Friday, 3 May 2024
มาเลเซีย

'ลุงป้อม' จับมือ 'นายกฯ มาเลย์' ร่วมจบปัญหาภาคใต้ ยกระดับคุณภาพชีวิต ปชช. เชื่อมสัมพันธ์ระหว่างประเทศ

(10 ก.พ. 66) เมื่อเวลา 10.00 น. พล.อ.คงชีพ ตันตระวาณิชย์ โฆษกประจำรองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และคณะ ได้ให้การต้อนรับและหารือร่วมกับ นายอันวาร์ อิบราฮิม นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย และคณะ ณ โรงแรมเชอราตัน

ซึ่งภาพรวมความสัมพันธ์ฉันท์เพื่อนที่แนบแน่นระหว่าง พล.อ.ประวิตร และนายอันวาร์ ส่งผลให้บรรยากาศการพูดคุยเป็นกันเองและมีความจริงใจต่อกัน โดยเฉพาะประเด็นด้านความมั่นคงในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ต่างเห็นพ้องร่วมกัน ให้เกิดความสงบไม่มีความรุนแรงและเปิดพื้นที่พัฒนาร่วมกัน เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนทั้งสองประเทศ ซึ่งจะให้ความสำคัญกับการสร้างความไว้เนื้อเชื่อใจระหว่างกัน โดยมุ่งมิติทางสังคม วัฒนธรรม และชุมชน ควบคู่ไปกับความมั่นคง ซึ่งจะมีการประสานการทำงานร่วมกันอย่างแน่นแฟ้นมากขึ้น ทั้งหน่วยงานความมั่นคงและหน่วยงานด้านการข่าว

'ไทย-มาเลย์' หารือ 'แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขฯ' หวังลดความขัดแย้ง-เพิ่มความสงบสุข ในพื้นที่ชายแดนใต้

(22 ก.พ. 66) คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ นำโดย พล.อ.วัลลภ รักเสนาะ กับคณะผู้แทน BRN นำโดย อุซตาส อานัส อับดุลเราะห์มาน ได้พบหารือและพูดคุยแบบเต็มคณะ ครั้งที่ 6 ณ กรุงกัวลาลัมเปอร์ มาเลเซีย โดยมี พล.อ.ตันศรี ดาโตะซรี ซุลกีฟลี ไซนัล อะบิดิน เป็นผู้อำนวยความสะดวก และมีผู้เชี่ยวชาญร่วมสังเกตการณ์ด้วย

ซึ่งผลการพูดคุยฯ มีความคืบหน้าที่สำคัญในการกำหนดแนวทางการปฏิบัติร่วมกัน และกรอบเวลาที่ชัดเจนในการแก้ไข ความขัดแย้งและนำสันติสุขสู่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประกอบด้วย

1.) คณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฯ และคณะผู้แทน BRN เห็นพ้องที่จะร่วมกันจัดทำ 'แผนปฏิบัติการร่วมเพื่อสร้างสันติสุขแบบองค์รวม' หรือ Joint Comprehensive Plan towards Peace (JCPP) เพื่อเป็นแนวทางขับเคลื่อนการพูดคุย ให้คืบหน้าในรูปแบบที่ครอบคลุมและเป็นองค์รวม อีกทั้ง มีกรอบเวลาที่ชัดเจน ในการปฏิบัติตามเจตนารมณ์ของหลักการทั่วไป ของกระบวนการพูดคุยเพื่อสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ (General Principles of the Peace Dialogue Process) โดย JCPP จะมีเนื้อหาสำคัญ 2 ส่วน คือ การลดความรุนแรงในพื้นที่ และการจัดการปรึกษาหารือกับประชาชน เพื่อนำไปสู่การแสวงหาทางออกทางการเมือง

‘มาเลเซีย’ อ้างร้านอาหารในไทยใส่กัญชาให้ นทท.เสพติด เตือน ‘พลเมือง-นักท่องเที่ยว’ รอบคอบในการเลือกซื้อ

หน่วยงานต่อต้านยาเสพติดของมาเลเซีย แนะนำพลเมืองที่ชื่นชอบเดินทางมาเที่ยวประเทศไทยให้ระมัดระวังมากยิ่งขึ้นในการซื้ออาหารรับประทาน อ้างว่าร้านอาหารในไทยใช้กัญชาเป็นส่วนผสมในการปรุงอาหาร เพื่อให้นักท่องเที่ยวเสพติดอาหารดังกล่าว

รายงานของเว็บไซต์เวิลด์ออฟบัซ ของมาเลเซีย ระบุว่า นับตั้งแต่ไทยได้กลายเป็นประเทศแรกๆ ของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่เห็นชอบให้การใช้กัญชาเป็นเรื่องถูกกฎหมาย บรรดานักท่องเที่ยวจากทั่วทุกมุมโลก ซึ่งในนั้นรวมถึงมาเลเซีย ต่างไหลบ่าไปเยือนประเทศไทย หลังจากมีรายงานว่าร้านค้าและร้านอาหารมากมายในไทยเริ่มขายผลิตภัณฑ์และอาหารต่างๆ ที่มีส่วนผสมของกัญชา 

โดยทางสำนักข่าว Kosmo หนังสือพิมพ์แท็บลอยด์ของมาเลเซีย ได้อ้างความเห็นของสำนักงานต่อต้านยาเสพติดแห่งชาติในรัฐเปอร์ลิส เผยว่า มีอาหารต่างๆ เช่น ต้มยำกุ้ง และซุปต่าง ๆ ในไทยผสมใบกัญชา ในฐานะวัตถุดิบปรุงแต่งรสชาติอาหาร ซึ่งเป็นความพยายามที่จะทำให้นักท่องเที่ยวเสพติดอาหารจานดังกล่าว

ไครูล อันวาร์ อาห์เมด ผู้อำนวยการสำนักงานต่อต้านยาเสพติดแห่งชาติในรัฐเปอร์ลิส กล่าวว่า สำหรับชาวมาเลเซียที่ชื่นชอบเดินทางไปประเทศไทย ขอให้ระมัดระวังมากขึ้นตอนที่ซื้ออาหาร เนื่องจากมีอาหารต่างๆ มากมายที่อาจผสมกัญชา

‘จีน’ ส่งออก ‘ลูกปลาจาระเม็ด’ ล็อตแรก 1 ล้านตัวสู่มาเลเซีย เสริมความมั่นคงด้านการค้าในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

เมื่อวันที่ (6 พ.ค. 66) สำนักข่าวซินหัว, ไห่โข่ว มณฑลไห่หนาน (ไหหลำ) ทางตอนใต้ของจีน เดินเรือขนส่งลูกปลาจาระเม็ดที่เพาะเลี้ยงในไห่หนาน จำนวน 1 ล้านตัว มุ่งหน้าสู่จุดหมายในประเทศมาเลเซีย เมื่อวันศุกร์ (5 พ.ค.) ที่ผ่านมา ซึ่งนับเป็นการส่งออกปลาจาระเม็ดครั้งแรกของไห่หนานในปีนี้

‘หยางกัง’ ผู้ทำงานร่วมกับสถานีตรวจสอบขาเข้า-ขาออกของเมืองซานย่า กล่าวว่า สถานีฯ ให้บริการพิธีการศุลกากรแบบครบวงจรสำหรับการจัดส่งลูกปลานี้ โดยกระบวนการผ่านพิธีการศุลกากรที่รวดเร็วช่วยลดต้นทุนของบรรดาผู้ส่งออก

‘ภาษาอังกฤษ’ เป็นเครื่องมือไว้สำหรับสื่อสาร ไม่ใช่เครื่องวัดความฉลาด

(12 พ.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘สมเกียรติ โอสถสภา’ ได้โพสต์ข้อความมระบุว่า…

บันทึกลับจากเกาะปีนัง 

แวะมาพูดคุยกับพรรคพวกชาวมาเลย์ที่ปีนังได้สามวันแล้วครับ

บรรยากาศสบายๆ ช่วงกลางวันรถไม่ติด แต่ตอนเย็นติดเอาเรื่อง

อาหารหลากหลายเชื้อชาติ มาเล อินเดีย จีน

ค่าใช้จ่ายไม่แพง ส่วนนึงเพราะค่าเงินริงกิตอ่อนลงเยอะ จากเดิม 10 บาทต่อ 1 ริงกิต เดี๋ยวนี้เหลือ 7.5 บาทต่อ 1 ริงกิต

อากาศเมืองที่เป็นเกาะ รับลมทะเลเต็มๆ สดชื่นอยู่แล้วครับ

เดิมปีนังเป็นที่ๆ คนไทยส่งลูกหลานมาเรียน ‘เมืองนอก’

ต่อมาอีกยุค เป็นที่ ๆ หนึ่ง ที่คนไทยมาจับจ่ายซื้อของนำเข้าจากตะวันตก

แต่มาคราวนี้ มีแต่คนปีนังบอกว่าชอบไปเที่ยวเมืองไทย

บางคนขับรถห้าชั่วโมงไปหาดใหญ่ แทบทุกเดือน

บอกว่าติดใจต้มยำกุ้ง 

แต่ดู ๆ แล้วน่าจะมีกิ๊กมากกว่า

คุยไปคุยมา สัมผัสได้ว่า คนมาเลไม่ได้ภูมิใจกับการเคยเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ

คนมาเลสื่อสารภาษาอังกฤษได้ แต่ไม่ได้พูดภาษาอังกฤษคล่องทุกคน แม้ประเทศจะเคยเป็นเมืองขึ้น

ภาษาอังกฤษ ใช้วัดความสามารถในการสื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ

ไม่ได้ใช้วัดความฉลาดของคน 

หลาย ๆ ชาติในอาเซียน แอบแหยงประเทศไทย ที่อยู่เป็นเอกราชมาได้ ตลอดยุคล่าอาณานิคม

เค้าอาจไม่ยอมรับตรงๆ แต่คุยแล้วสัมผัสได้ 

เป็นบันทึก 007 สั้น ๆ จากเกาะปีนัง 

ก่อนจะกลับไปลงคะแนนเลือกตั้งครับ

แต่เที่ยงวันนี้ คงต้องแวะไปร้านชาร์กั๋วเตี๋ยวอีกซักรอบ

เรื่องปากท้องเป็นเรื่องใหญ่เสมอครับ

‘มาเลฯ’ ร้อง ‘ตร.สากล’ ล่าตัว นักแสดงตลกสาวชาวสิงคโปร์ หลังเล่นมุกล้อเลียนโศกนาฏกรรม ‘เที่ยวบิน MH 370’

มาเลเซียจะไม่ทน หลังมีกระแสคลิปไวรัลของ ‘โจเซลิน เจีย’ นักพูดเดี่ยวไมโครโฟนสาวชาวสิงคโปร์ สัญชาติอเมริกัน ที่ได้หยิบยกเอาเหตุโศกนาฏกรรม ‘เที่ยวบิน MH370’ ของสายการบินมาเลเซียแอร์ไลน์ ที่หายสาบสูญในมหาสมุทรอินเดีย ตั้งแต่ปีพ.ศ. 2557 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต 239 คน มาเป็นมุกล้อเลียน เหยียดประเทศมาเลเซียบนเวทีการแสดงสดของเธอ ในคลับแห่งหนึ่งที่มหานครนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา และทำให้คลิปการแสดงของเธอกลายเป็นกระแสไวรัลไปทั่วทั้งช่องทางโซเชียล จนเป็นประเด็นร้อนแรงมากมาย

จนกระทั่งเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. 66 ทางการมาเลเซีย นำโดย คามารุล ซามาน มามัท ผู้บังคับบัญชาสำนักงานตำรวจเมืองยะโฮร์ ได้ยื่นเรื่องประสานงานไปยัง องค์การตำรวจอาชญากรรมระหว่างประเทศ หรือ ‘ตำรวจสากล’ (Interpol) ให้ติดตามจับตัว โจเซลิน เจีย มาดำเนินคดีที่ประเทศมาเลเซีย ในความผิดตามกฎหมายอาญามาตรา 504/505 (c) และมาตรา 233 แห่งพระราชบัญญัติการสื่อสารและมัลติมีเดีย ที่ว่าด้วยเรื่องการพูดจาดูหมิ่น ยุยง ปลุกปั่น ทำลายความสงบเรียบร้อยในสังคม ซึ่งจะมีโทษปรับ และจำคุกสูงสุดถึง 2 ปี
.
‘โจเซลิน เจีย’ มาจากครอบครัวชาวสิงคโปร์ เกิดในเมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ ประเทศสหรัฐอเมริกา แต่เดินทางกลับมาเข้าโรงเรียนมัธยม St Nicholas Girls' School และ National Junior College ในสิงคโปร์ ก่อนกลับไปศึกษาต่อด้านกฎหมายในสหรัฐอเมริกา และทำงานเป็นนักกฎหมายบริษัทนานเกือบ 5 ปี ก่อนโบกมือลาสำนักงานมาเป็นนักพูดมืออาชีพ จนได้เปิดตัวเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากรายการ ‘Gotham Comedy Live’ ของ ‘วิลเลียม แชทเนอร์’ นักแสดงชื่อดัง

ซึ่ง โจเซลิน เจีย เคยชนะรางวัลจากการแข่งขันในงาน ‘Ladies Of Laughter’ และ ยังได้รับรางวัลนักแสดงดาวรุ่ง - สาขาตลกในงาน ‘Asian American Television & Film Festival’ มาแล้ว

แต่หลังจากทราบข่าวการออกหมายจับของทางการมาเลเซีย และยื่นคำร้องถึงตำรวจสากลแล้วในเมื่อวันที่ 14 มิ.ย. ที่ผ่านมา โจเซลิน เจีย กล่าวว่า เป็นเรื่องที่น่าขันสิ้นดี ถ้าตำรวจสากลตามมาจับตัวจริงๆ เธอคงได้ดังไปทั่วโลกสมใจแน่ๆ

เดี่ยวไมโครโฟนสาว ได้กล่าวผ่านสื่อว่า คลิปที่เป็นประเด็น เป็นพียงการแสดงช่วงหนึ่งเท่านั้น ที่ทำให้ผู้ชมในโซเชียลไม่เข้าใจบริบททั้งหมดในการแสดงของเธอ

โจเซลิน ยังได้กล่าวอีกว่า เธอมักใช้มุกตลกเสียดสี การแข่งขันระหว่างมาเลเซีย และ สิงคโปร์ อยู่เป็นประจำ รวมถึงมุกตลกเรื่องเที่ยวบินของมาเลเซียแอร์ไลน์ เธอเคยเล่นมาแล้วนับร้อยรอบ รวมถึงที่สิงคโปร์ด้วย ก็มีเสียงตอบรับที่ดี ผู้ชมชื่นชอบ เพราะถ้ามุกไม่จอดแต่แรก เธอถอดออกจากการแสดงนานแล้ว

แต่ทั้งนี้ โจเซลิน เจีย ยอมรับถึงเรื่องความต่างของวัฒนธรรม เนื่องจากเธอเปิดการแสดงในสหรัฐอเมริกาเป็นหลัก ที่ผู้ชมมักชอบมุกตลกร้ายหนักๆ เสียดสี จิกกัดแบบตรงไป ตรงมา แม้แต่เรื่องโศกนาฏกรรม 9/11 ก็ยังมาเล่นเป็นมุกตลกได้โดยไม่ถือสา เป็นจุดที่มีความต่างกับสังคมชาวเอเชีย ที่การพูดถึงเหตุโศกนาฏกรรมเป็นประเด็นที่อ่อนไหว

และก็ได้สร้างความไม่พอใจอย่างมากทั้งทางฝั่งมาเลเซีย ที่มีการประท้วงกันที่หน้าสถานทูตสหรัฐ ในกรุงกัลลาลัมเปอร์ อีกทั้ง นาย วานุ คุปลา มีนอน เอกอัคราชทูตสิงคโปร์ประจำมาเลเซีย ได้ออกแถลงการณ์ตำหนิว่า รู้สึกตกใจกับความคิดเห็นที่น่ารังเกียจโดยไร้เหตุผลของโจเซลิน เจีย

แม้การออกหมายจับของทางการมาเลเซีย ประเทศที่เธอมักพูดถึงเสมอว่าเป็นเพียง ‘ประเทศกำลังพัฒนา’ เมื่อเทียบกับสิงคโปร์ อาจจะดูน่าขัน แต่รัฐบาลมาเลเซียมักไม่ขำกับมุกตลกลักษณะนี้ เพราะเมื่อช่วงเดือนกรกฎาคม ปีที่ผ่านมา ตำรวจมาเลเซียได้จับกุมนาย ริเซล แวน กีย์เซล นักพูดชาวมาเลเซีย ในข้อหาเล่นมุกตลกที่เข้าข่ายหมิ่นศาสนาอิสลามมาแล้ว

แต่ทั้งนี้ การใช้มุกตลกล้อเลียนในเรื่องใดๆ ก็เป็นสิ่งที่พึงระวัง เหมือนอย่างที่ โจเซลิน เจีย เคยพูดไว้บนเวทีว่า “Some jokes don't land.” ตลกบางมุกมันก็ใช่จะหาจอดได้ทุกที่

สาวมาเลฯ แชร์ประสบการณ์ใช้ถนนเมืองไทยเลี่ยงรถติด ชี้ สภาพถนนดีแถมใช้ฟรี ประหยัดน้ำมัน ย่นเวลาเดินทาง

(3 ก.ค. 66) เพจเฟซบุ๊ก ‘World Forum ข่าวสารต่างประเทศ’ ได้เผยแพร่เรื่องราวเกี่ยวกับการเดินทางกลับบ้านโดยใช้ถนนประเทศไทยเพื่อเลี่ยงรถติด โดยระบุว่า…

🚗 สาวมาเลเซีย 🇲🇾 รีวิวการกลับบ้านโดยใช้ถนนเพื่อนบ้าน ประเทศไทย หลบรถติดจากเมืองอลอร์สตาร์ รัฐเคดาห์ ไปยังสุไหงโก-ลก เข้าชายแดนกลันตัน ผ่านด่านตรวจคนเข้าเมืองด่านทุเรียนบูรุง
การเดินทางไปชายแดนสุไหงโก-ลก รัฐกลันตัน ใช้เวลาเพียง 3 ชั่วโมง 30 นาที จากชายแดนบ้านประกอบประเทศไทย 

เธอโพสต์ลงติ๊กต็อก ปัจจุบันมีคนเข้าชมมากกว่า 7 แสนคน เพราะใช้เวลาเดินทางไวกว่าเส้นทางปกติที่ต้องขึ้นภูเขาหลายลูก รถติด เธอยังรีวิวเส้นทางน่าสนใจ ขับง่าย มีของหลายอย่างขายตามข้างถนน เรื่องราวสื่อหลายสำนักในท้องถิ่นนำไปลงข่าวหลายสำนัก 

🚗โดยปกติผู้คนฝั่งเคดาห์ ผ่านประเทศไทย เข้ากลันตัน ด้วยเหตุผล 5 อย่าง (รีวิวผู้ใช้ก่อนหน้า) 
1.ใกล้กว่าเส้นทางปกติ 100 กม.
2.คุณภาพถนนไทย เหมือนทางหลวงมาเลเซียเสียเงิน
3.ระยะเวลาไวกว่า 2 ชม. หากเทศกาลอาจมากกว่า 
4.ถนนฟรี ไม่ต้องเสียเงิน 
5.ประหยัดน้ำมัน 50%

**หมายเหตุ 
-มีค่าผ่านแดน ตม. / ค่าประกันรถยนต์ 
-แต่รวมแล้วคุ้มกว่าเวลาปกติไวกว่า 2 ชม. หากเทศกาลในความเห็นบอก 12-24 ชม. ก็เคยมี

โครงสร้างพื้นฐาน ‘ไทย’ พัฒนาแซงทิ้งห่าง ‘มาเลเซีย’ ส่วน 'สายสีเหลือง' หลังเปิดตัว ดันระยะทางรวมแซง ‘สิงคโปร์’ แล้ว

จากช่อง Youtube 'Up Comment' ได้โพสต์คลิปเกี่ยวกับโครสร้างพื้นฐานและรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ของประเทศไทย ซึ่งได้ติดอันดับโลก และขึ้นแซงประเทศเพื่อนบ้านแล้ว สร้างความภาคภูมิใจให้คนไทยเป็นอย่างยิ่ง โดยเนื้อหาในคลิปนั้น มีใจความว่า ...

โครงสร้างพื้นฐานไทย แซงทิ้งห่างมาเลเซีย ในขณะที่รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ดันระบบรถไฟฟ้าไทย แซงสิงคโปร์ ธนาคารโลกมีการจัดอันดับ โครงสร้างพื้นฐานแต่ละประเทศในโลก ประจำปี 2023 โดยอันดับโครงสร้างพื้นฐานของไทย อยู่ในอันดับที่ 25 โดยอันดับดังกล่าว เป็นอันดับที่เหนือกว่าประเทศมาเลเซีย อีกหนึ่งประเทศที่เป็นคู่แข่ง ทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน ซึ่งการแซงมาเลเซียด้านโครงสร้างพื้นฐานเป็นครั้งแรก ได้เกิดขึ้นในปี 2018 โดยปีนั้นประเทศไทยได้อันดับที่ 32 ซึ่งเป็นการขยับอันดับขึ้นมาจากปี 2016 ที่ประเทศไทยอยู่ที่อันดับ 45 ซึ่งในปี 2018 ก็เป็นปีแรกที่ไทยมีอันดับทางด้านโครงสร้างพื้นฐาน เหนือกว่าประเทศมาเลเซีย และดูเหมือนว่าอันดับจะทิ้งห่างออกมาอีกในปี 2023 นี้

โดยการจัดอันดับโครงสร้างพื้นฐานนี้ เป็นรายงานจาก Logistics Performance Index (LPI) 2023 ในหมวดโครงสร้างพื้นฐานของธนาคารโลก โดยโครงสร้างพื้นฐานของประเทศไทย ได้คะแนนอยู่ที่ 3.7 คะแนน จัดเป็นอันดับที่ 25 ของโลก จาก 139 ประเทศทั่วโลก ซึ่งถ้านับเฉพาะประเทศในอาเซียน ประเทศไทยตามหลังเพียงแค่ประเทศสิงคโปร์เท่านั้น (สิงคโปร์มีอันดับทางด้านโลจิสติกส์ เป็นอันดับที่ 1 ของโลก)

สำหรับในส่วนของอันดับโครงสร้างพื้นฐานของประเทศในอาเซียนนั้น มีการจัดลำดับได้ดังนี้...

- อันดับที่ 1 ประเทศสิงคโปร์ 4.6 คะแนน 
- อันดับที่ 2 ประเทศไทย (อยู่ที่อันดับ 25 ของโลก) ด้วยคะแนน 3.7 คะแนน 
- อันดับที่ 3 ประเทศมาเลเซีย 3.6 คะแนน 
- อันดับที่ 4 ประเทศฟิลิปปินส์ (อันดับ 47 ของโลก) ด้วยคะแนน 3.2 คะแนน
- อันดับที่ 5 ประเทศเวียดนาม ด้วยคะแนน 3.2 (เท่ากับประเทศฟิลิปปินส์)
- อันดับที่ 6 ประเทศอินโดนีเซีย ด้วยคะแนน 2.9 คะแนน 
- อันดับที่ 7 ประเทศลาว (อันดับที่ 108 ของโลก) ด้วยคะแนน 2.3 คะแนน 
- และอันดับที่ 8 ประเทศกัมพูชา (อันดับ 125 ของโลก) ด้วยคะแนน 2.1 คะแนน โดยการจัดอันดับดังกล่าว ไม่มีข้อมูลของประเทศบรูไนและประเทศเมียนมา

ทั้งนี้ หากพูดถึงการเปิดตัวรถไฟฟ้าสายสีเหลืองของไทยที่ผ่านมา ทำให้ระยะทางรถไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีระยะทางรวมแซงประเทศสิงคโปร์ ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว

โดยข้อมูลของเพจ City Walker ได้มีการรายงานถึง ระยะทางของรถไฟฟ้าในประเทศสิงคโปร์ ซึ่ง ณ เวลานี้มีการเปิดทำการอยู่ 6 สาย ซึ่งเป็นระบบ LRT ทั้งหมด 4 สาย รวมระยะทางทั้งหมด 228 กิโลเมตร ในขณะที่ระยะทางรถไฟฟ้า ในเขตกรุงเทพฯ และปริมณฑล ตามข้อมูลของกรมการขนส่งทางราง เมื่อมีการเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง เผยว่าระยะทางของรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ ณ เวลานี้ จะอยู่ที่ 242.34 กิโลเมตร (ยังไม่นับรวมโครงการที่กำลังก่อสร้าง ทั้งของประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์)

ฉะนั้น จากข้อมูลนี้ จึงแสดงให้เห็นว่าระยะทางรวมรถไฟฟ้าในกรุงเทพฯ และปริมณฑล มีความยาวรวมแซงประเทศสิงคโปร์ไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ถึงแม้ว่าทางประเทศสิงคโปร์ จะยังมีโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าอยู่ ซึ่งนั่นก็คือโครงการรถไฟฟ้าสายสีน้ำตาล (สิงคโปร์) แต่ถ้าเทียบไทยที่ยังคงมีโครงการก่อสร้าง ซึ่งกำลังดำเนินการอยู่และมีแผนจะก่อสร้าง ไม่ว่าจะเป็นรถไฟฟ้าสายสีส้ม หรือว่ารถไฟฟ้าสายสีชมพู และยังมีแผนแม่บทรถไฟฟ้าในระยะที่ 2 ซึ่งก็จะดำเนินการก่อสร้างต่อไปในอนาคตอีกมากมายนั้น ก็ดูเหมือนไทยจะเริ่มแซงหน้าสิงคโปร์ในส่วนของระยะทางไประยะหนึ่ง

อย่างไรก็ตาม คงต้องจับตามองกันต่อไปว่า ระยะทางรถไฟฟ้า ระหว่างประเทศไทยและประเทศสิงคโปร์นั้น ประเทศไหนจะครองแชมป์ในอาเซียนในอนาคตต่อไป

‘รถรางอัจฉริยะพลังไฮโดรเจน’ คันแรกของจีน เสร็จแล้ว!! เตรียมส่งออกสู่มาเลเซีย เพิ่มประสิทธิภาพการจราจรข้ามพรมแดน


เมื่อวันที่ 18 ก.ค. 66 สำนักข่าวซินหัว, ฉางซา รายงานว่า รถรางอัจฉริยะพลังงานไฮโดรเจนที่พัฒนาโดยบริษัท ซีอาร์อาร์ซี จูโจว อิเล็กทริก โลโคโมทีฟ รีเสิร์ช อินสติทูท จำกัด (CRRC Zhuzhou Electric Locomotive Research Institute Co.) ออกจากสถานที่ผลิต ในเมืองจูโจว มณฑลหูหนานทางตอนกลางของจีน และจะถูกส่งออกสู่มาเลเซียในอีกไม่กี่วันนี้ จากท่าเรือเซี่ยงไฮ้

รถรางอัจฉริยะคันนี้จะถูกนำไปใช้สำหรับบริการขนส่งในพื้นที่เขตเมืองของเมืองกูชิง เมืองเอกของรัฐซาราวักในมาเลเซีย โดยเป็นรถรางที่ใช้ระบบไฟฟ้าพลังงานไฮโดรเจนคันแรก ซึ่งมีจุดแข็งด้านระยะการขับขี่ที่ยาวนานขึ้น ระยะเวลาการเติมเชื้อเพลิงสั้นลง อีกทั้งประหยัดพลังงานและปกป้องสิ่งแวดล้อม

รถรางข้างต้นได้รับการปรับปรุงผ่านการออกแบบอัจฉริยะ ซึ่งสอดคล้องกับความต้องการของมาเลเซียในการบรรลุระบบขนส่งสาธารณะอัจฉริยะที่ปล่อยก๊าซคาร์บอนเป็นศูนย์ โดยหลังจากส่งถึงมาเลเซียแล้ว รถรางดังกล่าวจะเข้าสู่ขั้นตอนการทดสอบในเมืองกูชิงเป็นเวลา 3 เดือน

ทั้งนี้ ความสำเร็จของการใช้งานรถรางอัจฉริยะในมาเลเซียจะช่วยบรรเทาปัญหาการจราจรติดขัดในเมืองกูชิงอย่างมีประสิทธิภาพ นำพารูปแบบการเดินทางที่เชื่อถือได้ มีประสิทธิภาพ และทันสมัยสู่ท้องถิ่น ทั้งช่วยให้การผลิตอัจฉริยะของจีนสามารถส่งมอบบริการแก่กลุ่มประเทศตามแผนริเริ่มหนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง
 

‘ไทย’ เตรียมผสานมือ ‘มาเลเซีย’ เสริมธุรกิจทางการค้า เชื่อ!! บรรลุเป้า 1.02 ล้านล้านบาท ภายในปี 2568

(24 ก.ค. 66) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยินดีกับความร่วมมือทางการค้าของไทย-มาเลเซีย ที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นการค้าทั้งสองฝ่ายจะบรรลุเป้าหมายตามที่ตั้งไว้ 30,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 1.02 ล้านล้านบาท) ในปี 2568 รวมถึงจะมีการหารือเพื่อให้เกิดความร่วมมืออย่างเป็นรูปธรรม ภายใต้กลไกการประชุมคณะกรรมการร่วมทางการค้า (Joint Trade Committee : JTC) ระดับรัฐมนตรี ซึ่งมีแผนจะจัดขึ้นในช่วงปลายปี 2566 นี้

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กลางเดือนกรกฎาคม ที่ผ่านมา กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ ได้หารือกับกระทรวงการค้าภายในและค่าครองชีพมาเลเซีย (Secretary General of the Ministry of Domestic Trade and Cost of Living) และคณะ เพื่อหารือถึงความร่วมมือด้านการส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์ การกำกับดูแลการค้าภายในประเทศให้มีความเป็นธรรม และการฟื้นฟูการค้าชายแดน ซึ่งมาเลเซียถือเป็นคู่ค้าอันดับ 1 ของไทยในอาเซียน อีกทั้งการค้าชายแดนไทย-มาเลเซีย คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 35 ของการค้ารวมระหว่างสองประเทศ โดยปี 2565 มีตัวเลขการค้าชายแดนระหว่างกันอยู่ที่มูลค่า 336,118.41 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนร้อยละ 0.05 โดยไทยมีสินค้าที่ส่งออกไปยังมาเลเซียที่สำคัญได้แก่ รถยนต์ อุปกรณ์และส่วนประกอบ น้ำมันสำเร็จรูป และเครื่องคอมพิวเตอร์อุปกรณ์และส่วนประกอบ 

นอกจากนี้ มาเลเซียยังมีความสนใจที่จะร่วมมือเพื่อส่งเสริมธุรกิจแฟรนไชส์กับไทย นับได้ว่าเป็นการบุกเบิกประเด็นธุรกิจใหม่ ๆ ร่วมกัน ซึ่งมีการวางแผนที่จะส่งเสริมให้ผู้ประกอบการแฟรนไชส์เข้าร่วมงานแสดงสินค้าของแต่ละฝ่ายเพื่อสร้างโอกาสขยายพันธมิตรทางการค้า การจับคู่ทางธุรกิจ และการแลกเปลี่ยนข้อมูลเรื่องขั้นตอนและกฎระเบียบเกี่ยวกับธุรกิจแฟรนไชส์ ทั้งนี้ มาเลเซียเป็นตลาดที่มีศักยภาพสำหรับธุรกิจแฟรนไชส์ของไทย โดยเฉพาะสาขาอาหารและเครื่องดื่ม ซึ่งปัจจุบันแฟรนไชส์ของไทยที่อยู่ในตลาดมาเลเซีย จำนวน 6 ราย ได้แก่ อเมซอน แบล็คแคนยอน กาแฟดอยช้าง ตำมั่ว บาบีก้อน และสมาร์ทเบรน (Smart Brain) ขณะที่แฟรนไชส์ของมาเลเซียที่อยู่ในไทยมีประมาณ 6 ราย อาทิ Secret Recipe Laundry Bar และ Unisense 

รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ที่ผ่านมา ธุรกิจไทยที่มีศักยภาพเข้าไปลงทุนในมาเลเซีย ได้แก่ ธุรกิจสินค้าเกษตรและอาหารแปรรูป โดยเฉพาะสินค้าฮาลาล ธุรกิจภัตตาคารและร้านอาหารไทย ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว การก่อสร้าง โดยรัฐบาลได้มีการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด การขยายพันธมิตรการค้าไทย การสนับสนุนการลงทุนของนักธุรกิจไทย และ กิจกรรมส่งเสริมสินค้าไทยร่วมกับพันธมิตรในมาเลเซียมาอย่างต่อเนื่อง อาทิ 

1.) การจัดโครงการส่งเสริมการค้าสินค้าอาหารฮาลาลในประเทศมาเลเซียภายใต้ชื่องาน 'I Love Thailand Fair' 
2.) การจัดตั้ง Thailand Pavilion ในงานแสดงสินค้า Malaysia International Halal Showcase (MIHAS) ซึ่งเน้นการประชาสัมพันธ์ ส่งเสริมภาพลักษณ์และสร้างความเชื่อมั่นให้ผู้ซื้อและผู้บริโภคในมาเลเซียต่อสินค้าฮาลาลจากไทย 
3.) การจัดกิจกรรมส่งเสริมภาพลักษณ์สินค้าอาหารไทยและธุรกิจบริการร้านอาหารไทยในมาเลเซีย ซึ่งมุ่งประชาสัมพันธ์สินค้าและร้านที่ได้รับตรา THAI SELECT ในมาเลเซีย ให้เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายมากยิ่งขึ้น
4.) เชื่อมโยงสมาคมการค้า/ผู้ประกอบการมาเลเซียกับกลุ่มผู้ประกอบการไทย อาทิ สมาคมผู้ผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์แห่งรัฐสลังงอร์ (The Selangor And Federal Territory Engineering And Motor Parts Traders Association: EMPTA) กับกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย เป็นต้น 

“นายกรัฐมนตรีชื่นชมความร่วมมือระหว่างประเทศ ที่ทำให้การค้าระหว่างไทย-มาเลเซียเติบโต โดยเฉพาะการเปิดตลาดธุรกิจใหม่ เพื่อสร้างโอกาสให้นักธุรกิจทั้งสองประเทศ โดยรัฐบาลพร้อมที่จะกระชับความร่วมมือระหว่างไทย-มาเลเซียในทุกมิติ และทุกระดับ เพื่อกระชับความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดและเพื่อเติบโตทางเศรษฐกิจอย่างยั่งยืนไปด้วยกัน” น.ส.รัชดากล่าว


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top