Monday, 6 May 2024
พรรคเพื่อไทย

วิเคราะห์!! วิบากกรรม ‘ดิจิทัลวอลเล็ต’ ชี้ชะตา ‘เศรษฐา’ บอกอนาคต ‘อุ๊งอิ๊ง’

ในที่สุดก็แจ่มแจ้งแดงแจ๋ไปแล้วว่า… โฉมหน้าค่าตานโยบายเติมเงินดิจิทัลวอลเล็ต ของรัฐบาลเศรษฐา เป็นอย่างไร

ต้องยอมรับว่าทุกค่ายทุกสำนักพูดออกมาเป็นเสียงเดียวแทบจะพร้อมๆ กันว่า… ไม่ตรงปก!!

ครับ!! ‘เล็ก เลียบด่วน’ พูดด้วยใจนิ่งๆ เป็นกลางอย่างที่สุดว่า… ไม่ตรงปกจริงๆ… คำว่า ‘ไม่ตรงปก’ ในความหมายก็คือ ไม่ตรงกับที่ตัวเอง (พรรคเพื่อไทย) พูดตอนหาเสียงและยื่นเอกสารให้กับ กกต.

ไม่ตรงทั้งวัตถุประสงค์และเป้าหมายของโครงการ ไม่ตรงทั้งรูปแบบและเนื้อหาว่างั้นเถอะ… หนำซ้ำที่บอกกับ กกต. ว่าจะใช้เงินจากระบบงบประมาณและรายได้ภาษีปกติ… 

แต่ที่สุดของเศรษฐา คือ ‘กู้’ ออก พ.ร.บ. กู้เงิน 5 แสนล้านบาท พร้อมคำยืนยันว่าจะผ่อนใช้ทัน 4 ปีช่วงรัฐบาลนี้

เหนื่อยครับ… อยากเอาใจช่วย แต่อ่านและฟังที่ท่านนายกฯ แถลงเมื่อวันที่ 10 พ.ย.แล้วเหนื่อยแทน… เหนื่อยแทนพรรคเพื่อไทย เหนื่อยแทนประเทศไทย… 

‘เล็ก เลียบด่วน’ ไม่ขอลงรายละเอียดหน้าตาของโครงการ แต่จะแลไปข้างหน้าว่า นโยบายที่ไม่ตรงปกนี้จะต้องฝ่าหลุมขวาก เป็นวิบากกรรมอย่างไรบ้าง… 

ประการแรก - ต้องลุ้นกันระทึกว่า พ.ร.บ.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท จะฝ่าข้าม พ.ร.บ.วินัยการเงินการคลัง พ.ศ.2561 ไปได้หรือไม่… ไม่จำเพาะมาตรา 53 ที่พูดถึงกันเท่านั้น แต่มาตราอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องไม่น้อยกว่า 3-4 มาตรา ก็เป็นกับดัก… ซึ่งก็ต้องให้กรรมการกฤษฎีกายืนยันออกมาดังๆ อีกทีว่า ‘โน พรอมแพลม’ ถึงจะยอมๆ กันไปได้บ้าง…

ประการที่สอง - โดยส่วนลึก เชื่อ ‘เล็ก เลียบด่วน’ เถอะว่า พรรคภูมิใจไทยและพรรครวมไทยสร้างชาติ ไม่ได้แฮปปี้กับนโยบาย 5 แสนล้านบาทนี้ ยิ่งต้องมาร่วมยกมือผ่านกฎหมายด้วยแล้ว… งานนี้อย่าคิดว่าจะผ่านไปได้ง่ายๆ แม้ทั้งสองพรรคยังอยากจะเป็นรัฐบาลต่อไปก็เหอะ… 

ประการที่สาม - ต่อให้กฎหมายกู้เงินผ่านสองสภาฯ ไปแล้ว แต่เชื่อว่า ในที่สุดจะมีคนไปยื่นต่อศาลรัฐธรรมนูญให้ตีความ… ดีไม่ดีอาจล้มคว่ำซ้ำรอย พ.ร.ก.กู้เงิน 2 ล้านล้าน สมัยรัฐบาล ‘ยิ่งลักษณ์’ ก็ได้ ทำเป็นเล่นไป… 

เอาแค่สามประการดังว่ามาก็พอ… พื้นที่ที่เหลือ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ใคร่ขมวดปมสถานการณ์เหตุบ้านการเมืองที่เกี่ยวเนื่องมาเล่าสู่กันฟังว่า… 

ทว่า ณ นาทีนี้ สถานการณ์ของตัวนายกฯ เศรษฐาที่มั่นคงแบบป้อแป้ แต่ก็ยังโชคดีที่ใครต่อใคร รวมทั้งนายห้างชั้น 14… ยังเห็นใจในความมุ่งมั่น ขยันทำงาน

สายข่าวในพรรคเพื่อไทยกระซิบให้ ‘เล็ก เลียบด่วน’ ฟังว่า… หลายวันก่อนโน้น นายห้างชั้น 14 ได้ส่งสัญญาณตรงๆ ถึง นายกฯ สูงยาวถุงเท้าแดงว่า ต้องปรับตัวให้เข้ากับ สส.ให้มากกว่าเดิม โดยเฉพาะ สส.เหนือกับอีสาน ซึ่งขณะนี้ นายเศรษฐาได้ไหว้วานให้ ‘มาดามนครพนม’ อย่าง ‘มนพร เจริญศรี’ รมช.คมนาคม เป็นตัวช่วยประสานเรียบร้อยแล้ว… 

และช่วงปลายเดือน พ.ย. ต่อต้นเดือน ธ.ค. ‘วาระงาน’ ของนายกฯ ถุงเท้าแดงก็จะขึ้นเหนือ ไปอีสานแบบรัวๆ กันเลยทีเดียว!!

สำหรับ ‘อุ๊งอิ๊ง’ แพทองธาร ชินวัตร ที่พักหลังออกงานบ่อย และปรากฏตัวที่ทำเนียบรัฐบาลถี่ขึ้น… ย่อมเป็นธรรมดาที่จะถูกจับจ้องมองว่า เห็นท่าจะหนีไม่พ้นปีหน้า 2567 จะย่างสามขุมขึ้นเป็นนายกฯ แน่นอนนั้น… 

ยังต้องยืนยันฟันธง ว่า นายห้างชั้น 14 ต้องการให้ลูกสาวเป็นนายกฯ แน่นอน แต่ไม่ได้ขีดเส้นว่าต้องเป็นภายในปีหน้า… 

ครึ่งเทอมหลัง หรือสมัยหน้าก็รอได้… ให้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ บำเพ็ญบารมีไปก่อน เว้นแต่ว่า… เศรษฐาเดินสะดุดบันไดทำเนียบ เดินต่อไปไม่ได้จริงๆ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง… 

เป็นนายกฯ ไม่ยากเท่ากับอยู่ให้ได้ ไปให้เป็น… ให้ประชาชนยอมรับ… 

ถ้าไม่ดื้อด้านหน้ามืดตามัว… แค่ ดิจิทัลวอลเล็ต เรื่องเดียวก็คงทำให้ ‘อุ๊งอิ๊ง’ ในฐานะหัวหน้าพรรคคนใหม่ คงได้คิดและนำไปถอดรหัสเป็นกรณีศึกษาได้ไม่น้อยทีเดียว

‘อดิศร’ เหน็บ ‘พิธา’ เติมเชื้อไฟ ค้าน-สงสัยไปทุกเรื่อง วิจารณ์รัฐบาล 100 วัน ถาม ดีแค่เฉพาะ ‘ก้าวไกล’ หรือ?

(17 ธ.ค. 66) นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) โพสต์ข้อความผ่าน X (ทวิตเตอร์) ระบุว่า…

“พิศวง สงสัย ไปทุกเรื่อง ค้าน แค้น เคือง เหลวไหล โลกแห่งความฝันของก้าวไกล พิธา เติมไฟในอารมณ์…

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

วิจารณ์รัฐบาล 100 วัน

ดูเหมือนจะไม่มีดีเลย… ดีเฉพาะก้าวไกล เท่านั้น!!!!????”

‘อดิศร เพียงเกษ’ ประธานวิปรัฐบาล โพสต์กลอนต้อนรับ ‘ทักษิณ’ กลับบ้าน

(17 ก.พ. 67) นายอดิศร เพียงเกษ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ได้โพสต์กลอนต้อนรับ กรณี ‘ทักษิณ ชินวัตร’ อดีตนายกรัฐมนตรี จะได้รับการปล่อยตัวตามกำหนดการพักโทษ หลังรับโทษครบ 180 วัน ในวันที่ 18 ก.พ.นี้ โดยระบุว่า…

“กลับสู่บ้านจันทร์ส่องหล้า มองท้องนภาดูแจ่มใส ดอกไม้บานกลางดวงใจ รักกันไว้ตลอดกาล… ยินดีต้อนรับ ท่าน ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีประเทศไทย”

‘ดนุพร’ ฟาด ‘พิธา’ มุมมองไม่ลึก-ข้อมูลไม่ครบ  ทำให้ปชช.เข้าใจผิด ยืนยันไทยพร้อม เป็นศูนย์กลาง การบินของภูมิภาค

(3 มี.ค.67) นายดนุพร ปุณณกันต์ สส.บัญชีรายชื่อ และโฆษกพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวว่ากรณีที่นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อและประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ระบุว่านายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ประกาศศักยภาพของประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาคว่าเป็นเรื่องดี แต่ต้องคิดว่าทำเพื่อใคร ถ้าทำให้แค่นายทุน ชาวต่างชาติ มีคนมาลงทุนมากมาย แต่ไม่เคยไหลลงมาสู่แรงงานไทยว่า ถือเป็นคำวิจารณ์แบบผิวเผิน ด้วยมุมมองที่ไม่ลึกพอที่จะเข้าใจถึงแก่นแท้ของวิสัยทัศน์ และไม่ได้มองในมิติภาพใหญ่ที่เชื่อมโยงกัน 

นายดนุพร กล่าวว่า รัฐบาลที่นำโดยนายเศรษฐา รวมถึงพรรคเพื่อไทยไม่มีนโยบายกีดกันการลงทุน ยิ่งไปกว่านั้นสิ่งที่รัฐบาลกำลังดำเนินการ คือการอำนวยความสะดวกในการทำธุรกิจ ขจัดอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจให้กับภาคเอกชนทั้งในและต่างประเทศ การทำงานอย่างมีเป้าหมาย ตั้งเป้าที่จะทำให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการบินของภูมิภาค การเดินทางที่จะขนทั้งคน ทั้งของและการบริการ คือการสร้างรายได้ให้กับธุรกิจต่อเนื่อง เช่น ท่าอากาศยานนานาชาติอันดามัน หรือสนามบินอันดามันที่ จ.พังงา จะรองรับผู้โดยสารสูงสุดที่ 40 ล้านคนต่อปี จำนวนผู้โดยสารที่มี หมายถึงเม็ดเงินที่ไหลเข้าสู่พื้นที่ ประชาชนขายของได้ โรงงานต้องผลิตเพิ่ม แรงงานมีงานทำ ภาพรวมทั้งระบบเติบโตสอดคล้องกัน

นายดนุพร กล่าวอีกว่า ส่วนที่นายพิธา กล่าวถึงการให้สิทธิประชาชนเช่าที่ราชพัสดุ 3 ปีแล้วจะเรียกคืน โดยกล่าวว่า รัฐบาลให้สิทธิในการเช่าแค่ 3 ปี อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นกรรมสิทธิ์ ผมจะทำร้านก๋วยเตี๋ยว ทาสียังไม่แห้ง เขาจะเอาคืนก็ได้ ความมั่นคงในชีวิตมันไม่มีนั้น เป็นการฉวยโอกาสทางการเมืองให้ข้อมูลที่ไม่ครบถ้วน จนอาจนำไปสู่ความเข้าใจผิดได้ ที่ผ่านมาการจัดสรรที่ดินทำกินในกลุ่มพื้นที่ราชพัสดุ เช่น หนองวัวซอโมเดล เป็นการมอบสัญญาเช่าที่ดินราชพัสดุ ไม่ใช่กรรมสิทธิ์ตามที่นายพิธากล่าวอ้าง สำหรับที่ราชพัสดุหนองวัวซอ เป็นระบบสิทธิการเช่า 3 ปี ประชาชนที่เช่าอยู่เดิม ต่อสัญญาได้ตลอดและต่อเนื่อง หากจะเช่าเกิน 3 ปีก็ทำได้ แต่ต้องเสียค่าธรรมเนียมการจดทะเบียนสิทธิการเช่าจำนวนมาก การต่อสัญญา 3 ปีครั้งเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกับประชาชน 

“รัฐบาลนายเศรษฐาเพิ่งลงพื้นที่มอบสัญญาเช่าที่ดินในโครงการหนองวัวซอโมเดลไปเมื่อวันที่ 19 ก.พ.ที่ผ่านมา และรัฐบาลจะเดินหน้าเพิ่มที่ดินทำกินให้ประชาชนต่อเนื่องในหลายวิธีการ ซึ่งหนองวัวซอโมเดลรัฐบาลทำมาระยะหนึ่งแล้ว และนายกฯ ก็มีความตั้งใจในเรื่องนี้มาก ขอตำหนินายพิธาหากต้องการทำการเมืองใหม่อย่างสร้างสรรค์อย่างที่ก้าวไกลอยากเป็น ควรเริ่มที่การให้ข้อมูลที่ถูกต้องครบถ้วนกับประชาชน”  นายดนุพร กล่าว

อ.เจษฎ์ หวั่น สงครามกลางเมือง คนไทยฆ่ากันเอง เพราะถูก ปลุกปั่น ยุยง ที่จะรุกเร้าไปสู่จุดนั้น

จากรายการ ‘เข้มข่าวใหญ่’ ช่อง PPTV HD 36 ออกอากาศเมื่อวันที่ 16 ก.พ. 67 รศ.ดร.เจษฎ์ โทณะวณิก อาจารย์คณะนิติศาสตร์ วิทยาลัยบัณฑิตเอเซีย ได้แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โดยได้ระบุว่า ...

พวกบุกขบวนเสด็จ เนี่ยอาจจะเล่นกับความรู้สึกแบบตรงๆกับประชาชนนะ แต่คุณทักษิณเล่นกับความรู้สึกเชิงลึก ชั้นได้รับสิทธิพิเศษจะทําไมอ่ะ ถ้าฉันจะตั้งพรรคการเมืองขึ้นมาพรรคหนึ่งเป็นส่วนแยกไปจากพรรคเพื่อไทย คือพรรคไทยรักษาชาติ แล้วฉันจะให้พรรคการเมืองนี้เสนอทูลกระหม่อมเป็นนายกรัฐมนตรี เพื่อให้วันหนึ่งบอกว่า ทูลกระหม่อมฯ เป็นที่มาจากการเลือกตั้งเป็นพระบรมวงที่มาจากการเลือกตั้ง แล้วพระมหากษัตริย์พระองค์ท่านมาจากการเลือกตั้งยังไงเหรอ นี่ไม่ใช่การทําลายเหรอครับ

คุณทักษิณไม่จบไม่จบสิ่งที่ทําทั้งหมดเหล่านี้ และ มันจะยิ่งซึมลึกเข้าไปใหญ่ เพราะไม่ยอม เข้าไปอยู่ในคุก ไม่รับผิดไม่รับโทษมันทําให้พระบรมราชโองการที่โปรดเกล้ามาเนี่ย ความศักดิ์สิทธิ์อยู่ที่ไหนมันยังเหลืออีกหนึ่งปีถูกไหมครับ และอย่าลืมว่าคุณทักษิณบอกว่าจะไม่ยอมติดคุกแม้กระทั่งนาทีเดียว

แล้วมันก็เป็นเช่นนั้นแต่ในพระบรมราชโองการจะต้องไปติดคุกหนึ่งปีนะแต่ พลพรรคทั้งหลายมาใช้กฎหมายไม่ต่างกันกับที่พรรคก้าวไกล ทำนะ ความชั่วร้ายทั้งหลายมันอยู่ในรายละเอียดครับ บาง เทวดาอาจจะอยู่ในหลักการนะเออ แต่นางมารและพญามารเนี่ยมันอยู่ในรายละเอียด อาจารย์คิดว่าคุณทักษิณเป็นภัยคุกคามสถาบันมากกว่า ก้าวไกล ผมว่าใช่ คุณทักษิณไม่ใช่แต่แค่ว่าทําให้คนรู้สึกว่าเอ๊ะ ตกลงสถาบันพระมหากษัตริย์นี่เป็นยังไง คนรู้สึกไปถึงสถาบันชาติด้วย ตกลงชาติบ้านเมืองอยู่กันยังไง เชื่อมั้ยผมไปทานก๋วยเตี๋ยวผมไปซ่อมรถคนบรรดาที่อยู่ในพื้นที่เหล่านั้นบอกผมว่า อาจารย์ผมมานั่งนึกคิดกันละ หนูมานั่งลองดูแล้วนะ เนี่ยหนูก็รวยอย่างเดียวพอจบเออแล้วทํายังไงรู้มั้ย เอาเงินไปซื้อเสียงสิคะ แล้วก็กลายเป็นส.ส.ค่ะ แล้วก็เป็นรัฐมนตรีค่ะแล้วก็ ไต่เต้าไปเป็นนายกฯค่ะ แล้วทุกอย่างนะ ก็จะได้หมดเลย  

ความมั่นคง มีความมั่นคงของชาตินะ แล้วศาสนาด้วย คนคิดกันว่า ยังไง ทําดีได้ดีมีที่ไหน ทําชั่วได้ดีมี ถมไปตกลงทําดี จะไปได้ดีเมื่อไหร่ตกลงทําชั่วแล้วจะไม่ได้ชั่วเลยหรือ หนูก็ว่าหนูก็ทําดีมาตลอดชีวิตทําไมถูกกลั่นแกล้งตลอด

แล้วอย่างนั้นเนี่ยล่ะ มันก็เซาะกร่อน บ่อนทําลายสถาบันชาติ  ถ้าปล่อยได้พักโทษ รอบนี้มาเนี่ย โอ้โห มันก็จะทําให้การเมืองไม่ได้เงียบนะ ไม่ได้นิ่ง แล้วบ้านเมืองเนี่ยลองคิดดูนะครับ ว่าเป็นภัยคุกคาม สังคมมันมีภัยคุกคามอยู่ทั้งหมดเลยผมถึงได้บอกว่า

ณ จุดนี้ มันไม่ใช่เรื่องทหาร ไม่ใช่เรื่องกองกําลังกับประชาชนนะ มันจะกลายเป็นเรื่องประชาชนกับประชาชน ประชาชนแต่ละหมู่เหล่า และท้ายที่สุด ผมคิดอย่างนี้ ถ้ามันมีเรื่องบางประการ มีสิ่งบางอย่างที่ประชาชนหวงแหนร่วมกัน แล้วมีใครคิดจะทําลายผมว่าต้องลุกมาฆ่ากันตาย ก็ต้องลุกมาฆ่ากันตาย เมื่อไม่รู้จะทํายังไงไม่รู้จะแก้ด้วยอะไร ถ้าใช้เสรีภาพเนี่ย ฆ่ากันตายก็เป็นเสรีภาพนะ แล้วกฎหมายจะอยู่ตรงไหน

นั่นจึงเป็นเหตุ ถ้าถามผมนะ ว่าเอาล่ะ ด้วยน้ำพระราชหฤทัย ด้วยพระมหากรุณาธิคุณ ได้ทรงกรุณาโปรดเกล้าฯไม่ต้องปิดถนนอะไรกันแล้วเนี่ยครับ มันอาจจะไม่ได้แล้วล่ะ เพราะอะไร ไม่ใช่เพราะว่าอยากให้พระองค์ท่านเสด็จสัญจรไปมาได้สะดวก อะไรแบบนั้นนะ แต่ไม่อยากให้คนไทยลุกขึ้นมาฆ่าแกงกัน 

การถวายความอารักขา การถวายความปลอดภัยสูงสุด แด่พระบรมวงษ์ชั้นสูงเนี่ย ไม่ได้เป็นไปเพื่อพระองค์ท่านนะ แต่เป็นไปเพื่อไม่ให้บ้านเมืองมันลุกร้อนลุกขึ้นมาฆ่ากัน แม้กระทั่งในประเทศที่เป็นประธานาธิบดีเนี่ย การที่เค้ารักษาประธานาธิบดีเค้า ก็เพราะเค้าไม่อยากให้บ้านเมืองลุกร้อนเป็นไฟลุกขึ้นมาฆ่ากันไม่ใช่แต่เพียงแค่ คนคนนั้นที่ได้รับความคุ้มครอง มันต้องมองให้ลึก มันต้องมองให้ซึ้ง

‘ลิณธิภรณ์’ ฟาดใส่ ‘พิธา’ เดินสายไร้เป้าหมาย แนะควรรู้จักหน้าที่ ชี้ ‘เศรษฐา’ ขึ้นเชียงใหม่ 3 ครั้ง เดินหน้าแก้ฝุ่น ตามนโยบายที่ได้ประกาศไว้

(16 มี.ค.67) น.ส.ลิณธิภรณ์ วริณวัชรโรจน์ สส.บัญชีรายชื่อ และรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวกรณีนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ สส.บัญชีรายชื่อ และประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคก้าวไกล (ก.ก.) มีกำหนดร่วมภารกิจดับไฟป่าในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ วันที่ 16 - 17 มี.ค.ในระยะเวลาเดียวกันกับที่นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ตรวจราชการในพื้นที่ จ.เชียงใหม่และลำพูน ระหว่างวันที่ 15 - 17 มี.ค.ว่า นายเศรษฐาประกาศนโยบายการจัดการปัญหาฝุ่น ตั้งแต่เป็นแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี ของพรรคเพื่อไทย จนถึงการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา นายเศรษฐายังตอบสนองตามพันธสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง นอกจากมีข้อสั่งการของนายกฯ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.66 และมีมติคณะรัฐมนตรีในการเสนอร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) อากาศสะอาด พ.ศ. … ต่อรัฐสภาแล้ว นายเศรษฐายังลงพื้นที่ติดตามการแก้ไขปัญหาสถานการณ์ฝุ่นด้วยตนเอง โดยเฉพาะในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ ที่นายกฯ เดินทางไปแล้วถึง 3 ครั้ง 

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวว่า ครั้งแรกเมื่อวันที่ 29 พ.ย.66 นายกฯ มอบนโยบายเตรียมความพร้อมรับมือสถานการณ์ไฟป่า หมอกควันและฝุ่นละอองปี 67 ยืนยันรัฐบาลให้ความสำคัญกับอากาศสะอาด ย้ำทุกฝ่ายทำงานร่วมกันอย่างบูรณาการ ผ่านไป 2 เดือน นายกฯ เยือน จ.เชียงใหม่ ครั้งที่สองเมื่อวันที่ 11 ม.ค.67 เพื่อติดตามความคืบหน้าการแก้ไขปัญหาหมอกควันไฟป่า โดยเน้นย้ำทุกหน่วยงานบูรณาการความร่วมมือตาม 6 แนวทางการดำเนินงานเพื่อแก้ไขปัญหา และครั้งล่าสุดตามกำหนดการครั้งนี้ เพื่อเฝ้าสอบถามและติดตามความคืบหน้าต่อไปตามบทบาทหน้าที่ของฝ่ายบริหาร

น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าวต่อว่า ผ่านมาเกือบ 7 เดือนแล้วนับแต่การจัดตั้งรัฐบาล พรรคก.ก.โดยเฉพาะผู้บริหารพรรค ควรเข้าใจบทบาทของฝ่ายค้านตามระบอบประชาธิปไตยได้แล้ว ว่าฝ่ายค้านมีหน้าที่ตรวจสอบการบริหารหรือเสนอแนะรัฐบาล หากทำงานผิดพลาดหรือใช้งบประมาณโดยไม่ถูกต้อง แต่หากนายพิธาและพรรคก.ก.เคลื่อนไหวในลักษณะนอกบทบาทหน้าที่ที่ไม่อาจเกิดการพัฒนาได้ ก็จะสร้างคำถามและความสับสนขึ้นได้ ว่าการเดินสายลักษณะนี้ใครจะได้ประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะประเทศชาติกำลังเดินหน้าไปสู่การแก้ปัญหาอย่างเป็นรูปธรรม

“อยากให้นายพิธามูฟออนกลับมาสู่ความเป็นจริง ที่สำคัญคือเข้าใจบทบาทหน้าที่ของฝ่ายค้านที่เป็นอยู่ ไม่ใช่คิดแต่จะเดินสายโดยไร้เป้าหมายที่เป็นรูปธรรมและยั่งยืนอย่างที่รัฐบาลนายกฯ เศรษฐา จริงจังกับการเดินหน้าติดตามแก้ไขปัญหาฝุ่นควันต่อเนื่อง เพื่อประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับอย่างแท้จริง” น.ส.ลิณธิภรณ์ กล่าว

'ครูมานิตย์' ลั่น!! 'ปานปรีย์' ไม่ใช่คีย์แมนเพื่อไทย ลาออกไปไม่กระทบ ซัด!! ไม่มีคุณสมบัติเป็นนักการเมือง ที่เป็นรมต.ได้ ก็เพราะผู้แทนฯ

(30 เม.ย.67) ที่ทำเนียบรัฐบาล นายครูมานิตย์ สังข์พุ่ม สส.จังหวัดสุรินทร์ พรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์กรณีที่ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร ลาออกจากตำแหน่ง รมว.ต่างประเทศ หลังถูกปรับพ้นตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรี จะส่งผลกระทบต่อพรรคเพื่อไทย หรือไม่? ว่า... 

"ไม่กระทบ นายปานปรีย์ อาจจะเก่งเรื่องวิชาการ แต่ไม่มีคุณสมบัติการเป็นนักการเมือง ความอดทนอดกลั้นไม่มี บางฤดูเข้าไปอยู่ในพรรคก็หายไป ตอนที่มีพรรคไทยรักษาชาติ ก็ไปเดินอยู่ในพรรคไทยรักษาชาติ พอจะมีการจัดตั้งทีมให้ออกไปช่วยงานการเมือง ก็หายไปอีก ตนมองว่านายเศรษฐา ให้เกียรติมาก ที่ให้เป็น รมว.ต่างประเทศและเป็นรองนายกรัฐมนตรี ครั้งนี้ทราบว่า นายกรัฐมนตรีได้พูดคุยแล้วให้รับหน้าที่อยู่ที่กระทรวงเดียว เพราะอยากให้คนอื่นมาทำบ้าง หลายเรื่องต้องมีความผูกพันกับพื้นที่ ซึ่งนายปานปรีย์ ไม่เคยรู้จักพื้นที่อยู่แล้ว และการที่ได้มารับผิดชอบกระทรวงการต่างประเทศ ถือว่าเป็นตำแหน่งใหญ่โตแล้ว เวลาไปเมืองนอกก็เทียบเท่าเป็นบุคคลสำคัญของประเทศไทย ส่วนการส่งหนังสือลาออกให้สื่อมวลชนก่อนส่งให้นายกรัฐมนตรี มองว่าไม่แฟร์ทางการเมือง และพิสูจน์ให้เห็นว่าคนแบบนี้ขาดน้ำอดน้ำทน อยู่กับการเมืองลำบากอยู่ไม่ได้ และในที่สุดก็ต้องอัปเปหิตัวเองออกมา"

ผู้สื่อข่าวถามว่า ในอนาคตนายปานปรีย์ จะยังทำงานร่วมกับพรรคเพื่อไทยได้หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า “ผมไม่ได้ดูถูกดูแคลนเขา เขาเกิดมาไม่ได้มีคุณสมบัติของการเป็นนักการเมือง การเป็นนักบริหาร ซีอีโอ เป็นได้ แต่ทางการเมืองนอกจากเป็นนักบริหารแล้ว ต้องมีความเป็นนักการเมืองด้วย เพราะเป็นงานที่หนัก ต้องมีการบริหารพื้นที่บริหาร สส. บริหารราชการแผ่นดิน เรื่องทุกข์สุขปากท้องชาวบ้านมีเยอะ และเรื่องนี้ยืนยันว่าไม่กระทบต่อพรรคเพื่อไทย เพราะนายปานปรีย์ ไม่ใช่คีย์แมนคนสำคัญของพรรค คนที่เก่งสามารถบริหารกระทรวงการต่างประเทศได้มีอีกเยอะ"

เมื่อถามว่าพูดแบบนี้เป็นการตัดบัวไม่ให้เหลือใย หรือไม่? ครูมานิตย์ กล่าวว่า "ไม่ได้บอกว่าตัดบัวไม่เหลือใจ ตนอยู่การเมืองมานานแทบจะไม่มีโอกาสคุยกับนายปานปรีย์ ทั้งที่คนที่เป็นผู้บริหารต้องมีความผูกพันกับนักการเมือง เช่น นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คมนาคม ที่วันนี้มีนักการเมืองมาหาจำนวนมาก ดังนั้นที่สื่อมาถามว่านายปานปรีย์ ลาออกจะกระทบอะไรกับพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ยืนยันว่าไม่มีผลกระทบ นายปานปรีย์ ไม่ได้ช่วยอะไรมากมาย หลายคนบอกว่าเสียดายนายปานปรีย์ แต่ถามว่าพรรคเพื่อไทยเสียดายหรือไม่ตนไม่รู้ แต่ส่วนตัวตนไม่เสียดาย และคิดว่าผู้แทนคนอื่นคิดเหมือนตน"

"อย่าลืมว่าคุณมาอยู่ตรงนี้ได้ เพราะพวกผมมาจากผู้แทน จึงสามารถจัดตั้งรัฐบาลได้ การไปเป็นรัฐมนตรี ไปเป็นเสนาบดี แต่ไม่มาสัมผัสกับผู้แทนจึงไม่ได้ให้ความสำคัญ และ การที่ปรับตำแหน่งนายปานปรีย์ นายกฯพิจารณา หลายมิติแล้ว" ครูมานิตย์ ทิ้งท้าย

‘นายกฯ’ ป้อง ‘อุ๊งอิ๊ง’ หลังวิจารณ์แบงก์ชาติ อย่างรุนแรง ชี้!! เป็นเสียงสะท้อนของ ปชช. ยัน ‘ให้เกียรติ-ไม่เคยบีบ’ ผู้ว่าฯ ธปท.

(5 พ.ค.67) ที่ท่าอากาศยานทหาร2 กองบิน 6 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ กรณีที่ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย แสดงวิสัยทัศนระบุถึงธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาเศรษฐกิจ บนเวที ‘10 เดือนที่ไม่รอ ทำต่อให้เต็ม 10’ ที่พรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 3 พ.ค.ที่ผ่านมา ทำให้หลายฝ่าย วิพากษ์วิจารณ์การแสดงวิสัยทัศน์ ว่า ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าปัญหาภาวะดอกเบี้ยสูง เป็นประเด็นสำคัญและเป็นรายจ่ายที่ทำให้ประชาชนเดือดร้อน จึงถือเป็นการสะท้อนความเห็นของประชาชน ตนเข้าใจความเป็นอิสระของ ธปท.และพยายามทำงานร่วมกัน ให้เกียรติธปท. แต่หากมีข้อเรียกร้อง ก็ได้เรียกร้องและพูดคุยกัน โดยเฉพาะอัตราดอกเบี้ยที่ควรลดลงมา แต่เชื่อว่า ธปท.มีเหตุผลที่จะไม่ลด จึงเดินหน้าในส่วนของรัฐบาลต่อไป ทั้งการแก้ไขหนี้นอกระบบ การคุยกับธนาคารเอกชน ที่ได้ลดดอกเบี้ยลงมาแล้ว แม้จะลด 25 หรือ 50 สตางค์ ก็มีส่วนช่วยประชาชนได้ จึงเชื่อว่า จะสามารถยึดโยงกับประชาชนได้ และในการลงพื้นที่ในวันที่5-6 พ.ค.นี้ ที่มหาสารคาม และร้อยเอ็ด รวมถึงในปลายสัปดาห์ ที่สุพรรณบุรี กาญจนบุรี ราชบุรี และเพชรบุรี จะรับฟังปัญหาเหล่านี้ต่อไป ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ สถาบันการเงิน นักการเมือง สส. ผู้บริหารพรรคฯ ต่างมาทำหน้าที่เพื่อประโยชน์ประชาชน ส่วนวิธีการแก้ไขปัญหา ก็อาจจะแตกต่างกันไป และทุกคนมีสิทธิวิจารณ์วิจารณ์กันได้ แต่ขอให้ยึดโยงกับประชาชนเป็นหลัก และนำความเดือดร้อนของประชาชน มาเป็นแนวทางการแก้ไขปัญหา 

เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า การแสดงวิสัยทัศน์จากเวทีดังกล่าว ทำให้ฝ่ายค้านมองว่ารัฐบาล พยายามบีบผู้ว่าฯ ธปท.ให้เห็นด้วยกับนโยบายรัฐบาลหรือไม่ นายกฯได้กล่าวตอบว่า ไม่เคยบีบ และสามารถไปฟังจากคำแสดงวิสัยทัศน์ได้ เพราะเป็นการสะท้อนความต้องการของประชาชน ถึงการแก้ไขปัญหา 

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่เมื่อมีการวิจารณ์วิจารณ์ดังกล่าวออกมาแล้ว จะทำให้การทำงานระหว่างรัฐบาล กับ ธปท.ห่างเหิน นายเศรษฐา กล่าวว่า ยอมรับว่ากังวลทุกเรื่อง เพราะไม่อยากให้มีความขัดแย้ง และพยายามแก้ไขปัญหาในส่วนที่ตนสามารถทำได้ เชื่อว่าคำแนะนำของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าฯธปท.ที่เคยได้แนะนำมาว่าการประสานงานระหว่างรัฐบาล กับธปท.ควรกระทำผ่านสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจ หรือ สคร.ที่เป็นหน่วยงานของกระทรวงการคลัง จึงจะมีการพยายามพูดคุยกันต่อไป พร้อมย้ำว่า รัฐบาลให้เกียรติทุกองค์กร 

เมื่อถามถึงการพบเจอกับผู้ว่าฯธปท.อีกครั้ง นายกฯกล่าวว่า หากมีโอกาสจะได้พบ แต่ผู้ว่าฯ ธปท.ได้ขอให้พูดคุยผ่าน สคร.หลังจากนี้จะไปหารือกับนายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกรัฐมนตรี และรมว.คลัง ว่าจะมีการประสานงานช่องทางใด ซึ่งมีหลายช่องทาง เพื่อพูดคุยกับผู้ว่าฯธปท.ได้บ้าง และยืนยันว่ารัฐบาลพยายามทำงานกับทุกคนองค์กรให้ดีขึ้น ไม่สร้างความขัดแย้งจนทำให้ประชาชนเดือดร้อน

‘แก้วสรร’ ชี้ แจกเงินดิจิทัล ‘ทรยศ-ลวงโลก’ แจง!! เป็นเงินเดิมในวงจรอยู่แล้ว ฟาด!! รบ.ไม่เร่งผ่านงบ ซ่อนเจตนาให้เงินเหลือจ่าย เพื่อเอาใส่ในโครงการ

(5 พ.ค.67) นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการอิสระ เผยแพร่บทความ โครงการแจกเงินดิจิตอล : ทรยศและลวงโลก ? มีเนื้อหาดังนี้

ถาม การแจกเงินชาวบ้านคนละ 1 หมื่น   จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจได้จริงไหม?
ตอบ คุณเป็นโรคขาดเลือด เพราะไขสันหลังไม่ทำงานผลิตเม็ดเลือดแดงให้เพียงพอ พอเม็ดเลือดแดงมีน้อย การขนส่งออกซิเจน กับธาตุอาหาร ไปยังเซลล์ต่างๆทั่วร่างกายก็ไม่เพียงพอตามไปด้วย   ร่างกายก็เสื่อมทรุดถึงตายได้ในที่สุด     
นี่คือ ‘วิกฤต’ ที่พรรคเพื่อไทย ยืนยันว่าเกิดขึ้นแล้ว  ต้องเร่งเติมเงินเติมเลือดเข้าไปโดยด่วน 

ถาม แล้วมันสมเหตุผลหรือไม่
ตอบ นักวิชาการเขาก็ยังเถียงกันอยู่  แต่ที่ฟังแล้วผมเห็นด้วยเลยนั้น ก็คือความเห็นที่ว่า งานนี้ คนไข้ขาดเลือด ก็ต้องเอาเลือดใหม่เข้ามาเติม ไม่ใช่ดูดเลือดจากแขนซ้าย ไปอัดใส่แขนขวาแบบนี้   ทำอย่างนี้มันไม่ใช่การเติมเม็ดเลือดใหม่ให้ร่างกาย   มันไม่มีผลสร้างสุขภาพใหม่ขึ้นมาได้

ถาม มันเป็นการดูดเลือดแขนซ้ายไปใส่แขนขวา ยังไงครับ
ตอบ คือที่มาของเงินแจกในครั้งนี้  มันเป็นเงินเดิมเลือดเดิมที่มีในวงจรเศรษฐกิจอยู่แล้ว  อยู่ในงบประมาณ ปี 2567 และ 2568 รวมกว่า 3.7 แสนล้าน และถ้าเอามาจาก ธกส.จริงอีก 1.3 แสนล้าน วงเงินก้อนนี้ก็เป็นเงินที่ ธกส.เขามีและจะให้กู้ช่วยการประกอบการของเกษตรกรอยู่แล้ว  มันจึงไม่ใช่เลือดใหม่อะไรทั้งสิ้น

ถาม เหตุผลเพียงเท่านี้ ก็ไปหาว่าเขาทุจริตลวงโลก เลยเชียวหรือ
ตอบ มันไม่ใช่ ‘เพียงเท่านี้’ นะครับ  คุณไม่เห็นหรือว่า   มันมีการละเว้นหน้าที่  ไม่เร่งรัดผ่านงบประมาณ ปี 2567 เช่นที่ควรจะเป็น  งบปี 67 พึ่งประกาศราชกิจจา ในพฤษภาคม นี้เอง    มีเวลาใช้งบลงทุนเหลืออยู่แค่ 6 เดือน เท่านั้น รับรองว่าผูกมัดหาคู่สัญญาไม่ทันแน่นอน พอพ้นตุลาไปแล้ว ใช้มติ ครม.ผลักเงินที่เหลือจ่าย เข้าโครงการดิจิตอลได้ทั้งหมดเลย

ถาม อาจารย์กล่าวหาว่า เขามีเจตนาประวิงให้งบประมาณ ปี 67 ผ่านล่าช้าเลยเชียวหรือ
ตอบ ถ้าสุจริต ก็ควรต้องเร่งรัดได้เร็วกว่านี้    เป็นรัฐบาลเมื่อ กันยายน 2566   ก็ควรเปิดสภาวิสามัญลุยผ่านงบให้เสร็จได้ในสิ้นธันวา ก็ไม่ทำ   เอื่อยเฉื่อยไปเรื่อยๆ จนเวลาหายไปอีก  4 เดือน วันนี้เหลือเวลาเพียง ๖ เดือนเท่านั้น

ถาม ให้ทุกส่วนราชการเร่งใช้ เร่งหาคู่สัญญามาผูกมัดงบประมาณให้หมด ไม่ได้หรือ
ตอบ ผมถามพรรคพวกในกระทรวงคลังแล้ว เขาบอกว่าไม่มีทางทัน   และที่สำคัญเขาไม่เห็นมาตรการเร่งรัดเช่นที่ควรจะเป็นเลย  

ถาม รัฐบาลที่รู้งาน ควรจะเร่งรัดอย่างไร
ตอบ ถ้าสุจริตตรงไปตรงมาจริงๆ   ต้องมีมติ ครม.โดยพลัน วางมาตรการเร่งรัด เอาไปใช้บังคับในงบทุกรายการ ทุกส่วนราชการเลย   ขั้นตอนหาคู่สัญญาที่ไม่จำเป็นก็ใช้มติ ครม.ยกเว้นเสียให้หมด   ทุกรายการงบประมาณต้องมีแผนปฏิบัติการผูกมัดงบประมาณ เห็นเป็นแผนเวลาชัดเจน  โดยต้องรายงานทุกเดือนว่าคืบหน้าตามแผนหรือไม่  ถ้าล่าช้าต้องรายงานพร้อมเสนอมาตรการแก้ไขมาด้วย   

ถาม แล้ววันนี้ เขาไม่เร่งกันเลยหรือครับ
ตอบ เพื่อนผมบอกว่า   ดีไม่ดีน่าจะแอบส่งสัญญาณห้ามเร่งรีบซะด้วยซ้ำไป คุณดูอาการในงบกระทรวงคมนาคมให้ดีๆก็แล้วกัน

ถาม ถ้าเตะถ่วงได้เต็มที่จริงๆ เงินจะเหลือพอโครงการดิจิตอลไหม
ตอบ เขาพูดกันว่า  เหลือได้ถึง 3 แสน เลยทีเดียว เติมงบกลางอีกหน่อย  ก็ไม่ต้องไปกู้ ธกส.หรอกครับ

ถาม หมายความว่า  ที่รัฐบาลบอกจะกู้ ธกส.1.3๓ แสนล้านนั้น มันเป็นโคมลอย ที่หลอกให้ผู้คนหลงทางโจมตีกันไป อย่างนั้นหรือ
ตอบ ครับ เป็นไปได้อย่างยิ่ง ผมดูทีมรัฐมนตรีเศรษฐกิจชุดใหม่นี่ เขามีดีเอ็นเอ เดียวกันทั้งนั้น  สามารถจะร่วมมือกันดึงงบได้ดีทีเดียว

ถาม ถ้าเป็นจริงอย่างที่เราสงสัย  พฤติการณ์จงใจใช้งบล่าช้าเพื่อแปลงงบแผ่นดินเป็นงบดิจิตอลอย่างนี้  จะมีความผิดหรือไม่ครับ
ตอบ เป็นการละเว้นไม่ปฏิบัติราชการโดยสุจริต มุ่งประโยชน์ทางการเมืองที่มิควรได้ ทำให้เศรษฐกิจบ้านเมืองเสียหายงบแผ่นดินไม่ถูกเร่งผลักดันออกมาใช้ในเวลาอันควร จนบ้านเมืองขาดเงินหมุนเวียนเป็นแสนล้านกว่า ๖ เดือน    

ถาม ฟังดูเหมือน ปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต นะครับ
ตอบ ในทางกฎหมายยังเถียงกันได้ แต่ในทางการเมือง ถูกตราหน้าว่า ‘ลวงโลก’ และ ‘ทรยศต่อหน้าที่’ ได้แน่นอน    
ก็ไม่เป็นไรครับ....บ้านนี้เมืองนี้ ‘ประชาชน’ มีไว้หลอกลวงและป้อนอาหารเม็ดอยู่แล้ว

‘รัชดา’ แนะ ‘เพื่อไทย’ ให้อ่านบทความของ IMF เพื่อจะได้ไม่เขลา เรื่องความเป็นอิสระของ ‘ธนาคารกลาง’

(5 พ.ค.67) น.ส.รัชดา ธนาดิเรก อดีตสส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ และอดีตรองโฆษกรัฐบาล โพสต์เฟซบุ๊กชวนพรรคเพื่อไทย ให้อ่านบทความจาก กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) หัวข้อ Strengthen Central Bank Independence to Protect the World Economy เผยแพร่เมื่อ 21 มี.ค. 24 ซึ่งเป็นประเด็นสืบเนื่องจากที่น.ส.แพทองธาร ชินวัตร หัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวในงานอีเวนต์ของพรรคเพื่อไทยว่า ความเป็นอิสระของธนาคารแห่งประเทศไทย เป็นปัญหาและอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ โดยระบุว่า ...

บทความจาก IMF เรื่องความสำคัญของความเป็นอิสระของธนาคารกลาง เพื่อไทย ควรหาโอกาสอ่าน จะได้มีทัศนคติที่ถูกต้องในการบริหารประเทศ ปลอดอคติจากความเขลาต่อธนาคารแห่งประเทศไทยเสียที

น.ส.รัชดา ระบุว่า บางส่วนที่น่าสนใจของบทความ 

1.ผลสำรวจของ IMF ยืนยันความสำคัญ ‘ธนาคารกลางต้องมีความเป็นอิสระ’ 

2.ธนาคารกลางที่มีlคะแนนความเป็นอิสระสูง ทำได้ดีในการควบคุมการคาดการณ์อัตราเงินเฟ้อของประชาชน ซึ่งช่วยให้อัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับต่ำ 

3.ความเป็นอิสระยังส่งผลต่อการสร้างเสถียรภาพด้านราคา ซึ่งสำคัญต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศในระยะยาว 

4.รัฐบาลและธนาคารกลางต่างมีหน้าที่และบทบาทที่ตนเองต้องรับผิดชอบ ซึ่งต้องหารือกัน ไม่ใช่แทรกแซงกัน เพื่อให้เกิดการควบคุมอัตราเงินเฟ้อ สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจและเพิ่มการจ้างงานที่สำคัญลดความเสี่ยงด้านเสถียรภาพทางการเงิน


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top