีประสบการณ์ด้านการบริหาร และชื่นชอบผลงานที่ผ่านมา

อันดับ 9 ร้อยละ 1.30 ระบุว่าเป็น ดร.สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ (พรรคสร้างอนาคตไทย) เพราะ มีความรู้ มีความเชี่ยวชาญด้านเศรษฐกิจ ขณะที่บางส่วนระบุว่า เชื่อมั่นในการทำงาน และร้อยละ 4.35 ระบุอื่น ๆ ได้แก่ ดร.ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ (พรรคพลังประชารัฐ) น.ส.กัญจนา ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ (พรรคประชาธิปัตย์) นายมิ่งขวัญ แสงสุวรรณ์ นายมงคลกิตติ์ สุขสินธารานนท์ (พรรคไทยศรีวิไลย์) นายเทวัญ ลิปตพัลลภ (พรรคชาติพัฒนากล้า) นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม (พรรคไทยภักดี) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ (พรรคประชาธิปัตย์) นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา (พรรคประชาชาติ) นายวราวุธ ศิลปอาชา (พรรคชาติไทยพัฒนา) ดร.สุทิน คลังแสง (พรรคเพื่อไทย) และไม่ตอบ/ไม่สนใจ

'อุ๊งอิ๊ง' ถูกต้้งคำถาม 'พรรคเพื่อไทย' มีจุดยืนที่ชัดเจนอย่างไรต่อ 'ม.112'

(28 ต.ค. 65) ดร.ศุภณัฐ อภิญญาณ หรือ 'ดร.นิว' นักวิจัยภายใต้สถาบันวิจัย MAST Center และ คณะวิศวกรรมชีวการแพทย์ University of Arkansas ประเทศสหรัฐอเมริกา ได้โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊กถึง น.ส. แพทองธาร ชินวัตร เป็นประธานที่ปรึกษาพรรคเพื่อไทย ด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ว่า

ในฐานะของประชาชน ขออนุญาตสอบถามไปยังหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทยอย่างคุณอุ๊งอิ๊งหน่อยครับ พรรคเพื่อไทยมีจุดยืนที่ชัดเจนอย่างไรต่อ ม.112 ครับ ขอบคุณครับ Ing Shinawatra


ที่มา : https://www.thaipost.net/x-cite-news/251220/

‘อุ๊งอิ๊ง’ เทียบฟอร์ม APEC 19 ปีก่อนยุคไทยรักไทย ไม่ใช่แค่เชิญใครมาหรือจัดงานได้ยิ่งใหญ่แค่ไหน

(16 พ.ย. 65) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรมพรรคเพื่อไทย ในฐานะหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย โพสต์ เฟซบุ๊ก เรื่อง APEC ระบุว่า...

เมื่อ 19 ปีที่แล้ว รัฐบาลไทยรักไทย ใช้ APEC เป็นเวทีสำคัญในการส่งเสริมเศรษฐกิจประเทศไทยที่กำลังฟื้นฟูหลังวิกฤตต้มยำกุ้งและโรคระบาดซาร์ส

เวที APEC ครั้งนั้น คือโอกาสสำคัญที่จะใช้การทูตเชิงเศรษฐกิจ เพื่อสร้างผลประโยชน์แก่ประชาชนให้ได้มากที่สุด รัฐบาลตอนนั้นมีความตั้งใจจะสร้างความร่วมมือระหว่างกลุ่มประเทศสมาชิก APEC หรือ 21 เขตเศรษฐกิจที่มีความแตกต่างและความหลากหลายสูง 

เพราะถ้าประเทศไทยเราทำข้อตกลงต่าง ๆ ได้สำเร็จ ไม่ว่าจะเป็นข้อตกลงทางเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศ ก็จะเกิดการจ้างงาน สร้างโอกาส สร้างรายได้ เกษตรกรมีรายได้ ผู้ส่งออกได้ส่งออกสินค้า มีเงินตราไหลเข้าประเทศ และพลิกฟื้นเศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว 

ดังนั้น เราในฐานะที่เป็นประชาชนคนไทยคนหนึ่ง จึงคาดหวังค่ะว่าจะได้รับผลประโยชน์อะไรจากการประชุม APEC ครั้งนี้ เหมือนครั้งเมื่อ 19 ปีที่แล้วที่รัฐบาลยึดถือและมีหัวใจคือประชาชนเป็นสำคัญ 

ดิฉันเชื่อว่าประเทศไทยมีศักยภาพและมีเสน่ห์มากพอที่จะดึงดูดให้ใครหลาย ๆ คน หลาย ๆ ประเทศ ให้ความสนใจในระดับเวทีโลก 19 ปีที่แล้ว เรายังทำได้ เป็นทั้งหนึ่งในผู้นำสำคัญของอาเซียนและยังถูกพูดถึงว่าเป็นเสือตัวที่ 5 ของเอเชีย ในปีนี้ ก็ต้องทำได้เช่นกัน

‘เศรษฐา ทวีสิน’ ผู้มีกลิ่นอายคล้าย ‘ทักษิณ’ หมากใหม่ ‘ตระกูลชิน’ ที่กำลังเร่งแสงเรียกศรัทธา

สำหรับคอการเมืองแล้ว ทุกคนคุ้นหูนักธุรกิจชื่อ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารบริษัท แสนสิริ จำกัด ดี แต่ช่วงนี้ดูเหมือนว่าซีอีโอแสนสิริที่เพิ่งเปิดตัวว่าจะเป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีในพรรคเพื่อไทยจะหิวแสงแสวงทัวร์ลงเป็นพิเศษ ซึ่งไม่น่าแปลกใจหรอก เพราะนี่เป็นเพียงยุทธศาสตร์สร้างความสนใจ เพื่อให้เป็นที่กล่าวขวัญถึงในโลกโซเชียลแบบไม่ต้องควักกระเป๋าโปรโมทตัวเองโดยไม่ต้องจ้างทีมพีอาร์แต่อย่างใด  

คนอย่างเศรษฐา รู้จักการใช้สื่อโซเชียลเป็นอย่างดี ไม่ใช่ไก่กามาจากไหน เพราะนิยมใช้สื่อโซเชียล โดยเฉพาะทวิตเตอร์ สื่อสารกับคนรุ่นใหม่อยู่ตลอดเวลา

ล่าสุด โพสต์ข้อความว่า “ถ่ายทอดสดบอลโลก 300 ล้านได้ถ่าย 32 คู่และได้เลือกคู่เด็ดๆ ก่อน 600 ล้านได้ที่เหลือ 32 คู่ ที่นี่ประเทศไทยที่ต้องการการเปลี่ยนแปลงครับ”0

เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นดราม่า รถทัวร์จอดเพียบเต็มพื้นที่ เพราะชาวเน็ตถามว่าทางแสนสิริช่วยออกเงินค่าลิขสิทธิ์บอลโลกกี่บาท ซึ่งเศรษฐาตอบว่า “ไม่ได้ออกครับ” แล้วอ้างว่าบริษัทตนนั้นเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์ เล่นเอาเสียงวิพากษ์วิจารณ์กระหึ่ม ส่วนหนึ่งบอกว่าหากอยากเป็นแคนดิเดตนายกให้เปลี่ยนแปลงตัวเองก่อนที่จะสร้างกระแสความขัดแย้งให้สังคม เพราะกลุ่มบริษัทที่ช่วยออกเงินก็ไม่ใช่องค์กรสื่อ ธุรกิจอะไรถ้าอยากช่วยเหลือคนไทย ก็สามารถทำได้ทั้งนั้น 

ก่อนหน้าที่ไทยจะเป็นเจ้าภาพเอเปกเพียงแค่วันเดียว เศรษฐา ทวีสินก็ตีปลาหน้าไซ ด้วยการโพสต์ข้อความว่า...“6-8 ปีที่ผ่านมา ผู้นำของเราไม่ได้นำประเทศไทยไปมีจุดยืนในเวทีโลกเลย ผู้นำคนต่อไปผมว่าต้องกล้าที่จะเดินออกไปสู่เวทีโลก” 

มองมาจากดาวอังคารยังเห็นว่า ต้องการดิสเครดิตนายกรัฐมนตรีของไทยที่เป็นเจ้าภาพในการจัดงานใหญ่ระดับโลก เป็นเหมือนการ 'ตีกัน' และ 'ตีกิน' ทางการเมืองของ 'ว่าที่' แคนดิเดตเพื่อไทย แบบมุขห้าบาทสิบบาทก็เอา ขอให้ได้แซะตีกระทบชิ่งบางคน

นี่เป็นหนังตัวอย่างที่ฉายให้เห็น 'ตัวตน' ของว่าที่แคนดิเดตพรรคเพื่อไทย ประเด็นที่น่าคิดคือทำไมต้องพรรคเพื่อไทย รู้ทั้งรู้ว่าหัวคะแนนทางอีสานเชิดชูสเปิร์มพันธ์แท้ของทักษิณ ชินวัตร อย่างอุ๊งอิ๊งสุดหัวใจ ที่น่าจับตามองคือ คนในตระกูลชินวัตรเปิดไฟเขียวพร้อมโบกธงให้เศรษฐาเข้ามาเป็นแคนดิเดตในพรรคอย่างชัดเจน 

ทั้งนี้หากให้ประเมินสถานการณ์ก็น่าจะเป็นความรักลูกสาวคนเล็กที่ตอนนี้กำลังท้องกำลังไส้ ไม่อยากให้เสี่ยงเกินตัว ดังเห็นได้จากการให้เล่นบท ‘หัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย’ เท่านั้น แต่ก็นั่นแหละ ขนาดบทบาทนี้ ระดับหัวหน้าพรรคอย่างหมอชนน่านยังโค้งคำนับจนหลังแทบหักมาแล้ว 

การที่หวยมาออกที่เศรษฐา ทวีสิน เพราะภาพลักษณ์ของเศรษฐาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จระดับประเทศ ขณะที่อุ๊งอิ๊งยังเด็กเกินไป การดันเศรษฐาไม่ใช่เรื่องใหม่ คอการเมืองต่างรู้ว่านายใหญ่ดันให้เป็นหนึ่งในรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย มาตั้งแต่ปี 2563 หรือเมื่อ 2 ปีก่อน การดันเถ้าแก่แสนสิริเป็นแคนดิเดตเพราะมีความ ‘เหมือน’ ทักษิณหลายด้าน โดยเฉพาะการบริหารประเทศแบบเดียวกับบริหารบริษัท

‘อุ๊งอิ๊ง’ เปิดแคมเปญเลือกตั้ง 'คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน' ชู!! ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ปริญญาตรี 25,000 บาทต่อเดือน

แพทองธาร เปิด 10 นโยบายพลิกฟื้นประเทศ ปี 2570 โดยรัฐบาลเพื่อไทย ต้อง ‘คิดใหญ่ ทำเป็น’ ประกาศค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือน ป.ตรี 25,000 บาท

นางสาวแพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย กล่าวในการประชุมใหญ่วิสามัญ ประจำปี 2565 ว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมาตนพร้อมคณะกรรมการได้ลงพื้นที่ศึกษาและทำวิจัยพบว่า ประเทศถอยหลังไปมาก ทั้งทางเศรษฐกิจ การเมือง สังคม และไร้ที่ยืนบนเวทีโลก ประชาชนจำนวนมากมีหนี้ท่วมท้นและสะสมเป็นเวลานาน ปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

จำเป็นต้อง ‘คิดใหญ่’ เพราะหากคิดเล็กจะรับมือปัญหามากมายขนาดนี้ไม่อยู่ และต้อง ‘ทำเป็น’ เพื่อให้สามารถแก้ปัญหาได้ ยืนยันได้จากผลงานตั้งแต่รัฐบาลไทยรักไทย จนถึงรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีว่า เราสามารถคืนความสุข ความเจริญ ความกินดีอยู่ดีให้พี่น้องประชาชนได้  หัวข้อในแคมเปญรณรงค์ต่อจากนี้ จึงเปลี่ยนจาก ‘พรุ่งนี้เพื่อไทย’ เป็น ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’

และภายในปี 2570 ภายใต้รัฐบาลพรรคเพื่อไทย คนไทยจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลง คือ

1.) นโยบายเศรษฐกิจ คือ ลดรายจ่าย เพิ่มรายได้ และขยายโอกาส ยังคงถูกต้องและยึดเป็นแนวทางเสมอมาและตลอดไป จากปี 2566 จนถึงปี 2570 พรรคจะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของประเทศเติบโตอย่างต่ำเฉลี่ยร้อยละ 5% ต่อปี ช่องว่างความเหลื่อมล้ำจะลดลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะจะใช้แนวคิด ‘รดน้ำที่ราก’ เพื่อให้ต้นไม้งอกงามได้ทั้งต้น ทั้งที่น้ำมีจำกัด

ทักษะสร้างสรรค์ Soft Power ด้านต่าง ๆ เช่น เชฟทำอาหาร นักออกแบบ แฟชั่นดีไซเนอร์ นักร้อง นักแต่งเพลง คนเขียนบท ยูทูบเบอร์ นักสร้างคอนเทนท์ นักออกแบบมัลติมีเดีย นักกีฬา หรือสปาเทอราปิสต์ จะทำให้มีรายได้คนละไม่ต่ำกว่า 200,000 บาทต่อปี ประเทศไทยมี 20 ล้านครอบครัว สามารถสร้างงานทักษะสูงได้ 20 ล้านตำแหน่ง และมีรายได้รวมกันถึงปีละ 4 ล้านล้านบาท และในปี 2570 คนไทยต้องได้ค่าแรงขั้นต่ำให้สมกับศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนไทย คือ ไม่ต่ำกว่า 600 บาทต่อวัน เงินเดือนของผู้จบการศึกษาระดับปริญญาตรี อยู่ที่ 25,000 บาทขึ้นไป

2.) นโยบายด้านการเกษตร ในปี 2570 นำเทคโนโลยีทางการเกษตรหรือ Agritech มาใช้ เช่น เทคโนโลยีเกษตรแม่นยำ (Precision Agriculture) ใช้ปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาช่วยในการเกษตร มีการปรับปรุงหน้าดิน และใช้ปุ๋ยเท่าที่จำเป็น เกษตรกรจะมีรายได้มากขึ้น แต่เหนื่อยน้อยลง ใช้การตลาดนำการผลิต ไม่มีการทำการเกษตรแบบไร้เป้าหมาย สินค้าการเกษตรต้องขึ้นยกแผง มีการนำสินทรัพย์ดิจิทัล (NFT) มาใช้ในการขายสินค้าเกษตรล่วงหน้า ให้ต่างชาติมาช่วยเสริมสภาพคล่องให้เกษตรกรอีกทางหนึ่ง ราคาพืชผลเกษตรจึงขึ้นยกแผงทุกตัว เพราะเคยทำมาแล้ว และจะทำต่อไป

3.) นโยบายด้านการท่องเที่ยว ในปี 2570 มีนักท่องเที่ยวมาเยือนไทยจำนวนมาก รายได้จากการท่องเที่ยวสูงถึง 3 ล้านล้านบาทต่อปี การท่องเที่ยวเชิงสุขภาพของไทยได้รับความนิยมจากทั่วโลก เทศกาลของไทย 2 เทศกาลคือ สงกรานต์ในเดือนเมษายน และลอยกระทงในเดือนพฤศจิกายนเป็นเทศกาลระดับโลกที่นักท่องเที่ยวปักหมุดไว้ในปฏิทิน ประเทศไทยน่าอยู่สำหรับชาวต่างชาติและคนไทย

4.) นโยบายด้านนวัตกรรม สร้างโครงข่ายในการเก็บบัญชีธุรกรรมออนไลน์ (Blockchain) ของไทยเอง ที่เป็นช่องทางในการขายสินค้าเกษตร รวมทั้งสินทรัพย์ที่เกิดจากซอฟต์พาวเวอร์ ตลอดจนเป็นช่องทางเงินทุนให้กับนักธุรกิจรายย่อย ไม่ว่าจะเป็น Start up หรือ SME

นอกจากนั้น จะส่งเสริมงานวิจัยอย่างจริงจัง จนทำให้ในปี 2570 ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางทางด้านนวัตกรรมของ Asean มีการใช้เงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลาง (CBDC : Central Bank Digital Currency) แทนเงินสด ป้องกันการคอร์รัปชันในการเมืองแบบ ‘ลิงกินกล้วย’ ทุกวันนี้ได้เป็นอย่างดี ประชาชนทุกคนมีบัญชีธนาคาร และมีกระเป๋าเงินดิจิทัล (Digital Wallet)  ของตนเอง

รัฐบาลกลายเป็นรัฐบาลดิจิทัลเต็มรูปแบบ การเข้าถึงบริการของรัฐทำได้ง่าย สะดวก ทุกหมู่บ้านของประเทศไทยมีอินเทอร์เน็ตความเร็วสูง สถานที่สาธารณะทุกแห่งมี wifi ฟรี

5.) นโยบายด้านสาธารณสุข ในปี 2570 หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า หรือ 30 บาทรักษาทุกโรคถูกอัปเกรด หรือยกระดับขึ้น สามารถรักษาได้ทั่วประเทศ ประชาชนสามารถใช้บัตรประชาชนเพียงใบเดียว รับการรักษาได้ทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่าย เพราะข้อมูลสุขภาพถูกเชื่อมไว้บนศูนย์ข้อมูล หรือ Cloud  เมื่อเจ็บป่วย ผู้ป่วยเพียงยื่นบัตรประชาชนแล้วอนุญาตให้แพทย์ผู้รักษาเข้าถึงข้อมูลการรักษาได้

ในปี 2570 ผู้ป่วยโรคทางจิต เช่น โรคซึมเศร้า หรือโรคทางกายอื่น ๆ ที่ต้องการขอคำปรึกษากับแพทย์เฉพาะทางได้รับการรักษาที่ศูนย์สาธารณสุขหรือโรงพยาบาลใกล้บ้าน ไม่จำเป็นต้องเดินทางไกล เพราะแพทย์เฉพาะทางให้คำปรึกษาผ่านระบบทางไกลหรือ Telemedicine ได้ การนัดคิวตรวจเป็นเรื่องปกติของโรงพยาบาลทุกแห่ง ผู้ป่วยไม่ต้องไปโรงพยาบาลแต่เช้ามืด ผู้ป่วยที่ต้องเจาะเลือดตรวจโรค ก็สามารถทำได้ที่คลินิกหรือศูนย์สาธารณสุขใกล้บ้าน

ผู้ป่วยติดเตียงและผู้ป่วยในระยะสุดท้ายของชีวิต ได้รับการดูแลจากผู้ช่วยพยาบาลทั้งที่บ้านและที่ศูนย์ชีวาภิบาล (Hospice) ของรัฐและเอกชนโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ลูกหลานยังสามารถไปประกอบอาชีพได้ตามปกติ ไม่ต้องลางาน

การสาธารณสุขเชิงรุก เช่น การฉีดวัคซีนป้องกันมะเร็งปากมดลูกฟรีในเด็กหญิงอายุ 9-11 ปี และฉีดวัคซีนให้ผู้หญิงที่ยังไม่ติดเชื้อไวรัสเอชพีวี (HPV : Human Papilloma Virus) อีกทั้งยังตรวจและรักษาไวรัสตับอักเสบ-ซี ซึ่งโรคดังกล่าวจะเป็นการป้องกันมะเร็งตับที่เป็นสาเหตุการตายอันดับ 1 ของมะเร็งในผู้ชาย

ปี 2570 โรงพยาบาลของรัฐถูกกระจายอำนาจในรูปแบบองค์การมหาชนที่ท้องถิ่นและชุมชนมีส่วนร่วมในการบริหารโรงพยาบาล มีการจัดสรรบุคลากรทางการแพทย์ตามปริมาณงาน และเกิดการลงทุนครั้งใหญ่ในการพัฒนาอุปกรณ์การแพทย์ให้ทันสมัยในทุกระดับตั้งแต่ตำบลถึงมหานคร รวมทั้งมีการฝึก อ.ส.ม. ให้เป็นพยาบาลระดับต้น ประจำทุกหมู่บ้าน ส่วนในกรุงเทพมหานคร มีโรงพยาบาลประจำเขตทั้ง 50 เขต

6.) นโยบายด้านการศึกษา ในปี 2570 มีการกระจายอำนาจการศึกษาเหมือนในประเทศที่เจริญแล้ว มีโรงเรียน 2 ภาษาในทุกท้องถิ่น ซึ่งสอนภาษาต่างประเทศ เช่น ภาษาอังกฤษและภาษาจีน ตั้งแต่ ป.1 มีการเรียนการสอนทั้งในห้องเรียนและออนไลน์ โดยใช้ครูต่างประเทศมาสอนเสริมร่วมกับครูไทย มีศูนย์การเรียนรู้แบบ TCDC และ TK Park ที่เริ่มต้นสมัยไทยรักไทย ให้ครบทุกจังหวัด

7.) นโยบายด้านยาเสพติด จะปราบปรามยาเสพติดเต็มรูปแบบ เด็กไทยตกเป็นทาสยาเสพติด ทำร้ายคนในครอบครัวและผู้อื่นอีกมากมาย และจะบำบัดผู้เสพอย่างทั่วถึงควบคู่กันไปกับการปราบปราม

'อุ๊งอิ๊ง' เชื่อคนเห็นด้านดี-ไม่ดี 'บิ๊กตู่' มาแล้ว ไม่ต้องว่ากัน ส่วนตนขอทำหน้าที่และนโยบายให้ดีที่สุด

'อุ๊งอิ๊ง' เผยประชาชนรู้ดี 'ประยุทธ์' อยู่มานานเห็นทั้งด้านดี ไม่ดี ท่องคาถาขอนำเสนอนโยบายให้ประชาชนตัดสินใจ มากกว่ามุ่งต่อสู้-ต่อว่ากัน

(7 ธ.ค. 65) ที่พรรคเพื่อไทย (พท.) น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ประธานที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ระบุว่า เหลือเวลาอีก 2 ปีสำหรับเส้นทางการเมือง จะเป็นเรื่องที่ดีกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ว่า ไม่สามารถตัดสินใจแทนพล.อ.ประยุทธ์ได้ แต่พรรคมีความพร้อมและมีความชัดเจนที่จะแก้ไขปัญหาให้ประชาชน ความชัดเจนที่เกิดขึ้นมากที่สุดของประเทศ คือประชาชนเดือดร้อน ดังนั้น ควรจะชัดเจนในเรื่องที่ควรจะชัดเจนมากกว่าในการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจให้กับประชาชน

ถามว่า รู้สึกอย่างไรที่จะได้สู้กับพล.อ.ประยุทธ์ในสนามการเมืองในการเลือกตั้งที่จะมาถึงนี้ น.ส.แพทองธาร กล่าวว่า คิดว่าการแข่งขันทางการเมืองคือเป็นการเมืองอย่างหนึ่งที่เราจะต้องแข่งขันเพื่อให้ประชาชนเลือก คือการแข่งขันสำหรับตน ซึ่งการแข่งขันอื่น ๆ มันไม่ใช่การแข่งขัน มันคือการที่ต้องทำนโยบายที่ต้องทำให้ประชาชนมากกว่า เราโฟกัสตรงนั้น เกมต่าง ๆ ที่ไม่จำเป็นนอกเหนือจากการเลือกตั้ง คิดว่า เป็นสิ่งที่ไม่ควรให้ความสำคัญ ความสำคัญคือนโยบาย และปัญหาของประเทศ ส่วนการต่อสู้ทางการเมืองจะหวนนึกถึงอดีตหรือไม่ ถ้าเรามัวแต่นึกถึงอดีตเราก็จะไปข้างหน้าไม่ได้

‘อุ๊งอิ๊ง’ ยัน ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท ‘ทำได้’ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ชี้!! ต้องรอให้เศรษฐกิจทั้งประเทศพร้อมก่อน

พรรคเพื่อไทย นำโดย แพทองธาร ชินวัตร ประธานคณะที่ปรึกษาด้านการมีส่วนร่วมและนวัตกรรม พรรคเพื่อไทย และหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะทำงานนโยบาย พรรคเพื่อไทย เผ่าภูมิ โรจนสกุล รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย แถลงข่าวประเด็นการปรับขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาทต่อวัน และเงินเดือนผู้จบการศึกษาปริญญาตรี 25,000 บาท 

แพทองธาร กล่าวว่าตนเข้าใจดีว่าเหตุใดจึงมีการถกเถียงในเรื่องนี้ เพราะภาพรวมเศรษฐกิจในขณะนี้ยังไม่ดี พรรคเพื่อไทยจึงแสดงวิสัยทัศน์ให้ทุกคนได้เห็นว่า ถ้าเราปรับภาพรวมเศรษฐกิจทั้งประเทศให้เติบโตไปพร้อมกัน เหมือนสมัยที่รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรีเคยปรับค่าแรงเป็น 300 บาทต่อวัน 10 ปีผ่านไป ค่าแรงขั้นต่ำยังปรับขึ้นมาแค่ 54 บาท จึงเป็นเหตุให้เกิด รวยกระจุก จนกระจาย คนได้ประโยชน์จากค่าแรงขั้นต่ำ คือคนกลุ่มเล็ก ๆ บนยอดสามเหลี่ยม 

แต่ฐานรากคือคนส่วนใหญ่ของประเทศยังยากจนเดือดร้อน คนใช้แรงงานยังไม่ได้รับเกียรติไม่ได้รับศักดิ์ศรีเพียงพอ เมื่อเทียบกับค่าแรงขั้นต่ำในประเทศอื่น อีกทั้งหากภาพรวมเศรษฐกิจของทั้งประเทศดีขึ้น แรงงานมีรายได้มากขึ้นจะสามารถจับจ่ายใช้สอยได้มากขึ้น ช่วยผลักดันเศรษฐกิจทั้งระบบ ดังนั้น การเติบโตของเศรษฐกิจในแนวทางของพรรคเพื่อไทย คือต้องการให้ทั้งประเทศ คนทุกชนชั้น เติบโตได้ทุกโอกาส สามารถออกมาจับจ่ายใช้สอยดูแลครอบครัวของตัวเองได้ การคิดเล็กไม่สามารถแก้ปัญหาได้ จึงเป็นที่มาของแนวคิด ‘คิดใหญ่ ทำเป็น เพื่อไทยทุกคน’

“เราต้องเป็นทุนนิยมที่มีหัวใจ ค่าแรงต้องปรับขึ้นเมื่อเศรษฐกิจทั้งประเทศพร้อม วันนี้ค่าแรงยังปรับขึ้นเป็น 600 บาท ไม่ได้ เพราะเศรษฐกิจยังไม่ดี แต่เมื่อเศรษฐกิจดีแล้ว จีดีพี จะเติบโตที่ 5% ปีแรกอาจสูงกว่า หรือปีต่อมา อาจลดน้อยลงตามเลขเฉลี่ยแต่ละปี ทั้งหมดคือหัวใจหลัก” แพทองธาร กล่าว

นายแพทย์พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช กล่าวว่า จุดยืนหรือหัวใจหลักของพรรคเพื่อไทยคือ สร้างรายได้ ขยายโอกาส แต่ปัญหาขณะนี้คือหนี้ เราจึงต้องแก้หนี้ด้วยการสร้างรายได้ ตอนนี้เศรษฐกิจไม่ดีก็ไปกู้ กู้แล้วก็ขยายเพดานหนี้จึงทำให้ค่าจ้างแรงงานยังต่ำ ประเทศรายได้ก็ต่ำ ความเหลื่อมล้ำก็สูง เราจึงต้องใช้นโยบายหลายเรื่องราวที่แถลงเมื่อวานเรียงร้อยและผลักดันไปพร้อมกัน เพื่อให้เศรษฐกิจไทยดีขึ้น คือต้องสร้างรายได้ใหม่ไปพร้อมกัน 

การปรับค่าแรงงานขั้นต่ำ ไม่ใช่การทำลายโครงสร้าง แต่เป็นการทำงานร่วมกันในระดับไตรภาคีคือ เห็นพ้องร่วมกันระหว่างรัฐ - ผู้ประกอบการ - ประชาชน ค่าแรงขั้นต่ำคิดขึ้นตามอัตราเงินเฟ้อ เพราะค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น พรรคเพื่อไทยรู้ว่าผลิตภาพการผลิต คือที่มากำไรของผู้ประกอบการที่จะนำมาจ่ายเงินเดือน - โบนัส แรงงานได้ ส่วนรายได้เข้าประเทศอื่น ๆ อย่าง ภาคการท่องเที่ยว พรรคเพื่อไทยคิดจากฐานของรายได้ภาคท่องเที่ยวก่อนเกิดการระบาดของโควิด ซึ่งอยู่ที่มูลค่า 1.9 ล้านล้านบาท เพื่อไทยตั้งเป้าเพิ่มเป็น 3 ล้านล้านบาท ซึ่งสามารถทำได้แน่นอนด้วยการสร้างแรงดึงดูดด้วยศักยภาพการท่องเที่ยวที่ไทยมีอยู่มากมาย และการจัดการการบิน - สนามบิน - การอำนวยความสะดวกด่านตรวจคนเข้าเมือง พรรคเพื่อไทยมีผู้เชี่ยวชาญซึ่งเป็นผู้แทนจากภาคธุรกิจ จากภาคประชาชน จึงมีความมั่นใจว่าเราคิด ทำ และขับเคลื่อนทั้งระบบได้อย่างแน่นอน

ด้าน เผ่าภูมิ โรจนสกุล ได้กล่าวถึงประเด็นดังกล่าวโดยแบ่งเป็น 4 ประเด็นคือ

1. ค่าแรง 600 บาท กับปี 2570 เหมาะสมไหม และทำได้หรือไม่? ประเด็นนี้ ขึ้นอยู่กับวิสัยทัศน์ของผู้นำประเทศเลย ถ้าผู้นำมองประเทศไทยแค่เป็นลูกจ้างผลิตกินค่าแรงราคาถูก ก็ผลิตแต่แรงงานไร้ฝีมือ แต่ถ้าเป็นเพื่อไทย จะยกระดับการผลิตไปอีกขั้น จากผลิตตามคำสั่งเป็นการเป็นผู้สร้างนวัตกรรม จากการเกษตรตามยถากรรรม จะเป็นการเกษตรที่กำหนดราคาได้ จากเป็นบริการราคาถูก จะเป็นภาคบริการชั้นสูง คู่แข่งเราต้องไม่ใช่เวียดนาม แต่ต้องเป็นสิงคโปร์และประเทศพัฒนาแล้ว นี่คืวิสัยทัศน์ของผู้นำที่มองต่างก็จะนำไปสู่ราคาค่าแรงที่ต่าง

'กุนซือสมองเพชร' ยก 'อุ๊งอิ๊ง' เทียบชั้นลูกสาวหัวเว่ย

(10 ธ.ค. 65) นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายโพสต์รูปภาพและข้อความในเฟซบุ๊ก มีรายละเอียดดังนี้

ใครเปิดไพ่โง่ เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ?

1. ดูหน้าค่าตานรลักษณ์คุณอุ๊งอิ๊งวันนี้ ช่างละม้ายคุณเมิ่ง หว่านโจ๋วผู้บริหารรุ่นใหม่ เจเนอเรชั่นที่ 2 ของหัวเว่ยมากขึ้นคุณเมิ่งถูกสหรัฐจับเป็นตัวประกันอยู่ 2 ปี เธอก็ต่อสู้อย่างเด็ดเดี่ยวไม่ยอมจำนน และประกาศว่า

เธอเป็นลูกของประเทศจีน พร้อมพลีชีวิตเพื่อมาตุภูมิ ขอรัฐบาลจีนอย่าเกรงผลกระทบใด ๆ ต่อเธอ ขอให้ตัดสินใจทุกอย่างเพื่อประโยชน์ของประเทศจีน เธอจึงกลายเป็นวีรสตรีรุ่นใหม่ของจีนไปแล้ว

2. คุณอุ๊งอิ๊งเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ของพรรคเพื่อไทย ได้เปิดนโยบายปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็นวันละ 600 บาท ฮือฮากันทั้งบ้านทั้งเมือง เพราะสอดคล้องกับผลประโยชน์และความต้องการของผู้ใช้แรงงานทั่วประเทศ รวมไปถึงครอบครัวด้วย เพราะไม่มีผู้ใช้แรงงานคนใดที่ไม่ต้องการค่าแรงงานขั้นต่ำดังกล่าว คะแนนเสียงผู้ใช้แรงงานเชื่อมโยงถึงพี่น้องชาวนาซึ่งเป็นเครือญาติด้วย จึงเป็นมวลชนกลุ่มใหญ่เป็นกลุ่มเป็นก้อน พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคก็เคยใช้เรื่องนี้หาเสียงในการเลือกตั้งครั้งที่แล้ว แต่ไม่ได้ทำ เพราะเมื่อท่านสมคิด พ้นหน้าที่ไปแล้วก็ไม่มีใครทำเป็น

แค่ไม่เสนอนโยบายแบบนี้ก็ยับเยินมากพอแล้ว ยิ่งไปต่อต้านนโยบายนี้ก็มีแต่พังกับพัง ที่สำคัญคือต้องเข้าใจให้ดีว่าเรื่องค่าแรงขั้นต่ำนั้นรัฐบาลไม่ได้จ่ายเป็นเรื่องของผู้ประกอบการที่ต้องปรับตัวตามค่าครองชีพ

หากคิดว่าเป็นภาระของรัฐบาลก็ยิ่งเป้นการปล่อยไก่ให้เขาฮากันทั้งเมือง

‘อุ๊งอิ๊ง’ ปลื้ม!! ร้านบะหมี่ในกรุงเก่า ขานรับขึ้นค่าแรง ‘เศรษฐา’ ชง เป็นนโยบายสร้างแรงบันดาลใจและความหวัง

(11 ธ.ค. 65) จากรณีที่พรรคเพื่อไทย ประกาศนโยบายแบบคิดใหญ่ ปรับค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ภายในปี 2570 ทำให้เป็นกระแสวิจารณ์อย่างกว้างขวางนั้น ทั้งสนับสนุนและไม่เห็นด้วย ซึ่งหนึ่งในนั้นมีร้านก๋วยเตี๋ยว บะหมี่เกี๊ยวเย่หลิว สาขาอยุธยา โพสต์รูปภาพป้ายหน้าร้านขนาดใหญ่ผ่านทวิตเตอร์ โดยมีข้อความในป้ายดังกล่าว ว่า พร้อมจ่ายค่าแรงขั้นต่ำวันละ 600 บาท ภายในปี 2570

ล่าสุด ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร โพสต์ข้อความทวิตเตอร์ส่วนตัว @ingshin ระบุว่า...อมยิ้มแล้ว 1

จากนั้นนายเศรษฐา ทวีสิน ประธานอำนวยการและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) ได้ทวีตข้อความ น.ส.แพทองธาร พร้อมระบุข้อความว่า “คนเราอยู่ได้เพราะมีความหวัง หน้าที่ผู้นําคือสร้างแรงบันดาลใจที่มีความเป็นไปได้ให้เขาลุกขึ้นมาทำงานทุกวัน ค่าแรงขั้นต่ำที่สูงขึ้นเป็นหนึ่งในหลาย ๆ วิธีที่จะลดความเหลื่อมล้ำที่ถ่างขึ้นทุก ๆ วัน ผมมีความหวังครับ และพร้อมที่จะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ”

ทั้งนี้ มีชาวทวิตเตอร์เข้ามาขอให้นายเศรษฐา ขยายความประโยชน์ที่ว่า ‘พร้อมจะเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจ’ ตามที่ทวีตข้อความ โดยนายเศรษฐาตอบว่า ‘CEO แสนสิริ มีเครือข่ายเยอะครับ’


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top