Tuesday, 14 May 2024
สหราชอาณาจักร

‘UK’ อ่วม!! เงินเฟ้อ-สินค้าแพงเป็นประวัติการณ์ สวนทาง ปชช.ต้องอดมื้อกินมื้อ เพื่อลดค่าใช้จ่าย

ดูเหมือนว่าวิกฤติเงินเฟ้อจะดันราคาอาหารในสหราชอาณาจักรพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ประชาชนยังคงต้องทนทุกข์ทรมานกับวิกฤตค่าครองชีพ 

จากผลสำรวจที่เผยแพร่ในวันอังคาร (28 ก.พ.) ราคาอาการพุ่งสูงขึ้น 17.1% ในช่วง 4 สัปดาห์จนถึงวันที่ 19 กุมภาพันธ์ เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน จากข้อมูลของคันทาร์ (Kantar) บริษัทที่ปรึกษาด้านการวิเคราะห์ข้อมูลและแบรนด์ มีสำนักงานใหญ่ในกรุงลอนดอน หลังติดตามราคาสินค้ามากกว่า 75,000 รายการ

ตัวเลขดังกล่าวถือเป็นการเพิ่มขึ้นสูงสุดตามการบันทึกของคันทาร์ ซึ่งเริ่มทำการสำรวจในปี 2008

"บรรดานักช็อปปิงทั้งหลายกำลังเผชิญกับราคาที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องมาสักพักแล้ว มันกำลังส่งผลกระทบใหญ่หลวงต่อชีวิตผู้คน" เฟรเซอร์ แม็คเควิตต์ หัวหน้าฝ่ายเจาะลึกด้านค้าปลีกและการบริโภคของคันทาร์ระบุ

ผลการสำรวจของคันทาร์ยังพบว่าเงินเฟ้อราคาของชำ เป็นประเด็นการเงินหนักหนาที่สุดอันดับ 2 ของชาวสหราชอาณาจักร รองจากราคาพลังงานที่พุ่งสูง

ครั้งที่ทำการสำรวจข้อมูลผู้บริโรคเกือบ 10,000 คนในเดือนมกราคม คันทาร์ พบว่ามีถึงราว 1 ใน 4 ของครัวเรือนทั้งหลายที่ประสบปัญหาทางการเงิน เพิ่มขึ้นจากช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อน ซึ่งตอนนี้มี 1 ใน 5 ของครัวเรือนที่ประสบปัญหาทางการเงิน

'ตัวเลขล่าสุดนี้น่ากังวลอย่างยิ่ง' โรซิโอ คอนชา ผู้อำนวยการด้านนโยบายขององค์กร Which กลุ่มกดดันเพื่อผู้บริโภค 'บางครัวเรือนถึงขั้นเว้นมื้ออาหารเพื่อประทังชีวิต'

หุ้นของโอคาโด ดิ่งลง 12.2% ในวันอังคาร (28 ก.พ.) หลังกลุ่มซูเปอร์มาร์เกตออนไลน์สัญชาติสหราชอาณาจักรแห่งนี้บอกว่าราคาที่พุ่งสูงกระทบยอดขาย ผลคือทำให้ตัวเลขขาดทุนสุทธิเมื่อปีที่แล้วเพิ่มเป็นเท่าตัว นอกจากนี้ ทางกลุ่มเผยว่าพวกเขาได้รับผลกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้นของตนเองเช่นกัน

Operation fish ปฏิบัติการขนย้ายสมบัติครั้งใหญ่ที่สุดในโลก ของสหราชอาณาจักร ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2



แหวนทองที่พลเมืองอังกฤษส่งมอบให้รัฐบาลเพื่อนำไปแปรรูปเป็นทองคำแท่ง

‘Operation fish’ (ปฏิบัติการปลา) เดือนกันยายน ค.ศ.1939 รัฐบาลอังกฤษได้ออกคำสั่งให้พลเมืองทุกคนที่อาศัยอยู่ในสหราชอาณาจักร ต้องแสดงและมอบทรัพย์สิน โดยเฉพาะทองคำของตนให้กับกระทรวงการคลัง ด้วยเมฆพายุแห่งสงครามที่รวมตัวกันทำให้รัฐบาลอังกฤษเกิดความกลัวที่สหราชอาณาจักรมีโอกาสจะเพลี่ยงพล้ำ หากกองทัพเยอรมันยกพลบุกและยึดครองเกาะอังกฤษได้สำเร็จในที่สุด เพื่อให้อังกฤษมีเงินและทรัพยากรที่จะทำการสู้รบต่อไปได้ แม้ว่าเกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม ดังนั้น รัฐบาลอังกฤษจึงตัดสินใจขนย้ายสมบัติไปยังแคนาดา ประเทศในเครือจักรภพอังกฤษในทวีปอเมริกาเหนือ


ปืนพก Colt ขนาด .380 ที่ถูกสั่งซื้อโดย British Purchasing Commission

ก่อน Operation fish ได้มีการส่งขบวนเรือพร้อมทองคำและเงินมูลค่าหลายล้านปอนด์ เพื่อซื้ออาวุธจากสหรัฐอเมริกามาแล้ว โดย British Purchasing Commission (คณะกรรมาธิการจัดซื้อของอังกฤษ) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลอังกฤษในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง เดิมคือ คณะกรรมการจัดซื้อของแองโกล-ฝรั่งเศส (Anglo-French Purchasing Board) มีสำนักงานอยู่ในมหานครนิวยอร์ก ซึ่งทำหน้าที่จัดการในการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์จากผู้ผลิตในอเมริกาเหนือ และหลังจากการยอมจำนนของฝรั่งเศสในปี ค.ศ.1940 จึงกลายเป็น British Purchasing Commission คณะกรรมาธิการชุดนี้ยังรับผิดชอบต่อคำสั่งซื้อที่แต่เดิมเป็นของฝรั่งเศส เบลเยียม และต่อมาโดยนอร์เวย์ หลังจากการยอมจำนนต่อเยอรมันของประเทศเหล่านั้น


Sir Winston Churchill นายกรัฐมนตรีแห่งสหราชอาณาจักรระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2

เมื่อ ‘Winston Churchill’ จัดตั้งรัฐบาลในปี ค.ศ.1940 สงครามกับเยอรมันกำลังดำเนินไปโดยฝ่ายสัมพันธมิตรเป็นฝ่ายย่ำแย่ เพื่อให้มีหลักประกันว่า สหราชอาณาจักรจะสามารถสู้รบต่อไปได้ แม้เกาะอังกฤษจะถูกยึดครองก็ตาม Churchill จึงวางแผนจัดส่งทรัพย์สมบัติของอังกฤษจำนวนมหาศาลไปเก็บเพื่อความปลอดภัยในแคนาดา จากการที่รัฐบาล Churchill ได้ใช้อำนาจในช่วงสงคราม (กฎอัยการศึก) ยึดทรัพย์สินที่ชาวอังกฤษทุกคนได้ถูกบังคับให้ลงทะเบียนเมื่อกันยายน ค.ศ.1939 และทำการขนย้ายทรัพย์สินเหล่านั้นไปยังท่าเรือ Greenock ในสกอตแลนด์ภายใต้การคุ้มกันอย่างเป็นความลับสุดยอด


เรือ HMS Emerald

จากนั้น ทรัพย์สินทั้งหมดก็ถูกขนส่งโดย ‘เรือรบ HMS Emerald’ ซึ่งออกเดินทางเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม ค.ศ.1939 พร้อมด้วยด้วยเรือพิฆาตคุ้มกันจำนวนหนึ่งได้แล่นไปยังแคนาดา การเดินทางของขบวนเรือครั้งนี้อยู่ภายใต้การควบคุมที่เข้มงวด เพื่อเป็นการรักษาความลับและลวงพรางศัตรู ลูกเรือทุกนายต้องสวมเครื่องแบบ ‘สีขาวเขตร้อน’ เพื่อสร้างความสับสนให้กับเยอรมัน ในขบวนเรือคุ้มกันประกอบด้วยเรือประจัญบาน HMS Revenge และ HMS Resolution และ HMS Enterprise รวมถึงเรือลาดตระเวน HMS Caradoc ระหว่างทางขบวนเรือเผชิญกับพายุที่รุนแรงลูกหนึ่ง ที่ทำให้เกิดคลื่นลมแรงจนขบวนเรือต้องลดความเร็วลง จนเกือบจะกลายเป็นเป้าหมายง่ายๆ สำหรับเรือดำน้ำของเยอรมันที่พยายามเข้ามามาด้อมๆ มองๆ แต่ในที่สุดขบวนเรือก็มาถึงท่าเรือเมืองแฮลิแฟกซ์ของแคนาดา ทรัพย์สมบัติของอังกฤษก็ถูกขนย้ายด้วยรถไฟ และถูกส่งไปยังกรุงออตตาวาซึ่งเป็นเมืองหลวงของแคนาดา ก่อนส่งต่อไปยังนครมอนทรีออล


อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล

ทองคำแท่งน้ำหนักสองล้านปอนด์ (900 ตัน) มูลค่าราว 1.948 ล้านบาทในปัจจุบัน อันเป็นทรัพย์สินของอังกฤษ ถูกเก็บไว้ในห้องนิรภัยใต้ดินที่สร้างขึ้นเป็นพิเศษใต้อาคาร Sun Life ในนครมอนทรีออล ภายใต้การคุ้มกันตลอดเวลาโดย ตำรวจของ Royal Canadian Mounted และมีการปล่อยข่าวลืออย่างต่อเนื่องว่า มีการเก็บเครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งสหราชอาณาจักรไว้ที่นครมอนทรีออล โดยไม่มีการพูดถึงทองคำจำนวนมหาศาล เพื่อเป็นการอำพรางกิจกรรมที่เกิดขึ้นในอาคาร Sun Life โดยที่พนักงาน 5,000 คน ที่ทำงานในอาคาร Sun Life ไม่เคยสงสัยเลยว่า มีทองคำจำนวนมหาศาลถูกเก็บไว้ในห้องใต้ดินของอาคาร


แม้จะมีผู้คนจำนวนมากเข้าร่วมในปฏิบัติการครั้งนี้ แต่หน่วยข่าวกรองของเยอรมันก็ไม่เคยทราบหรือระแคะระคายข้อมูลเกี่ยวกับปฏิบัติการนี้เลย นักบัญชีและการเงินหลายร้อยคนทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย เพื่อจัดรายการเนื้อหาของทรัพย์สินที่ถูกขนย้ายมา เมื่อเสร็จปฏิบัติการแล้วก็พบว่า ‘ทองคำ’ มูลค่าราว 1.948 ล้านบาท ที่ถูกส่งจากสหราชอาณาจักรไปยังแคนาดานั้น ไม่สูญหายเลยแม้แต่แท่งเดียว



มีแผ่นหินจารึกบนกำแพงด้านนอกของ Martins Bank บนถนน Water Street ในนครลิเวอร์พูลเป็นที่ระลึกถึงทองคำ ซึ่งถูกเก็บไว้ที่นั่นระหว่างเดินทางไปแคนาดา ระบุข้อความว่า…

“ในเดือนพฤษภาคม ค.ศ.1940 เมื่อประเทศนี้ถูกคุกคาม ทองคำสำรองบางส่วนของประเทศถูกนำมาจากกรุงลอนดอน และถูกเก็บเพื่อความปลอดภัยในห้องใต้ดินของ Martins Bank”

ตัวเลขทองคำสำรองของอังกฤษในปัจจุบันอยู่ที่ 310 ตัน (ในขณะที่ตัวเลขทองคำสำรองของไทยในปัจจุบันอยู่ที่ 244 ตัน) ทองคำถือเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยที่ได้รับความนิยมสูง เพราะเป็นสินทรัพย์ที่จับต้องได้ ไม่สามารถพิมพ์ออกมาใหม่ได้เหมือนเงิน และมูลค่าของทองคำไม่ได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากการรักษามูลค่ามีมาแต่อดีต ดังนั้น เมื่อมีเกิดภาวะเศรษฐกิจซบเซาหรือเข้าสู่วิกฤติ ราคาทองคำจะเพิ่มสูงขึ้นเนื่องจากเป็นที่ต้องการเพิ่มขึ้น ดังนั้นทองคำเป็นหลักประกันที่จับต้องได้ที่ดีสุดสุดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

เรื่อง : ดร.ปุณกฤษ ลลิตธนมงคล
ที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการสมัยใหม่ อาจารย์พิเศษหลักสูตรปริญญาโทและเอก นักเล่าเรื่องมากมายในหลากหลายมิติ เป็นผู้ที่ชื่นชมสนใจในประวัติศาสตร์สงครามสมัยใหม่ตลอดจนอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ

 

'อังกฤษ' เปิดฉาก!! กล่าวหารัสเซียยิงขีปนาวุธเป็นชุด  โจมตีเรือสินค้าในทะเลดำ พังธัญพืชหล่อเลี้ยงชีวิตชาวยูเครน

(12 ก.ย. 66) กองทัพรัสเซียเล็งเป้าหมายโจมตีเรือสินค้าพลเรือนลำหนึ่งในทะเลดำ ด้วย ‘ขีปนาวุธหลายลูก’ เมื่อเดือนที่แล้ว แต่กองกำลังยูเครนประสบความสำเร็จในการยิงสกัด จากคำกล่าวหาเมื่อวันจันทร์ (11 ก.ย.) ของสหราชอาณาจักรที่อ้างข้อมูลข่าวกรอง

จากคำกล่าวอ้างของรัฐบาลสหราชอาณาจักร ระบุว่าเรือลำหนึ่งในกองเรือทะเลดำของรัสเซีย ยิงขีปนาวุธหลายลูก ในนั้นรวมถึงขีปนาวุธร่อนคาลิเบอร์ มุ่งหน้าสู่โอเดสซา เมืองท่าทางใต้ของยูเครน เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม

กระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาของสหราชอาณาจักร (Foreign, Commonwealth & Development Office - FCDO) ระบุว่าข้อมูลข่าวกรองชั้นไม่เป็นความลับ เผยว่าเป้าหมายโดยเจตนาของการโจมตีดังกล่าวคือเรือสินค้าประดับธงลิเบียลำหนึ่ง ซึ่งเทียบท่าอยู่ที่นั่น

นอกจากนี้แล้วกระทรวงการต่างประเทศและการพัฒนาของสหราชอาณาจักร ยังบอกอีกว่าระบบป้องกันภัยทางอากาศของยูเครนสามารถทลายการโจมตีที่มุ่งเป้าเล่นงานเรือพลเรือน โดยที่ไม่มีขีปนาวุธคาลิเบอร์ใดๆ ที่พุ่งโดนเป้าหมาย "แม้ประสบความล้มเหลว แต่มันพิสูจน์อย่างชัดเจนว่า รัสเซียยังคงพยายามบีบรัดเศรษฐกิจของยูเครน" FCDO กล่าวในถ้อยแถลง

ในถ้อยแถลงยังกล่าวหาด้วยว่า ประธานาธิบดีวลาดิมีร์ ปูติน ไม่แยแสต่อชีวิตพลเรือน และพยายามใช้อาหารและการค้าอันบริสุทธิ์เป็นอาวุธ ที่ทั่วทั้งโลกต้องเป็นฝ่ายชดใช้

ทะเลดำ กลายเป็นสมรภูมิที่มีการต่อสู้กันอย่างดุเดือดมากขึ้น หลังจากรัสเซียถอนตัวจากข้อตกลงส่งออกธัญพืชที่มีสหประชาชาติและตุรกีเป็นคนกลางเมื่อเดือนกรกฏาคม ในขณะที่ข้อตกลงดังกล่าวมีเป้าหมายรับประกันความปลอดภัยในการล่องเรือของเรือสินค้า

นับตั้งแต่นั้น มอสโกโจมตีโครงสร้างพื้นฐานท่าเรือของยูเครนซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในสิ่งที่เคียฟกล่าวหาว่าเป็นความพยายามก่อความเสียหายแก่การส่งออกของพวกเขา และบ่อนทำลายความมั่นคงทางอาหารโลก

ในการพาดพิงคำกล่าวหาเกี่ยวกับเหตุโจมตีเรือพลเรือนเมื่อวันที่ 24 มีนาคม ริชี ซูแน็ก นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร ใช้โอกาสแถลงต่อรัฐสภา เกี่ยวกับการประชุมซัมมิตจี 20 เมื่อช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ระบุว่ามันแสดงให้เห็นว่า ปูติน กำลังจนตรอกอย่างหนัก

เขาบอกด้วยว่าการโจมตีของรัสเซียที่เล่นงานสถานที่ต่างๆ ของยูเครน ได้ทำลายธัญพืชไปมากกว่า 270,000 ตัน ซึ่งมันเพียงพอสำหรับเลี้ยงดูประชาชน 1 ล้านคนเป็นเวลา 1 ปีเลยทีเดียว "ยูเครนมีสิทธ์ส่งออกสินค้าของพวกเขาผ่านน่านน้ำสากล และพวกเขามีสิทธิทางศีลธรรมที่จะส่งออกธัญพืชไปช่วยหล่อเลี้ยงคนทั้งโลก" ซูแน็ก กล่าว

‘คนเมืองผู้ดี’ เผชิญภาวะอดอยากแร้นแค้น 3.8 ล้านคน ผลจากเงินเยียวยาช่วงโควิด-19 ระบาด ไม่พอใช้จ่าย

สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า เมื่อวันอังคาร (24 ต.ค.66) ที่ผ่านมา มูลนิธิโจเซฟ ราวน์ทรี (Joseph Rowntree Foundation) เผยว่าประชาชนในสหราชอาณาจักรราว 3.8 ล้านคน ซึ่งรวมถึงเด็ก 1 ล้านคน ใช้ชีวิตอยู่กับความอดอยากยากแค้นเมื่อปีก่อน

มูลนิธิข้างต้น ซึ่งเป็นหนึ่งในองค์กรการกุศลที่มีชื่อเสียงที่สุดในสหราชอาณาจักร เผยในรายงานว่าจำนวนดังกล่าวคิดเป็นเกือบ 2.5 เท่าของจำนวนคนอดอยากในปี 2017 และเพิ่มขึ้นเกือบ 3 เท่าในกลุ่มประชากรเด็ก ทำให้การจัดการกับความอดอยากในสหราชอาณาจักรกลายเป็นเรื่องจำเป็นเร่งด่วน

“ระดับความอดอยากในสหราชอาณาจักรเพิ่มสูงขึ้น โดยผู้คนจำนวนมากขึ้นต้องดิ้นรนหาเงินมาตอบสนองต่อความต้องการทางกายภาพขั้นพื้นฐานที่สุด ทั้งการทำให้ร่างกายอบอุ่น ไม่เปียกฝน สะอาดสะอ้าน และอิ่มท้อง” รายงานระบุ

รายงานเสริมว่าสิ่งนี้มีผลกระทบต่อสุขภาพกาย สุขภาพจิต และโอกาสของประชาชนอย่างลึกซึ้ง และยังสร้างความตึงเครียดให้บริการต่าง ๆ ที่แบกรับภาระมากเกินไปอยู่แล้ว โดยเกือบสามในสี่ของประชาชนที่ประสบกับความอดอยากอยู่ระหว่างการรับเงินประกันสังคม ซึ่งสะท้อนถึงสิทธิประโยชน์ที่ไม่เพียงพอ

ส่วนการสนับสนุนเฉพาะกิจจากรัฐบาลสหราชอาณาจักรซึ่งมีขึ้นครั้งแรกเมื่อช่วงการแพร่ระบาดใหญ่ของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ (โควิด-19) และกำลังช่วยเรื่องค่าครองชีพอยู่ในขณะนี้ ยังไม่สามารถหยุดยั้งระดับความอดอยากที่เพิ่มขึ้นได้

รายงานแนะนำให้มีการปฏิรูประบบประกันสังคมของสหราชอาณาจักรอย่างกว้างขวางขึ้น และรับรองการจัดสรรความช่วยเหลือด้านการเงินฉุกเฉินสำหรับจัดการกับหนี้ก้อนโต สวัสดิการ และปัญหาที่อยู่อาศัยที่ทำให้ประชาชนอดอยาก

‘อังกฤษ’ เตรียมกำจัด ‘สุนัขอเมริกันบูลลี่ XL’ หากไม่ถูกรับเลี้ยง ขีดเส้นตายภายในสิ้นปีนี้ หลังเกิดเหตุกัดคนบาดเจ็บ-เสียชีวิต

(28 พ.ย.66) องค์กรการกุศลเกี่ยวกับสัตว์ในสหราชอาณาจักร เผยว่า สุนัขอเมริกันบูลลี่ XL หลายร้อยตัวจะถูกการุณยฆาต หากไม่ถูกรับเลี้ยง ภายในวันที่ 31 ธันวาคมนี้ ซึ่งสุนัขพันธุ์นี้เป็นที่ถกเถียงถึงความอันตราย 

ปัจจุบันสุนัขเหล่านี้อาศัยอยู่ในศูนย์ช่วยเหลือสัตว์ที่ดำเนินการโดย RSPCA, Blue Cross, Battersea Dogs and Cats Home, Dogs Trust และ Mayhew รวมถึงที่อื่น ๆ ทั่วประเทศ

ภายใต้การแบน ซึ่งมีผลบังคับใช้คือ จะไม่สามารถรับเลี้ยง หรือขายสุนัข อเมริกัน บูลลี่ XL ได้อย่างถูกกฎหมายหลังจากวันที่ 31 ธันวาคม และหากมีการรับเลี้ยงสุนัขพันธุ์นี้ไปก่อนวันที่ 31 ก็จะมีกฎให้เลี้ยงในคอกสุนัข หรือพื้นที่ปิด รวมถึงต้องใส่สายจูงเมื่ออยู่ในที่สาธารณะอย่างเคร่งครัด

โดยจะมีระยะเวลาให้เจ้าของสุนัขยื่นขอยกเว้นการเป็นเจ้าของสายพันธุ์ต้องห้ามนี้ได้ รวมถึงสุนัขสายพันธุ์นี้ที่อยู่กระจายทั่วประเทศจำเป็นต้องทำหมันภายในเดือนกุมภาพันธ์ด้วย

หลังมีข่าวประชาชนหลายรายโดนกัดจนบาดเจ็บและเสียชีวิต อเมริกันบูลลี่ XL จะกลายเป็นสุนัขพันธุ์ที่ 5 ที่จะถูกแบนในเกาะอังกฤษ ตามหลัง อเมริกันพิทบูลเทอเรีย, โดสะ, โดโก อาร์เจนติโน และ ฟิล่า บราซิเลียโร

แน่นอนว่าการตัดสินใจที่เด็ดขาดของรัฐบาล ส่งผลให้เกิดการถกเถียงกันถึงความเหมาะสม ฝ่ายหนึ่งมองว่า สุนัขพันธุ์นี้อันตรายไม่ควรเลี้ยง แต่อีกฝ่ายหนึ่งเห็นต่าง มองว่าอยู่ที่การควบคุม การเลี้ยงการดูแลของเจ้าของมากกว่า

กองทัพ 'อเมริกา+อังกฤษ' โจมตี 'เยเมน' หวังถล่มฐานทัพ 'ฮูตี' เปิดฉากสมรภูมิใหม่เต็มสูบ 'ทางอากาศ-ทางเรือ-เรือดำน้ำ'

(12 ม.ค.67) สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า สหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรเริ่มปฏิบัติการโจมตีเล่นงานเป้าหมายต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับพวกฮูตีในเยเมน เจ้าหน้าที่อเมริกา 4 รายเปิดเผยกับรอยเตอร์ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ตามเวลาท้องถิ่น นับเป็นครั้งแรกที่มีการเปิดปฏิบัติการกับพวกติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านกลุ่มนี้ นับตั้งแต่ทางกลุ่มเริ่มเล็งเป้าโจมตีเรือขนส่งสินค้าต่างๆ ในทะเลแดงในช่วงปลายปีที่แล้ว

ฮูตี ซึ่งควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมน เล็งเป้าเล่นงานเส้นทางเดินเรือสินค้าในทะเลแดง เพื่อแสดงจุดยืนสนับสนุนชาวปาเลสไตน์และกลุ่มนักรบอิสลามิสต์ปาเลสไตน์ ‘ฮามาส’ ท่ามกลางสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสในฉนวนกาซา การโจมตีก่อความปั่นป่วนแก่การค้าระหว่างประเทศ ในเส้นทางขนส่งสำคัญที่เชื่อมระหว่างยุโรปกับเอเชีย ซึ่งคิดเป็นสัดส่วนราว 15% ของการขนส่งสินค้าทางเรือทั่วโลก

ปฏิบัติการครั้งนี้เชื่อว่าเป็นปฏิบัติการโจมตีครั้งแรกของสหรัฐฯ นับตั้งแต่ปี 2016 ที่ลงมือเล่นงานพวกกบฏฮูตีในเยเมน

เจ้าหน้าที่ซึ่งไม่ประสงค์เอ่ยนาม บอกว่าคาดหมายว่าจะมีการเผยแพร่ถ้อยแถลงอย่างเป็นทางการในไม่ช้านี้ ซึ่งจะให้รายละเอียดต่างๆ เกี่ยวกับปฏิบัติการโจมตี

ก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดี (10 ม.ค.) ผู้นำกลุ่มฮูตี บอกว่าการโจมตีใดๆ ของสหรัฐฯ ที่เล่นงานทางกลุ่ม การโจมตีเหล่านั้นจะไม่ถูกปล่อยให้ผ่านพ้นไปเฉยๆ โดยปราศจากการตอบโต้ใดๆ

พวกฮูตี ซึ่งยึดครองพื้นที่ส่วนใหญ่ของเยเมน ในสงครามกลางเมือง ได้ประกาศโจมตีเรือต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับอิสราเอล หรือมุ่งหน้าสู่ท่าเรือของอิสราเอล อย่างไรก็ตาม จำนวนมากของเรือที่ตกเป็นเป้าหมายนั้นพบว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกับอิสราเอล

กองทัพสหรัฐฯ เปิดเผยว่าก่อนหน้านี้ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ว่าพวกฮูตีได้ลงมือโจมตีเล่นงานการเดินเรือครั้งที่ 27 นับตั้งแต่วันที่ 19 พฤศจิกายน ด้วยการยิงขีปนาวุธต่อต้านเรือเข้าใส่เส้นทางการเดินเรือในอ่าวเอเดน

เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้เมื่อช่วงต้นสัปดาห์ กองทัพเรือสหรัฐฯ และสหราชอาณาจักรได้สอยร่วงโดรนและขีปนาวุธจำนวนหลายสิบ ที่กบฏฮูตียิงเข้าใส่ทางใต้ของทะเลแดง

‘พวกฮูตีจำเป็นต้องหยุดการโจมตีเหล่านี้ พวกเขาต้องแบกรับผลสนองกลับ หากว่าไม่ยอมทำตาม’จอห์น เคอร์บี โฆษกความมั่นคงแห่งชาติทำเนียบขาวระบุในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา

บรรณาธิการข่าวการเมืองของหนังสือพิมพ์เดอะไทม์ส ของอังกฤษ ในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา กล่าวอ้างก่อนหน้านี้ไม่นานว่า สหราชอาณาจักรคาดหมายว่าจะร่วมกับสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการโจมตีทางอากาศถล่มฐานที่มั่นทางทหารที่เป็นของพวกฮูตีที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในเยเมน ‘ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า’

เดอะไทม์ส ของอังกฤษรายงานว่าก่อนหน้านั้นในวันพฤหัสบดีที่ผ่านมาซูแน็ก ได้บรรยายสรุปกับคณะรัฐมนตรี ต่อการขยับเข้าใกล้การเข้าแทรกแซงทางทหาร และสื่อมวลชนอังกฤษแห่งนี้รายงานด้วยว่า บุคคลทางการเมืองอื่นๆ ในนั้นรวมถึง เคียร์ สตาร์เมอร์ หัวหน้าพรรคเลเบอร์ พรรคฝ่ายค้านของสหราชอาณาจักร เช่นเดียวกับประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับฟังรายงานสรุปจากรัฐบาลเช่นกัน

ทำเนียบนายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักรของ ริชี ซูแน็ก ไม่ตอบคำถามของรอยเตอร์ ที่สอบถามขอความคิดเห็น ส่วนกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ และทำเนียบขาวก็ปฏิเสธแสดงความคิดเห็นต่อรายงานข่าวดังกล่าว ในขณะที่ปกติแล้ว อเมริกาจะไม่แสดงความคิดเห็นต่อแนวโน้มปฏิบัติการทางทหารใดๆ ในอนาคต

‘เจ้าชายแฮร์รี’ เปิดใจสื่อครั้งแรก หลังบินด่วนเยี่ยม ‘คิงชาร์ลส์’ เผย โรคภัยช่วยนำพาครอบครัวกลับมาใกล้ชิดกันอีกครั้ง

(17 ก.พ. 67) เจ้าชายแฮร์รี ดยุคแห่งซัสเซกซ์ ทรงเปิดเผยถึงการเสด็จกลับลอนดอนเพื่อเยี่ยมพระราชบิดาของพระองค์เป็นครั้งแรก ในระหว่างประทานสัมภาษณ์ในรายการ กู๊ดมอร์นิงอเมริกา ทางสถานีโทรทัศน์เอบีซีนิวส์ เมื่อวันที่ 16 ก.พ.ที่ผ่านมา ว่า พระองค์ ‘กระโดดขึ้นเครื่องบิน’ ในทันทีที่ทำได้ เพื่อกลับไปเข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 แห่งสหราชอาณาจักร หลังทรงทราบว่าพระราชบิดาทรงป่วยเป็นโรคมะเร็ง

เจ้าชายแฮร์รีตรัสว่า พระองค์รู้สึกขอบคุณสำหรับช่วงเวลาที่ทรงได้อยู่กับพระราชบิดา ในช่วงสั้นๆ นั้น และทรงเห็นด้วยว่า ครอบครัวสามารถกลับมาใกล้ชิดกันมากขึ้นจากปัญหาสุขภาพ

ดยุคแห่งซัสเซกซ์ พระราชโอรสองค์เล็กในกษัตริย์ชาร์ลส์ที่ 3 ทรงกล่าวอีกว่า จะเสด็จกลับอังกฤษให้มากขึ้น และพบกับครอบครัวให้มากขึ้นเท่าที่จะทรงทำได้ และตรัสย้ำว่า “ผมรักครอบครัวของผม”

เจ้าชายแฮร์รี ซึ่งทรงอยู่ระหว่างการร่วมโปรโมตการแข่งขันกีฬาทหารผ่านศึกนานาชาติ “อินวิคตัส เกมส์” ในประเทศแคนาดา ทรงยกตัวอย่างของผู้มีส่วนร่วมในอินวิคตัส เกมส์ โดยชี้แนะว่าความกดดันเช่นนั้นสามารถช่วยนำครอบครัวมาอยู่รวมกันได้ “ความเจ็บป่วยใดๆ ก็ตาม จะนำครอบครัวมารวมกัน”

เจ้าชายแฮร์รีเสด็จกลับมายังลอนดอนเพียงลำพังในทันที เมื่อทรงทราบว่าพระราชบิดาทรงประชวรด้วยโรคร้ายดังกล่าว แม้จะทรงพำนักอยู่ในลอนดอนเพียงหนึ่งวัน และได้เข้าเฝ้าสมเด็จพระเจ้าชาร์ลส์ที่ 3 ที่พระตำหนักแคลเรนซ์ราว 45 นาที โดยทรงไม่ได้พบกับเจ้าชายวิลเลียม แห่งเวลส์ พระเชษฐาของพระองค์ ท่ามกลางรอยร้าวความขัดแย้งระหว่าง 2 พี่น้องเลือดขัตติยะที่ยังคงอยู่

หลังจากเจ้าชายแฮร์รีและเมแกน พระชายา ได้ขอถอนตัวออกจากการเป็นสมาชิกราชวงศ์ชั้นสูงไปในปี 2020 และทรงย้ายครอบครัวมาใช้ชีวิตอยู่ในแคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา

ในการประทานสัมภาษณ์ครั้งนี้ เจ้าชายแฮร์รีทรงเปิดเผยด้วยว่า พระองค์กำลังพิจารณาที่จะถือสัญชาติอเมริกัน โดยตรัสว่าพระองค์รักการใช้ชีวิตในอเมริกาทุกๆ วัน แต่พระองค์ยังทรงลังเลเมื่อถูกถามว่าทรงรู้สึกถึงความเป็นอเมริกันในตัวแล้วหรือไม่ เพียงแต่กล่าวถึงการถือสัญชาติอเมริกันว่า ทรงคิดอยู่ แต่แน่นอนว่ายังไม่ใช่เรื่องสำคัญมากในตอนนี้

ผลสำรวจพบ UK เป็นชาติที่มีความทุกข์มากสุดอันดับ 2 ของโลก สุขภาพจิตดำดิ่งตั้งแต่โควิดระบาด ยังไม่พบเห็นสัญญาณการฟื้นตัว

(11 มี.ค.67) สหราชอาณาจักรกลายเป็นชาติที่ไร้ความสุขมากที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก จากผลสำรวจที่จัดทำโดย Sapien Labs กองทุนประสาทวิทยาศาสตร์ โดยผลสำรวจพบ สุขภาพจิตของชาวสหราชอาณาจักรดำดิ่งนับตั้งแต่วิกฤตโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และยังไม่พบเห็นสัญญาณการฟื้นตัว

รายงานประจำปี ‘สถานะทางจิตของโลก’ Mental State of the World ของ Sapien Labs ซึ่งปีนี้จัดทำเป็นปีที่ 4 ได้ทำการประเมินสุขภาวะทางจิต (Mental Wellbeing) ของผู้เข้าร่วมทางอินเทอร์เน็ต 419,175 คน จาก 71 ประเทศ ซึ่งผลลัพธ์ได้ให้ภาพอันมัวหมองของโลกที่พูดภาษาอังกฤษ โดยใน 71 ประเทศ บรรดาชาติที่ใช้ภาษาอังกฤษเป็นภาษาแม่ (Anglophone) ไม่ว่าจะเป็นสหราชอาณาจักร ไอร์แลนด์ ออสเตรเลีย.และนิวซีแลนด์ อยู่ในลำดับล่างๆ โดยเฉพาะพลเมืองสหราชอาณาจักรที่มีความสุขมากกว่าประชาชนชาวอุซเบกิสถานเท่านั้น

ผลสำรวจจัดให้สหราชอาณาจักร ตามหลัง เยเมน 8 อันดับ และตามหลังยูเครน 12 อันดับ ในแง่ของสุขภาพจิตโดยรวมของประชาชน โดยประชาชนชาวสหราชอาณาจักรราว 36% บอกกับ Sapien Labs ว่าพวกเขาทั้ง "เป็นทุกข์และกำลังประสบปัญหา" ลดลงเพียงแค่ 0.7% จากปีที่แล้ว ครั้งที่พวกเขารั้งที่สุดท้าย ในการจัดอันดับ

เพื่อสรุปถึงสุขภาพจิตโดยรวมของประชาชนในแต่ละชาติ กองทุนแห่งนี้ได้ถามคำถามแต่ละคน 47 คำถาม เกี่ยวกับ ‘อารมณ์และทัศนะ’ ของพวกเขา อัตมโนทัศน์ด้านสังคม (Social-Self) แรงผลักดันและแรงจูงใจ การปรับตัวและความยืดหยุ่น เช่นดียวกับอื่นๆ แม้ Sapien Labs คำตอบของคำถามเหล่านี้เป็นลักษณะคำตอบแบบอัตนัย แต่รายงานต่างได้ผลสรุปออกมาคล้ายๆ กัน

ท่ามกลางมาตรฐานการดำรงชีพที่ตกต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักรเผยแพร่รายงานเมื่อเดือนพฤศจิกายน พบว่า ชาวสหราชอาณาจักรมีความสุขและความพึงพอใจส่วนบุคคลลดลงในช่วงขวบปีสิ้นสุดเดือนมีนาคมปีก่อน และจากรายงานที่เผยแพร่ในนิตยสารทางการแพทย์ The Lancet เมื่อเดือนที่แล้ว พบว่าประชาชน 1.8 ล้านคน ปัจจุบันกำลังรอการเข้ารับการรักษาด้านสุขภาพจิต

ทั้งนี้ Sapien Labs ระบุว่า ระดับความผาสุกทางจิตของโลกที่พูดภาษาอังกฤษดำดิ่งลงระหว่างการแพร่ระบาดของโรคระบาดใหญ่ไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่ และภาวะตกต่ำนี้ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ไม่พบเห็นสัญญาณการฟื้นตัวดีขึ้น

ยิ่งไปกว่านั้น รายงานพบว่าความผาสุกทางจิตใจลดต่ำลงในประเทศต่างๆ ที่รับประทานอาหารแปรรูปโดยทั่วไป เด็กๆ มีสมาร์ทโฟนตั้งแต่อายุยังน้อย และความสัมพันธ์ระหว่างสมาชิกในครอบครัวเหินห่าง ซึ่งประเทศต่างๆ ที่พูดภาษาอังกฤษทำคะแนนได้ค่อนข้างน้อยในมาตรวัดทั้ง 3 นี้

สาธารณรัฐโดมินิกันรั้งอันดับสูงสุดในบัญชีประเทศที่มีความสุขมากที่สุดในโลก ส่วนอันดับ 2 เป็นของศรีลังกาและแทนซาเนีย ตามมาเป็นอันดับ 3 โดยทุกประเทศที่ติดอันดับท็อปเท็นมาจากแอฟริกา เอเชีย หรือไม่ก็ละตินอเมริกา "รูปแบบดังกล่าวบ่งชี้ว่าความมั่งคั่งและเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้วไม่จำเป็นต้องนำมาซึ่งความผาสุกทางจิตใจ" Sapien Labs ระบุ


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top