Tuesday, 7 May 2024
รังสิมันต์โรม

‘โรม’ ย้ำ!! เก้าอี้ประธานสภาฯ ต้องอยู่ที่ ‘ก้าวไกล’ อ้าง รักษาประเพณี พรรคที่ชนะเลือกตั้งต้องได้นั่ง

(24 พ.ค. 66) ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล และว่าที่ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊ก ถึงตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร พรรคก้าวไกล เสียไปไม่ได้เป็นอันขาดว่า…

อันที่จริงก็เหมือนกับที่นายชัยธวัช ตุลาธน เลขาธิการพรรค เคยกล่าวเอาไว้ว่า เรื่องของตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นตำแหน่งที่พรรคก้าวไกล อยากรักษาประเพณีที่เคยทำกันมา ซึ่งในอดีตหากไม่นับรวมเมื่อปี 2562 จะพบว่า พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเป็นลำดับที่ 1 จะขอตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎรด้วย เพื่อผลักดันกฎหมายต่างๆ พรรคก้าวไกลยืนยันว่า ตำแหน่งดังกล่าว ทางพรรคก้าวไกลต้องขอเอาไว้เอง

เมื่อถามว่า มีพรรคการเมืองใดมาต่อรองตำแหน่ง ประธานสภาผู้แทนราษฎรแล้วหรือยัง นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตนยังไม่ทราบ แต่เบื้องต้นพรรคก้าวไกลได้ประกาศมาหลายครั้ง และยืนยันในเรื่องนี้มาโดยตลอด

เมื่อถามว่า ได้พูดคุยกับพรรคเพื่อไทยในประเด็นนี้หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ต้องถามนายชัยธวัช เพราะเป็นผู้ดูแลการเจรจาในพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งจะตอบคำถามได้ดีที่สุด

เมื่อถามว่า นายณัฐวุฒิ บัวประทุม รองหัวหน้าพรรคก้าวไกล เป็นผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งประธานสภาใช่หรือไม่ นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ในรายละเอียดทางพรรคก้าวไกล ยังไม่ได้มีการพูดคุยกันว่าใครเหมาะจะเป็นแคนดิเดตในตำแหน่งประธานสภาฯ ซึ่งคิดว่าพรรคก้าวไกลยังมีเวลาคุยว่าจะมีใครที่มีความเหมาะสม

ศาลรับคดี ‘สว.อุปกิต’ ฟ้อง ‘โรม’ หมิ่นประมาท  ปมอภิปรายในสภาฯ เรื่อง ‘เช็กบิลไทยดำ-จีนเทา’

(11 ก.ค. 66) ที่ห้องพิจารณา 909 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก ศาลนัดฟังคำสั่งชั้นไต่สวนมูลฟ้อง คดีดำอ.468/2566 ที่นายอุปกิต ปาจริยางกูร วุฒิสมาชิก (ส.ว.) ยื่นฟ้องนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคก้าวไกล ในความผิดฐานหมิ่นประมาทฯ

กรณีช่วงคืนวันที่ 15 ก.พ. 2565 ในการอภิปรายทั่วไป เพื่อซักถามข้อเท็จจริงหรือเสนอแนะปัญหาต่อคณะรัฐมนตรีนายรังสิมันต์ ได้อภิปรายในหัวข้อ ‘เช็กบิลไทยดำ-จีนเทา’ โดยมีเนื้อหาพาดพิง ใส่ความให้ผู้อื่นเข้าใจว่า นายอุปกิต มีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งล้วนเป็นเท็จทำให้เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง พร้อมกับเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทด้วย

โดยวันนี้ทั้งนายอุปกิต ปาจรียางกูร และนายรังสิมันต์ โรม ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล โจทก์และจำเลยไม่ได้มาศาล แต่มอบหมายให้ทนายความมาฟังคำสั่งแทน

ศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การอภิปรายและนำคลิปวิดีโอมาเปิดในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ของนายรังสิมันต์ โรม จำเลยซึ่งมีหน้าที่และเอกสิทธิ์คุ้มครองตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่การที่จำเลยนำคลิปวิดีโอในการอภิปรายดังกล่าวนั้น ออกมาเผยแพร่ทางช่องทั้ง YouTube และ Facebook ซึ่งเป็นสื่อโซเชียล ถือว่าเข้าข่ายหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา คดีมีมูลจึงมีคำสั่งประทับรับฟ้อง พร้อมให้เจ้าหน้าที่ศาลมีหมายแจ้งให้จำเลยทราบนัด เพื่อมาสอบคำให้การจำเลยและตรวจพยานหลักฐานในวันที่ 21 ส.ค. เวลา 09.00 น.

‘โรม’ ไม่เห็นด้วย หลังศาลรัฐธรรมนูญ สั่ง ‘พิธา’ หยุดปฏิบัติหน้าที่

(19 ก.ค. 66) นายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวในรัฐสภาฯ วาระโหวตเลือกนายกฯ ครั้งที่ 2 หลังศาลรัฐธรรมนูญลงมติสั่งให้ ‘นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์’ แคนดิเดตนายกฯ และ ส.ส. พรรคก้าวไกล หยุดปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. จนกว่าจะมีคำวินิจฉัย ว่า…

“การพยายามตีความข้อบังคับ เพื่อตัดไม่ให้แคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ถูกเสนอชื่อ เพื่อลงมติรอบที่ 2 ได้นั้น เห็นได้ว่า มีข้อปัญหาที่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญ ซึ่งผมไม่อาจเห็นด้วยกับการตีความแบบนี้”

‘ก้าวไกล’ ยัน!! เสนอญัตติทบทวนมติรัฐสภากรณีสภาโหวตนายกฯ ต่อไป ย้ำ!! สภาควรแก้ไขกันเองได้ ทำเรื่องที่ถูกต้องให้เป็นบรรทัดฐาน

(16 ส.ค.66) ที่รัฐสภา นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคก้าวไกล แถลงหลังศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องของผู้ตรวจการแผ่นดิน กรณีสภาฯ โหวตเลือกนายกฯ เนื่องจากผู้ร้องเรียนไม่ใช่บุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพโดยตรง ไม่อาจใช้สิทธิยื่นคำร้องเรียนได้ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 213

นายรังสิมันต์กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้พิจารณาในเนื้อหาสาระข้อเท็จจริง แต่ยกเรื่องเทคนิคกระบวนการมาเป็นเหตุผล สำหรับพรรคก้าวไกลยืนยันโดยตลอดว่ากรณีเช่นนี้ สภาฯ ควรแก้ไขปัญหากันเองได้ ไม่จำเป็นต้องให้องค์กรภายนอกอย่างศาลรัฐธรรมนูญเข้ามา อะไรก็ตามที่ทำไม่ถูกต้องหรือผิดพลาดไป สภาฯ มีอำนาจแก้ไขปรับปรุง จึงเป็นที่มาที่ทำให้พรรคก้าวไกลเสนอญัตติเพื่อให้สภาทบทวน ว่าการที่สภาเคยมีมติว่าญัตติที่เสนอพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ แคนดิเดตนายกฯ จากพรรคก้าวไกลซ้ำ ไม่สามารถทำได้นั้น เป็นการดำเนินการที่ไม่ถูกต้องทางกฎหมาย

ดังนั้น ในโอกาสที่จะมีการเลือกนายกฯ ต่อไป พรรคก้าวไกลขอยืนยันจะเสนอญัตตินี้ต่อไป และหวังว่ากระบวนการนี้จะทำให้สภาฯ ได้ทำสิ่งที่ถูกต้อง โดยยืนยันว่าไม่ใช่การตีรวนทางการเมือง

“สถานะแคนดิเดตนายกฯ เป็นสถานะตามรัฐธรรมนูญ ไม่ใช่พอเสนอกันไปแล้วไม่ผ่านในรอบแรก จะบอกว่าสถานะนั้นไม่มีอีกแล้ว การพิจารณาแบบนี้เป็นการเล่นการเมือง โดยไม่พิจารณาอยู่บนข้อเท็จจริงข้อกฎหมาย พรรคก้าวไกลยืนยันว่า การพิจารณาแคนดิเดตนายกฯ ไม่ว่าจะเป็นใคร หากรอบนี้ไม่ผ่าน รอบต่อไปก็เสนอได้” นายรังสิมันต์ กล่าว

ผู้สื่อข่าวถามว่า เมื่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นนี้ พิธาจะยื่นคำร้องเองในฐานะบุคคลซึ่งถูกละเมิดสิทธิหรือไม่ นายรังสิมันต์กล่าวว่า ไม่ยื่นแน่นอน แม้พรรคก้าวไกลจะเป็นเป้าของการไม่ให้เสนอนายกฯ ซ้ำ แต่เรายืนยันมาตลอดว่าเรื่องนี้เป็นกิจการของสภาฯ จึงต้องการใช้กลไกของสภาฯ ในการทำสิ่งที่ถูกต้อง

“เรื่องนี้เป็นเรื่องหลักการ ไม่ได้ทำเพื่อตัวเอง หรือเพื่อให้นายพิธากลับมาเป็นแคนดิเดตนายกฯ อีกครั้ง ไม่ว่าแคนดิเดตเป็นใคร จะได้ประโยชน์จากข้อเสนอของพรรคก้าวไกลทั้งสิ้น เว้นเสียแต่บางกลุ่มบางพวกต้องการวางหมากให้การเสนอนายกฯ เกิดขึ้นได้ครั้งเดียว ซึ่งไม่ใช่เจตนาที่ดีแน่ๆ โดยอาจแบ่งเป็น 2 กรณี หนึ่งคือเพื่อให้พรรคก้าวไกลไม่ผ่านหรือพรรคการเมืองบางพรรคไม่ผ่าน แล้วหวังว่าตัวเองจะได้ประโยชน์ และสอง เป็นการปูทางไปสู่นายกฯ คนนอก ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย” นายรังสิมันต์ กล่าว

นอกจากนี้ นายรังสิมันต์ยอมรับว่า สถานะของญัตติดังกล่าวมีปัญหา เพราะแม้ตามกระบวนการมีผู้รับรองถูกต้อง และไม่มีอำนาจในข้อบังคับฯ ที่ให้ประธานวินิจฉัย ซึ่งประธานชี้แจงว่าให้รอศาลรัฐธรรมนูญ แต่ก็ไม่มีข้อกฎหมายเช่นกันว่าระหว่างที่รอ จะทบทวนไม่ได้ ดังนั้น เรื่องนี้จึงไม่ได้อยู่บนพื้นฐานของข้อกฎหมาย

อย่างไรก็ตาม เข้าใจว่าเป็นเจตนาดีของประธานรัฐสภา ที่ต้องการให้กระบวนการมีความชัดเจนก่อนแต่หากพิจารณาด้วยเหตุผล หากเรื่องนี้กลายเป็นบรรทัดฐาน หากรอต่อไปเรื่อยๆ อย่างไม่มีความชัดเจน จะสร้างความเสียหายแก่บ้านเมือง เพราะการเสนอชื่อบุคคลในรัฐสภานั้นไม่ได้มีแค่ตำแหน่งนายกฯ และหากเสนอชื่อนายกฯ ซ้ำไม่ได้ อาจทำให้ได้รัฐบาลที่ไม่ตรงกับความต้องการของประชาชน ทำลายประชาธิปไตย ทำลายการเมืองแบบรัฐสภา ทำลายความหวังของพี่น้องประชาชน

‘ก้าวไกล’ ป้อง ‘พงศธร’ มีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี เชื่อ!! ตอนนี้มีขบวนการสาดโคลน หวังดิสเครดิต

(29 ส.ค. 66) ที่พรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม โฆษกพรรคก้าวไกล พร้อมด้วย นายพงศธร ศรเพชรนรินทร์ ผู้สมัครเลือกตั้งซ่อม สส. พรรคก้าวไกล ระยอง เขต 3 ร่วมแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนกรณีข้อกล่าวหาทางด้านภาษีและคดียักยอกทรัพย์ ตามที่ปรากฏในข่าว

โดยนายรังสิมันต์ เปิดเผยว่า รายละเอียดว่าตั้งแต่ปี 2562 นายพงศธร ทำหน้าที่เป็นผู้ชำนาญการประจำตัว สส.ของ น.ส.เบญจา แสงจันทร์ มีเงินรายได้ประมาณ 15,000 บาท/เดือน เมื่อคำนวณตลอดทั้งปี นายพงศธร จะมีรายได้ไม่เกิน 180,000 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขไม่เกินที่กฎหมายกำหนดให้จ่ายภาษี ดังนั้น เมื่อตลอด 3 ปีที่ผ่านมา นายพงศธร ก็ไม่ได้ยื่นแบบฟอร์มภาษี ทั้งที่ตัวเองก็โดนหักภาษี ณ ที่จ่าย และนายพงศธร ก็ได้ทำแบบฟอร์ม สส. 4/7 เพื่อยืนยันว่าตัวเองมีรายได้ไม่ถึงเกณฑ์เสียภาษี

ประเด็นที่สอง กรณีสื่อผู้จัดการพาดหัวข่าวว่า “โซเชียลทั้งขุดทั้งแฉนายพงศธร ผู้สมัครเขต 3 ระยอง ก้าวไกล ไม่ได้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา พบชีวิตหรูหราฟู่ฟ่า ขายเบียร์ใส่รถกันเป็นลังๆ อีกด้านขุดกันไปถึงคดียักยอกปี 61” ซึ่งเป็นพาดหัวค่อนข้างรุนแรง จึงขอชี้แจงตามนี้

กรณีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ นายพงศธร ได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนเพื่อดำเนินธุรกิจนี้จริง แต่การประกอบธุรกิจดังกล่าวไม่ก่อให้เกิดรายได้ที่นำไปสู่การปันผลจนถึง ณ ปัจจุบันนี้ เมื่อไม่ได้รับปันผล นายพงศธรก็ไม่เคยต้องไปยื่นเสียภาษีในกรณีนี้ ดังนั้นรายได้ของนายพงศธร ในช่วงเวลาที่ผ่านมา มาจากการทำหน้าที่ตำแหน่งผู้ชำนาญการ สส.เท่านั้น

ประเด็นต่อมาคือคดีความที่นายพงศธร เคยถูกแจ้งความร้องทุกข์ในคดียักยอกทรัพย์ ซึ่งข้อเท็จจริงปรากฏอยู่ชัดเจนแล้วว่าสุดท้ายทางตำรวจมีความเห็นสั่งไม่ฟ้อง จึงยังมีคุณสมบัติครบถ้วนลงสมัครรับเลือกตั้งได้

“ขอยืนยันต่อสื่อมวลชนว่าเราเข้าใจดีในการตรวจสอบ และเราก็ยินดีที่พี่น้องสื่อมวลชน พี่น้องประชาชนจะตรวจสอบพวกเรา เพราะถือเป็นมาตรฐานขั้นต่ำที่สำคัญ ที่จะทำให้เกิดการเมืองที่มีความโปร่งใส แต่เมื่อพิจารณาจากพาดหัวข่าวและประเด็นที่มีการโจมตี ต้องเรียนว่าเกินเลยจากข้อเท็จจริงไปมาก สุดท้ายก็คงคิดเป็นอื่นไม่ได้ว่าคงจะมีกลุ่มบุคคล ใครบางคนหวังใช้ข้อเท็จจริงเหล่านี้หวังประโยชน์ทางการเมืองจากการดิสเครดิตนี้ ผมขอฝากว่าอย่าเลยครับ เรามาสู้กันเพื่อเอาชนะใจประชาชนมากกว่าจะมาใช้การสาดโคลน ดิสเครดิตทางการเมืองจะดีกว่า” นายรังสิมันต์ กล่าว

ด้านนายพงศธร เปิดเผยว่ามีพี่น้องประชาชนติดต่อสอบถามเข้ามาจำนวนมาก โดยตนเองยังมีกำลังใจดี ไม่หวั่นไหวหรือกังวลต่อกรณีดังกล่าว และเชื่อว่าทุกวันนี้พ่อแม่พี่น้องทุกคนมีวุฒิภาวะแยกแยะข้อเท็จจริงได้

เปิดบทสนทนา 'โรม' คุยสาวยาคูลท์ รู้รายได้ถึงกับอยากขายบ้าง ด้านสาวยาคูลท์บอก "ไม่ได้จ้า เพราะไม่มีนม" โรมตอบ "ครับ"

(5 ก.ย. 66) เรียกเสียงแซวจากชาวเอ็กซ์ (ทวิตเตอร์) ได้อย่างมากมาย สำหรับทวีตของ นายรังสิมันต์ โรม ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ที่เผยบทสนทนาระหว่างตนเองกับสาวยาคูลท์ แถมยังกำกับด้วยว่า ‘บทสนทนานี้เกิดขึ้นจริง’

นายรังสิมันต์ระบุว่า ด้วยส่วนตัวผมชอบทานยาคูลท์อยู่แล้ว เมื่อวานไปผมไปลงพื้นที่หาเสียงที่ระยองเลยได้มีโอกาสพูดคุยกับ ‘สาวยาคูลท์’ ท่านนี้จึงรู้ว่าทำงานนี้มา 30 ปีแล้ว

“อะไรที่ทำให้เลือกทำงานนี้มานานขนาดนี้ละครับ” ผมถาม
“อาชีพนี้มันมั่นคง แต่ก่อนทำเป็นงานเสริม แต่ตอนนี้กลายเป็นงานหลักไปแล้วตั้งแต่ผัวทิ้ง” ป้าก็ตอบพร้อมกลั้วหัวเราะ
“ผมถามได้ไหมว่ารายได้ประมาณเท่าไหร่”
“ป้าขายได้วันละประมาณ 700 ขวด เดือนที่แล้วก็ได้มา 35,000 บาท”
“โห อย่างนี้พวกผมขายด้วยได้ไหมเนี้ย!”

บทสนทนาต่อมาก็เป็นไปตามภาพด้านล่างครับ

คุณป้ายังบอกต่ออีกว่าไม่ได้หวงอาชีพ เอาไปบอกต่อได้ และอยากชวนแม่บ้านคนอื่นที่มีเวลาออกมาทำกัน ผมเลยนำมาเล่าสู่กันฟังในที่นี้ครับ

สำหรับข้อความในภาพ นายรังสิมันต์ถามว่า “ผมเป็นผู้ชาย อยากขาย ‘ยาคูลท์’ บ้างได้ไหมครับ” สาวยาคูลท์ระบุ “ไม่ได้จ้า เพราะไม่มีนม” นายรังสิมันต์จึงตอบ “…ครับ”

‘สว.อุปกิต’ เอือม!! ‘โรม’ ชิ่งนัดคดี หลังถูกฟ้องหมิ่น 20 ล้าน  ชี้!! ประชาชนเข้าใจเบื้องลึก ‘คน-การเมืองพรรค’ นี้แล้ว

(11 ก.ย. 66) ที่ศาลอาญารัชดา นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เดินทางมาพร้อมทนายความตามกำหนดนัดของศาลเพื่อไต่สวนมูลฟ้องคดีซึ่งนายอุปกิต ฟ้องนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เมื่อวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ข้อหาหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณา โดยเรียกค่าเสียหาย 20 ล้านบาท

นายอุปกิต กล่าวว่า การเดินทางมาศาลวันนี้เพื่อยืนยันการใช้สิทธิตามกฎหมาย ปกป้องชื่อเสียง เนื่องจากเมื่อวันที่ 10 เมษายน 2566 หลังการยุบสภา และอยู่ในช่วงหาเสียงเลือกตั้ง นายรังสิมันต์ ได้แถลงข่าวและโพสต์ข้อความในสื่อโซเชียล กล่าวหาหมิ่นประมาทตนต่างๆ นาๆ ทั้งที่ไม่มีเอกสิทธิ์คุ้มครอง ถือเป็นการกระทำผิดซ้ำ ตนจึงจำเป็นต้องฟ้องนายรังสิมันต์เป็นคดีที่ 2 ส่วนศาลจะพิจารณารับฟ้องหรือไม่ก็อยู่ที่กระบวนการพิจารณาของศาล ซึ่งในวันนี้นายรังสิมันต์ ไม่ได้เดินทางมา โดยแจ้งขอเลื่อนนัดอ้างว่า ทนายติดว่าความคดีอื่น โดยศาลนัดไต่สวนมูลฟ้องใหม่ไปเป็นวันที่ 27 พฤศจิกายน 2566

“การอ้างความเป็นคนรุ่นใหม่ แต่ทำทุกวิถีทางเพื่อเข้าสู่อำนาจการเมือง ไม่สนใจว่าจะทำลายใคร ซึ่งสำหรับผมคงไม่ยอมที่จะเป็นฝ่ายถูกกระทำ ขอพึ่งกระบวนการยุติธรรมในการต่อสู้ วันนี้ผมคิดว่า ประชาชนเข้าใจเบื้องหน้าเบื้องหลังของพรรคการเมืองพรรคนี้แล้ว” นายอุปกิตกล่าว

ทั้งนี้ก่อนหน้าเมื่อวันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2566 นายอุปกิต ฟ้องนายรังสิตมันต์  ข้อหาหมิ่นประมาท โดยเรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาทมาแล้วคดีหนึ่ง และศาลมีคำสั่งรับฟ้องไปเมื่อวันที่ 11 กรกฎาคมที่ผ่านมา

'โรม' รับ!! 'ก้าวไกล' ไม่เพอร์เฟกต์ หลังเร่งสร้างมาตรฐานใหม่การเมือง แต่ยืนยัน!! เรื่องไหนใครทำผิด แล้วผิดจริง พรรคไม่เคยปกป้อง

(24 พ.ย. 66) ที่อาคารอนาคตใหม่ ที่ทำการพรรคก้าวไกล นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณี น.ส.ญาณธิชา บัวเผื่อน สส.จันทบุรี​ เขต 3 พรรคก้าวไกล แต่งตั้งสามี เป็นผู้ช่วย สส. รับงานเอนเตอร์เทน และจัดหาเด็กชงเหล้าปาร์ตี้ชาย-หญิง ส่งแถวภาคตะวันออก ว่า ตนยังไม่ได้คุยกับ น.ส.ญาณธิชา ในเรื่องนี้ เพราะช่วงนี้ปิดสมัยประชุม เข้าใจว่าคงจะโฟกัสกับงานพื้นที่ แต่แน่นอนว่าเมื่อมันมีประเด็นที่เกิดขึ้นในสังคมในการวิพากษ์วิจารณ์แล้ว

"ตนยืนยันว่า ในส่วนของพรรคก้าวไกลเราไม่อยู่เฉย ที่ผ่านมาตนคิดว่าเราพิสูจน์มาพอสมควรว่า ถ้าเป็นประเด็นที่มันมีปัญหาจริง ๆ เราก็พร้อมที่จะทำหน้าที่ให้มันถูก เรายอมรับคำว่าเราอาจจะไม่ได้เพอร์เฟกต์ เราพยายามสร้างมาตรฐานใหม่กับการเมือง แต่ในขณะเดียวกันเราก็ยอมรับว่า เราก็อาจจะเจอกับปัญหากับความท้าทายที่เกิดขึ้นในพรรคของเรา แต่สิ่งหนึ่งที่เราพยายามสร้างมาตรฐานมาโดยตลอดก็คือ ใครก็ตามถ้าทำผิด แล้วมันผิดจริง เราไม่เคยปกป้อง" นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวต่อว่า ดังนั้น ถ้าเกิดว่าผิดพลาด ไม่ถูกต้อง เราก็พร้อมที่จะแก้ไขพร้อมที่จะทำให้มันดีขึ้น ตั้งแต่มีเรื่องของเมาแล้วขับ ประเด็นทางเพศ เรายอมรับครับพรรคเราใหญ่ขึ้น เราอาจจะเจอกับจุดที่มีปัญหาอยู่บ้าง สิ่งที่เกิดขึ้นสังคมก็เห็นว่า เราตัดสินใจกันอย่างไร ยืนยันว่า เราไม่เคยอยู่เคียงข้างปกป้องผู้กระทำความผิด ถ้าเขาผิดจริง แต่เราอาจจะขอเวลานิดนึงในการตรวจสอบ และตนคิดว่าถ้าอย่างเรื่องการตั้งคู่สมรสมา จริง ๆ ก็เป็นโอกาสดีที่เราจะต้องเปิดกันทั้งหมดว่า สส.ในสภาฯ ว่า มีใครบ้างที่ตั้งคู่สมรสมาเหมือนกัน ที่เราจะได้ใช้โอกาสนี้ในการตรวจสอบนักการเมือง คาดว่าน่าจะมีหลายคนเอาคนในบ้านมาตั้งในตำแหน่งสำคัญ ๆ

นายรังสิมันต์ กล่าวอีกว่า เป็นเรื่องของสังคมที่คาดหวังต่อเรา ซึ่งเราก็ต้องน้อมรับ ก็เป็นกระจกที่สะท้อนมาต่อเรา สิ่งที่เราต้องทำก็คือปรับปรุงตัวเองให้มันดีขึ้น เราก็ยืนยันว่าในวิกฤตมันก็มีทั้งโอกาส พรรคจะเข้มแข็ง พรรคจะเป็นสถาบันทางการเมืองพรรค จะเติบโตอย่างแข็งแรงได้หรือไม่ บางครั้งมันก็ต้องเจอกับความท้าทายในเรื่องของวิกฤต ทุกวิกฤตที่เราทำ เราก็พยายามสร้างมาตรฐานใหม่ ๆ แล้วเราก็หวังว่า จะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมืองอย่างถาวร และจะเห็นว่าหลาย ๆ พรรคมันก็มีปัญหาในเรื่องตัวบุคคล แต่ว่าความน่าเจ็บปวดในช่วงเวลาที่ผ่านมา ซึ่งตนเชื่อว่าประชาชนคนธรรมดา หรือแม้กระทั่งตนเอง เมื่อเจอกับการกระทำความผิดในหลาย ๆ ครั้ง เราพบว่ามันมีความช่วยเหลือกันมันมีความพยายามในการปกป้องกัน ทำจนถึงขนาดกระบวนการยุติธรรมในหลาย ๆ ครั้ง ถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง สิ่งที่ก้าวไกลพยายามไม่เป็นแบบนั้น คือการปกป้องกัน คือการช่วยเหลือกัน ที่ผ่านมาเรามีบทเรียน และเราจะใช้วิกฤตคัดคนให้เข้มขึ้น

"ส่วนเคสของ สส.จันทบุรี ขอเวลาให้พรรคได้มีการพูดคุยกัน ได้มีการตรวจสอบกัน เดี๋ยวเราก็คงจะได้มีการพูดคุยชี้แจงต่อสังคมต่อไปในอนาคต" นายรังสิมันต์ กล่าว

นายรังสิมันต์ กล่าวยอมรับว่า ไม่ปฏิเสธว่ามีเรื่องพวกนี้เข้ามา ตอนนั้นก็โดนโจมตีเรื่อย ๆ คือต้องยอมรับว่า เราอยู่ในการเมืองยุคใหม่ที่ฝ่ายค้านโดนตรวจสอบมากเป็นพิเศษ ซึ่งก็เป็นเรื่องที่ดีที่นักการเมืองทุก ๆ คน ก็ควรจะได้รับการตรวจสอบ เพราะว่ารับเงินภาษีจากประชาชนเป็นเงินเดือนทั้งสิ้น ดังนั้น การตรวจสอบที่เกิดขึ้นเราก็ต้องรับไป

ในส่วนที่เราพยายามทำหน้าที่ฝ่ายค้านในการตรวจสอบรัฐบาล ก็เป็นส่วนที่เราเองเรียกร้องต่อสังคมให้ช่วยกันเป็นพลังในการตรวจสอบ เข้าใจว่าสังคม สื่อมวลชนให้ความสำคัญกับเคส ส.ส.จันทบุรี แต่ตนก็พยายามเรียกร้องว่า เราก็ให้ความสำคัญกับการตรวจสอบซึ่งเป็นประโยชน์ของสาธารณะอย่างเรื่องของตั๋ว ไม่ว่าจะเป็น ‘ตั๋ว สร.1’ หรือกรณี ‘สว.ทรงเอ’ ที่มีส่วนไปเกี่ยวข้องกับยาเสพติด นักการเมืองระดับนี้เกี่ยวข้องกับยาเสพติด ตนเชื่อว่าถ้าเป็นประเทศอื่นโดนข้อกล่าวหาขนาดนี้ ในทางการเมืองคุณไม่รับผิดชอบอะไรเลยหรือไม่ หรือจะเป็น สว.ไปเรื่อย ๆ ใช้เอกสิทธิ์ความคุ้มกันต่อไป คือตรงนี้ตนต้องการพลังสนับสนุนจากสังคมให้ช่วยกันในการตรวจสอบ เราจะได้เอานักการเมืองที่ไม่ดีออกจากระบบการเมืองทั้งหมด คือสิ่งที่เราก็ต้องช่วยกัน ดังนั้น เราก็พยายามทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุด พยายามทำให้มาตรฐานของพรรคก้าวไกล ซึ่งแน่นอนเรายอมรับว่าเราไม่เพอร์เฟกต์ยังมีปัญหา แต่เราพยายามทำให้ดีที่สุดให้สมกับที่หลาย ๆ เรื่อง ที่เราพูดออกมา ซึ่งมันเป็นบรรทัดฐานของสังคมที่ดี

ส่วนกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) มีการอายัดทรัพย์สิน นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา (สว.) นายรังสิมันต์ กล่าวว่า ตอนนี้เบื้องต้นตนกำลังรอว่า ทรัพย์สินที่จะไปยึดกันจะมีการช่วยกันหรือไม่ วันนี้เป็นสัญญาณที่ดีที่รักษาการเลขาธิการ ป.ป.ส.ซึ่งตนยอมรับว่าค่อนข้างเอาจริงเอาจัง แต่ว่าขอดูในรายละเอียดด้วย ถ้าสมมุติว่ามีการยึดอายัดทรัพย์สินไป ที่ตนกังวลคือ ออฟฟิศสำนักงานตึกที่อยู่ตรงอารีย์จะมีการยึดอายัดหรือไม่ ก็เป็นบทพิสูจน์ไปยัง ป.ป.ส.ต่อไป

ส่วนสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ซ.) ตนเคยยื่นเรื่องนี้ไปว่า มีการยื่นบัญชีทรัพย์สินเท็จ ซึ่ง ป.ป.ชก็ตอบกลับมาง่ายๆ ว่า ยังอยู่ในระหว่างการตรวจสอบ ก็รอว่า ป.ป.ช.ทำงานให้คุ้มค่ากับภาษีประชาชน เช่นเดียวกับที่เคยยื่นเรื่องของความผิดวินัยที่มีการช่วยกันในการถอนหมายจับ ซึ่งปรากฏว่าเข้าใจว่ามีการตั้งกรรมการสอบวินัยร้ายแรง ซึ่งต้องรอดูว่าทางศาลจะมีท่าทีอย่างไรต่อไป ตนไม่แน่ใจกระบวนการว่าสุดท้ายจะใช้เวลาแค่ไหน แต่ก็หวังว่าความยุติธรรมจะปรากฏในสังคมไทย

‘สว.อุปกิต’ เผย ศาลฯ ให้ประกันตัว ‘โรม’ คดีฟ้องหมิ่นฯ นัดใหม่ปีหน้า โต้!! ‘ด้อมส้ม’ ฟ้องเพื่อปกป้องศักดิ์ศรี ไม่ใช่ปิดปาก ลั่น!! เอาผิดถึงที่สุด

(5 ธ.ค. 66) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 4 ธ.ค. ที่ผ่านมา ศาลอาญา รัชดาฯ นัดตนและนายรังสิมันต์ โรม สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แบบบัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล สอบคำให้การและตรวจพยานหลักฐานคดีซึ่งตนฟ้องนายรังสิมันต์ ข้อหาหมิ่นประมาท เรียกค่าเสียหาย 100 ล้านบาท โดยคดีนี้นายรังสิมันต์ เคยใช้เอกสิทธิ์ สส.เลื่อนนัดสอบคำให้การ จากวันที่ 21 ส.ค. 2566 มาเป็นวันที่ 4 ธ.ค. แทน โดยนายรังสิมันต์ ใช้ตำแหน่ง สส.ประกันตัวเองสู้คดี ขณะที่ศาลกำหนดวันสืบพยานโจทก์วันที่ 10 ต.ค.2567 และสืบพยานจำเลย วันที่ 11 ต.ค.2567

“นายรังสิมันต์ให้การปฏิเสธว่าไม่ได้หมิ่นประมาท อ้างเป็นการทำหน้าที่ สส.โดยเป็นการอภิปรายในสภาฯ ซึ่งผมก็ไม่ได้ฟ้องนายรังสิมันต์ในกรณีนี้ แต่ฟ้องในประเด็นที่นายรังสิมันต์นำข้อมูลมาหมิ่นประมาท ทั้งผ่านการไลฟ์ตามสื่อโซเชียล และใช้เป็นประเด็นหาเสียงตามเวทีต่างๆ ซึ่งยืนยันจะเอาผิดถึงที่สุดให้เป็นคดีตัวอย่าง” นายอุปกิตระบุ

นายอุปกิต กล่าวยืนยันว่า การฟ้องคดีหมิ่นประมาทไม่ใช่เป็นการฟ้องปิดปากเหมือนที่บรรดาด้อมส้มพยายามสร้างกระแส แต่เป็นการปกป้องเกียรติยศศักดิ์ศรี และเป็นเรื่องกฎแห่งกรรม ที่ใครก็ตามที่ใส่ร้ายใส่ความคนอื่นก็ต้องได้รับผลกรรมที่ตนเองก่อขึ้น ดังนั้น การที่ศาลรับฟ้องไม่ว่าจะเป็นกรณีนายรังสิมันต์ หรือกรณีตนฟ้องนายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ หมิ่นประมาทเรียกค่าเสียหาย 50 ล้านบาท แสดงว่า ‘คดีเหล่านี้มีมูล’

“ฝากไปถึงคนรุ่นใหม่ที่ต้องการเข้ามาเป็นนักการเมือง ย้อนไปพิจารณาดูสิ่งที่ผมเคยพูดถึงทฤษฎีสมคบคิด การป้ายสีทางการเมืองเพื่อหวังคะแนนนิยมให้ได้ชนะการเลือกตั้ง วันนี้อาจจะมีอาชีพใหม่ที่มีการสมคบระหว่างเจ้าหน้าที่กับบรรดานักการเมือง บรรดานักร้อง นักแฉ ที่ออกมาเคลื่อนไหวเปิดโปงเรื่องต่างๆ แต่จริงๆ แล้วหวังจะได้เงินส่วนแบ่ง 25% จากกฎหมายใหม่คดียาเสพติดหรือไม่ สิ่งเหล่านี้ถือเป็นเรื่องเลวร้ายมาก” นายอุปกิต กล่าว

‘สว.อุปกิต’ แฉ!! ‘โรม’ ตั้ง ‘สามีทนายแจม’ นั่งเลขา กมธ.ความมั่นคงฯ โยงใช้อำนาจทำลายตน ตีชิ่ง รบ.ก่อน เพื่อเรียกเรตติงทางการเมือง

(8 ธ.ค.66) นายอุปกิต ปาจรียางกูร สมาชิกวุฒิสภา เปิดเผยว่า ตามที่ปรากฏเป็นข่าวเผยแพร่ตามสื่อมวลชนถึงผลการประชุมคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ความมั่นคงแห่งรัฐ กิจการชายแดนไทย ยุทธศาสตร์ชาติและการปฏิรูปประเทศ ที่มีนายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล เป็นประธานกมธ. โดยมีวาระพิจารณาปัญหาตั๋วตำรวจที่เกิดขึ้นในพรรคเพื่อไทยนั้น มีข้อเท็จจริงประการหนึ่งที่ไม่ปรากฏเป็นข่าว แต่เป็นที่เปิดเผยต่อสาธารณชนคือ การที่ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ ปัญญาณ์ธรรมกุล เพื่อนรักของ พ.ต.ท.มานะพงษ์ วงศ์พิวัฒน์ สว.สส.สน.พญาไท นายตำรวจชุดจับกุมคดี ตุน มิน ลัต ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นเลขานุการคณะ กมธ. แสดงบทบาทอย่างสำคัญในการอภิปรายซักถามเรื่องตั๋วตำรวจในการประชุม กมธ.ด้วย

นายอุปกิต กล่าวว่า ข้อเท็จจริงนี้ทำให้ได้เห็นการเชื่อมโยงที่ชัดเจนมากขึ้นจากที่ตนเคยชี้แจงไปว่า ความแปดเปื้อนที่เกิดขึ้นกับตน มีมูลเหตุจูงใจจากสิ่งซึ่งตนใช้คำว่า ‘ทฤษฎีสมคบคิด’ โดยพิจารณาจากความสัมพันธ์ระหว่าง พ.ต.ท.มานะพงษ์ กับ พ.ต.ท.ธีรวัตร์ เพื่อนรักและสามี นางสาวศศินันท์ ธรรมนิฐินันท์ หรือ ‘ทนายแจม’ สส.กทม.พรรคก้าวไกล และนายรังสิมันต์ โรม พยายามใช้คดีจับกุม ตุน มิน ลัต เชื่อมโยงมาถึงตน พยายามออกหมายจับตนโดยมิชอบ เพื่อทำลายความชอบธรรมของรัฐบาลที่ผ่านมา และหาคะแนนนิยมทางการเมือง

“นอกจากยืนยันทฤษฎีสมคบคิดแล้ว วันนี้สิ่งที่นักการเมืองรุ่นใหม่ทำยังย้อนแย้งกับสิ่งที่เคยวิจารณ์เรียกร้อง เคยโจมตีสภาผัวเมีย สภาฝากเลี้ยง แต่ตัวเองทำยิ่งกว่า” นายอุปกิตระบุ

นายอุปกิต กล่าวว่า ตำแหน่ง สส.ควรทำสิ่งที่สร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติ ประชาชน แต่กลไกสภา กลับถูกใช้เพื่อเหตุผลทางการเมือง ดังจะเห็นว่า อีกวาระสำคัญในการประชุม กมธ.ความมั่นคงแห่งรัฐฯ วานนี้ มีการเรียกตัวแทนการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค (กฟภ.) มาชี้แจงปัญหาไฟฟ้าขัดข้องในพื้นที่อำเภอแม่สาย จังหวัดเชียงราย โดยอ้างว่าเป็นความเดือดร้อนประชาชนแต่ความจริงแล้ว นายรังสิมันต์ต้องการใช้กลไก กมธ. เรียกเอกสารที่ กฟภ.ทำสัญญาซื้อขายไฟกับ บริษัทอัลลัวร์ พีแอนด์อี เพื่อจะหาช่องโจมตีตน ทั้งๆ ที่ได้ยืนยันไปหลายครั้งแล้วว่า ก่อนมารับตำแหน่ง สว.ได้ลาออกจากทุกตำแหน่งในเครือบริษัทอัลลัวร์แล้ว

“ขณะที่เรื่องซึ่งเกี่ยวข้องกับตัวเอง และยังเป็นที่เคลือบแคลงกรณี “ตั๋วปารีส” กลับไม่มีความคืบหน้าว่า กมธ.จะสร้างความกระจ่างในเรื่องนี้อย่างไร ผมอยากถามว่า อนุ กมธ.ตั๋วปารีสจะตั้งได้กี่โมง” นายอุปกิต กล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top