Tuesday, 21 May 2024
อภิปรายไม่ไว้วางใจ

แลกหมัด!! ชนก VS ชัยวุฒิ ศึกอภิปรายซักฟอกรัฐบาล

>> ชนก จันทาทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย จังหวัดหนองคาย
ดิฉันขออภิปรายซักฟอก นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส) กรณีขาดคุณสมบัติตามประมวลจริยธรรมอย่างร้ายแรง ไม่มีคุณสมบัติในการเป็นรัฐมนตรี ไม่มีพฤติกรรมอันเป็นแบบอย่างที่ดี ตั้งแต่ได้เข้ามาอยู่ในตำแหน่งรัฐมนตรี ก็ทำตัวเชิดหน้าชูตาหญิงอื่น ทำร้ายจิตใจภรรยา แสนสาหัส ล่าสุดก็ได้มีการหย่าร้างกับภรรยา

>> นายชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอีเอส)
การอภิปรายด้วยเรื่องต่ำๆ คนพูดก็ต่ำจะไปด้วย และอาจมีคดีหมิ่นประมาทแถมติดตัวไป การไปฟังใครมโน ไร้ข้อเท็จจริง แล้วหยิบมาพูด แสดงให้เห็นว่าผู้ให้ข้อมูลมีเจตนากับท่านเท่าไรนัก ส่วนเรื่องการดึงคนใกล้ตัวมาทำงาน ต้องเรียนว่า คนที่มาช่วย ไม่มีตำแหน่ง ไม่ได้เงิน มาด้วยใจ ส่วนคนไหนเก่งและอยากสมัครในองค์กรต่างๆ เองก็ไม่ได้ผิดรัฐธรรมนูญใดๆ จนกว่าเขาจะทุจริต ท่านก็ไปฟ้อง ปปช.ซะ

คนอะไร? เจอพี่ชายโบ้ย แถมฝ่ายค้านยังไล่โซ้ยต่อทั้งวัน แต่สุดท้ายก็ต้องกลับมานั่งปั่นงานชาติต่อ เมื่อมีเวลา

เพจศูนย์ปฏิบัติการนายกรัฐมนตรี PMOC ได้โพสต์ภาพการทำงานของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม พร้อมคำบรรยายว่า แม้จะมีอภิปรายในรัฐสภา แต่ #หน้าที่และความรับผิดชอบ ในฐานะนายกรัฐมนตรี ไม่ได้หยุดตามไปด้วย เพราะปัญหาของพี่น้องประชาชนที่รอการแก้ไขและพัฒนายังมีอีกมาก ดังนั้น การบริหารราชการแผ่นดินจึงรอช้าไม่ได้ 

จึงเป็นเรื่องคุ้นเคยกับการที่เราได้เห็นภาพนายกฯ ทำหน้าที่ทั้งผู้นำฝ่ายบริหาร และรับฟังการตรวจสอบจากรัฐสภาในเวลาเดียวกัน


ที่มา : https://www.facebook.com/photo?fbid=366737012307170&set=pb.100069126223361.-2207520000..

'ชญาภา' แนะ 'แรมโบ้' เอาเวลาไปเตรียมข้อมูลอภิปรายให้ 'ประยุทธ์' ตอบให้ตรงคำถามฝ่ายค้านก่อนหมดโอกาสแก้ตัว

นางสาวชญาภา สินธุไพร รองโฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณี นายเสกสกล อัตถาวงศ์ อดีตผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรี กล่าวหา ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่าออกมาฟาดงวงฟาดงาใส่พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เพราะพรรคฝ่ายค้านอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลประยุทธ์ไม่เข้าเป้าจึงต้องออกโรงเอง สะท้อนให้เห็นว่านายเสกสกลไม่ได้ติดตามการอภิปรายไม่ไว้วางใจอย่างใกล้ชิด จึงไม่รู้ว่าจากการประเมินของหลายฝ่ายเห็นตรงกันว่า พรรคฝ่ายค้านมีมาตรฐานการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่น่าสนใจชวนติดตาม มีข้อมูลและหลักฐานที่มีน้ำหนักจนนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี จนมุมกลางสภาไม่สามารถตอบประเด็นที่สังคมสงสัยได้อย่างชัดเจน แม้การตอบคำถามของรัฐบาลน่าผิดหวัง แต่ยังคงเหลือการซักฟอกรัฐบาลอีกสองวัน อยากให้ติดตามการอภิปรายอย่างใกล้ชิดเพราะข้อมูลและข้อเท็จจริงที่พรรคฝ่ายค้านเตรียมนำเสนอ ยังมีหมัดเด็ดที่อาจจะสะเทือนถึงองครักษ์ที่เฝ้าพิทักษ์รับใช้ลุงตู่อยู่จนอยากจะทิ้งนั่งร้านไปเลยก็ได้

คู่เอกประจำวัน ‘บิ๊กตู่-อมรัตน์’ ซัดกันนัว หลังถูกกล่าวหาก้าวล่วงสถาบัน

วันนี้ (21 ก.ค.) พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และ รมว.กลาโหม ได้ชี้แจงว่า ช่วงเช้าที่ผ่านมาตนติดภารกิจกราบสมเด็จพระสังฆราช เนื่องในโอกาสวันอาสาฬหบูชาถวายเทียนพรรษา ขอมอบช่วงเวลาอันเป็นมงคลให้ทุกท่านด้วย สุดแล้วแต่ใครจะรับได้หรือไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปตามกรรม ทำกรรมดี ก็ได้รับกรรมดี ทำกรรมไม่ดี ก็จะปรากฏต่อไป ตนพยายามทำให้ดีที่สุด แต่อาจไม่ดีในสายตาของท่านก็ไม่เป็นไร วันนี้ท่านบอกว่า ชื่อตนมีความหมายนู่นนี่ ก็ไปคิดเอาว่าตู่กับเตี้ยความหมายเหมือนกันหรือไม่ ก็คงไม่เหมือน ไปดูว่าใครทำประโยชน์มากกว่า ตนเห็นท่านเคลื่อนไหวอยู่ข้างนอกตลอดเวลา ท่านบอกว่าศึกษาประวัติศาสตร์ ก็ขอให้ศึกษาประวัติศาสตร์ ส่วนที่ดีไว้บ้าง สิ่งที่ท่านทำหลายๆ อย่างวันนี้ ก็ปรากฏแล้ว ว่าเป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับการก้าวล่วงสถาบันของชาติ ซึ่งตนรับไม่ได้อยู่แล้ว

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทำให้ นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงทันที โดยถามนายกฯ ว่าตนก้าวล่วงสถาบันตรงไหน ข้อหานี้ผิดมีโทษร้ายแรง อยู่ดีๆ จะปากพล่อยว่าคนอื่นแบบนี้ได้อย่างไร อย่ามั่วเที่ยวพูดตีขลุม นายกฯ จึงตอบโต้ว่า ตนไม่ได้พูดอะไรเกินความเป็นจริงเท่าไหร่ ถ้าดูในคดีต่างๆ ก็มีหลายคดี เตรียมต่อสู้คดีแล้วกัน 

นางอมรัตน์ จึงประท้วงอีกครั้ง โดยขอให้นายกฯถอนคำพูด เพราะมาตรา 112 ร้ายแรง จะมาป้ายให้ใครๆ แบบนี้ได้อย่างไร อย่ามั่ว ต้องถอนคำพูด ขณะที่ นายกฯ ยืนยันว่า “ผมไม่ถอนครับ” จากนั้น ประธานในที่ประชุม กล่าวว่า ขอให้ฟังประธาน เราอภิปรายเขาก็หนัก จึงไม่มีอะไรต้องถอน ดีที่สุดคือต้องระมัดระวัง

พล.อ.ประยุทธ์ จึงชี้แจงต่อถึงการก่อสร้างแท่นประดิษฐานปรับปรุงภูมิทัศน์พระบรมราชานุสาวรีย์ เดิมมีการจัดซื้อจัดจ้างโดยผู้ประกอบการ 3 ราย ผู้ชนะการคัดเลือกเสนอวงเงินก่อสร้าง 59 ล้านบาท ระหว่างการก่อสร้างบริษัทคู่สัญญาได้แจ้งความประสงค์บริจาคสิ่งปลูกสร้างที่แล้วเสร็จ โดยไม่ขอรับเงินค่าจ้างที่ระบุไว้ในสัญญา โดยกรมยุทธโยธาทหารบกได้ส่งคืนงบประมาณดังกล่าวที่ยังไม่มีการเบิกจ่ายแก่กองทัพบกแล้ว พร้อมทั้งชี้แจงสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ว่า เราไม่ได้ใช้งบของทางราชการ แต่ดำเนินการภายใต้ผู้มีจิตศรัทธา 

นายกฯ ชี้แจงถึงที่มีผู้อภิปรายค่าโง่คดีคลองด่าน ยืนยันว่า ให้ความสำคัญ โดยสั่งการให้กรมทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (ทส.) โดย กรมควบคุมมลพิษ ต่อสู้คดีให้ถึงที่สุด มีการยื่นคำร้องไปแล้วเพื่อขอให้ศาลวินิจฉัยเกี่ยวกับคำพิพากษาศาลฎีกากับศาลปกครอง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณา ตนไม่อาจก้าวล่วง ส่วนการอายัดทรัพย์สินเหล่านั้น คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) ได้อายัดทรัพย์สินของกิจการร่วมค้าที่รับเงินตามคำพิพากษาไปแล้วเมื่อปี 2558 งวดที่ 1 ให้ตกเป็นของแผ่นดิน และ ปปง.ได้ยื่นร้องต่อศาลแพ่ง ดำเนินการอายัดสิทธิเรียกร้องที่กรมควบคุมมลพิษจ่ายให้แก่กิจการร่วมค้า ในงวดที่ 2 และ 3 ศาลแพ่งก็มีคำสั่งอายัดแล้ว ขณะนี้อยู่ระหว่างรอฟังคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด

นายกฯ ระบุต่อว่า ส่วนกรณีการจัดซื้อเครื่องตรวจวัตถุระเบิดจีที 200 นั้น กระทรวงกลาโหมได้ดำเนินคดีกับเอกชนที่เป็นคู่สัญญา 13 คดี ปัจจุบันคดีถึงที่สุดแล้ว 5 คดี อยู่ระหว่างพิจารณาของศาล 6 คดี ชั้นอัยการ 2 คดี ฟ้องเรียกค่าเสียหายไป 747 ล้านบาท มีการชดใช้ค่าเสียหายมาแล้ว 17 ล้านบาท อยู่ระหว่างการติดตามคดีที่คั่งค้างอยู่ เรื่องจีที 200 เป็นปัญหาทั้งโลก มีการใช้ในสงครามต่างๆ มากมาย เช่น สงครามอิรัก สนามบินต่างๆ ก็ใช้ หลายประเทศก็มีการฟ้องร้องเช่นกัน 

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า ส่วนการเพิ่มอัตราค่าไฟในอนาคต เพราะ กฟผ.ต้องแบกหนี้สินมากกว่า 1 แสนล้านบาท เพราะมีต้นทุนสูงขึ้น แต่ กฟผ.ไม่มีการปรับค่าเอฟทีตั้งแต่ปีที่แล้ว ขาดทุนไป 38,000 ล้านบาท ปีนี้อีก 44,000 กว่าล้านบาท รวมแล้ว 83,000 ล้านบาท การแก้ปัญหาไม่ใช่เรื่องง่ายๆ อย่างที่หลายคนพูด

ส.ส.ก้าวไกล แฉ!! รัฐบาล กลางสภาฯ ปมใช้งบแผ่นดินซื้อสปายแวร์สอดแนมประชาชน

ส.ส. ก้าวไกล แฉกลางสภา รัฐบาลประยุทธ์ สั่งซื้อสปายแวร์ถึง 3 ชนิดที่เป็นอาวุธสงครามระดับโลก แต่กลับนำมาใช้สอดแนมประชาชน เผย เหยื่อมีทั้งนักวิชาการ นักสิทธิมนุษยชน และนักเคลื่อนไหว นักการเมืองก้าวหน้า-ก้าวไกล ช่อ-ปิยบุตร โดนแฮ็กหลายครั้ง

พิจารณ์ เชาวพัฒนวงศ์ ส.ส. บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจพลเอกประยุทธ์ จันทรโอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม โดยเปิดโปงการซื้อสปายแวร์ระดับอาวุธสงครามร้ายแรง 3 ชนิด ตั้งแต่ปี 2557-2565 โดยหนึ่งในนั้นคือสปายแวร์เพกาซัส ซึ่งกลายเป็นประเด็นที่ประชาชนให้ความสนใจตั้งแต่เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม ที่ผ่านมา จากการเปิดรายงานของไอลอว์ ที่ระบุว่านักวิชาการ นักกิจกรรม และนักสิทธิมนุษยชนอย่างน้อย 30 คน ถูกแฮ็กโดยเพกาซัส

พิจารณ์อ้างอิงรายงานจาก Citizen Lab ซึ่งเป็นองค์กรภาคประชาสังคมในแคนาดา ที่เชี่ยวชาญด้านการติดตามการจารกรรมทางไซเบอร์และการใช้สปายแวร์ ระบุว่าพบการใช้เพกาซัสในไทยครั้งแรกตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2557 มีการทำงานใน time zone หรือ เขตเวลาของไทย อีกทั้งยังชี้ไปที่ Website ชื่อว่า Siamha, thtube และ thainews และมีการใช้งานเพกาซัสอย่างต่อเนื่องมาจนถึงอย่างน้อยในปี 2564

นอกจากนี้ยังพบหลักฐานการสั่งซื้อสปายแวร์อื่นๆ อีก ได้แก่สปายแวร์ที่ชื่อ RCS  จากบริษัท Hacking Team ในอิตาลี คู่แข่งของเพกาซัส โดยชื่อหน่วยงานที่ซื้อคือกรมราชทัณฑ์ ซื้อในปี 2556 ในราคา 286,482 ยูโร หรือประมาณ 11.5 ล้านบาท บวกค่าธรรมเนียมการจัดการรายปีอีก 52,000 ยูโร หรือประมาณ 2 ล้านบาท และกองทัพบก ซื้อในปี 2557 ในราคา 360,000 ยูโร หรือประมาณ 14.4 ล้านบาท

ที่สำคัญ พิจารณ์ได้เปิดเผยว่าตรวจสอบพบหลักฐานการเบิกจ่ายงบประมาณของกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เพื่อซื้อชุดอุปกรณ์ค้นหาตำแหน่งโทรศัพท์มือถือ ยี่ห้อ Circles จำนวน 9 รายการ ในระหว่างปี 2558-2563 และพบอีก 10 รายการที่เบิกจ่ายงบประมาณซื้อชุดอุปกรณ์ค้นหาตำแหน่งโทรศัพท์มือถือเช่นเดียวกัน แต่ไม่ระบุยี่ห้อ โดยจากรายงานของ Citizen Labs ตรวจพบการใช้งานสปายแวร์ Circles โดยหน่วยงานราชการไทย 3 หน่วยงาน คือหน่วยข่าวกรองทหารบก กองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร หรือ กอ.รมน. และกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด

'โรม' จัด ‘ตั๋วช้าง’ ภาค 2 พร้อมเซอร์ไพรส์ แฉ 'ประยุทธ์' ควัก 937 ล้าน กลบหนี้ ‘กองบินตำรวจ’

‘ตั๋วช้าง’ ภาค 2 ฉายแล้ววันนี้ ‘โรม’ จัดให้ BIG SURPRISE แฉแหลก ทำไม ‘ประยุทธ์’ ยอมควักงบกลาง 937 ล้าน อุ้ม พล.ต.ต.ก กลบหนี้เน่าทุจริต ‘กองบินตำรวจ’

22 กรกฎาคม 2565 ณ ห้องประชุมสุริยัน สัปปายะสภาสถาน รัฐสภา รังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อและโฆษกพรรคก้าวไกล อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้บังคับบัญชาสูงสุดของข้าราชการตำรวจ ตามพระราชบัญญัติตำรวจแห่งชาติ กรณีปล่อยปละละเลยทุจริตที่เกิดขึ้นในกองบินตำรวจ ทั้งยังมีการยอมให้ใช้ ‘ตั๋วช้าง’ อีกประเภทหนึ่งเป็นเกราะกำบังเพื่อไม่ให้ใครหรือหน่วยงานใดกล้าตรวจสอบได้

รังสิมันต์ กล่าววว่า คดีนี้เกิดขึ้นในช่วงที่ พล.ต.ต.ก หรือชื่อจริงคือ กำพล กุศลสถาพร ดำรงตำแหน่งผู้บังคับการกองบินตำรวจ (บ.ตร.) โดยระหว่างนั้นได้ดำเนินการเซ็นสัญญาโครงการซ่อมบำรุงอากาศยาน กับ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ให้เป็นผู้ดำเนินการซ่อมและจัดหาอะไหล่ ตามงบประมาณปี 2563 จำนวนกว่า 950 ล้านบาท แต่ต่อมาเมื่อเดือนกันยายน 2564 การบินไทยได้ยื่นหนังสือทวงหนี้มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) จึงทำให้พบว่ากองบินตำรวจ โดย พล.ต.ต.กำพล และพวก ได้สั่งจ้างสั่งซื้อเพิ่มเติมเกินกว่างบประมาณที่วางไว้ รวมค่าใช้จ่ายทั้งหมดของโครงการเป็นจำนวนถึง 2,774 ล้านบาท ซึ่ง 2 ใน 3 ของทั้งหมดนี้ กองบินตำรวจไม่สามารถเบิกจากคลังมาจ่ายได้ และกว่า 784 ล้านบาท ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการซ่อมเครื่องบินเลย เช่น ซื้อถังน้ำดับไฟป่า 8 ล้านบาท หรือซื้อตะขอเกี่ยวสินค้า 6.3 ล้านบาท เป็นต้น

อย่างไรก็ตาม เมื่อเรื่องเข้าสู่กระบวนการตรวจสอบกลับถูกเตะถ่วง ทำให้ล่าช้า และทำซ้ำไปมา ทั้งนี้ กระบวนการตรวจสอบครั้งแรก เริ่มต้นจากการเสนอเรื่องให้ ผบ.ตร. สั่งให้จเรตำรวจตั้งคณะกรรมการตรวจสอบเรื่องนี้ในเดือนมีนาคม 2564 แต่กลับใช้เวลากว่า 3 เดือน จึงจะสามารถตั้งคณะกรรมการตรวจสอบได้ และเสร็จสิ้นในเดือนตุลาคม 2564 

“ทว่าภายหลังกระบวนการตรวจสอบโดยจเรตำรวจสิ้นสุด กลับมีคำสั่งให้ส่งเรื่องไปกองวินัยตำรวจเพื่อตั้งคณะกรรมการสืบสวนข้อเท็จจริงขึ้นมาใหม่อีก ขนาดว่าทางกองบินตำรวจทวงถามเรื่องการตั้งคณะกรรมการสอบสวนไปอีกครั้งในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 ก็มีคำตอบกลับมาว่ายังร่างคำสั่งไม่เสร็จ และกว่าจะได้ตั้งคณะกรรมการชุดใหม่กันจริง ๆ คือช่วงปลายเดือนเมษายน 2565 ที่ผ่านมา และถึงแม้ว่าตั้งมาแล้วผ่านไปอีกหนึ่งเดือนก็ยังวุ่นอยู่กับการเปลี่ยนตัวกรรมการไม่เลิก” รังสิมันต์ ระบุ 

รังสิมันต์ ยังได้ชี้ให้เห็นความเชื่อมโยงไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ ว่า ในฐานะผู้บัญชาการสูงสุดของตำรวจ ได้ทราบเรื่องนี้ตั้งแต่ที่ สตช. ทำหนังสือขอความช่วยเหลือมายังคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 21 กันยายน 2564 และต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ ได้ลงนามท้ายหนังสือรับทราบเรื่องนี้ด้วยตัวเอง แต่สุดท้ายก็ยังปล่อยปละละเลยไม่เร่งรัดกระบวนการตรวจสอบข้อเท็จจริง หน่วงเวลาจนกระทั่งกรมบังคับคดีซึ่งดูแลเรื่องการฟื้นฟูกิจการของการบินไทยส่งหนังสือทวงหนี้ 1,824 ล้านบาท มายัง สตช. อย่างไรก็ตาม ในขั้นตอนนี้เป็นโอกาสสำคัญที่จะปฏิเสธหนี้ก้อนนี้ได้ เพราะตามขั้นตอน สตช. มีเวลาในการปฏิเสธหนี้ภายใน 14 วัน แต่ สตช. กลับล่าช้าทำหนังสือปฏิเสธหนี้ตอบกลับไปเกินเวลาที่กำหนด ทำให้ สตช. ต้องชำระหนี้การบินไทยเป็นจำนวนถึง 937 ล้านบาท ส่วนสาเหตุที่หนี้ลดลงจากเดิม เนื่องจากทางตำรวจไปขอต่อรองกับการบินไทยให้ยกเลิกรายการบางส่วนที่ยังไม่ได้รับพัสดุมาได้

“ต่อมา พล.อ.ประยุทธ์ จึงใช้วิธีอนุมัติงบกลางเพื่อใช้หนี้ใน วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2565 และในวันที่ 12 เมษายน 2565 ครม.ก็อนุมัติอีกที รวมถึงยังอนุมัติให้ สตช. สามารถก่อหนี้ผูกพันเกินกว่าที่กำหนดไว้ในงบประมาณปี 2563 ด้วย มตินี้จึงเหมือนเป็นทั้งการฟอกขาวให้ไปในตัว ทั้งยังนำเงินภาษีของประชาชนไปจ่ายให้กับการทุจริตที่เกิดขึ้นในกองบินตำรวจอีกด้วย”

รัฐสภา หรือ ตลาด?

เวทีอภิปรายไม่ไว้วางใจ แต่ใยมีแต่คนเห็นเป็นเรื่องเล่น ๆ หรือขอแค่ให้ได้เสียดสี ไม่มีแก่นสารก็ไม่แคร์

ไว้วางใจ! ไปต่อ! ผลการลงมติอภิปรายไม่ไว้วางใจ 2565

23 กรกฎาคม 2565 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีนัดลงมติในญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรี รวมกัน 11 คน โดยผลการลงมติ พบว่า พล.อ.ประยุทธ์ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรี รวมทั้งหมด 11 คน ได้รับความไว้วางใจจากสภาผู้แทนฯ ให้ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป 

ทั้งนี้ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ เป็นผู้ได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจจากสภาผู้แทนฯ มากที่สุด ส่วนผู้ที่ได้รับความไว้วางใจจำนวนมาเป็นลำดับที่สองและสาม คือ รัฐมนตรีจากพรรคภูมิใจไทย ได้แก่ อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข และศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ในขณะที่ผู้ที่ได้รับเสียงไม่ไว้วางใจมากที่สุด คือ พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย และผู้ที่ได้รับความไว้วางใจน้อยที่สุดในสภา คือ จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์

โดยผลการลงมติอย่างละเอียดมีดังนี้

1.) พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม
ไว้วางใจ 256
ไม่ไว้วางใจ  206
งดออกเสียง 9
ผล: ไว้วางใจ

2.) จุรินทร์ ลักษณวิศิษฎ์ รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์
ไว้วางใจ 241
ไม่ไว้วางใจ 207
งดออกเสียง 23
ผล: ไว้วางใจ

3.) อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข
ไว้วางใจ 264
ไม่ไว้วางใจ 205
งดออกเสียง 3
ผล: ไว้วางใจ

4.) พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี
ไว้วางใจ 268
ไม่ไว้วางใจ 193
งดออกเสียง 11
ผล: ไว้วางใจ

5.) พลเอกอนุพงษ์ เผ่าจินดา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย
ไว้วางใจ 245
ไม่ไว้วางใจ 212
งดออกเสียง 13
ผล: ไว้วางใจ

6.) ศักดิ์สยาม ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม
ไว้วางใจ 262
ไม่ไว้วางใจ 205
งดออกเสียง 5
ผล: ไว้วางใจ

7.) ชัยวุฒิ ธนาคมานุสรณ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
ไว้วางใจ 249
ไม่ไว้วางใจ 205
งดออกเสียง 18
ผล:ไว้วางใจ

8.) จุติ ไกรฤกษ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์
ไว้วางใจ 244
ไม่ไว้วางใจ 209
งดออกเสียง 17
ผล: ไว้วางใจ

'เจี๊ยบ ก้าวไกล' วางดอกไม้จันทน์ตรงที่นั่งนายกฯ หลังสภาฯ ลงมติไว้วางใจ 11 รัฐมนตรี

(23 ก.ค. 65) ผู้สื่อข่าวรายงานว่าเมื่อเวลา 10.00 น. ที่รัฐสภา มีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยมีนายชวน หลีกภัย ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุม มีวาระที่สำคัญเป็นการลงมติอภิปรายไว้วางใจรัฐมนตรี จำนวน 11 คน บรรยากาศภาพรวมเป็นไปด้วยความเรียบร้อย แต่ก็มีบางส่วนประท้วงประปราย

โดยนายคารม พลพรกลาง ส.ส.บัญชีรายชื่อ งูเห่าพรรคก้าวไกล ลุกขึ้นประท้วงว่า ทำไมถึงมีสมาชิกบางคน นำดอกไม้จันท์เข้ามาในห้องประชุมสภา ที่นี่เป็นห้องประชุมสภาอันทรงเกียรติ ไม่ใช่วัด ไม่ใช่เมรุ ขอให้ประธานควบคุมการประชุมให้เป็นไปด้วยความเรียบร้อยด้วย

ขณะที่ นายชวน กล่าวตอบว่า ถือเป็นพฤติกรรมของแต่ละบุคคล บางเรื่องก็เข้าไปควบคุมไม่ได้ แต่ถ้าผิดข้องบังคับก็ต้องควบคุม แต่บางครั้งเรื่องที่เกี่ยวกับจริยธรรมก็ควบคุมยาก

นายกฯ ขอบคุณทุกคะแนนโหวตไว้วางใจ  พร้อมปรับการทำงาน ส่วนเรื่องปรับครม. ค่อยว่ากัน

(23 ก.ค. 65) เมื่อเวลา 11.10 น. ที่รัฐสภา ภายหลังโหวตญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกรทะรวงกลาโหม พร้อมด้วย นายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรีและรมว.สาธารณสุข และนายศักดิ์สยาม ชิดชอบ รมว.คมนาคม ได้เดินลงมาพร้อมกัน

โดยนายกฯ กล่าวถึงผลการโหวตลงมติในการอภิปรายไม่ไว้วางใจว่า ขอบคุณทุกคะแนนเสียงที่โหวตให้กับรัฐมนตรีและรัฐบาล ทุกคะแนนเป็นกำลังใจให้พวกเราพยายามทำงานให้ดีที่สุดและต้องทำงานให้มากขึ้น หลายๆ อย่างที่มีการอภิปรายก็เป็นประโยชน์กับพวกเรา แม้บางอย่างจะไม่ใช่ข้อเท็จจริงบ้างก็ตาม แต่อะไรที่จะต้องปรับวิธีการทำงาน ที่ตนเห็นว่าบางอย่างไม่ใช่เราทำดีทั้งหมด หรือไม่ดีทั้งหมด แต่ก็ต้องรับข้อเสนอไป อะไรที่เป็นประโยชน์ก็จะนำไปปรับใช้การทำงานในระยะต่อไปนี้ซึ่งอีกไม่นานนักหรอก

"ขอบคุณพรรคร่วมรัฐบาล ขอบคุณทุกคน ทุกคะแนนเสียง นี่คือระบอบประชาธิปไตย ระบอบการทำงานของสภาและรัฐสภา ขอบคุณมากๆ" นายกฯ กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top