Saturday, 18 May 2024
ยาเสพติด

‘ตำรวจ ปส.’ สกัดจับยาบ้ากว่า 22 ล้านเม็ด-ไอซ์ 620 กก. ทลาย 7 เครือข่าย รวบ 17 ผู้ต้องหา จ่อขยายผลจับคนสั่งการ

(7 ก.ค. 66) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส., พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิต พุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.ปิยะวัฒน์ บุญยืนอนนต์ ผบก.ปส.1, พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2, พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 พร้อมด้วย เจ้าหน้าที่ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติด ตามนโยบาย ตร. ประกอบกับการเดินหน้าทำลายเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อย ตามนโยบายเร่งด่วนของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. อย่างเข้มข้น

ล่าสุดตำรวจ ปส. (NSB) สามารถทลาย 7 เครือข่าย ผู้ต้องหา 17 คน พร้อมของกลาง ยาบ้า 22 ล้านเม็ด ไอซ์ 620 กก. รถยนต์ 12 คัน ยึดทรัพย์สินเกี่ยวเนื่องจากการค้ายาเสพติด 8 ล้านบาท

คดีที่ 1 ตำรวจ ปส. (NSB) โดยตำรวจ บก.ปส.2 และ บก.ขส. ได้สืบสวนขยายผลจนทราบว่า ในวันที่ 12 มิ.ย. 66 กลุ่มเครือข่ายยาเสพติดในภาคอีสาน จะลักลอบลำเลียงยาเสพติดเป็นจำนวนมาก จาก อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม เพื่อไปส่งในพื้นที่ตอนใน โดยมีนายสุวิทย์ ใช้รถกระบะยี่ห้อเชฟโรเลต รุ่นโคโลราโด สีเทา หมายเลขทะเบียน บร 75xx มหาสารคาม เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติดในครั้งนี้ ตำรวจ บก.ปส.2 และ บก.ขส. ได้เฝ้าติดตามในพื้นที่ จนพบรถกระบะเป้าหมายดังกล่าวที่บริเวณสี่แยกบ้านธาตุ จ.สกลนคร จึงได้ติดตามไป จนรถเป้าหมายรู้ตัวว่าถูกติดตามและได้หลบหนีเข้าไปในซอยบ้านพักแห่งหนึ่ง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.ขอนแก่น ก่อนจะจับกุมตัวได้พร้อมของกลางยาบ้าที่ซุกซ่อนอยู่ในท้ายกระบะ และในห้องโดยสารรถ 5 กระสอบ รวม 2 ล้านเม็ด จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 2 จากการสืบสวนขยายผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง ซึ่งเป็นเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ทางภาคเหนือ ทราบว่านายพีรวัฒน์ กับพวก ซึ่งเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ม้ง มีพฤติการณ์เกี่ยวข้องเชื่อมโยงในการลำเลียงยาเสพติด โดยจะลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือ ไปส่งให้กับผู้รับช่วงต่อในพื้นที่ภาคกลาง ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. จึงวางกำลังติดตาม

จนกระทั่งวันที่ 13 มิ.ย. 66 เวลาประมาณ 12.50 น. พบรถยนต์ต้องสงสัย ทะเบียน บว 54XX สระบุรี ขับขี่ไปถึงเส้นทางหลวงหมายเลข 21 (สระบุรี-หล่มสัก) จึงได้สกัดจับกุม ได้ที่บริเวณลานวัดโคกกระต่ายทอง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา โดยมีนายพีรวัฒน์ เป็นผู้ขับขี่ และมีนายพงษ์ นั่งข้างคู่คนขับ จากการตรวจค้นพบไอซ์ 500 กก. ซุกซ่อนอยู่บริเวณที่นั่งผู้โดยสารด้านหลังคนขับ และซุกซ่อนอยู่ภายในท้ายกระบะ ได้ที่บริเวณลานวัดโคกกระต่ายทอง ต.จำปา อ.ท่าเรือ จ.พระนครศรีอยุธยา และสามารถสกัดจับกุมนายรักชาติ ผู้ขับขี่รถยนต์ หมายเลขทะเบียน บห 19XX สระบุรี และนายวิชัย (นั่งคู่คนขับ) ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจเส้นทาง ในการลำเลียงยาเสพติดครั้งนี้ ได้ที่ บริเวณลานจอดรถตลาดนัด ในพื้นที่ ต.กุดนกเปล้า อ.เมือง  จ.สระบุรี จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ดำเนินคดีตามกฎหมายและออกหมายจับติดตามผู้ต้องหาที่หลบหนี และบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 18 – 19 มิ.ย. 66 ตำรวจ ปส.2 ได้สืบสวนขยายผลเครือข่ายนักค้ายาเสพติด รายสำคัญ จนทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ จ.บึงกาฬ โดยใช้รถยนต์ขับผ่านเส้นทาง จ.บึงกาฬ, จ.สกลนคร, จ.อุดรธานี, จ.ขอนแก่น, จ.ชัยภูมิ จึงติดตามความเคลื่อนไหว ต่อมาวันที่ 19 มิ.ย.66 พบรถยนต์เป้าหมายวิ่งผ่านถนนหมายเลข 201 ถนนชัยภูมิ-สีคิ้ว บริเวณหน้าบริษัทแห่งหนึ่ง ลักษณะเป็นรถที่มีการบรรทุกสิ่งของอย่างหนัก ก่อนจะจอดรถนานผิดปกติ ตำรวจ ปส.2 จึงแสดงตัวเข้าตรวจค้น พบนายธนพัฒน์หรือเฟส เป็นผู้ขับขี่ พบไอซ์ บรรจุในถุงชาสีเขียวอ่อน 3 กระสอบ จำนวน 120 ก้อน น้ำหนัก 120 กก. ซุกซ่อนในห้องโดยสารด้านหลังคนขับ สอบสวนนายธนพัฒน์ รับว่า ลำเลียงยาเสพติดมาแล้ว 5 ครั้ง โดยได้รับค่าจ้างล่วงหน้าบางส่วน เงินที่เหลือจะได้รับเมื่องานสำเร็จ จากนั้นจึงจับกุมและนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลางส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 28 มิ.ย. 66 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ได้ขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในภาคกลาง จนสามารถจับกุมนายปกรณ์ และนายฉัตรชัย โดยจากการสืบสวนพบว่านายฉัตรชัย จะนำยาเสพติดจากพื้นที่ จ.สุโขทัย ไปส่งให้กับลูกค้าในพื้นที่ จ.พระนครศรีอยุธยา จึงได้เฝ้าติดตามจับกุม จนกระทั่งเมื่อวันที่  28 มิ.ย.66 เวลาประมาณ 10.00 น. พบรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บม 35XX สุโขทัย กำลังลำเลียงยาเสพติด ที่บริเวณถนนในพื้นที่ จ.อยุธยา จึงได้ทำตรวจค้นจนสามารถ จับกุมนายฉัตรชัย ได้บริเวณหน้าร้านสะดวกซื้อ สาขาโก่งธนู  จ.ลพบุรี พร้อมยาบ้าที่ถูกซุกซ่อนไว้บริเวณที่นั่งด้านหน้าข้างคนขับ และท้ายกระบะโดยมีผ้าใบสีดำคลุมปิดอำพรางไว้ รวม 3 ล้านเม็ด และสามารถสกัดจับกุมนายปกรณ์ ขับรถยนต์ หมายเลขทะเบียน บน 66XX ตาก ซึ่งทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจด่าน ได้ที่บริเวณริมถนนในพื้นที่ หมู่ 1 ต.สำพะเนียง อ.บ้านแพรก จ.พระนครศรีอยุธยา จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมาย และขยายผลออกหมายจับบุคคลในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

คดีที่ 5 เมื่อวันที่ 1 ก.ค. 66 ตำรวจ ปส. 3 จับกุม นายเจษฎากร และนายอภิเษก พร้อมยาบ้า 6 ล้านเม็ด โดยก่อนการจับกุม ตำรวจ ปส.3 สืบทราบว่าเครือข่ายยาเสพติดจะลำเลียงยาบ้าจาก อ.แม่อาย จ.เชียงใหม่ เข้ามาซุกซ่อนไว้ในพื้นที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ก่อนจะส่งมอบให้กับเครือข่าย โดยใช้รถกระบะในการลำเลียง จึงนำกำลังเฝ้าติดตามรถเป้าหมาย พบรถกระบะ บว-66XX สระบุรี จอดอยู่บริเวณท้ายถนนบ้านน้ำลัดซอย 16 หมู่ 3 ต.ริมกก อ.เมือง จ.เชียงราย จนกระทั่งเวลา 23.00 น. พบนายอภิเษก ขับขี่รถจักรยานยนต์และมีนายเจษฎากร ซ้อนท้ายก่อนลงรถจักรยานยนต์ แล้วขับรถกระบะเป้าหมายออกไป ตำรวจ ปส.3 จึงติดตามไปจับกุมได้ที่ บริเวณแยกห้วยปลากั้ง ถ.เลี่ยงเมืองเชียงรายตะวันตก ตรวจค้นในรถพบยาบ้า ซุกซ่อนอยู่บริเวณในห้องโดยสารและท้ายรถกระบะ รวม 6 ล้านเม็ด และได้ติดตามไปจับกุมนายอภิเษก ได้ที่บริเวณแยกขัวแคร่ ต.บ้านดู่ อ.เมือง จ.เชียงราย จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหา พร้อมของกลาง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.3 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 6 เมื่อวันที่ 3 ก.ค. 66 ตำรวจ ปส.1 ร่วมกับ บก.ขส. และ ปส.2 จับกุม 6 ผู้ต้องหา คือ นายเจริญชัย หรือโจ, น.ส.เกศินี หรือแกล้ม, นายสุพรรณ หรือเบ็นซ์, น.ส.รัฐชิตา หรือเบ็นซ์, นายโยธณัฐ หรือดรีม และ น.ส.ธิติมา หรือทิพย์ โดยก่อนการจับกุม ตำรวจ ปส.1 สืบสวนทราบว่าเครือข่ายของนายสุพรรณ หรือเบนซ์ จะใช้รถยนต์ 3 คัน ลำเลียงยาเสพติดมาจากริมฝั่งแม่น้ำโขงด้าน อ.ธาตุพนม จ.นครพนม ขับรถมุ่งหน้า จ.นครราชสีมา จึงได้สะกดรอยติดตาม และสามารถสกัดจับได้บริเวณสถานีน้ำมัน ขาเข้ากรุงเทพมหานคร ต่อเนื่องบริเวณสถานีน้ำมัน (ขาเข้า) ต่อเนื่องบริเวณถนนมิตรภาพ ตรวจค้นภายในห้องโดยสารรถพบยาบ้า 9 กระสอบ และอีก 3 กระสอบ อยู่ด้านท้ายกระโปรงรถยนต์ รวมยาบ้า 5 ล้านเม็ด เบื้องต้นได้ขยายผลตรวจยึดทรัพย์สิน มูลค่ารวมกว่า 8 ล้านบาท จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่งพนักงานสอบสวน ปส.1 เพื่อดำเนินคดีและขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

คดีที่ 7 เมื่อวันที่ 5 ก.ค.66 ตำรวจ บก.สกส. และ บก.ขส. ร่วมกันสืบสวนขยายผลจากการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดในภารอีสาน ทราบว่า เครือข่ายนี้จะขนยาเสพติดล็อตใหญ่ไปส่งให้ลูกค้าในพื้นที่ตอนใน จึงร่วมกันสืบสวนจับกุม จนกระทั่งวันที่ 5 ก.ค.66 เวลาประมาณ 08.00 น. พบรถกระบะต้องสงสัย ทะเบียน ผว xxxx ขอนแก่น ขับขี่ผ่าน จ.มุกดาหาร มุ่งหน้าไป จ.มหาสารคาม และ จ.นครราชสีมา น่าเชื่อว่ามีการลำเลียงยาเสพติดไปส่งให้ลูกค้าตามข้อมูลที่มี จึงได้สกัดจับกุม ได้ที่บริเวณริมถนนมิตรภาพ ต.โตนด อ.โนนสูง จ.นครราชสีมา โดยมี นายอิสระ เป็นผู้ขับขี่ จากการตรวจค้นพบยาบ้า ซุกซ่อนอยู่บริเวณท้ายกระบะติดตั้งตู้ทึบ จำนวน 15 กระสอบ จำนวน 6,000,000 เม็ด จากนั้นจึงนำตัวผู้ต้องหาพร้อมยาเสพติดของกลาง รถกระบะ 1 คัน โทรศัพท์มือถือ 1 เครื่อง นำส่งพนักงานสอบสวน ปส.2 ดำเนินคดีตามกฎหมาย และสืบสวนขยายผล เพื่อจับกุมบุคคลในเครือข่ายมาดำเนินคดีต่อไป

สำหรับเดือน มิ.ย. 66 ตำรวจ ปส. สามารถจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ 18 คดี  ผู้ต้องหา 30 คน ของกลาง ยาบ้า 18 ล้านเม็ด, ไอซ์ 1,983 กก., เฮโรอีน 46 กก. และ ยาอี 5,865 เม็ด โดยยาเสพติดของกลางที่ตรวจยึดมาได้นั้นพนักงานสอบสวนจะส่งไปตรวจพิสูจน์ยังหน่วยที่กำหนดไว้ อาทิ สำนักงาน ป.ป.ส.,กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์, สำนักงานพิสูจน์หลักฐานตำรวจ และสถาบันนิติวิทยาศาสตร์ หลังจากนั้นยาเสพติดของกลางจะถูกเก็บรักษาไว้ที่กระทรวงสาธารณสุข เพื่อการทำลายต่อไป

สตม.จับผู้ต้องหาลักลอบขนยาเสพติดตามหมายจับทางการจีน หนีซุกไทย

ตามนโยบายของ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดํารงศักดิ์  กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.รอย อิงคไพโรจน์ รอง ผบ.ตร. สั่งการให้ สตม.สกัดกั้น ตรวจสอบ ระดมจับกุมคนต่างด้าวที่เข้ามาประกอบธุรกิจผิดกฎหมายในประเทศไทย รวมทั้งให้ดำเนินการตรวจสอบ ชาวไทยและชาวต่างชาติที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมในขณะที่พำนักอาศัยอยู่ในประเทศไทย กระทำผิดกฎหมาย ก่อเหตุอันตรายต่อความสงบสุขและความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน ทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ของประเทศ หรือ กลุ่มคนร้ายข้ามชาติที่เข้ามาแฝงตัวอยู่ก่อเหตุ หรือโดยใช้ประเทศไทยเป็นฐานในการกระทำความผิด

ภายใต้การอำนวยการของ พล.ต.ท.ภาคภูมิภิภัทฒ์ สัจจพันธุ์ ผบช.สตม., พล.ต.ต.พันธนะ นุชนารถ รอง ผบช.สตม., พล.ต.ต.ธนิต ไทยวัชรามาศ ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.อภิมุข กานตยากร รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐโชติ โชติคุณ รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.แดนไพร แก้วเวหล รอง ผบก.สส.สตม., พ.ต.อ.สุรศักดิ์ สุรินทร์แก้ว รอง ผบก.ศท.ตม.ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชิตเดชา สองห้อง รอง ผบก.สส.ภ.7 ปฏิบัติราชการ บก.สส.สตม., พ.ต.อ.สรธรรศจ์ เอี่ยมละออ ผกก.1 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.พิสิษฐ์ ศรีอ่อน ผกก.2 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.รัฐพงษ์ แก้วยอด ผกก.4 บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ณภัทรพงศ สุภาพรผกก.ปอพ.บก.สส.สตม., พ.ต.อ.ชย พานะกิจ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.สตม. ร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหารายสำคัญ ดังนี้

จับผู้ต้องหาลักลอบขนยาเสพติดตามหมายจับทางการจีน หนีซุกไทย สตม. ได้รับมอบหมายจาก ตร. ให้ดำเนินการกรณี สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีน ประจำประเทศไทย แจ้งข้อมูลนายป๋อเหวิน (นามสมมติ) อายุ 42 ปี สัญชาติจีน ผู้ต้องหาตามหมายจับของสาธารณรัฐประชาชนจีน ต้องหาว่ากระทำความผิดฐานลักลอบขนยาเสพติด โดยสำนักงานศุลกากรปักกิ่งได้สืบทราบว่า เมื่อวันที่ 21 ธ.ค.63 นายป๋อเหวิน ได้ร่วมกับนางเหว่ย (นามสมมติ) หญิงชาวจีน ลักลอบนำเข้าเมทแอมเฟตามีน (ยาไอซ์) น้ำหนัก 3,311.3 กรัม โดยทางเรือ ต่อมาเมื่อวันที่ 19 ก.พ.64 ทางการสาธารณรัฐประชาชนจีน ได้ออกหมายจับนายป๋อเหวินและนางเหว่ย แต่นายป๋อเหวิน ได้หลบหนีออกจากสาธารณรัฐประชาชนจีน

จากการตรวจสอบข้อมูลในระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ตม. พบว่า นายป๋อเหวิน ได้เดินทางเข้ามาในประเทศไทยหลายครั้ง ครั้งหลังสุดเข้ามาด้วยวีซ่านักท่องเที่ยว 15 วัน (VISA ON ARRIVAL) และการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรยังไม่สิ้นสุด เนื่องจากพิจารณาเห็นว่าเป็นบุคคลซึ่งเจ้าหน้าที่รัฐบาลต่างประเทศได้ออกหมายจับ มีพฤติการณ์ที่สมควรเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักร ผบก.สส.สตม. จึงได้อนุมัติให้เพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรของ นายป๋อเหวิน และได้สั่งการให้ กก.1 บก.สส.สตม. สืบสวนติดตามตัวนายป๋อเหวิน เพื่อนำตัวมาดำเนินการส่งกลับออกไปนอกราชอาณาจักร จึงได้ระดมกำลังสืบสวนติดตามหาตัวนายป๋อเหวิน ตามย่านที่พักอาศัย และสถานที่ท่องเที่ยวของชาวจีนทั้งในกรุงเทพ ฯ และต่างจังหวัด ต่อมาสืบทราบว่านายป๋อเหวิน จะเดินทางออกจากประเทศไทยทางท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ จึงได้ประสานงานกับเจ้าหน้าที่ กก.สส.ปป.บก.ตม.2 และงานตรวจคนเข้าเมืองขาออก ด่าน ตม.ทอ.สุวรณณภูมิ บก.ตม.2 เพื่อหาตัวนายป๋อเหวิน จนกระทั่งได้พบนายป๋อเหวินขณะรอรับการตรวจอนุญาตให้เดินทางออกไปนอกราชอาณาจักร จึงได้แจ้งหนังสือแจ้งการเพิกถอนการอนุญาตให้อยู่ในราชอาณาจักรให้ได้รับทราบ และนำตัวส่ง กก.3 บก.สส.สตม. เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

สตม. ขอเรียนให้ท่านทราบว่า สตม. มีมาตรการในการตรวจสอบ กวดขัน และปราบปรามการกระทำความผิดในด้านต่าง ๆ รวมถึงการเฝ้าระวังบุคคลทั้งสัญชาติไทยและสัญชาติอื่น ๆ ที่มีหมายจับ และการเดินทางเข้า-ออกประเทศไทย หากประชาชนท่านใดพบเห็นเบาะแสการกระทำความผิด กรุณาแจ้งมายัง สำนักงานตรวจคนเข้าเมือง อาคารเฉลิม พระเกียรติสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร พระชนมพรรษา 60 พรรษา เลขที่ 904 หมู่ที่ 6 ตำบลบ้านใหม่ อำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี 11120 หรือที่หมายเลขโทรศัพท์ 1178 หรือที่ www.immigration.go.th จักขอบพระคุณเป็นอย่างยิ่ง

Xylazine ระบาด 'สหรัฐฯ' เปลี่ยนเมืองสวยเป็นเมืองซอมบี้  เริ่มลุกลามข้ามฟากมายุโรปแล้ว เพราะ 'หาซื้อง่าย-ราคาถูก'

มหันตภัยยาเสพติด นับเป็นภัยร้ายที่กัดกร่อนในทุกๆสังคมทั่วโลก ไม่เว้นแม้แต่ประเทศมหาอำนาจด้านเศรษฐกิจ และ เทคโนโลยี อย่างสหรัฐอเมริกา ก็กำลังเผชิญกับปัญหา ที่ทำให้ชาวอเมริกันจำนวนไม่น้อยดำดิ่งสู่วงจรอุบาทว์ 'จน-เครียด-เสพ' เป็นคน มิหนำซ้ำยังมีจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ ในแต่ละปี

ซึ่งมหันตภัยตัวล่าสุดที่สหรัฐอเมริกาก็กำลังเผชิญอยู่ในประเทศตอนนี้ เป็นยาเสพติดตัวใหม่ชื่อว่า Xylazine หรือที่ชาวอเมริกันมักเรียกว่า 'ยาซอมบี้' เพราะมันสามารถเปลี่ยนเปลี่ยนมนุษย์ที่มีสติสัมปชัญญะ กลายเป็นซอมบี้ไร้สติได้ในเวลาไม่นาน

ซึ่ง Xylazine ใช้ทั่วไปในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ มีฤทธิ์เป็นยาสลบ, ยาแก้ปวด, คลายกล้ามเนื้อ สำหรับ ม้า วัว ควาย และ สัตว์ 4 เท้าขนาดใหญ่ แต่ยังไม่มีการรับรองให้ใช้กับมนุษย์ในทุกกรณี

แต่ต่อมา มีการนำ Xylazine มาผสมกับสารเสพติดชนิดอื่น เช่น Fentanyl หรือ เฮโรอีน กลายเป็นยาเสพติดตัวใหม่ที่เรียกว่า 'Tranq' เมื่อมีการฉีดเข้าร่างกายจะทำให้เกิดอาการง่วงซึม อัตราการเต้นหัวใจจะพุ่งสูง แล้วก็จะลดลงอย่างรวดเร็วจนเข้าสู่ภาวะอันตราย อีกทั้งยังเกิดแผลพุพองตามร่างกายทำให้เกิดภาวะผิวหนังตายได้ ด้วยอาการเช่นนี้ ยาเสพติดที่มีส่วนผสมของ Xylazine จึงถูกเรียกกว่า 'ยาซอมบี้' เสพแล้วจะมีสภาพเหมือนผีดิบเดินดินอย่างในภาพยนตร์

การเสพ Zylazine พบครั้งแรกในประเทศเปอร์โต ริโก ในช่วงปี 2000s ก่อนที่จะแพร่หลายสู่สหรัฐอเมริกาในช่วงราวปี 2006 จนปัจจุบัน ถือเป็นสาเหตุการเสียชีวิตกว่า 7% ของการเสพยาเกินขนาดในสหรัฐฯ ที่มีมากกว่า 1 แสนคนในแต่ละปี

จากข้อมูลล่าสุดที่สำรวจจาก 20 รัฐ รวมถึงกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. พบว่ามีผู้เสียชีวิตจากการใช้สารเสพติดที่มีส่วนผสมของ Zylazine เพิ่มขึ้นถึง 10.9% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดด ทำให้ในปีนี้ (2023) ดร.ราอูล คุปตา ผู้อำนวยการฝ่ายนโยบายควบคุมยาเสพติดแห่งชาติของทำเนียบขาว ได้ออกมาประกาศว่า 'ยาซอมบี้' ถือเป็นภัยคุกคามที่เกิดขึ้นใหม่ในสหรัฐฯ และ รัฐบาลไบเดนมีเป้าหมายที่จะลดอัตราการเสียชีวิตจากการใช้สารเสพติดผสม Xylazine ให้ได้อย่างน้อย 15% ในอีก 2 ปีข้างหน้า

แต่ไม่อาจรับประกันได้ว่าจะสามารถสกัดการแพร่หลายของยาซอมบี้ในประเทศได้ทันหรือไม่ สืบเนื่องจากวัตถุดิบอย่าง Xylazine และ Fentanyl ยังไม่ถือเป็นสารควบคุมในสหรัฐฯ ใครก็ตามที่มีใบประกอบวิชาชีพด้านสัตวแพทย์ สัตวบาล ก็สามารถซื้อได้ แม้ทางช่องทางออนไลน์ และพบว่าหลายครั้งไม่มีการตรวจสอบคุณสมบัติของผู้ซื้อยาอย่างถูกต้องอีกด้วย นอกจากนี้ ยาซอมบี้ยังมีราคาถูกกว่ายาเสพติดชนิดอื่นในตลาดมืด ทำให้ยาชนิดนี้เข้าถึงง่ายในกลุ่มวัยรุ่น คนยากไร้ และ คนไร้บ้าน

และยิ่งมาแพร่หลายอยางหนักในช่วงที่เกิดการระบาด Covid-19 ที่พบว่ายาซอมบี้ กลายเป็นสารเสพติดหลักที่นิยมในหมู่นักเล่นยาข้างถนน โดยมีจุดศูนย์กลางที่เมืองฟิลาเดลเฟีย รัฐเพนซิลวาเนีย และกระจายยาซอมบี้ออกไปทั่วประเทศ ซ้ำเติมปัญหาคนไร้บ้านในสหรัฐฯ ที่นับวันจะหนักขึ้นอยู่แล้ว ย่ำแย่ลงกว่าเดิม ด้วยสภาพของผู้คนยากไร้ ที่นอนแน่นิ่ง เหม่อลอย ไร้สติ และยังมีแผลฝีหนองเน่าเปื่อยตามร่างกาย ซึ่งเป็นผลข้างเคียงของการเสพยาซอมบี้ เป็นที่น่าเวทนาแก่ผู้พบเห็น

และตอนนี้ ยาซอมบี้ ก็เริ่มกระจายสู่ยุโรปแล้ว เมื่อรัฐบาลอังกฤษได้ยืนยันผู้เสียชีวิตจากการเสพยาที่มีส่วนผสมของ Xylazine รายแรกในปี 2022 และพบยาซอมบี้จำนวนมาก ขายในตลาดใต้ดินทั้งในอังกฤษ และยุโรป สร้างความวิตกให้แก่รัฐบาลชาติตะวันตกในการหาวิธีสกัดยาซอมบี้ไม่ให้ระบาดในชุมชนของตน

ในขณะที่รัฐบาลสหรัฐฯ ตื่นตระหนกกับภัยคุกคามต่างชาตินอกบ้าน แต่สุดท้ายภัยที่ร้ายแรงที่สุดคืออาจเป็นภัยจากความอ่อนแอในสังคมภายในบ้านของตัวเอง หากปล่อยปละละเลย รังแต่จะลุกลามจนกลายเป็นมะเร็งร้ายทำลายประเทศได้ในภายหลัง

ตำรวจ ปส. ลุยล้าง 5 เครือข่ายยาเสพติดก่อนลงใต้ ยึดยาบ้า 13.7 ล้านเม็ด ไอซ์ 520 กก. และคีตามีน 850 กก. เร่งตามล่าผู้ร่วมขบวนการ

เมื่อวันที่ 9 ส.ค.66 เวลาประมาณ 10.00 น. พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร.,       พล.ต.ท.ประจวบ วงศ์สุข ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผบช.ปส.,พล.ต.ต.พลัฏฐ์ วิเศษสิงห์ ผบก.สกส., พล.ต.ต.สมกิตพุ่มวารี ผบก.ขส., พล.ต.ต.พรศักดิ์  สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4 และ พล.ต.ต.ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2 พร้อมด้วยนายปิยะศิริ วัฒนวรางกูร รองเลขาธิการ ป.ป.ส. และ กอ.รมน. ร่วมแถลงผลการจับกุมเครือข่ายยาเสพติดตามนโยบายของ พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ให้กวาดล้างจับกุมเครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่และรายย่อยให้หมดสิ้นโดยเร็ว ล่าสุดตำรวจ ปส.(NSB) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด 5 เครือข่าย ผู้ต้องหา 8 คน พร้อมของกลาง ยาบ้า 13.7 ล้านเม็ด, ไอซ์ 520 กก. และคีตามีน 850 กก.

รายแรก ตำรวจ บก.สกส. ได้สืบสวนทราบว่า นายไพโรจน์ กับพวก มีพฤติการณ์ในการลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ และจะนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าทางพื้นที่ภาคกลาง และพื้นที่ใกล้เคียง โดยมีนายทุนผู้ค้ายาเสพติดชาวเมียนมาร์ เป็นผู้ว่าจ้าง จึงได้เฝ้าติดตามพฤติการณ์ของกลุ่มเป้าหมายอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งวันที่ 27 ก.ค.66 ได้ร่วมกันกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง จับกุมตัวนายไพโรจน์ พร้อมของกลางยาบ้า จำนวนประมาณ 400,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในช่องตู้ลำโพงแบบดัดแปลงด้านหลังเบาะนั่งผู้โดยสารตอนหลัง และซุกซ่อน  ในช่องตัวถังรถในส่วนช่องเก็บสัมภาระท้ายรถยนต์ทะเบียน ขอ 41XX เชียงใหม่ ในพื้นที่ อ.คลองหลวง จ.ปทุมธานี ตำรวจชุดจับกุมได้ตรวจยึดของกลางทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดีตามกฎหมายและขยายผลดำเนินคดี และออกหมายจับบุคคลในเครือข่าย ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป

รายที่ 2 ตำรวจ ปส.2 ได้สืบสวนขยายผลจับกุมนายธนพัฒน์ หรือเฟส พร้อมยาเสพติดไอซ์ น้ำหนักประมาณ 120 กก. ที่ จ.ชัยภูมิ พบความเคลื่อนไหวของ น.ส.นิติยา ซึ่งเป็นกลุ่มเครือข่ายเดียวกัน จะมีการลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่แนวชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือเข้าสู่พื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์กระบะ ทะเบียน กต-2xxx เลย เป็นยานพาหนะในการลำเลียงยาเสพติด จึงได้ร่วมกันวางแผนการจับกุมตามเส้นทางที่ น.ส.นิติยา ใช้เป็นเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด จนกระทั่ง เวลาประมาณ 22.00 น. พบรถยนต์ทะเบียน กต-2xxx เลย ในเขตพื้นที่ อ.บุ่งคล้า จ.บึงกาฬ ขับมุ่งหน้าไป จ.สกลนคร เมื่อรถยนต์ขับมาถึงสะพานแม่น้ำยาม ต.อากาศ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร ตำรวจ ปส.2 จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจสอบ พบ น.ส.นิติยา เป็นคนขับ ตรวจสอบภายในรถยนต์คันดังกล่าว พบยาบ้าจำนวน 3 กระสอบ ประมาณ 1,300,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ในที่นั่งด้านหลังรถยนต์คันดังกล่าว จึงยึดไว้เป็นของกลาง จากนั้นได้จับกุมผู้ต้องหาพร้อมของกลาง ส่ง พงส.บก.ปส.2 เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

รายที่ 3 ตำรวจ ปส. โดยตำรวจ ปส.4 ได้ทำการสืบสวนขยายผลเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ภาคใต้ จนทราบว่า กลุ่มผู้ค้ายาเสพติดเครือข่าย จะลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ จ.ระนอง ไปส่งที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช จึงได้เฝ้าติดตามพฤติการณ์ จนกระทั่งวันที่ 3 ส.ค.66 พบรถยนต์ทะเบียน 3 ฒฌ 6xxx กทม. มีนายมูสเล็ม เป็นผู้ขับขี่ และรถยนต์ ยี่ห้อมิตซูบิชิ ทะเบียนสงขลา ทำหน้าที่ขับนำทางสำรวจเส้นทาง ขับมุ่งหน้าขาออก สายเอเชีย 41 ผ่าน จ.สุราษฎร์ธานี เข้าพื้นที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช ตำรวจ ปส. จึงได้สกัดจับกุม ผลการตรวจค้นพบ คีตามีน จำนวน 850 ถุง น้ำหนักประมาณ 850 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในกระสอบท้ายรถยนต์กระบะดังกล่าว จากการสอบถามนายมูสเล็ม ผู้ขับขี่ รับว่าขนยาเสพติดมาจาก จ.ระนอง เพื่อนำไปส่งที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช จึงควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พงส.บก.ปส.4 ดำเนินคดี เพื่อสืบสวนขยายผลจับกุมผู้ร่วมขบวนการต่อไป

รายที่ 4 ตำรวจ ปส.4 ได้สืบสวนทราบว่าจะมีกลุ่มผู้ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ภาคใต้เดินทางขึ้นไปรับยาเสพติดในพื้นที่ภาคกลาง เพื่อนำมาส่งมอบให้กับเครือข่ายนักค้ายาเสพติดในพื้นที่จังหวัดทางภาคใต้ ตำรวจชุดจับกุมจึงได้เฝ้าติดตามพฤติการณ์ จนกระทั่งเมื่อวันที่ 4 ส.ค.66 เวลาประมาณ 13.45 น. พบรถยนต์กลุ่มเป้าหมาย รถยนต์ทะเบียน 3ฒม 3xxx กทม. เป็นรถบรรทุกขนาดเล็กมีลักษณะเป็นตู้ทึบสำหรับบรรทุกสินค้า มีนายโสมนัส เป็นผู้ขับขี่, รถยนต์ทะเบียน 3 ขผ 3xxx กทม. ทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจเส้นทาง (คันที่ 1)  มีนายยงยุทธ เป็นผู้ขับขี่ และรถยนต์หมายเลขทะเบียน  กย 4xxx กาญจนบุรี  ทำหน้าที่คุ้มกัน/สำรวจเส้นทาง(คันที่2) มีนายอำนาจ เป็นผู้ขับขี่, นายอาลียัส นั่งคู่คนขับ วิ่งผ่านถนนพระราม 2 มุ่งหน้าลงใต้ เข้าเขตพื้นที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ ต่อมารถยนต์ทั้งสามคันทยอยเข้ามาจอด ที่หน้าร้านอาหารแห่งหนึ่ง ต.ไชยราช อ.บางสะพานน้อย จ.ประจวบคีรีขันธ์ ตำรวจจึงได้จับกุม ตรวจค้นพบของกลางยาบ้า จำนวน 12 ล้านเม็ด, ไอซ์ น้ำหนักประมาณ 320 กิโลกรัม จากการค้นตัวนายอำนาจ และนายอาลียัส พบอาวุธปืนพกสั้น แบบลูกโม่ ขนาด .38 จำนวน 2 กระบอก และกระสุนขนาด .38 จำนวน 28 นัดจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางส่ง พงส.บก.ปส.4  เพื่อสืบสวนสอบสวนขยายผลต่อไป

รายที่ 5 ตำรวจ สกส. ได้สืบสวนทราบว่าขบวนการขนยาเสพติดของ นายวีระเดช ซึ่งลักลอบขนยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ จะนำไปส่งให้ลูกค้าใน จ.พระนครศรีอยุธยา จึงวางแผนจับกุม ต่อมาวันที่ 8 ส.ค.66 เวลาประมาณ 23.40 น. ได้พบรถกระบะ MITSUBISHI TRITON สีดำ หมายเลขทะเบียน ฒฐ 28XX กรุงเทพมหานคร, รถกระบะ TOYOTA HILUX REVO สีขาว หมายเลขทะเบียน บพ 39XX พะเยา และรถกระบะ TOYOTA Hilux Revo สีขาวหมายเลขทะเบียน บบ 87XX พะเยา ขับขี่ไปติดไฟแดง บริเวณ ต.สมอแข อ.เมือง จ.พิษณุโลก จึงแสดงตัวเข้าทำการตรวจค้น พบยาเสพติดไอซ์ จำนวน 10 กระสอบ น้ำหนักประมาณ 200 กิโลกรัม ซุกซ่อนอยู่ในกองผักท้ายกระบะรถ หมายเลขทะเบียน บพ 3983 พะเยา มีนายวีระเดช เป็นผู้ขับขี่ จึงยึดเป็นของกลาง  ตำรวจ ปส.จึงจับกุมตัวนายวีระเดช พร้อมของกลางนำส่ง พงส. บช.ปส.ดำเนินคดี และขยายผลถึงผู้ร่วมขบวนการต่อไป

สำหรับเดือน ก.ค.66 ตำรวจ ปส. สามารถจับกุมยาเสพติดรายสำคัญ 20 คดี  ผู้ต้องหา 36 คน ของกลาง ยาบ้า 18.5 ล้านเม็ด, ไอซ์ 310 กก. และ เฮโรอีน 14 กก.

'สรรเพชญ' จี้ รัฐบาลใหม่ดันเรื่องยาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ เสนอ 3 มาตรการ 'ป้องกัน-ปราบปราม-ฟื้นฟู' ขจัดปัญหาให้สิ้น

เมื่อวันที่ 9 ส.ค.66 นายสรรเพชญ บุญญามณี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร จังหวัดสงขลา พรรคประชาธิปัตย์ ได้อภิปรายผลการปฏิบัติงานของ ป.ป.ส. ในการปราบปรามยาเสพติด ประจำปี 2564 โดยนายสรรเพชญกล่าวว่า "ยาเสพติดเป็นปัญหาใหญ่ที่ทุกรัฐบาลพยายามแก้ไขและให้ความสำคัญ แต่ปัญหายาเสพติดก็ยังไม่ทุเลาเบาบางลง จากสถิติของการจับกุมคดียาเสพติด พบว่า ปี 2564 มีการจับกุมคดียาเสพติด ทั้งหมด 337,186 คดี ผู้ต้องหา 350,758 คน ซึ่งตัวเลขที่มากขนาดนี้ นับว่าเป็นปัญหาใหญ่ของสังคมไทยที่ควรจะได้รับการแก้ไขปราบปรามอย่างจริงจังโดยเร็ว"

นายสรรเพชญ ได้กล่าวต่อว่า "ตนมีความห่วงใยกับสถานการณ์ยาเสพติดที่เกิดขึ้นกับพื้นที่ชุมชนต่าง ๆ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบาง เนื่องจากยาเสพติดในทุกวันนี้เข้าถึงทุกชุมชน ทุกหมู่บ้าน และยังมีการซื้อขายผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ต่าง ๆ ที่เป็นช่องทางให้เด็กและเยาวชนเข้าถึงได้อย่างง่ายดาย"

นอกจากนี้ นายสรรเพชญ ได้เสนอ 3 มาตรการ ในการจัดการกับปัญหายาเสพติด คือ ‘มาตรการในการป้องกัน ปราบปราม และฟื้นฟู’ โดย ‘มาตรการในการป้องกัน’ คือ การให้ทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง รวมถึงให้หน่วยงานส่วนท้องถิ่นเข้ามามีบทบาทในการแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ของตน ‘มาตรการที่สอง คือ การปราบปราม’ โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องระดมสรรพกำลังในการทำงานให้สอดคล้องกัน และสุดท้าย ‘มาตรการในการฟื้นฟู’ ต้องให้ผู้ที่เคยกระทำความผิด ได้กลับตัวกลับใจเข้าสู่ตลาดแรงงานหลังได้รับการฟื้นฟู มีงานทำ มีรายได้ จะได้ไม่ต้องกลับเข้าไปสู่วงจรยาเสพติดอีก

"โดยทั้งสามมาตรการที่ได้เสนอไป ตนเชื่อว่าอาจจะช่วยให้ ป.ป.ส. สามารถทำงานได้อย่างคล่องตัวมากยิ่งขึ้น และปราบปรามยาเสพติดได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล ไม่เพียงแต่ ป.ป.ส. ที่ต้องจัดการแก้ไขเพียงหน่วยงานเดียว แต่ทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องก็ควรที่จะร่วมมือกันเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดให้หมดไปจากประเทศไทยโดยเร็วที่สุด เพื่ออนาคตที่ดี และชีวิตที่มีคุณภาพของลูกหลาน จะได้ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดในอนาคตต่อไป" นายสรรเพชญ กล่าว

‘สืบสวนนครบาล’ ทลาย ‘แก๊งไข่หวง’ 4 เจ้าพ่อยาเสพติดไต้หวัน บุกรวบคาเซฟเฮ้าส์หรู พบยัดไอซ์ในเพลารถ เตรียมส่งข้ามชาติ 

(19 ส.ค. 66) พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รองผบ.ตร./ ผอ.ศอ.ปส.ตร., พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น., พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ประจำ, พล.ต.ต.สำเริง สวนทอง รอง ผบช.น., พล.ต.ต.นพศิลป์ พูลสวัสดิ์ รอง ผบช.น., พล.ต.ต.ธีรเดช ธรรมสุธีร์ ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วรพจน์ รุ่งกระจ่าง รอง ผบก.สส.บช.น., พ.ต.อ.จักราวุธ คล้ายนิล ผกก.วิเคราะห์ข่าวฯ/ บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.วิชัย สมสกุล ผกก.กก.สส.บก.น.1, พ.ต.อ.พัชรดนัย การินทร์ ผกก.(สอบสวน) กลุ่มงานสอบสวน บก.สส.บช.น., พ.ต.อ.ธนากร อ่อนทองคำ ผกก.สส. 4/ บก.สส.บช.น., พ.ต.ท.บดินทร์ ร้อยกรอง, พ.ต.ท.มาโนชย์ ทองแก้ว, พ.ต.ท.ทศพร พวงทอง, พ.ต.ท.เรวัช ประจวบสุข, พ.ต.ต.ธัญพีรสิษฐ์ จุลพิภพ, ร.ต.อ.ธนัชพงศ์ วัชรราศีวิทย์, ร.ต.อ.ศิวัช ยังอุ่น เจ้าหน้าที่ชุด ศอ.ปส.ตร.ชุดที่ 5 เจ้าหน้าที่ชุดสืบนครบาล และเหล่านักเรียนหลักสูตรสืบสวนคดีอาญา รุ่นที่ 111 ร่วมกันสืบสวนติดตามจับกุมตัว นายเฉิน ยู่ หนิง (Mr.Chen You Ning) อายุ 34 ปี, นายหลี่ หมิง เจิ้น (Mr.Lee Ming Chang) อายุ 26 ปี โดยจับกุมตัวได้ที่ บ้านเลขที่ 89/19 แขวงคลองสองตันนุ่น เขตลาดกระบัง กรุงเทพมหานคร

และจับกุมตัว นายเซิง เยี่ยน หมิง (Mr. Tseng, Yen-Ming) อายุ 31 ปี, นายหลิน เฉอ เฉิง (Mr.Lin Che-Cheng) อายุ 24 ปี, นายเฉิน ยี่ เหวิน (Mr.Chen, Yi-Wen) อายุ 23 ปี, นายชู ชุน เยน (Mr.Chu Chun Yen) อายุ 22 ปี ทั้ง 6 คนเป็นชาวไต้หวั่น และนายอภิญญา อุดม อายุ 24 ปี จับกุมตัวได้ที่ บ้านเลขที่ 111/30 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรสาคร

พร้อมของกลาง แท่งเหล็กเพลากลางรถบรรทุก จำนวน 17 แท่ง, ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาไอซ์) จำนวน 1,057 กรัม, กัญชา จำนวน 10 กิโลกรัม, เครื่องมืออุปกรณ์เพื่อตัดแปลงท่อนเพลา เพื่อใช้ซุกซ่อนยาเสพติด กว่า 15 รายการ, ยาไฟว์ไฟว์ จำนวน 29 เม็ด, เครื่องปั่นใช้ผสมยาเสพติด จำนวน 2 เครื่อง, เคตามีน จำนวน 17 กรัม, ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (แฮปปี้วอเตอร์) จำนวน 1 ชอง

พล.ต.อ.ชินภัทร เปิดเผยว่า สืบเนื่องจากช่วงเดือน ส.ค. 66 พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. ได้รับแจ้งจากสายลับ ‘กลุ่มชายชาวไต้หวันสักลาย’ ขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติสั่งการ พล.ต.ต.ธีรเดช ส่งชุดสืบสวนนครบาลและนักเรียนสืบสวนคดีอาญา 111 สะกดรอยแก๊งชาวไต้หวั่นใช้แท่งเพลารถขนยาเสพติดข้ามชาติ

จากการตรวจสอบพบว่า กลุ่มแก๊งชาวไต้หวั่นระดับราชายาเสพติดไต้หวัน 4 ราย โดยให้ชื่อ ‘แก๊งไข่หวง’ เนื่องจากผู้สั่งการรายใหญ่ชื่อ ‘ไข่หวง’ อยู่ประเทศไต้หวั่น โดยแก๊งผู้ต้องหาดังกล่าวได้ถูกทางการไต้หวันออกหมายจับตามล่า จึงหลบหนีมาอยู่ในประเทศไทย จากการตรวจสอบพบว่า มีการทำงานเป็นขบวนการ โดยให้ทีมงานมาเช่าหมู่บ้านหรูใจกลางกรุงย่านกรุงเทพกรีฑา โดยเช่าบ้านเดือนละ 60,000 บาท ใช้เป็นพื้นที่ในการรับ-ส่งออกยาเสพติด ใช้บริการรถจักรยานยนต์ขนส่งตลอดทั้งวัน ชุดสืบสวนจึงได้แผนนำวางกำลังซุ่มโปร่งแอบดูจนพบว่า มีซุกซ่อนแท่งเพลา 17 แท่ง ห่อแร็บเตรียมส่งออกนอกไปนอกประเทศ

ต่อมาเวลา 08.10 น. ของเช้าวันที่ 18 ส.ค.ที่ผ่านมา ว่าจะมีการเคลื่อนย้ายแท่งเพลาไปขึ้นเรือขนส่งทางทะเล พล.ต.ต.ธีรเดช พร้อมทีมชุดสืบสวน นำหมายค้นศาลอาญามีนบุรีที่ 535/2566 ลงวันที่ 17 ส.ค. 66 บุกเข้าเซฟเฮ้าส์ บ้านเลขที่ 89/19 แขวงคลองสองต้นนุ่น เขตลาดกระบัง จ.กรุงเทพมหานคร พบนายเฉิน ยู่ หนิง (Mr.Chen You Ning) และนายหลี่ หมิง เจิ้น (Mr.Lee Ming Chang) อยู่บริเวณดังกล่าว ท่าทางมีพิรุธ ก่อนตรวจสอบท่อนเพลาดังกล่าว จากการตรวจสอบพบของกลางยาไอซ์และกัญชาร่วงออกมาจำนวนมาก และยังพบอุปกรณ์การเชื่อมเหล็ก หินเจีย และอีกหลายรายการที่มีไว้เพื่อตัดแปลงท่อนเพลา เพื่อใช้ซุกซ่อนยาเสพติด ก่อนนำส่งออกไปยังประเทศไต้หวัน

จากการตรวจสอบขยายผลนายเฉิน ยู่ หนิง (Mr.Chen You Ning) หัวหน้าขบวนการก่อนนำพาเจ้าหน้าที่ไปบุกไปที่ บ้านเลขที่ 111/30 ต.บางแก้ว อ.บางพลี จ.สมุทรปราการ เป็นที่กบดานของแก๊งไข่หวงที่ผลิตยาแฮปปี้วอเตอร์ และใช้เป็นพื้นที่ ‘ปาร์ตี้ยา’ พบของกลางยาเสพติด ยาไอซ์, เคตามีน,ไฟว์ไฟว์ และแฮปปี้วอเตอร์ จำนวนหลายรายการ รวมไปถึงของจำพวก ซองเปล่า, เครื่องปั่น เพื่อใช้ใส่ยาแฮปปี้วอเตอร์ในจำนวนมาก ก่อนพบและจับกุมผู้ต้องหาในบ้านได้อีกกว่า 5 ราย ขณะพยายามวิ่งหลบหนีเจ้าหน้าที่ขึ้นชั้นบน เพื่อทำลายพยานหลักฐานในบ้าน

พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. และ พล.ต.ท.ธิติ แสงสว่าง ผบช.น. เดินทางมาควบคุมขยายผลด้วยตัวเองก่อนนำตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย พร้อมของกลางนำส่งพนักงานสอบสวน บช.ปส. ดำเนินคดีตามกฎหมาย

จากการสอบสวนนายเฉิน ยู่ หนิง (Mr.Chen You Ning) หัวหน้าขบวนการแก๊งไข่หวง ให้การรับสารภาพตลอดข้อกล่าวหา โดยให้การว่า “เมื่อ 7 เดือนก่อน ตนได้ถูกตำรวจไต้หวันจับกุมที่ประเทศไต้หวัน และออกข่าวดังเพราะเป็นขบวนการค้ายาเสพติดข้ามชาติ แต่ได้จ้างทนายสู้คดีและประกันตัวออกมา ก่อนจะหนีออกนอกประเทศไต้หวันด้วยการแอบขึ้นเรือสินค้า เป็นเวลากว่า 15 วัน จนถึงประเทศกัมพูชา จากนั้น จึงค่อยเดินทางเข้ามาตั้งฐานทัพใหม่ในประเทศไทย จนทางการไต้หวันได้ออกหมายจับและตามล่าตน

โดยปัจจุบันตนมาตั้งฐานทัพที่ประเทศไทยและอยู่ระหว่างค้นหาวิธีการที่จะส่งออกยาเสพติดไปยังประเทศไต้หวัน โดยมีผู้ร่วมขบวนการชื่อว่า ‘เสี่ยวผ้าง’ ซึ่งอยู่ในประเทศไต้หวัน และคอยรอรับยาเสพติดจากตนที่ส่งไปจากประเทศไทย ตนได้เห็นจากข่าวเรื่องการลักลอบขนส่งยาบ้า และเฮโรอีนโดยทำการผ่ายัดลงไปในเพลารถ และเชื่อมเพื่อปกปิดทำให้ไม่สามารถตรวจสอบได้โดยง่าย จึงลองนำมาใช้ โดยตนนั้นได้ขับรถไปซื้อเพลารถที่ จ.ชลบุรี โดยยาเสพติดที่หามานั้นซื้อมาจากเพื่อนชาวไต้หวัน ซึ่งอาศัยอยู่ในกรุงเทพฯ จำนวน 1 กก. ในราคา 230,000 บาท และซื้อกัญชา มาจากร้านค้าทั่วไปในกรุงเทพฯ จำชื่อร้านไม่ได้ โดยซื้อมาจำนวน 40 กก. ในราคา 70,000 บาท และจะชำระเงินกันผ่านช่องทางแพลตฟอร์ม Cryptocurrency สกุลเงิน usdt หลายแอปพลิเคชัน หากหลุดรอดไปได้จากขายได้ 10 เท่า เพิ่มเป็น 7 แสนบาท หากนำไปแบ่งขายได้ประมาณ 2.5 ล้านบาท

ด้าน พล.ต.ต.ธีรเดช กล่าวว่า คนร้ายกลุ่มนี้เรียกได้ว่าเป็นสมาชิกแก๊งขนส่งยาเสพติดข้ามแดนรายใหญ่ ที่ทางการประเทศไต้หวันต้องการตัว จากการขยายผลหัวขบวนการรายนี้ถูกตามล่าจากทางการไต้หวัน จึงหลบหนีเข้ามาทางช่องทางธรรมชาติเพื่อกบดาน และใช้ประเทศไทยเป็นฐานสร้างเครือข่ายในการขนส่งยาเสพติดกลับไปยังประเทศไต้หวัน และล่าสุดแก๊งนี้กำลังทดลองเพื่อส่งออกยาไอซ์แต่ทำไม่สำเร็จถูกจับกุมเสียก่อน

หลังปฏิบัติการนี้ ทางการเจ้าหน้าที่ไต้หวันได้ประสานงานมาที่ พล.ต.อ.ชินภัทร สารสิน รอง ผบ.ตร. ในทันทีเพราะผู้ต้องหาในขบวนการนี้เป็นที่ต้องการตัวของทางการไต้หวันเป็นอย่างมาก ซึ่งเราจะขยายผลร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจไต้หวันให้ถึงที่สุด เพราะปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาความมั่นคงระดับชาติที่หยั่งรากฝังลึกในสังคมไทย และมีแนวโน้มทวีความรุนแรงเพิ่มขึ้นมาก

ซึ่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. ได้มอบนโยบายในการแก้ปัญหายาเสพติดเป็นวาระเร่งด่วนลำดับแรก และสั่งการเดินหน้าปราบปรามยาเสพติดทุกมิติ และขอฝากไปยังพี่น้องประชาชนช่วยเป็นหูเป็นตาให้กับเจ้าหน้าที่ตำรวจ หากมีเบาะแส สามารถแจ้งได้ที่ Facebook เพจ ‘สืบนครบาล IDMB’ ตลอด 24 ชั่วโมง

'จับคาด่าน' ฉก.ทัพเจ้าตากร่วมกับตำรวจ สภ.แม่จัน ยึดยาบ้า 191,000 เม็ดคาด่านกิ่วทัพยั้ง

เมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2566ที่ผ่านมา เวลา 00.15 นาฬิกา หน่วยเฉพาะกิจทัพเจ้าตาก กองกำลังผาเมือง โดย หน่วยเฉพาะกิจกรมทหารพรานที่ 31 จัดกำลังพล ร่วมกับ ชุดสุนัขทหารที่ 6 หมวดสุนัขทหาร กองกำลังผาเมือง, กองร้อยตำรวจตระเวนชายแดนที่ 327 

และ สถานีตำรวจภูธรแม่จัน ทำการตั้งจุดตรวจเพื่อป้องกัน และสกัดกั้นการกระทำผิดกฎหมาย บริเวณ ด่านตรวจกิ่วทัพยั้ง บ้านปงตอง ตำบลแม่จัน อำเภอแม่จัน จังหวัดเชียงราย ตรวจพบและจับกุมผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติยาเสพติด จำนวน 3 คน พร้อมของกลาง ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 31 ห่อๆ ละ  6,000 เม็ด และ ห่อละ 5,000 เม็ด อีก 1 ห่อ รวมยาบ้าจำนวนทั้งสิ้น 191,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถยนต์กระบะ ยี่ห้อ โตโยต้า รุ่น ไท

เกอร์ สีบอร์นทอง หมายเลขทะเบียน กจ 6838 สุโขทัย และ รถยนต์กระบะ ยี่ห้อ อีซูซุ รุ่น ดีแม็กซ์ สีเทา หมายเลขทะเบียนป้ายแดง ก 4298 พิษณุโลก (รถนำขบวนยาเสพติด) หน่วยจึงได้นำตัวผู้ต้องหา และของกลาง ส่งให้สถานีตำรวจภูธรแม่จัน เพื่อดำเนินการตามกฎหมายต่อไป

ตำรวจไซเบอร์เฝ้าระวังตรวจสอบ การกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติด ในสื่อสังคมออนไลน์ โดยเฉพาะผู้ปกครองที่ชักจูงส่งเสริมเด็กและเยาวชนให้กระทำผิด

พ.ต.อ.กฤษณะ พัฒนเจริญ โฆษก บช.สอท. กล่าวว่า ตามที่ปรากฎเป็นข่าวในสื่อสังคมออนไลน์ กรณีการเผยแพร่คลิปวิดีโอเด็กหรือเยาวชนซึ่งมีอาการมึนเมาคล้ายเสพสารเสพติดภายในงานเลี้ยงสังสรรค์แห่งหนึ่ง โดยมีผู้ใหญ่จำนวนมากอยู่ด้วย เป็นเหตุให้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันอย่างแพร่หลายว่าเหตุใดผู้ใหญ่จึงปล่อยให้เด็กหรือเยาวชนตกอยู่ในสภาพดังกล่าวนั้น ที่ผ่านมา บช.สอท. โดย พล.ต.ท.วรวัฒน์ วัฒน์นครบัญชา ผบช.สอท. ได้เร่งรัดขับเคลื่อนตามนโยบายของรัฐบาล และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดย พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล รอง ผบ.ตร. ในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดอาชญากรรมทางเทคโนโลยีในทุกรูปแบบมาโดยตลอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งการกระทำความผิดเกี่ยวกับยาเสพติดผ่านช่องทางสื่อสังคมออนไลน์ โดยได้สั่งการให้ทุกกองบังคับการในสังกัด เฝ้าระวัง และตรวจสอบการกระทำผิดในลักษณะดังกล่าว หากพบการกระทำผิดให้เร่งดำเนินการปราบปรามจับกุม พิสูจน์ทราบตัวผู้กระทำผิดมาดำเนินคดีตามกฎหมายอย่างจริงจัง และต่อเนื่อง ให้มีผลการปฏิบัติเป็นรูปธรรม

โฆษก บช.สอท. กล่าวเพิ่มเติมว่า การกระทำในลักษณะดังกล่าวนอกจากจะเข้าข่ายเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ยาเสพติดให้โทษ ซึ่งมีอัตราโทษสูงแล้ว ผู้ปกครองยังอาจจะมีความผิดฐาน บังคับขู่เข็ญ ชักจูง ส่งเสริม หรือยินยอมให้เด็กประพฤติตนไม่สมควร หรือน่าจะทำให้เด็กมีพฤติกรรมที่เสี่ยงต่อการกระทำผิด ตาม พ.ร.บ.คุ้มครองเด็ก พ.ศ.2546 ม.26 (3), 78 ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 เดือน หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ อีกส่วนหนึ่งด้วย ทั้งนี้ขอฝากประชาสัมพันธ์ไปยังพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้เป็นแบบอย่างที่ดีให้กับบุตรหลาน ไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติด หรือเป็นผู้กระทำผิดเสียเอง พร้อมกับตรวจสอบดูแลพฤติกรรมของบุตรหลานอย่างใกล้ชิด ควรใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่างสร้างสรรค์ และมีประโยชน์ต่อสังคม

‘เศรษฐา’ ลั่น!! ยาบ้าต้องหมดในรัฐบาลนี้ ตั้งเป้าลดลงใน 1 ปี ยกเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมผนึกกำลังถกแผนปราบปรามเร่งด่วน

นายกฯ ประกาศขจัดวงจรยาเสพติดเป็น ‘วาระแห่งชาติ’ ผนึกกำลังถกแผนเร่งด่วน พร้อมเป็นประธานเผาทำลายยาเสพติดของกลางกว่า 25 ตัน ลั่น!! ยาบ้าต้องหมดในรัฐบาลนี้ ตั้งเป้า 1 ปี ต้องลดลง ชี้!! ผู้ค้าต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด คนเหล่านี้เป็นอาชญากร ไม่กลัวคุก จี้เร่งยึดทรัพย์ ก่อนถ่ายโอน ตัดวงจรค้าซ้ำ

(17 ก.ย. 66) ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จังหวัดสมุทรปราการ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมขับเคลื่อนการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกุล รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย, พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม, นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายพรหมมินทร์ เลิศสุริย์เดช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี, นางพงษ์สวาท กายอรุณสุทธิ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรม, นายวิชัย ไชยมงคล เลขาธิการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.), พล.ต.อ.ดำรงศักดิ์ กิตติประภัสร์ ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และหัวหน้าหน่วยราชการจากกระทรวงแรงงาน กระทรวงศึกษาธิการ กระทรวงอุตสาหกรรม ร่วมประชุม

โดย นายกรัฐมนตรี กล่าวตอนหนึ่งระหว่างการประชุมว่า เป็นที่ทราบกันดีว่านอกจากปัญหาเรื่องปากท้อง ปัญหายาเสพติดแพร่กระจายไปทั่วทุกหย่อมหญ้าทั่วประเทศไทย ช่วงที่พรรคร่วมรัฐบาลได้ลงพื้นที่หาเสียง เป็นที่ประจักษ์ดีว่านอกจากปัญหาปากท้อง ปัญหายาเสพติดถือเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งตนคิดว่าทุกพรรคการเมืองทั้งฝ่ายรัฐบาล และฝ่ายค้าน ที่ออกไปหาเสียงก็เห็นด้วยว่าเป็นเรื่องใหญ่เช่นเดียวกัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่พรรคร่วมรัฐบาลให้คำมั่นว่าจะเป็นวาระแห่งชาติ โดยมีตนในฐานะนายกรัฐมนตรี นั่งหัวโต๊ะ และเป็นประธาน ในการทำให้ปัญหาเหล่านี้ในระยะอันใกล้ลดน้อยลง และหมดไปในที่สุด ไม่ว่าจะเป็นปัญหาผู้เสพให้เป็นผู้ป่วย ที่ต้องรักษา และดูแลส่งคืนคนเหล่านี้กลับคืนอ้อมกอดของพ่อแม่ ให้มีอาชีพที่เหมาะสม รวมถึงการป้องกันที่ต้นน้ำด้วยว่าไม่ให้เขาไปเสพ เราจะมีมาตรการทำกันอย่างไร

ส่วนระยะสุดท้าย เมื่อมีการยึดยาเสพติดของกลางมาแล้ว จะต้องมีการกระชับเวลาในการทำลายให้สั้นลง รวมถึงเรื่องของระยะเวลาการยึดทรัพย์ เพราะหากใช้เวลานานจะทำให้ผู้ผลิตมีต้นทุนที่แข็งแกร่งสามารถกลับมาผลิตยาเสพติดได้อีก ตลอดจนจะต้องมีมาตรการในการป้องกัน การลักลอบนำเข้ายาเสพติดเข้ามาในประเทศ ทั้งหมดทั้งมวลนี้ถึงอย่างไรก็ต้องมีจุดเริ่มต้น และขอให้วันนี้เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี ในการขจัดปัญหาออกจากสังคมไทย

จากนั้น ที่บริษัท อัคคีปราการ จำกัด นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ และรมว.คลัง ได้เป็นประธาน ในพิธีเผาทำลายยาเสพติดของกลาง โดยมีคณะรัฐมนตรี (ครม.) หัวหน้าส่วนราชการ จากการประชุมขับเคลื่อนการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ร่วมในพิธี พร้อมด้วยนายศุภมิตร ชิณศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสมุทรปราการ ผู้แทนจากกระทรวงอุตสาหกรรม ประชาชน จากหมู่บ้าน/ชุมชนกองทุนแม่ของแผ่นดิน เข้าร่วมกว่า 200 ราย ร่วมเป็นสักขีพยานในการเผาทำลายยาเสพติดครั้งนี้ โดยเป็นการทำลายของกลางยาเสพติดของกลางจากคดียาเสพติดจำนวน 100 คดี เป็น ยาบ้า 12,522 กก. ไอซ์ 11,656 กก. เฮโรอีน 418 กก. ฝิ่น 179 กก. คีตามีน 704 กก. และสารเสพติดอื่นๆ น้ำหนักรวม 25,517 กก.

ซึ่งทำลายโดยการเผาไหม้ด้วยระบบเตาเผาอุณหภูมิสูง 2 ชุด เผาไหม้ที่ 800 - 1,200 องศาเซลเซียส ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิง พร้อมระบบควบคุมมลพิษอากาศที่มีประสิทธิภาพสูง สามารถทำลายได้หมดสิ้น และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม และประชาชน

โดย นายกฯ ระบุ ปัญหายาเสพติดเป็นปัญหาเรื้อรัง ทุกครั้งที่ตกลงคุณพี่ใจรับข้อร้องเรียนจากประชาชนตลอด ทำให้สถาบันครอบครัวอ่อนแอ รัฐบาลมีนโยบาย ทั้งปราบปรามและบำบัด  ผู้ที่ติดยาเสพติดไม่ใช่คนร้าย แต่เป็นผู้ป่วย ฉะนั้นต้องช่วยรักษา พากลับมาเป็นพลเมือง และลูกที่ดีของครอบครัวอีกครั้ง และจะต้องให้ชุมชนมีส่วนร่วม ขอให้หน่วยงานทำงานใกล้ชิดกับประชาชน

“ผู้ค้าต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด คนเหล่านี้เป็นอาชญากร ที่ไม่ควรติดคุกติดตะราง แต่พวกเขากลัวที่สุดคือการถูกยึดทรัพย์ที่ได้มา ขอให้หน่วยงาน เร่งดำเนินการยึดทรัพย์ให้เร็วที่สุด อย่าให้เกิดการโอนถ่ายได้ง่าย ในฐานะนายกรัฐมนตรี ตนขอเป็นประธาน ในการผนึกกำลังทุกหน่วยงาน และประชาชน แก้ไขปัญหา และจะติดตามอย่างต่อเนื่อง โดยจะปฏิบัติงานอย่างมีนิติธรรมนิติรัฐ ให้ประชาชนอยากทำงานร่วมกับรัฐฯ และรู้สึกปลอดภัยที่จะแจ้งเบาะแสกับเจ้าหน้าที่

รัฐบาลนี้เอาจริง ผมตั้งเป้าที่ชัดเจนให้กับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ปัญหาจะต้องลดลงให้ได้ภายใน 1 ปี ในรัฐบาลนี้จะต้องทำยาบ้าหมดไปให้ได้ ตนจะนำมาทำลายให้หมด เหมือนที่ทุกคนจะได้เห็นในวันนี้” นายกฯ กล่าวทิ้งท้าย

เปิดใจลูกเมีย ‘ดาบเต้ย’ นายดาบ ปส.สละชีพดวลปืนแก๊งยานรก ลูกสาว ลั่น!! โตขึ้นขอเดินตามรอยเป็นตำรวจสายสืบเหมือนพ่อ

(22 ก.ย. 66) หลังประกอบพิธีพระราชทานน้ำหลวงอาบศพพร้อมเครื่องเกียรติยศให้กับ ‘ด.ต.วีระวัฒน์ คำดี’ หรือ ‘ดาบเต้ย’ ผบ.หมู่ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส.ที่เสียชีวิตขณะเข้าจับกุมคนร้ายที่ขนยาเสพติดไอซ์ 1,000 กิโลกรัม เหตุเกิดคืนวันที่ 19 ก.ย.ที่ผ่านมา ในพื้นที่อำเภอเวียงชัย จังหวัดเชียงราย โดย พล.ต.ท.สรายุทธ์ สงวนโภคัย ผบช.ปส.นำเจ้าหน้าที่ฝ่ายต่างๆ เข้าร่วม ที่ศาลาวัดเม็งรายมหาราช อำเภอเมืองเชียงราย จากนี้จะมีการสวดพระอภิธรรมศพเป็นประจำทุกคืน และจะมีพิธีพระราชทานเพลิงศพในวันอังคารที่ 26 ก.ย.นี้ เวลา 16.00 น.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางเพลินตา คำดี ภรรยาของ ด.ต.วีระวัฒน์ และบุตรสาว 1 คน คือ ด.ญ.พัทธนันท์ คำดี อายุ 14 ปี ปัจจุบันเรียนอยู่ชั้นมัธยมศึกษาปีที่ 2 โรงเรียนสามัคคีวิทยาคม อ.เมืองเชียงราย ได้คอยต้อนรับผู้ไปร่วมพิธีซึ่งหลายคนถึงกับร้องไห้เสียใจต่อการจากไปของ ด.ต.วีระวัฒน์ โดยเฉพาะเจ้าหน้าที่ปราบปรามยาเสพติดสหรัฐอเมริกาที่เคยร่วมงานกับ ด.ต.วีระวัฒน์ มานานกว่า 2 ปีจนมีความสนิทสนมกัน

นางเพลินตากล่าวว่า ตามปกติสามีของตนจะเป็นคนตั้งใจทำงานมาก เขาจะใช้ชีวิตส่วนใหญ่อยู่ที่หน่วยและหากวันไหนไม่มีงานจึงจะไปรับส่งบุตรสาวไปโรงเรียน ซึ่งตนยอมรับว่าเขาเป็นคนรักในอาชีพ รักเพื่อนตำรวจและรักครอบครัวมากเช่นกัน และรู้ดีว่าอาชีพของเขามีความเสี่ยงและทำใจไว้แล้ว ว่าครอบครัวของเราอาจจะพบเจอกับเหตุการณ์อย่างนี้ได้ แต่ไม่คิดว่าจะมาถึงเร็วเช่นนี้

ก่อนเกิดเหตุก็ไม่มีลางบอกเหตุใดๆ เลย มีเพียงช่วงประมาณ 1 สัปดาห์ก่อนเกิดเหตุที่สามีของตนได้ไลน์ไปบอกน้องสาวของเขาที่ จ.นครราชสีมา ว่าขณะที่เขานั่งอยู่ในรถก็มีกลิ่นเหมือนอยู่โรงพยาบาล และเป็นคนสอบถามน้องสาวเองว่ามีญาติๆ เป็นอะไรบ้างซึ่งก็ทราบทุกคนยังสบายดี กระทั่งคืนเกิดเหตุวันที่ 19 ก.ย. ตนได้รับทราบว่ามีการยิงกันที่ อ.เวียงชัย ซึ่งก็ไม่คิดว่าจะเกิดเรื่องกับสามี พอรู้เรื่องก็ตกใจและเสียใจมาก เพราะครอบครัวเรามีอยู่กันเพียง 3 คน เขาก็เป็นเสาหลักของครอบครัว การสูญเสียเขาไปจึงทำให้ครอบครัวมีความยากลำบากในชีวิต

“เคยถามเขา ว่าทำไมทำงานเยอะขนาดนี้ เขาก็บอกว่ายาเสพติดเชียงรายมีมาก หากเขาไม่ทำก็ไม่มีใครทำ” นางเพลินตา กล่าวทั้งน้ำตา

ด้าน ด.ญ.พัทธนันท์ กล่าวว่า แม้ตนจะเสียใจแต่ก็ภาคภูมิใจที่พ่อเสียสละในหน้าที่เพื่อสังคม และไม่เคยภูมิใจในตัวใครมากเท่าพ่อ พ่อเป็นแบบอย่างที่ดีทั้งการงานและรักครอบครัว ดังนั้น จึงอยากจะบอกว่าพ่อไม่ต้องเป็นห่วงใดๆ เพราะแม่และตนดูแลตัวเองได้ ส่วนในอนาคตอยากเป็นตำรวจเหมือนพ่อ เป็นชุดสืบสวนเพื่อทำความดีให้สังคมต่อไป

พล.ต.ต.คมสิทธิ์ รังไสย์ ผบก.ปส.3 กล่าวว่า การปูนบำเหน็จให้กับดาบเต้ย (ด.ต.วีระวัฒน์) เป็นไปตามหลักเกณฑ์ เบื้องต้นคือเลื่อน 7 ขั้นเงินเดือน และ 5 ชั้นยศ ส่วนเงินช่วยเหลือ จะมีทั้งเงินฌาปนกิจ กองทุนสวัสดิการ ตร.และ ปส.ประมาณ 2,239,000 บาท กองทุนและมูลนิธิ ป.ป.ส.คาดว่าจะได้รับอีกประมาณ 600,000 บาท

สำหรับ ด.ต.วิพู พานพิมพ์ สังกัดเดียวกับดาบเต้ยได้รับบาดเจ็บสาหัสที่แขนทั้งสองข้าง เพราะถูกทั้งรถที่พุ่งชนและถูกยิงด้วย ปัจจุบันพ้นขีดอันตรายแล้ว โดยกำลังรักษาตัวในโรงพยาบาล ก็จะได้รับปูนบำเหน็จตามระเบียบเช่นกัน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top