Saturday, 18 May 2024
ยาเสพติด

เชียงใหม่-รมว.ยุติธรรม แถลงผลการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ยึดของกลางยาบ้า 5 ล้านเม็ด

รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ผนึกกำลังฝ่ายตำรวจ ทหาร ปกครอง และ ป.ป.ส. แถลงข่าวการจับกุมคดียาเสพติดรายสำคัญในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ ผู้ต้องหา 3 คนพร้อมของกลางยาบ้า 5 ล้านเม็ด ณ อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 จ.เชียงใหม่

เมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายน 2566 เวลา 11.00 น.พ.ต.อ.ทวี  สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม พร้อมด้วย พล.อ.วิชาญ  สุขสง ที่ปรึกษา รมว.ยธ.,นายสรยุทธ เพ็ชรตระกูล ที่ปรึกษา รมว.ยธ., นายนิยม เติมศรีสุข ผู้ช่วย รมว.ยธ. ,นายนิรัตน์  พงษ์สิทธิถาวร ผวจ.เชียงใหม่, พล.ต.ท.ภาณุรัตน์  หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร.รรท.เลขาธิการ ป.ป.ส., นายอภิกิต ฉ.โรจน์ประเสริฐ ผอ.ป.ป.ส., พล.ต.ต.กฤตธาพล  ยี่สาคร รรท.ผบช.ภ.5 ,พล.ท.นฤทธิ์  ถาวรวงษ์  มทน.3/ผอ.ศอ.ปส.ชน., พล.ท.เสนีย์  ศรีหิรัญ  ผทค.พิเศษ ทบ.,พล.ต.ต.ไพศาล ลือสมบูรณ์  รรท.รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.พิเชษฐ จีระนันตสิน รองผบช.ภ.5 ,พล.ต.ต.วีรชน  บุญทวี รอง ผบช.ภ.5, พล.ต.ต.นพดล  กรึงไกร รอง ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.พรพิทักษ์ รู้ยืนยง รรท.รอง ผบช.ภ.5 , พล.ต.ต.ดุลเดชา  อาชวะสมิตระกูล รรท.รอง ผบช.ภ.5 ,พล.ต.ต.ธวัชชัย  พงษ์วิวัฒนชัย ผบก.ภ.จว.เชียงใหม่,พล.ต.ต.วรพงศ์  คำลือ ผบก.สส.ภ.5 , พ.อ.อัศพงษ์ นิลพันธ์ เสธ.ศอ.ปส.ชน.,พ.อ.กิดากร จันทรา รอง ผบ.กกล.ผาเมือง ,พ.อ.เกียรติอุดม นาดี รอง เสธ.กกล.ผาเมือง  และผู้ที่เกี่ยวข้องร่วมแถลงข่าวการจับกุมผู้ต้องหา 2 คนพร้อมของกลางยาบ้า 5 ล้านเม็ด ณ อาคารกองบังคับการสืบสวนสอบสวนตำรวจภูธรภาค 5 จ.เชียงใหม่ 

พฤติการณ์ของคดีดังนี้ ก่อนเกิดเหตุ พล.ต.ต.วรพงศ์ คำลือ ผบก.สส.ภ.5 ได้บูรณาการประสานการปฏิบัติด้านข้อมูลข่าวสารยาเสพติดกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในพื้นที่ จนทราบว่าจะมีกลุ่มขบวนการลับลอบค้ายาเสพติดทำการลักลอบขนลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่แนวชายแดนไปส่งให้กับกลุ่มขบวนการลักลอบค้ายาเสพติดในพื้นที่ตอนในของประเทศ จึงสั่งการให้ประสานกำลังเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนออกทำการสืบสวนติดตามจับกุม ต่อมาเจ้าหน้าที่ได้ตรวจกลุ่มขบวนดังกล่าว ใช้รถยนต์กระบะ ทะเบียน ยค 8*** เชียงใหม่ ในการขนลำเลียงยาเสพติด และใช้รถยนต์กระบะทะเบียน ผอ 4*** เชียงใหม่ ในการนำทางตรวจสอบความปลอดภัยในเส้นทางลำเลียงยาเสพติด จึงได้ประสานกับศูนย์ควบคุมและสั่งการการสกัดกั้นการลำเลียงยาเสพติด ตำรวจภูธรภาค 5 ตรวจสอบและวิเคราะห์เส้นทาง พร้อมทั้งดำเนินการประสานการปฏิบัติกับหน่วยงานต่าง ๆ ในพื้นที่เข้าร่วมดำเนินการตรวจสอบข้อมูลในส่วนที่เกี่ยวข้อง จนกระทั่งวันที่ 31 ตุลาคม 2566 พบรถยนต์กระบะ ทะเบียน ยค 8*** เชียงใหม่ ขับผ่านในพื้นที่ อ.แม่ฟ้าหลวง - อ.แม่จัน จว.เชียงราย - อ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ จึงได้รายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบตามลำดับชั้น 

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม กล่าวว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ได้ประกาศให้การแก้ไขปัญหายาเสพติดเป็นวาระแห่งชาติ  โดยตั้งเป้ากวาดล้างยาเสดติดให้ลดน้อยลงและหมดไป ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของเปลี่ยนผู้เสพเป็นผู้ป่วย รักษา ดูแล และส่งคืนเขากลับสู่อ้อมกอดของครอบครัว รวมไปถึงการป้องกันไม่ให้ประชาชนเข้าไปเสพ จนถึงการตรวจยึดยาเสพติดและยึดทรัพย์  ซึ่งหากทุกฝ่ายร่วมมือร่วมใจกันจะเป็นจุดเริ่มต้นในการขจัดปัญหานี้ออกไปจากสังคมไทย  

พร้อมย้ำทุกหน่วยงานต้องร่วมมือบูรณาการแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างจริงจัง  ซึ่งเป็นเป้าหมายใหญ่และท้าทายอย่างมาก  หากทำได้สำเร็จจะสามารถลดความเดือดร้อนของประชาชนได้  เช่นเดียวกับการจับกุมผู้ต้องหาคดียาเสพติดในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ในครั้งนี้ ที่มีของกลางยาบ้ากว่า 5 ล้านเม็ด  ซึ่งหากปล่อยให้หลุดรอดไปได้  จะส่งผลเสียหายกระทบตามมาเป็นวงกว้างอย่างแน่นอน  จึงขอชื่นชมทุกภาคส่วนที่ได้ร่วมกันสกัดจับเครือข่ายครั้งนี้ได้

ด้าน พลตำรวจตรี กฤตธาพล ยี่สาคร รักษาราชการแทนผู้บัญชาการตำรวจภูธร ภาค 5 เปิดเผยถึงการจับกุมในคดีนี้ ว่า ต่อมาเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2566 พบว่ารถยนต์คันดังกล่าว ขับผ่านพื้นที่ อ.ไชยปราการ, อ.เชียงดาว จว.เชียงใหม่ โดยมีรถยนต์กระบะ ทะเบียน ผอ 4*** เชียงใหม่ ขับขี่ในลักษณะนำหน้ามาโดยตลอด โดยรถยนต์ทั้ง 2 คัน มุ่งหน้าเข้าสู่  อ.แม่แตง จว.เชียงใหม่ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้ออกทำการตรวจสอบตามเส้นทางที่คาดว่ารถยนต์ทั้ง 2 คันจะขับผ่าน จนกระทั่งเวลา 04.30 น. ของวันเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจชุดจับกุมพบรถยนต์กระบะ หมายเลขทะเบียน ยค 8*** เชียงใหม่ จอดอยู่บริเวณถนนเลียบลำน้ำปิง ใต้สะพานเฉลิมพระเกียรติ ถนนป่าตัน ต.ป่าตัน อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ โดยในกระบะหลังมีลักษณะเป็นโครงเหล็กเสริมและใช้ผ้าใบคลุม ซึ่งเป็นรถยนต์ที่ได้รับแจ้งว่ามีการลำเลียงยาเสพติด เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้เรียกให้หยุดรถและได้แสดงตัวว่าเป็นเจ้าหน้าที่ 

และได้ทำการตรวจสอบรถยนต์กระบะคันดังกล่าว พบนายณัฐพล สงวนนามสกุล ภูมิลำเนา อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ เป็นผู้ขับขี่ เจ้าหน้าที่ชุดจับกุมจึงได้สอบถาม  นายณัฐพลฯ โดย นายณัฐพลฯ ได้ให้การยอมรับว่า ตนได้ลำเลียงยาเสพติดจริง จากนั้นจึงได้ขอทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นพบ ยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) รวมจำนวนประมาณ 5,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณหลัง รถยนต์กระบะ และในเวลาต่อมาไม่นาน ได้พบรถยนต์กระบะ ทะเบียน ผอ 4*** เชียงใหม่ ขับเข้ามายังจุดเกิดเหตุ ซึ่งเป็นรถนำสำรวจเส้นทางในการลำเลียงยาเสพติด 

จึงได้เรียกให้หยุดรถ และได้แสดงตนเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อขอทำการตรวจค้น พบในรถยนต์กระบะคันดังกล่าวมี นายธนภัทร สงวนนามสกุล ภูมิลำเนา อ.เมืองเชียงใหม่ จว.เชียงใหม่ เป็นผู้ขับขี่ และนายประสิทธิ์ สงวนนามสกุล ภูมิลำเนา อ.ฝาง จว.เชียงใหม่ เป็นผู้โดยสารมาด้วย เจ้าหน้าที่จึงได้ขอทำการตรวจค้นตัว  ผลปรากฏไม่พบสิ่งของผิดกฎหมายแต่อย่างใด โดยทั้งสองได้ให้การยอมรับสารภาพว่า ทั้งสองเป็นผู้ขับขี่รถยนต์นำทางให้กับนายณัฐพลฯเพื่อตรวจสอบความปลอดภัยในเส้นทาง จากนั้นจึงได้นำตัวผู้ต้องหาพร้อมของกลางทั้งหมดนำส่งพงส.สภ.ช้างเผือก เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ขณะที่ พลตำรวจโท ภาณุรัตน์ หลักบุญ ผู้ช่วย ผบ.ตร. รักษาราชการแทน เลขาธิการ ป.ป.ส. กล่าวว่า สำนักงาน ป.ป.ส. ได้กำหนด Kick Off การแก้ไขปัญหายาเสพติดตามนโยบายของรัฐบาล 2 เรื่อง ประกอบด้วย การพิจารณาใช้อำนาจของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ตามประมวลกฎหมายยาเสพติด มาตรา 5 (10) ในการกำหนดพื้นที่พิเศษ และโครงสร้างเฉพาะ เพื่อดำเนินการในพื้นที่ที่มีปัญหาการนำเข้ายาเสพติดรุนแรง ใน 15 อำเภอ ของ 3 จังหวัด ประกอบด้วย เชียงใหม่ เชียงราย และนครพนม

โดยเฉพาะในพื้นที่ชายแดนภาคเหนือที่ จ.เชียงราย และ จ.เชียงใหม่ ซึ่งคิดเป็น 57 เปอร์เซ็นต์ ของการนำเข้าทั้งหมดในห้วงปี 2565 ที่ผ่านมา  ซึ่งหากเราสามารถสร้างแนวทางสกัดกั้นที่เข้มแข็งตรงจุดเหล่านี้ได้ จะช่วยลดปริมาณยาเสพติดที่นำเข้าสู่ประเทศไทยได้จำนวนมาก  ขณะเดียวกันจะต้องดำเนินการควบคู่ไปกับโครงการ Quick Win ในการนำผู้ป่วยจิตเวชที่ได้รับการสำรวจกว่า 32,000 คน เข้ารับการบำบัดรักษา เพื่อสร้างความปลอดภัยให้ชุมชน และขอฝากประชาชนทุกคนร่วมกันเป็นหูเป็นตา ดูแลครอบครัว คนใกล้ชิด ชุมชน หากพบเห็นเบาะแสยาเสพติดสามารถแจ้งได้ที่ สายด่วน ป.ป.ส. 1386

ตำรวจ ปส. โค่น 3 เครือข่ายยาเสพติดรายใหญ่ ยึดยาบ้ารวมกว่า 12 ล้านเม็ด ซุกรถเตรียมลำเลียงส่งลูกค้าในพื้นที่ภาคกลางและใต้ พร้อมยึดทรัพย์กว่า 9 ล้าน

ตามนโยบายการแก้ปัญหายาเสพติดอย่างเร่งด่วนของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี มีเจตนารมณ์ที่จะลดความรุนแรงของปัญหายาเสพติด ไม่ให้ส่งผลกระทบต่อการดำรงชีวิต ความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สิน เร่งรัดดำเนินการปราบปรามผู้มีอิทธิพลและยาเสพติด โดยใช้มาตรการปราบปรามทางกฎหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งการยึดอายัดทรัพย์สินเพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติด ซึ่ง พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. ได้กำหนดเป็นนโยบายสำคัญมุ่งเน้นแก้ไขปัญหายาเสพติดในทุกมิติทั้งการปราบปรามผู้ผลิตและผู้ค้ายาเสพติด โดยใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างจริงจังและเด็ดขาด เป็นไปตามการขับเคลื่อนการทำงานของ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์  รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. พร้อมด้วย พล.ต.ท.สำราญ นวลมา ผู้ช่วย ผบ.ตร./รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. 

วันนี้ 9 พ.ย.66 เวลา 10.00 น. พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย รรท.ผบช.ปส. เป็นประธานแถลงผลการปราบปรามเครือข่ายยาเสพติด พร้อมด้วย พล.ต.ต.สมเกียรติ วัฒนพรมงคล, พล.ต.ต.สมบูรณ์ เทียนขาว, พล.ต.ต.ออมสิน ตรารุ่งเรือง, พล.ต.ต.พลัฎฐ์ วิเศษสิงห์ รรท.รอง ผบช.ปส., พล.ต.ต. พรศักดิ์ สุรสิทธิ์ ผบก.ปส.4, พล.ต.ต. ธนรัชน์ สอนกล้า ผบก.ปส.2,พ.ต.อ.อดิศ  เจริญสวัสดิ์ รรท.ผบก.ปส.3, พ.ต.อ.วิทัศน์ บริรักษ์ รรท.ผบก.สกส. และ พ.ต.อ. อิทธิพล จันทร์ศรีบุตร รรท.ผบก.ขส. ซึ่ง พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ระบุว่า กองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด เดินหน้าปราบปรามเครือข่ายยาเสพติดทุกเครือข่ายที่ยังมีความเคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทั้งการสืบสวนขยายผล พร้อมทั้งใช้มาตรการยึดทรัพย์เป็นเครื่องมือ เพื่อตัดวงจรการค้ายาเสพติดของเครือข่าย ขณะเดียวกันก็ได้ขับเคลื่อนงานป้องกันอาชญากรรมควบคู่ไปด้วย ล่าสุด ตำรวจ ปส. สามารถตรวจยึดยาบ้าได้ 11,540,000, เม็ด และยึดทรัพย์สินไว้เพื่อตรวจสอบมูลค่า 8,690,000 บาท    

คดีแรก สืบเนื่องมาจากการจับกุมนายวิฑูรณ์ พร้อมพวก 5 คน พร้อมไอซ์ 200 กิโลกรัม ในพื้นที่ อ.สองพี่น้อง จว.สุพรรณบุรี เมื่อวันที่ 10 ก.พ.66 ที่ผ่านมา ของ ตำรวจ บก.สกส. ร่วมกับ บก.ขส. ก่อนจะขยายผล และพบว่ายังมีเครือข่ายของนายวิฑูรณ์ เคลื่อนไหวอยู่ใน จว.สระบุรี มีพฤติการณ์ลักลอบลำเลียงยาเสพติดจากพื้นที่ทางภาคเหนือ เพื่อนำไปส่งมอบให้กับลูกค้าในพื้นที่ภาคกลาง และใกล้เคียง เจ้าหน้าที่จึงเฝ้าติดตามกระทั่งช่วงบ่ายของวันที่ 3 พ.ย.ที่ผ่านมา สามารถจับกุม นายอาทิตย์, นายณคฤตห์, นายจักรพรรณ, น.ส.ทวีวรรณ,น.ส.ศุภมาสและน.ส.ปรารถนา ได้ที่บริเวณบ้านเลขที่ 12 ม.9 ต.ป่าสัก อ.เชียงแสน จว.เชียงราย พร้อมยาบ้า 7,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในห้องโดยสารและท้ายกระบะ หมายเลขทะเบียน 1ขษ 44XX กทม. จากนั้นได้ควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 7 ราย เข้าตรวจค้นบ้านพักจำนวน 7 จุด เบื้องต้นตรวจยึดรถยนต์ 3 คัน, อาวุธปืน GLOCK 2 กระบอก และอื่น ๆ ไว้ตรวจสอบมูลค่ากว่า 8,690,000 บาท  

คดีที่ 2 ตำรวจ ปส.2 ร่วมกับ ตำรวจทางหลวง ได้ทำการสืบสวนขยายผลหลังจับกุมขบวนการค้ายาเสพติด  และทราบว่าจะมีการลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบน ไปส่งลูกค้าในเขตพื้นที่ตอนใน โดยใช้รถยนต์หมายเลขทะเบียน Xกฒ 40XX กทม. และ หมายเลขทะเบียน กต 64XX ราชบุรี ลำเลียงยาเสพติด เจ้าหน้าที่จึงสืบสวนและเฝ้าติดตาม กระทั่งกลางดึกของวันที่ 4 พ.ย.66 พบรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคัน ในเขตพื้นที่ จว.สกลนคร ขับตามกันมุ่งหน้า จว.อุดรธานี ต่อเนื่อง จว.ขอนแก่น เมื่อรถยนต์เป้าหมายทั้งสองคันขับขี่เข้ามาพื้นที่ อ.เมือง จว.ขอนแก่น ตำรวจจึงแสดงตัวเพื่อเข้าทำการตรวจสอบ แต่รถเป้าหมายได้อาศัยความชำนาญพื้นที่ขับหลบหนี ชุดจับกุมจึงประสานตำรวจทางหลวงตั้งจุดตรวจจุดสกัดในเขตพื้นที่และข้างเคียง กระทั่งเวลา 03.15 น. ของวันที่ 5 พ.ย.66   ตำรวจทางหลวง 2 กก.4 แจ้งว่าพบว่าพบรถเป้าหมายบริเวณริมทางหลวงหมายเลข 229 ต.กุดเค้า อ.มัญจาคีรี จว.ขอนแก่น จึงนำกำลังเข้าตรวจสอบพบ นายธนัตชัย เป็นผู้ขับขี่ ตรวจค้นภายในรถพบยาบ้า 2,540,000 เม็ด ส่วนรถยนต์อีก 1 คัน ถูกจอดทิ้งอยู่บริเวณข้างคลองน้ำบ้านหัวสระ ต.ดอนช้าง อ.เมือง จว.ขอนแก่น ในสภาพยางล้อหลังซ้ายแตก ตรวจสอบไม่พบบุคคลหรือสิ่งของที่ผิดกฎหมายแต่อย่างใด 

คดีที่ 3 ตำรวจ ปส. 4 ทำการสืบสวนเครือข่ายรับจ้างลำเลียงยาเสพติดลงสู่พื้นที่ภาคใต้ พบมีการติดต่อกัน ผ่านแอปพลิเคชัน Line ต่อมาทราบว่าไปรับยาเสพติดในพื้นที่ อ.พระพุทธบาท จว.สระบุรี มาพักไว้ในพื้นที่ อ.บางปู จว.สมุทรปราการ เพื่อเตรียมส่งต่อไปยังภาคใต้ในพื้นที่ จว.พังงา และ จว.ภูเก็ต กระทั่งวันที่ 6 พ.ย.66 พบความเคลื่อนไหวของเครือข่ายขณะขับรถมุ่งหน้าพื้นที่ภาคใต้ โดยใช้เส้นทางรอง เพื่อเลี่ยงด่านตรวจยานพาหนะชุมพร ชุดจับกุมจึงเฝ้าสะกดรอยติดตาม พบว่ามีรถยนต์หมายเลขทะเบียน ฒย 8xxx กทม. และ หมายเลขทะเบียน 1 ฒศ 5xxx กทม. เป็นรถนำ และรถกระบะตู้ทึบ หมายเลขทะเบียน ยข 4xxx ชลบุรี ซึ่งเป็นรถที่ซุกซ่อนยาเสพติด โดยใช้เส้นทางหลวงหมายเลข 41 จนมาถึง อ.ตะกั่วทุ่ง จว.พังงา ก่อนจะเข้าพักที่รีสอร์ตแห่งหนึ่ง เจ้าหน้าที่จึงแสดงตัวจับกุมผู้ต้องหาทั้งหมด 6 ราย และตรวจสอบพบยาบ้า 2,000,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่ภายในรถกระบะตู้ทึบ จากนี้ ตำรวจ ปส. จะสอบสวนขยายผลเพื่อติดตามออกหมายจับบุคคล ในเครือข่ายและยึดทรัพย์สินตามประมวลกฎหมายยาเสพติด พ.ศ.2564 ต่อไป  

สำหรับเดือน ตุลาคม 2566 ตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) ได้จับกุมขบวนการค้ายาเสพติด รายสำคัญ 15 คดี ผู้ต้องหา 22 คน ของกลาง ยาบ้า 21,836,340 ล้านเม็ด, ไอซ์ 748.52 กก. เฮโรอีน 15.17 กก., และตรวจยึดทรัพย์ ไว้ตรวจสอบมูลค่าประมาณ 103,854,167 ล้านบาท 

‘นายกฯ’ เปิดยุทธศาสคร์ 5 เสาหลัก-5 กลยุทธ์ แก้ปัญหายาเสพติด พร้อมชู ‘หนองบัวลำภูโมเดล’ ป้องกันการเกิดเหตุสลดซ้ำรอยเดิม

(3 ธ.ค. 66) ณ ที่สนามหน้าที่ว่าการอำเภอสุวรรณคูหา จังหวัดหนองบัวลำภู นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่ากระทรวงการคลัง พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรี ทุกกระทรวง เดินทางตรวจติดตาม ผลการปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ตามนโยบายรัฐบาล ประจำปี 2566 ซึ่งเป็นภารกิจแรก ตามโครงการ ครม.สัญจร ครั้งที่ 1 พื้นที่จังหวัดหนองบัวลำภู โดยมี นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข, นายไชยา พรหมา รมช.กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พร้อมด้วยคณะรัฐมนตรีทุกกระทรวง ร่วมงาน ทั้งนี้ มีผู้ว่าราชการจังหวัดหนองบัวลำภู นายอำเภอ ผู้บริหารองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน  เจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน และประชาชนกว่า 8,000 คนให้การต้อนรับ

โดยพอถึงพื้นที่ นายกรัฐมนตรีและคณะได้สักการะศาลหลักเมืองพระไชยเชษฐาธิราช เยี่ยมผู้ป่วยจิตเวช และให้กำลังใจ แพทย์ พยาบาล เจ้าหน้าที่ โรงพยาบาล มินิธัญญรักษ์ จากนั้นบวงสรวงอนุสาวรีย์ ทสปช. ให้โอวาทเจ้าหน้าที่ ชุดรักษาความปลอดภัยหมู่บ้าน และเยี่ยมชมบูธผลการดำเนินการป้องกันปัญหายาเสพติด

สำหรับจุดต้อนรับ ครม.สัญจร ซึ่งจะมีการนำเสนอผลการปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติดดังกล่าว สืบเนื่องจากต้นเดือน ต.ค. 2565 ได้เกิดเหตุโศกนาฏกรรม ตำรวจคลั่งใช้อาวุธปืน และมีด ทำร้ายร่างกายเด็กอนุบาล ครูพี่เลี้ยง และชาวบ้าน เสียชีวิตและบาดเจ็บหลายราย โดยสาเหตุจากยาเสพติด

เหตุการณ์ดังกล่าว จึงเป็นกรณีศึกษา และเป็นที่มาให้ทุกภาคส่วน ดำเนินการทุกวิถีทาง เพื่อสู่การเป็นจังหวัดสีขาวปลอดยาเสพติดอย่างยั่งยืน ทั้งนี้จากการร่วมมือ ร่วมใจของภาคีเครือข่าย ในพื้นที่ ต.หนองบัวลำภู จนกระทั่งประสบความสำเร็จเป็นรูปธรรม และได้รับรางวัลเลิศรัฐ ประจำปี 2566 และต่อมาได้รับการคัดเลือกเป็นสถานที่ต้อนรับ ครม.สัญจร ครั้งทึ่ 1 ภายใต้คอนเซ็ปต์ 3 ก. แก้ปัญหาความยากจน แก้ปัญหายาเสพติด และแก้ปัญหาสารพิษ ‘หนองบัวลำภูโมเดล’ ในครั้งนี้

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และ รมว.กระทรวงการคลัง กล่าวว่า แนวทางการปฏิบัติการป้องกัน ปราบปราม และแก้ไขปัญหายาเสพติด ในส่วนของ จ.หนองบัวลำภู ที่ประสบผลสำเร็จ สู่การเป็นหนองบัวลำภูโมเดล โดย ศอ.ปส.แห่งชาติ ได้กำหนดให้ จ.หนองบัวลำภู เป็นต้นแบบจังหวัดสีขาวปลอดยาเสพติด จัดการยาเสพติดแบบครบวงจรนั้น จากการรายงานทราบว่า ความสำเร็จเกิดจากผลการดำเนินการตามยุทธศาสตร์ 5 เสาหลัก และ 5 กลยุทธ์

นายเศรษฐากล่าวอีกว่า สำหรับเสาหลักที่ 1 คือ ยึดหลักปฏิบัติหลักการพัฒนายั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง เสาหลักที่ 2 ต้องสร้างทีมงานที่ดีทุกระดับชั้น เสาหลักที่ 3 จัดตั้งชุดปฏิบัติการ ‘คุ้ม’ เสาหลักที่ 4 มีการบันทึกข้อมูลส่วนบุคลผู้เสพ ผู้ป่วยจิตเวช เพื่อหาแรงจูงใจทำให้ผู้เสพเลิกยาเสพติดอย่างถาวร และเสาหลักที่ 5 มาตรการชุมชนมีส่วนร่วม หรือชุมชนบำบัด

นายเศรษฐากล่าวเพิ่มเติมว่า นอกจากจะใช้ยุทธศาสตร์ 5 เสาหลักแล้ว ยังใช้มาตรการ 5 กลยุทธ์ คือกลยุทธ์ที่ 1 ต้องใช้ ‘ใจ’ นำการทุ่มเทปฏิบัติงาน กลยุทธ์ที่ 2 ต้องใช้หลัก ‘เมตตากรุณา’ ต่อผู้ป่วยจิตเวช ผู้เสพ ผู้ติดยาเสพติดและครอบครัว กลยุทธ์ที่ 3 ‘แยกปลาออกจากน้ำ’ เน้นแก้ไขปัญหาผู้ป่วยจิตเวช ที่มีอาการอาละวาดรุนแรงทำร้ายตนเอง และบุคคลใกล้ตัว กลยุทธ์ที่ 4 เน้น ‘Work Hard & Work & Smart’ และกลยุทธ์ที่ 5 การปฏิบัติต้องมุ่ง งานสำเร็จ มิใช่แค่งานสำเร็จ ทั้งนี้ ขอชื่นทุกภาคส่วน ในจ.หนองบัวลำภู ที่ร่วมด้วยช่วยกันป้องกันและแก้ไขปัญหายาเสพติดในพื้นที่ และเป็นต้นแบบจังหวัดสีขาว ปลอดยาเสพติด ‘หนองบัวลำภูโมเดล’ ดังกล่าว

ด้านนายไชยา พรหมา รมช.เกษตรและสหกรณ์กล่าวว่า ยุทธศาสตร์ 5 เสาหลักและ 5 กลยุทธ์ดังกล่าว ถือเป็นกุญแจดอกสำคัญ ในการไขคำตอบแก้ไขปัญหายาเสพติดอย่างยั่งยืน ตามนโยบายของรัฐบาล อย่างไรก็ตาม ยังต้องมีการเฝ้าระวัง เข้มงวดกวดขัน ควบคู่กับการบำบัดฟื้นฟู ส่งเสริมสร้างอาชีพ เป็นคนดีสู่สังคม และไม่ย้อนกลับไปมีพฤติกรรมยุ่งเกี่ยวกับยาเสพติดอีก

โดยในส่วนของการบำบัดฟื้นฟูนั้น ได้ดำเนินการจัดตั้งมินิธัญญารักษ์ ที่ รพ.สุวรรณคูหา มีการคัดกรองผู้เสพผู้ติดยา ผู้มีอาการทางจิต ขยายศูนย์คัดกรองครอบคลุมทั้ง 6 โรงพยาบาล 83 รพ.สต. จัดตั้งและขยายศูนย์ฟื้นฟูสภาพทางสังคมครอบคลุม 68 อปท. และโครงการชุมชนยั่งยืนเพื่อแก้ไขปัญหายาเสพติดตามยุทธศาสตร์ชาติ 2566 ทั้งนี้มีผู้ร่วมโครงการ 2,126 ราย

‘นายกฯ’ ถก ‘ผบ.ทสส.’ เร่งแก้ปัญหาชายแดนใต้-ปราบยาเสพติด หนุนลดช่องว่างทหารและประชาชน เป็นที่พึ่งพิงได้ทุกสถานการณ์

(5 ธ.ค. 66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ ได้เดินทางเข้าทำเนียบรัฐบาล โดยได้เรียก พล.อ.ทรงวิทย์ หนุนภักดี ผู้บัญชาการทหารสูงสุด (ผบ.ทสส.) เข้าหารือที่ตึกไทยคู่ฟ้า โดยใช้เวลาหารือประมาณ 20 นาที

นายเศรษฐา ให้สัมภาษณ์ภายหลังการหารือว่า โดยปกติตนจะพบปะกับ ผบ.ทสส.เป็นประจำอยู่แล้ว โดยวันนี้เป็นเรื่องรับทราบข้อมูลแนวทางการแก้ไขปัญหาชายแดนภาคใต้ แนวทางการทำงานกับรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงของมาเลเซีย รวมถึงปัญหายาเสพติดที่จะทะลักเข้ามาจากพม่า ซึ่งเป็นประเด็นที่ต้องเฝ้าระวัง โดยทางทหารจะทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ เพื่อปราบปรามยาเสพติดและสกัดการนำเข้าอย่างจริงจัง นอกจากนี้ ยังมีปัญหาเรื่องการเผาป่าในพื้นที่ภาคเหนือ ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญ ต้องพึ่งฝ่ายความมั่นคงค่อนข้างมาก

“อีกเรื่องที่คุยกันในภาพรวม คือผมอยากให้ทหารมาช่วยเหลือประชาชน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องปัญหายาเสพติด ปัญหาสิ่งแวดล้อม เรื่องที่ดินทำกิน ช่วยดูแลปัญหาน้ำไม่ให้ท่วม ไม่ให้แล้ง รวมทั้งดูแลทุกข์สุขของพี่น้องประชาชน นอกเหนือจากเรื่องความมั่นคงที่ท่านดูแลอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยลดช่องว่างระหว่างทหารกับประชาชนได้อีกทางหนึ่งด้วย” นายเศรษฐา กล่าว

จากนั้นนายกฯ ได้เดินทางออกจากทำเนียบรัฐบาล เพื่อไปเป็นประธานในพิธีวางพานพุ่มดอกไม้ถวายราชสักการะเนื่องในวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร ที่อุทยานเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร เขตดุสิต กรุงเทพฯ

ลูกชาย ‘โจ ไบเดน’ โดนข้อหาเพียบ ‘เลี่ยงภาษี-พัวพันยาเสพติด’ เสี่ยงโทษหนักจำคุก 17 ปี ทำตำแหน่งประธานาธิบดีพ่อสั่นคลอน

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค. 66 ‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ บุตรชายหัวแก้วหัวแหวนของประธานาธิบดี ‘โจ ไบเดน’ แห่งสหรัฐฯ ถูกกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ แจ้งข้อหาหลบเลี่ยงไม่จ่ายภาษีเป็นเงิน 1.4 ล้านดอลลาร์ ท่ามกลางวีรกรรมอื้อฉาวมากมายของเจ้าตัว ทั้งการใช้ชีวิตหรูหราฟุ้งเฟ้อ มั่วโสเภณี ซื้อปืนผิดกฎหมาย และพัวพันยาเสพติด

‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ วัย 53 ปี ถูกแจ้งความผิดอาญาร้ายแรง 3 กระทง และความผิดลหุโทษอีก 6 กระทงที่เกี่ยวข้องกับการเลี่ยงภาษี ตามข้อมูลจากเอกสารคำฟ้องที่ยื่นต่อศาลแขวงกลาง รัฐแคลิฟอร์เนีย

ฮันเตอร์ อาจต้องโทษจำคุกถึง 17 ปี หากศาลพิพากษาว่ามีความผิดจริง ขณะที่กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ระบุว่า กระบวนการสอบสวนความผิดของเขายังคงดำเนินอยู่

“จำเลยไม่ได้จ่ายภาษีเป็นเงินอย่างน้อย 1.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ตามการประเมินภาษีด้วยตนเอง (self-assessed federal taxes) ตลอดระยะเวลา 4 ปี ในช่วงระหว่างปี 2016-2019” เอกสารคำฟ้องระบุ

ในทางกลับกัน ฮันเตอร์ ไบเดน ได้ใช้จ่ายเงินมหาศาลไปกับ ‘ยาเสพติด หน่วยอารักขา และเพื่อนหญิงมากหน้าหลายตา โรงแรมหรูและที่พักสำหรับเช่า รถยนต์ราคาแพง เสื้อผ้า และข้าวของเครื่องใช้ส่วนตัวอื่นๆ’ รวมถึงจ่ายเงินค่าบำบัดยาเสพติดอีกกว่า 70,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ตามข้อมูลในเอกสารคำฟ้อง

ทนายความของ ฮันเตอร์ ไบเดน ยังไม่ให้ได้สัมภาษณ์ในประเด็นนี้ ขณะที่ทำเนียบขาวก็ปฏิเสธที่จะให้ความเห็นใดๆ เช่นกัน

เอกสารคำฟ้องยังเผยด้วยว่า “ฮันเตอร์ ไบเดน ‘มีรายได้มหาศาล’ ระหว่างเป็นสมาชิกบอร์ดบริหารของ ‘Burisma’ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทอุตสาหกรรมในยูเครน รวมถึงกองทุนรวมตราสารทุนของเอกชนจีนอีกแห่งหนึ่ง”

อัยการสหรัฐฯ เผยว่า ระหว่างปี 2016-2020 ฮันเตอร์ ไบเดน มีรายได้เบื้องต้นก่อนหักภาษีมากกว่า 7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ในจำนวนนี้รวมถึงเงินเกือบ 2.3 ล้านดอลลาร์ ที่ได้จากการเป็นบอร์ดบริหารของ Burisma ในช่วงปี 2016-2019

ความเชื่อมโยงระหว่าง ‘ฮันเตอร์ ไบเดน’ กับ ‘Burisma’ กลายเป็นจุดอ่อนที่พรรครีพับลิกันเอามาใช้โจมตี ว่าเขาใช้อำนาจบารมีของ ‘ครอบครัวไบเดน’ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ในต่างแดน

“จำเลยมีหน้าที่ตามกฎหมายที่จะต้องจ่ายภาษีรายได้ทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นรายได้จากการดำรงตำแหน่งในบอร์ดบริหาร Burisma ค่าธรรมเนียมจากการทำข้อตกลงกับกองทุนรวมตราสารทุนของจีน รวมถึงรายได้จากการเป็นทนาย และแหล่งอื่นๆ” เอกสารคำฟ้องระบุ

บุตรชายผู้นำสหรัฐฯ ยังมีรายได้จากการทำงานให้กับบริษัท ‘CEFC Energy Co Ltd.’ ซึ่งเป็นกลุ่มบริษัทด้านพลังงานของจีนอีกด้วย

ในขณะที่รายได้ของเขาเพิ่มขึ้น รายจ่ายของ ฮันเตอร์ ไบเดน ก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัว โดยเอกสารคำฟ้องระบุว่า “เฉพาะในปี 2018 ฮันเตอร์ ใช้จ่ายเงินไปกว่า 1.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงการถอนเงินสดเกือบ 772,000 ดอลลาร์, จ่ายเงินเพื่อปรนเปรอผู้หญิง 383,000 ดอลลาร์ และค่าเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้อื่นๆ อีกประมาณ 151,000 ดอลลาร์”

“จำเลยไม่ได้นำเงินทุนเหล่านี้มาจ่ายภาษีเลยในปี 2018”

เมื่อเดือน ต.ค. ที่ผ่านมา ฮันเตอร์ ไบเดน รับสารภาพต่อศาลรัฐเดลาแวร์ในข้อหาให้การเท็จ เกี่ยวกับการใช้ยาเสพติดขณะที่ซื้อปืนผิดกฎหมาย ซึ่งถือเป็นครั้งแรกที่บุตรของประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในตำแหน่งถูกดำเนินคดีอาญา

'ทวี' ลุยจัดระเบียบ 'กระท่อม-กัญชา' รัฐมนตรียุติธรรม เตรียมวางมาตรการคุมเข้ม 'กระท่อม - กัญชา' แม้ไม่ใช่ยาเสพติดตามกฎหมาย แต่ประขาชนไม่ไว้ใจ ลั่นต้องไม่มีวางขายเกลื่อน

พันตำรวจเอก ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ในประเด็นนโยบายการแก้ไขปัญหายาเสพติด ว่า  นโยบายของรัฐบาล ของกระทรวงยุติธรรม และ ป.ป.ส. ที่ดูแล คือ เราจะแก้ปัญหายาเสพติดให้เห็นผลเป็นรูปธรรม ให้ประชาชนเป็นผู้ประเมินว่าการแก้ปัญหายาเสพติดเราได้ทำอย่างจริงจัง  

1.ปริมาณการค้ายาเสพติดต้องลดลง หมดได้ยิ่งดี 

2.ลดจำนวนผู้เสพ ผู้ใช้ และลดผู้ติดใหม่ 

มันมีเทคนิคที่สำคัญ คือปัจจุบัน ถึงจะแก้ไขตรงนั้นเกือบหมด แค่ปรากฏว่า มีพืชบางชนิด เช่นกระท่อม กับ กัญชา เป็นวาระทางกฎหมาย ในส่วนของกัญชา รัฐมนตรีสาธารณสุขกำลังดำเนินการเรื่องกฎหมาย

ส่วนของกระท่อม ได้คุยเลขาธิการ ป.ป.ส. คงต้องมีมาตรการ ไม่ใช่ให้วางขายเกลื่อน แม้ว่าเราจะจัดการยาเสพติดที่เป็นยาบ้า หรือตัวอื่นๆแล้ว ซึ่งตอนนี้รู้สึกลงลด แต่ความรู้สึกไม่ปลอดภัยในกระท่อม ประชาชนยังเห็นว่าเป็นอันตราย โดยเฉพาะในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้จะต้องมีมาตรการควบคุมที่เข้มขึ้น

เป็นวาระร่วมกันที่จะเอาลูกหลาน เอาคนที่มีคุณภาพกลับเข้ามาสู้สังคม ปัญหายาเสพติดจึงเป็นปัญหาสำคัญเร่งด่วน จึงเป็นวาระ แห่งชาติที่จะต้องเร่งการแก้ไข้ ในพื้นที่ภาคใต้ ไม่ใช่พื้นที่ผลิตยาเสพติด แต่เป็นพื้นที่ของการแพร่ระบาดแล้วก็เป็นทางผ่านของยาอีหรือยาเสพติดที่ไปประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปริมาณ การแพร่ระบาด ตัวเลขที่เราค้นพบค่อนข้างสูง จึงเป็นปัญหา สำคัญที่ต้องมาแก้ไข

ต้องการจัดการนักค้า ซึ่งนักค้ารายสำคัญ ต้องคุยกับเพื่อนข้าราชการว่า ต้องไม่มีข้าราชการเข้าไปเกี่ยวข้องหรือไปส่งเสริม ข้าราชการหมายถึงทุกระดับ รวมถึงเจ้าหน้าที่รัฐ หรือบุคคลที่เข้าไปเกี่ยวข้องทางด้านอิทธิพล ครั้งนี้เราจะใช้มาตราการทางด้านการป้องกัน การดำเนินการ สุดท้ายเราจะติดตามทางการเงิน แล้วเราจะร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะ พื้นที่ชายแดน สงขลา นราธิวาส เขตติดต่อชายแดนทั้งหมด จะเป็นพื้นที่ที่มีการผสมทั้งแพร่ระบาดและการค้ายาเสพติด ต้องดูอย่างเคร่งครัดแล้วคงต้องมีมาตรการจับกุม ดำเนินคดีกับผู้สนับสนุน แม้จะเป็นข้าราชการ หรือทางการเมือง ต้องดำเนินการอย่างตรงไปตรงมา

‘นายกฯ’ ลั่น!! 4 ปี ปัญหายาเสพติดต้องหมดไป เตรียมประกาศเผายาบ้าครั้งใหญ่ 26 ธ.ค.นี้

(13 ธ.ค.66) ที่ห้องแกรนด์บอลรูม โรงแรมอินเตอร์คอนติเนนตัล ถนนเพลินจิต เขตปทุมวัน กรุงเทพฯ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ร่วมงานเสวนาหัวข้อ ‘คนไทยถาม นายกฯ เศรษฐาตอบ’ ในงาน เดลินิวส์ ทอล์ก 2023 (Dailynews Talk 2023) 

เมื่อถามถึงมาตรการปราบปราม ทำไมยาบ้าราคาถูกปราบปรามไม่หมดและหาได้ง่าย และบางพื้นที่ขายเม็ดละ 30 บาท? นายกฯ กล่าวว่า “เป็นคำถามที่เราคาดหวังอยู่แล้วว่าต้องมีมาตลอดเวลาที่ลงพื้นที่เรื่องปัญหายาเสพติดแบ่งเป็น 2 ทาง คือ เรื่องซัพพลาย ที่มาจากประเทศเพื่อนบ้าน เราต้องตัดซัพพลายให้ได้ก่อน โดยทหารและฝ่ายความมั่นคงจะต้องตัดซัพพลายตรงนี้ หลังจากนั้นเมื่อจับและยึดได้ ตามกฎหมายเก่ามีประเด็นว่ากว่าจะเผาได้ใช้เวลานานมาก ต้องมีการพูดคุย จับมาได้ก็มีการย้ายถิ่นฐานการเก็บรักษายาบ้าไปอย่างน้อย 2 - 3 สเต็ป สังคมจึงมีข้อกังขาว่าระหว่างที่มีการย้ายมีการรั่วไหลออกไปอีกหรือไม่ ก็มีการพูดคุยกันว่าต่อไปนี้จับได้พิสูจน์ได้ให้เก็บไว้แล้วเผาทันที...

“โดยในวันที่ 26 ธ.ค.จะมีการประกาศเผายาเสพติดครั้งใหญ่ หลังจากที่เราได้ประกาศไปแล้ว และได้ไปคุยกับประเทศเพื่อนบ้านทั้งประเทศลาวและกัมพูชา ได้มีการพูดคุยกันอย่างซีเรียสว่าทุกคนเห็นพ้องกันว่าต้องขจัดออกไป เราจะมีแผนงานอย่างไรให้ทำไปแล้วเท่าไหร่ ทั้งนี้ ผู้ที่ติดคุก 85% เป็นผู้ที่เกี่ยวข้องกับยาเสพติดทั้งหมด ฉะนั้นเป็นเรื่องที่เราต้องเห็นใจและเราต้องบูรณาการในการที่ผู้เสพ เป็นผู้ป่วยและไม่ใช่คืนเขากลับบ้านจะต้องมีวิธีการที่เราจะจะต้องให้เขามีอาชีพที่เหมาะสมและพูดคุยกับครอบครัวเขาว่าจะดูแลรักษาอย่างไรไม่ให้เขากลับไปเสพใหม่อย่างไร”

เมื่อถามต่อว่า การจัดการกับปัญหายาเสพติดมี KPI ว่าอีก 4 ปีรัฐบาลเศรษฐาจะพลิกโฉมการแก้ปัญหายาบ้าอย่างไร? นายกฯ กล่าวว่า “ที่บอกว่าปัญหาลดไป 50% หรือหมดไปพบว่าความจริงแล้วเรื่องนี้เป็นเรื่องที่เราจะต้องให้เคพีไอว่าภายใน 4 ปีนี้จะต้องหมดไป”

เมื่อถามถึงนโยบายปราบผู้มีอิทธิพลและอาวุธเถื่อนกระบวนการถึงไหนแล้ว? นายกฯ กล่าวว่า “เรื่องอาวุธเถื่อน ตนว่าเรื่องนี้ถ้าไปดูที่ต่างประเทศหลายประเทศ โดยเฉพาะในประเทศสหรัฐอเมริกาเป็นเคสตัวอย่างที่จริง เขามีธุรกิจขายอาวุธปืนหรือผลิตอาวุธปืนเป็นธุรกิจที่ใหญ่มาก หลายรัฐบาลของสหรัฐไม่สามารถจัดการปัญหาอาวุธปืนและการยิงกันได้ เพราะภาคธุรกิจใหญ่กว่า เช่นที่เท็กซัสมีอุตสาหกรรมที่ใหญ่มาก ถ้าใครบอกว่าจะแบนเรื่องการเข้าถึงอาวุธปืนได้ง่าย รับรองว่าคนนั้นไม่ได้เป็นประธานาธิบดี แต่ที่ประเทศไทย ตนมองว่าเป็นปัญหาที่ง่ายมาก เพราะเราไม่อยู่อุตสาหกรรมปืน... 

“ฉะนั้นตรงนี้ก็เป็นวาระหนึ่งที่เรามีการพูดคุยกันว่าให้มีการเข้าถึงอาวุธปืนทั้งเหตุการณ์ที่ พารากอน ซึ่งฝ่ายความมั่นคงก็ได้ออกกฎหมายช่วยจัดการในเรื่องนี้ หลายคนมองว่า นักท่องเที่ยวจีนที่หลายท่านบอกว่าเดินทางเข้ามาในประเทศประเทศไทย เพราะการเข้าถึงอาวุธปืนของเรายังสูงอยู่เราก็ยอมรับเรื่องเหล่านี้และต้องแก้ไข ซึ่งเรื่องของอาวุธเถื่อนเป็นอะไรที่เรายอมรับไม่ได้ต้องไปดูที่กฎหมาย และเรื่องของผู้มีอิทธิพลเป็นเรื่องที่มีมาหลาย 10 ปีแล้ว ซึ่งก็หลายคนก็บอกว่าเรื่องการแก้ไขหนี้นอกระบบ เรื่องยาเสพติดก็มีผู้มีอิทธิพลอยู่เบื้องหลังชัดเจนการที่เราแถลงนโยบายไปแล้ว โดย รมว.มหาดไทย และ รมช.มหาดไทย ประกาศชัดเจนว่าเราไม่ยอมรับของการมีผู้มีอิทธิพล เพราะปัญหาที่เกิดขึ้นที่จังหวัดนครปฐมเราก็มีการบริหารจัดการ เราไม่ยอมรับอยู่แล้ว”

‘ขกท.ทบ.’ ร่วม ‘ตร.ปส.’ บุกรวบแก๊งลอบขนยาจากชายแดน พร้อมยึดยาบ้า 1.1 ล้านเม็ด เร่งขยายผลสืบหาเครือข่ายใหญ่

(17 ธ.ค. 66) หน่วยข่าวกรองทางทหาร กองบัญชาการกองทัพบก (ขกท.ทบ.) บูรณาการร่วมกับ กก.2 บก.ปส.3 บช.ปส. (นปส.เชียงราย) หลังจากได้รับแจ้งจากสายข่าวว่า นายจะแจ จะสึ อายุ 24 ปี อยู่บ้านเลขที่ 314 หมู่ที่ 12 ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ (อาศัยอยู่ที่บ้านในพื้นที่ตำบลห้วยชมพู อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย)  มีพฤติการณ์ ลักลอบลำเลียงยาเสพติด จากพื้นที่ชายแดนด้าน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ เข้ามาเก็บพักไว้พื้นที่ตำบลแม่ยาว อำเภอเมือง จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีการทำกันเป็นขบวนการ และดำเนินการลักลอบลำเลียงยาเสพติดอยู่อย่างต่อเนื่อง จึงดำเนินการสืบสวนเพื่อจับกุมบุคคลในเครือข่าย

โดยเมื่อวันที่ 15 ธ.ค. ที่ผ่านมา เวลาประมาณ 19.30 น. นายจะแจ ได้ขับรถยนต์ ทะเบียน ยต 1928 เชียงใหม่ ออกจากบ้านพัก ในพื้นที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย ลักษณะการขับ ช้าบ้าง เร็วบ้าง และขับวนไป-มาในหมู่บ้าน จนกระทั่งเวลาประมาณ 20.30 น. นายจะแจ ได้ขับรถยนต์ จอดบริเวณบ้านไม่มีเลขที่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย เจ้าหน้าที่จึงร่วมกันเข้าพิสูจน์ทราบ แต่นายจะแจ ไหวตัวทัน และได้ขับหลบหนี ไปทางบ้านกะเหรี่ยงรวมมิตร ต.แม่ยาวฯ เจ้าหน้าที่พยายามติดตามแต่ไม่พบตัว กระทั่งรุ่งเช้าของวันที่ 16 ธ.ค. 66 จึงได้ประสานผู้นำ ท้องถิ่น และเจ้าของ/ผู้ครอบครองบ้านหลังดังกล่าว เพื่อขอเข้าทำการตรวจค้น

จากการตรวจค้นพบของกลาง เป็นยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) จำนวน 4 กระสอบ จำนวนประมาณ 1,118,000 เม็ด ซุกซ่อนอยู่บริเวณบ้านดังกล่าว เจ้าหน้าทราบข่าว จึงได้ทำการตรวจยึด และลงบันทึก จากนั้นได้นำของกลางยาเสพติดดังกล่าว ส่ง พงส.บก.ปส.3 บช.ปส. เพื่อดำเนินการตามกฏหมาย และตืดตามตัวนายจะแจ มาดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ผบช.ปส. ลงพื้นที่ แถลงจับเครือข่ายนักบิน หลังตำรวจเปิดปฏิบัติการปิดล้อมตรวจค้น เพื่อจับกุมเครือข่ายค้ายาเสพติดรายสำคัญ 4 จุด ในพื้นที่บ้านอาดี่ ต.แม่ยาว อ.เมือง จ.เชียงราย

ตามนโยบายการปราบปรามยาเสพติดของ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี เน้นการใช้ทุกมาตรการทางกฎหมายเพื่อทำลายเครือข่ายยาเสพติด และยึดทรัพย์ที่ได้มาจากการค้ายาเสพติด ประกอบกับนโยบายของ พล.ต.อ.ต่อศักดิ์ สุขวิมล ผบ.ตร. และ พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ รอง ผบ.ตร./ผอ.ศอ.ปส.ตร. และ พล.ต.ท.สำราญ นวลมา, พล.ต.ท.นิรันดร เหลื่อมศรี, พล.ต.ท.อัคราเดช พิมลศร ผู้ช่วย ผบ.ตร. ในฐานะ รอง ผอ.ศอ.ปส.ตร. มุ่งเน้นในการเร่งรัดดำเนินการป้องกันปราบปราม ยาเสพติดในทุกมิติ เนื่องจากปัญหายาเสพติดอาชญากรรมที่สร้าง ความเดือดร้อนให้แก่ประชาชนและเป็นภัยสังคม

คดีที่ 2 ต่อมาเมื่อวันที่ 1 ต.ค.66 เวลา 22.00 น. ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ได้ร่วมกันสืบสวนและจับกุม นายสุทธิศักดิ์ฯ กับพวก 4 คน พร้อมของกลางยาเสพติด ไอซ์ จำนวน 591 กก. ซุกซ่อนภายในรถยนต์กระบะ ทะเบียน ผต 64XX เชียงราย ในพื้นที่ อ.เทิง จว.เชียงราย ซึ่งยาเสพติดดังกล่าวถูกลำเลียงจากพื้นที่ชายแดนนำเข้ามาเก็บไว้ในพื้นที่ อ.เชียงของ จว.เชียงราย ก่อนที่จะถูกส่งมอบให้กับเครือข่ายลำเลียง จนถูกตรวจค้นจับกุมดังกล่าว ชุดจับกุมทำการสืบสวนขยายผลถึงผู้สั่งการและบุคคล ในเครือข่ายลำเลียงยาเสพติดดังกล่าวและทำการขออนุมัติหมายจับ จำนวน 2 ราย คือ นายอุดมศักดิ์ฯ พร้อมพวก

คดีที่ 3 เมื่อวันที่ 26 พ.ย.66 บช.ปส. โดย กก.2 บก.ปส.3 และ บก.ขส. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่หน่วยปราบปรามยาเสพติด หน่วยข่าวกรองทางทหาร ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก ได้ร่วมกันสืบสวนติดตามพฤติกรรมเครือข่าย ลำเลียงยาเสพติดจากภาคเหนือ พบว่าจะใช้รถกระบะลักษณะตีคอก ก 13XX (ป้ายแดง) กำแพงเพชร และ รถกระบะอีซูซุ ยX 81XX เชียงใหม่ ลำเลียงยาเสพติดจาก จว.เชียงใหม่ ไปยังพื้นที่ จว.พระนครศรีอยุธยา โดยอำพรางด้วยพืชผลทางการเกษตร เป็นยาบ้า 10 ล้านเม็ด พร้อมผู้ต้องหา 5 คน ต่อมาเจ้าหน้าที่ชุดจับกุมตรวจยึด สามารถสืบสวนขยายผลทราบว่าผู้สั่งการ เครือข่ายลำเลียงยาเสพติดดังกล่าว คือ นายธวัชชัยฯ จึงได้ทำการขออนุมัติหมายจับ เพื่อทำการสืบสวนจับกุมขยายผล

คดีที่ 4 เมื่อวันที่ 16 ธ.ค.66 เวลาประมาณ 14.00 น. ตำรวจ กก.2 บก.ปส.3 ร่วมกันเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารหน่วยปราบปรามยาเสพติด หน่วยข่าวกรองทางทหาร ศูนย์ปฏิบัติการกองทัพบก และ กองกำลังผาเมือง ทำการสืบสวนเครือข่าย นายจะแจฯ ใช้รถยนต์กระบะทะเบียน ยต 19XX เชียงใหม่ ซึ่งลำเลียงยาเสพติดจากชายแดนด้าน อ.แม่อาย จว.เชียงใหม่ เข้ามาพักคอยไว้ในพื้นที่ ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย ได้ทำการตรวจยึด ยาบ้า จำนวน 1,118,000 เม็ด ขณะเตรียมนำส่งมอบให้กับเครือข่ายเพื่อลำเลียงเข้าสู่พื้นที่ตอนใน เจ้าหน้าที่ผู้ตรวจยึดได้รวบรวมพยานหลักฐานส่งดำเนินคดี และขยายผลการจับกุมตรวจยึด และตรวจค้นในพื้นที่พักคอยยาเสพติด ต.แม่ยาว อ.เมืองเชียงราย จว.เชียงราย 

ด้าน พล.ต.ท.คีรีศักดิ์ ตันตินวะชัย ผบช.ปส. กล่าวว่า ภายใต้แผนปฏิบัติการ “กวาดล้างเครือข่ายนักบินกลุ่มลำเลียงยาเสพติดชายแดนภาคเหนือ” มุ่งเป้าเพื่อดำเนินคดีและยึดทรัพย์ผู้สั่งการเครือข่ายยาเสพติดและ  ปิดล้อมตรวจค้นจับกุมขยายผลบุคคลเครือข่ายในพื้นที่พักคอย และดำเนินการสกัดกั้นการลักลอบลำเลียงยาเสพติดในพื้นที่ชายแดนอย่างจริงจัง โดยจะร่วมบูรณาการกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องใช้มาตรการปราบปราม ทางกฎหมาย โดยเฉพาะในพื้นที่เร่งด่วนตามมาตรา 5 (10) ของประมวลกฎหมายยาเสพติด ซึ่งกำหนดสถานะของพื้นที่ชายแดนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน

เพื่อป้องกันและปราบปรามยาเสพติด ในพื้นที่ชายแดน 15 อำเภอ 3 จังหวัด ได้แก่ 6 อำเภอของ จว.เชียงราย, 5 อำเภอของ จว.เชียงใหม่ และ 4 อำเภอของ จว.นครพนม โดยมีเป้าหมายเพื่อลดการลักลอบลำเลียงยาเสพติดเข้ามาภายในประเทศ ตามนโยบายเร่งด่วนของรัฐบาลในการสกัดกั้นตามแนวชายแดน

มุกดาหาร-ตำรวจภูธรภาค 4 ร่วมกับจังหวัดมุกดาหาร แถลงการณ์จับกุม ยาบ้า 1.2 ล้านเม็ด

วันนี้ 21 ธันวาคม 2566 เวลา 10.00 น. จังหวัดมุกดาหาร แถลงการณ์จับกุมยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้า) รายสำคัญ โดย พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 นายวรญาณ บุญณราช ผู้ว่าราชการจังหวัดมุกดาหาร พล.ต.ต.ชัชชัย วงค์สุนะ ผู้บังคับการตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ร่วมแถลงข่าว ณ สภ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร 

พล.ต.ท.สรายุทธ สงวนโภคัย ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 กล่าวว่า ตามนโยบายรัฐบาลและการขับเคลื่อนของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในการสกัดกั้นลำเลียงยาเสพติด ซึ่งในครั้งนี้มีการบูรณาการร่วมกัน ระหว่างตำรวจภูธรภาค 4 ตำรวจภูธรจังหวัดมุกดาหาร โดย สภ.นิคมคำสร้อย ร่วมกับฝ่ายปกครอง ทหาร กอ.รมน. กองกำลังสุรศักดิ์มนตรี ได้ร่วมกันในแผนสกัดกั้นการลำเลียง การนำเข้าเพื่อนำเข้าสู้พื้นที่ตอนใน ในครั้งนี้ สภ.นิคมคำสร้อย ได้ปฏิบัติตามแผนสกัดกั้นยาเสพติดและสามารถสกัดกั้นจับกุมการขนลำเลียงยาเสพติดรายใหญ่ 1.2 ล้านเม็ด ผู้ต้องหา 6 คน ยึดทรัพย์ได้ 1 ล้านบาทเศษ และจะมีการขยายผลสืบทรัพย์และติดตามขยายผลขบวนการค้ายาเสพติดต่อไป

สำหรับการดำเนินการ จับกุมผู้ต้องค้ายาเสพติดรายสำคัญ ในครั้งนี้ เมื่อ 20 ธ.ค.66 เวลา 10.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.นิคมคำสร้อย ได้ทำการตั้งจุดตรวจ/จุดสกัด บริเวณจุดตรวจโชคชัย บ.โชคชัย ต.โชคชัย อ.นิคมคำสร้อย จ.มุกดาหาร ขณะตั้งจุดตรวจได้มีรถยนต์เก๋งยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว ทะเบียน 1 ขภ 5367 กรุงเทพมหานคร ขับขี่ผ่านมาเจ้าหน้าที่จึงได้เรียกทำการตรวจค้น และได้ทำการตรวจปัสสาวะ บุคคลที่อยู่ภายในรถ โดยมีนายยุทธนา (นามสมมุติ) (คนขับ) และมี นายสารัตน์ (นามสมมุติ) นายธนบดี (นามสมมุติ) เป็นผู้นั่งโดยสารมากับรถคนดังกล่าว ลักษณะท่าทางมีพิรุธ จึงได้ทำการเรียกตรวจค้น ขณะที่ทำการตรวจค้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้สังเกต เห็นนายสารัตน์ (นามสมมุติ) คุยโทรศัพท์จึงได้ตรวจสอบโทรศัพท์ พบว่ามีการพูดคุยกันกับนายวริทธิ์ธร (นามสมมุติ) ทางแมสเซนเจอร์ บอกว่าตอนนี้จอดรออยู่หน้าเซเว่นฯ สาขาเลิงนกทา

ซึ่งเป็นรถที่ใช้ขนยาเสพติด (ยาบ้า) เจ้าหน้าที่จึงได้ติดตามไปที่เซเว่นฯ สาขาเลิงนกทา และพบรถยนต์เก๋งยี่ห้อฮอนด้า ซิตี้ สีขาว ทะเบียน กจ 214 นครพนม และพบนายวริทธิ์ธร  เดินออกมาจากเซเว่น  เจ้าหน้าที่จึงได้แสดงตัวเข้าทำการตรวจค้น ผลการตรวจค้นภายในรถยนต์เก๋ง พบห่อพลาสติกสีดำ พันด้วยเทปกาว จำนวน 3 ห่อ สอบถาม นายวริทธิ์ธร  ให้การว่าเป็นกระสอบบรรจุยาบ้า เจ้าหน้าที่จึงได้ทำการตรวจยึดและได้ให้ ตำรวจพิสูจน์หลักฐานเก็บลายนิ้วมือและหลักฐานอื่นๆ และทำการตรวจนับยาเสพติดให้โทษประเภท 1 (ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) จำนวน 3 กระสอบ ตรวจนับได้ประมาณ 1,200,000 เม็ด และสามารถจับผู้ร่วมขบวนการได้อีก 2 คน คือ นายธนาธิป (นามสมมุติ) น.ส.สุกัญญา (นามสมมุติ) โดยกล่าวหาว่า ร่วมกันจำหน่ายยาเสพติดให้โทษประเภท 1(ยาบ้าหรือเมทแอมเฟตามีน) โดยการมีไว้ในความครอบครองเพื่อจำหน่ายโดยไม่ได้รับอนุญาต โดยกระทำการเพื่อการค้าและเป็นการก่อให้เกิดการแพร่กระจายในกลุ่มประชาชน  หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่ได้นำผู้ต้องหา พร้อมยาบ้าและรถยนต์ของกลาง ซึ่งเป็นรถยนต์เก๋ง ยี่ห้อโตโยต้า รุ่นยาริส สีขาว ทะเบียน 1ขภ 5367 กรุงเทพมหานคร  รถยนต์เก๋ง ยี่ห้อฮอนด้า รุ่นซิตี้ สีขาว ทะเบียน กจ 214 นครพนม โทรศัพท์มือถือ จำนวน  6 เครื่อง ทั้งหมด ส่งพนักงานสอบสวน สภ.นิคมคำสร้อย เพื่อดำเนินการตามกฎหมาย และขยายผลจับเครือข่ายยาเสพติดในพื้นที่ต่อไป


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top