Tuesday, 21 May 2024
ผู้สูงอายุ

'มหาวิทยาลัยในจีน' ออกแบบคอร์สเรียนสำหรับ 'ผู้สูงวัย' สอนใช้ 'เทคโนโลยี-ดนตรี' ให้เท่าทันเทรนด์ยุคใหม่

เมื่อวันที่ 7 ธ.ค.66 มหาวิทยาลัยฮาร์บินจัดคอร์สสอนดนตรีและเทคโนโลยีแก่นักศึกษาผู้สูงอายุ โดยแรกเริ่มคอร์สใหม่นี้ถูกใช้เพื่อสอนร้องเพลงคาราโอเกะสำหรับผู้สูงอายุ ก่อนที่จะเสริมวิชาอื่นๆ ให้ตามทันยุคสมัยปัจจุบัน เช่น การตัดต่อวิดีโอ จนคอร์สนี้ได้รับความนิยมอย่างมากในวิทยาเขตซงซานของมหาวิทยาลัยฮาร์บิน ในมณฑลเฮยหลงเจียง

ทางมหาวิทยาลัยได้พัฒนาหลักสูตรการเรียนการสอนเพื่อตามทันเทรนด์โลกอยู่เสมอ โดยเพิ่มวิชาใหม่อีกมากมาย อาทิ เช่น วิชาสำหรับสอนการตัดต่อวิดีโอ การออกกำลังกาย จิตวิทยาสำหรับผู้สูงวัย การเต้นแนวสตรีตแดนซ์ และการใช้โดรน เป็นต้น

คุณฉีซิน ผู้อำนวยการวิทยาเขตซงซาน กล่าวถึงจุดเริ่มต้นของคอร์สเรียนนี้ว่าช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรามักจะเห็นผู้สูงอายุจำนวนมากไปร้องคาราโอเกะ (KTV) เพื่อร้องเพลงร่วมกับสมาชิกในครอบครัวและเพื่อนๆ จึงเกิดความคิดเริ่มผลิตหลักสูตรนี้

สำหรับคอร์สเรียนนี้เปิดสอนครั้งแรกเมื่อวันที่ 30 ต.ค.ที่ผ่านมา และเปิดสอนคอร์สที่สองในวันที่ 4 พ.ย. โดยแต่ละคอร์สมีนักเรียน 42 คน อายุระหว่าง 48-73 ปี ขณะที่ค่าเรียนหนึ่งคอร์สอยู่ที่ 90 หยวน (ราว 444 บาท) สำหรับการเรียนรวม 16 ครั้ง

หวังจินเฟิง หญิงวัย 69 ปี หนึ่งในผู้สมัครเรียน กล่าวว่า แม้เธอจะอายุมากแต่ก็ต้องตามเทรนด์ยุคใหม่เสมอ อย่างเช่นการเรียนรู้วิธีใช้อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ใหม่ๆ ซึ่งหลังจากลงเรียนคอร์สนี้ ตอนนี้เธอใช้แอปตัดต่อวิดีโอพื้นฐานในโทรศัพท์เป็นแล้ว 

แถมในภาคเรียนฤดูใบไม้ร่วงปีหน้า มีผู้สนใจลงทะเบียนเรียนคอร์สนี้มากถึง 39,000 รายในวิทยาเขตทั้ง 8 แห่งของมหาวิทยาลัยฮาร์บิน โดยนักศึกษามีอายุตั้งแต่ 45 ไปจนถึง 90 ปี และคอร์สใหม่ในภาคเรียนปีหน้า จะเปิดสอน 118 หลักสูตร ครอบคลุมอีกหลายสาขา ทั้งศิลปะการใช้ชีวิต การเขียนอักษรวิจิตร วรรณกรรม และเทคโนโลยีสมัยใหม่ เป็นต้น

สุดยอด!! ‘คุณยายวัย 74’ โชว์สกิลแบกเป้ พิชิต ‘ภูกระดึง’ ชาวเน็ตแห่ชื่นชม-ยกให้เป็นแรงบันดาลใจในการท่องเที่ยว

(18 ธ.ค.66) เป็นเครื่องยืนยันว่าหากเราดูแลร่างกายตัวเองดี ๆ อายุเยอะก็เป็นแค่ตัวเลขเท่านั้น เหมือนกับคุณยายท่านนี้ ในวัย 74 แล้ว สามารถท่องโลกกว้าง เดินขึ้นภูกระดึงได้อย่างชิล

โดยผู้ใช้ Tiktok รายหนึ่ง เดินทางไปท่องเที่ยวพิชิตยอดภูกระดึง ได้ถ่ายคลิปบันทึกเหตุการณ์สุดประทับใจเอาไว้ โดยระบุไว้ว่า “ขออนุญาตคุณยายในคลิปครับ อายุเป็นแค่ตัวเลข พิชิตภูกระดึง”

ทว่าในคลิปจะเห็นคุณยายสวมชุดเดินป่าทะมัดทะแมง แบกเป้ และกระเป๋าข้าง สวมหมวกสีขาวปีกกว้าง มีเพียงไม้เล็ก ๆ ช่วยพยุงทรงตัวเท่านั้น ซึ่งเจ้าของคลิปได้ถ่ายวิดีโอนี้ พร้อมให้กำลังใจคุณยายว่า “สู้ ๆ ครับ” ซึ่งคุณยายตอบกลับว่า “จ้า ยายแก่แล้ว ตอนนี้อายุ 74”

หลังจากคลิปดังกล่าวเผยแพร่ไปไม่นาน มีคนเข้ามาแสดงความคิดเห็นจำนวนมาก หลายคนยกให้เป็นแรงบันดาลใจในการออกเดินทางท่องเที่ยว

- “คุณยายไปได้ ป้าก็ต้องไปได้เนาะ”
- “อายุไม่ได้ทำอะไรยายได้ ขึ้นไหวเก่ง ส่วนเรารอกระเช้า ชาตินึ้จะได้เห็นภูกระดึงกับเขาไหมหนอ”
- “เดินสวนกับยาย ยายบอกว่าขึ้นจนจำไม่ได้แล้วว่าขึ้นกี่รอบ ยายเก่งมากก”
- “นี่แหละสิ่งที่ท้าทาย อายุจะเพิ่ม แต่พลังไม่ถอย สู่ยอดเขาผู้พิชิตภูกระดึง”

‘เพจท่องเที่ยวดัง’ เผย ‘คนสูงวัยชาวสวิส’ ไม่นิยมมีบ้าน แต่นิยมเก็บเงิน เพราะการวางแผนชีวิตหลังเกษียณที่ดี ช่วยให้ยามแก่อยู่ได้อย่างสุขสบาย

ในปัจจุบัน ประเทศไทยของเราได้ก้าวเข้าสู่ ‘สังคมผู้สูงอายุ’ (Aging Society) อย่างเต็มรูปแบบ โดยในปี 2566 ข้อมูลจากกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย พบว่า ไทยมีประชากรผู้สูงอายุ อายุ 60 ปีขึ้นไป คิดเป็น 1 ใน 5 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ หรือประมาณ 13 ล้านคน ของประชากรไทยทั้งประเทศ 66,057,967 คน

ดังนั้น การเตรียมตัวเพื่อเข้าสู่วัยสูงอายุ จึงถือเป็นอีก 1 สิ่งสำคัญที่เราสามารถเริ่มได้เนิ่นๆ การวางแผนชีวิต วางแผนการเงิน วางแผนครอบครัว ปรับแนวคิดการอยู่ร่วมกันอย่างเป็นสุข รวมถึงวางแผนการดูแลสุขภาพ หลังเกษียณจากการทํางาน

วันนี้ทางเพจจึงอยากขอยกตัวอย่างการวางแผนชีวิตยามเกษียณ จากคลิปวิดีโอที่ทางเพจ ‘แขพาเที่ยวสวิตเซอร์แลนด์ Khaekhaitravel Switzerland’ ได้ทำการโพสต์เมื่อช่วงปีก่อน ว่าด้วยเรื่องของ ‘คนแก่ที่สวิตเซอร์แลนด์ไม่มีบ้าน เขาอยู่กันยังไง รายได้มาจากไหน?’ โดยเนื้อหาในคลิปดังกว่าระบุว่า…

“ถ้าคนสวิตเซอร์แลนด์ส่วนมาก ไม่มีบ้าน ต้องเช่าอพาร์ตเมนต์ แล้วพอแก่ตัวมา ถ้าเขาไม่มีเงิน เขาจะทํายังไง? เอารายได้มาจากไหน? เพราะค่าครองชีพที่สวิตเซอร์แลนด์สูงมาก…

นี่เป็นคําถามที่คนสงสัยกันเยอะมาก ด้วยความที่ประเทศไทยบ้านเรา ต่อให้ไม่มีเงิน แต่ส่วนมากเราก็จะมีบ้านให้กลับไปอยู่ ตามจังหวัดก็ยังพออยู่ได้ แต่ที่สวิตเซอร์แลนด์ค่อนข้างแตกต่าง เพราะถึงแม้คนสูงวัยที่สวิตเซอร์แลนด์จะไม่มีบ้าน แต่เขามีเงิน เพราะคนสวิสจะได้เงินเกษียณจากการทํางานที่โดนหักจากรายได้ ซึ่งพอเกษียณเขาก็จะได้รับเงินประมาณเดือนละ 2,000 ฟรังก์สวิสขึ้นไป หากตีเป็นเงินไทยก็ประมาณ 75,000 บาท”

โดยคุณแข เจ้าของเพจได้อธิบายเพิ่มเติมว่า “หากใครอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์แล้วมีรายได้แค่ 2,000 ฟรังก์สวิส อาจจะอยู่ลําบาก แต่ก็ได้ยินว่า ถ้าใครไม่มีบ้าน ไม่มีเงิน รัฐบาลสวิสก็จะช่วยเหลือ เดือนละ 800 ฟรังก์สวิส หรือประมาณ 30,000 บาท ซึ่งถ้ามีเงินเพียงเท่านี้แล้วใช้ชีวิตอยู่ในสวิตเซอร์แลนด์ ก็จะต้องประหยัดมาก เพราะต่อให้แก่ตัวไปแล้วแต่รายจ่ายก็ยังมีเหมือนเดิม ซึ่งคนส่วนหนึ่งที่ไม่มีเงินก็จะเลือกย้ายไปอยู่ประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่า อย่างที่ไทยของเรานั้นก็ถือเป็นประเทศที่ถูกจัดอันดับให้เป็นประเทศที่น่าอยู่หลังเกษียณ ซึ่งคนสวิสก็ย้ายมาอยู่ที่ไทยเยอะเช่นกัน บางคนก็หาแฟนเป็นคนไทยไปเลย เพราะจะได้มีคนคอยดูแล

ส่วนย่านที่คนสวิสชอบย้ายมาอยู่ก็จะมีแถวหัวหิน แถวทะเล เพราะคนสวิสชอบอยู่กับธรรมชาติ และเงินเกษียณ 75,00 บาทต่อเดือนนั้นก็อยู่ที่บ้านเราได้สบายมาก นี่จึงถือเป็นข้อดีของการไม่มีบ้าน ไม่มีภาระของที่สวิตเซอร์แลนด์ พอเกษียณปุ๊บก็มาใช้ชีวิตใช้เงินในประเทศที่ค่าครองชีพถูกกว่า

แต่ต้องบอกว่าส่วนมากคนสวิสจะไม่ได้มีเงินกันเพียงแค่นี้ เพราะตอนที่ทํางาน เงินเกษียณของคนสวิสจะถูกหักไว้เป็น 2 ส่วน ส่วนแรกหักให้กับรัฐบาลเพื่อเป็นกองทุนยามเกษียณ รัฐบาลเป็นคนดูแลและเอาเงินไปลงทุน ไปบริหารในจุดที่ไม่เสี่ยงมาก และเงินส่วนที่ 2 คือ เงินที่นายจ้างจะจ่ายสมทบให้ ใครเงินเดือนเยอะก็ถูกหักเยอะ แก่ตัวมาก็ได้เงินคืนเยอะตามไปด้วย อารมณ์ก็คล้ายๆ กับ ‘กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ’ (Provident Fund) ของบ้านเรา แต่ได้เยอะกว่านั่นเอง”

ข้อดีของการอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ คือ เขาได้เงินเดือนเยอะ เขาก็เลยหักเงินเดือนได้เยอะ ทําให้มีเงินเก็บตอนเกษียณเยอะตามไปด้วย แต่บางคนก็อาจไม่ได้มองว่าเป็นข้อดี เพราะหักเยอะแต่กว่าจะได้ใช้ก็ตอนแก่

จริงๆ คนสวิสบางส่วนจะมีเก็บเงินยามเกษียณอีกกองนึง ซึ่งส่วนนี้ทางรัฐฯ ไม่ได้บังคับ ใครจะเก็บก็เก็บ ซึ่งถ้าใครเลือกเก็บเงินในส่วนนี้ ก็จะสามารถใช้ลดหย่อนภาษีได้อีกด้วย คล้ายกับการทําประกัน Retirement Mutual Fund หรือ ‘RMF’ ที่เบิกได้ตอนเกษียณ

“ด้วยโครงสร้างรายได้และรายจ่ายต่างๆ จึงกลายเป็นสาเหตุที่คนสวิตเซอร์แลนด์ส่วนมากต้องรู้จักวางแผนทางการเงิน เพราะถ้าไม่ทํางานก็อยู่ไม่ได้ เพราะที่สวิตเซอร์แลนด์นั้นไม่มีสวัสดิการฟรีเหมือนประเทศอื่นๆ ค่าประกันสุขภาพก็ต้องจ่ายตั้งแต่เกิดยันเสียชีวิต เพราะฉะนั้น คนที่นี่ต้องทํางานจ่ายภาษี ไม่เช่นนั้นตอนแก่จะลําบากมาก ต้องย้ายไปใช้ชีวิตอยู่ที่ประเทศอื่น แต่ส่วนมากคนสูงวัยที่สวิตเซอร์แลนด์มีเงินกัน ตามร้านอาหาร ตามสถานที่ท่องเที่ยวก็มีกลุ่มคนสูงวัยนี่แหละ ที่เป็นกลุ่มคนส่วนใหญ่ที่มาใช้บริการ เพราะเขามีทั้งเงินและเวลา แถมสุขภาพก็ยังแข็งแรงกันด้วย เพราะฉะนั้น ไม่ต้องกังวลเรื่องคนสวิสไม่มีบ้านอยู่กัน เพราะเขามีทางเลือกชีวิตเยอะมาก

เรามาห่วงตัวเราเองดีกว่า ว่าจะอยู่อย่างไร ถ้าไม่วางแผนเกษียณแบบคนสวิส เพราะปัจจุบันเงินเฟ้อขนาดนี้ อีก 30 ปี ไม่อยากจะคิดว่าเราต้องใช้เงินเยอะแค่ไหนในตอนเกษียณ ดังนั้น แม้บ้านเราจะไม่มีโครงสร้างการเกษียณจากรัฐบาลแบบคนสวิส แต่เราสามารถเลือกเก็บเงินแบบที่คนสวิสทำได้ รัฐบาลไม่บังคับ แต่เราบังคับตัวเองได้”

‘จีน’ เดินหน้าหนุน ‘อุตสาหกรรมบริการในบ้าน’ หวังรับมือ-ดูแล ‘ผู้สูงอายุ’ ที่บ้านมากขึ้น

(22 ม.ค.67) สำนักข่าวซินหัวรายงานว่า กระทรวงพาณิชย์จีนเผยว่าจีนได้ออกมาตรการสนับสนุนอุตสาหกรรมการบริการในบ้าน เพื่อรับมือกับความต้องการของประชากรสูงอายุ

จูกวงเย่า เจ้าหน้าที่กระทรวงฯ แถลงว่ากระทรวงฯ ได้ร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องออกมาตรการจูงใจทางภาษี เงินอุดหนุนสตาร์ตอัป และความช่วยเหลือทางการเงินที่มุ่งพัฒนาคุณภาพและการเติบโตของอุตสาหกรรมข้างต้น โดยปัจจุบันอุตสาหกรรมนี้ว่าจ้างแรงงานราว 30 ล้านคน แต่ยังคงมีความต้องการสูงกว่า 50 ล้านคน จึงมีการพยายามเพิ่มจำนวนแรงงาน

จูกวงเย่า กล่าวว่ากระทรวงฯ กำลังสนับสนุนการจัดงานมหกรรมจัดหางานผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อเชื่อมต่อผู้หางานกับนายจ้างได้ดียิ่งขึ้น และการจัดหลักสูตรฝึกอบรมผ่านทางออนไลน์ พร้อมเสริมว่าการจ้างงานจะมุ่งเน้นที่การดูแลผู้สูงอายุที่บ้านมากขึ้น เพื่อตอบสนองต่อความต้องการในด้านนี้ที่เพิ่มสูงขึ้น

ก่อนหน้านี้ จีนได้ออกแนวปฏิบัติเพื่อเสริมสร้าง ‘เศรษฐกิจสีเงิน’ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมทางเศรษฐกิจซึ่งตอบสนองความต้องการพลเมืองสูงวัยด้วยผลิตภัณฑ์และบริการที่ถูกปรับให้เหมาะสม ตลอดจนเตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายของจำนวนประชากรสูงวัยที่ขยายตัว

อนึ่ง ข้อมูลทางการแสดงให้เห็นว่ากลุ่มประชากรอายุ 60 ปีขึ้นไปของจีน มีจำนวนสูงถึง 297 ล้านคน เมื่อนับถึงสิ้นปี 2023 ซึ่งคิดเป็นร้อยละ 21.1 ของประชากรทั้งหมดของประเทศ

'บลูเทค ซิตี้' ร่วมสนับสนุนโครงการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ เขต อบต. สะอ้าน ประจำปี 2567

เมื่อวันที่ (26 ม.ค. 2567) ทีมงานฝ่ายความรับผิดชอบต่อสังคม (CSR) โครงการนิคมอุตสาหกรรม ฉะเชิงเทรา บลูเทค ซิตี้ ได้เข้าร่วมกิจกรรมพร้อมสนับสนุนน้ำดื่ม จำนวน 30 แพ็ค ข้าวสาร 5 กิโลกรัม จำนวน 30 ถุง ให้แก่ โครงการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ ณ วัดท่าสะอ้าน อ.บางปะกง จ.ฉะเชิงเทรา โดยมี นายสนชัย แดงมี นายกองค์การบริหารส่วนตำบลท่าสะอ้าน เป็นประธานเปิดโครงการส่งเสริมสุขภาพผู้สูงอายุ เขต อบตท่าสะอ้าน ประจำปี 2567

เนื่องจากปัจจุบันผู้สูงอายุมีจำนวนเพิ่มมากขึ้น ซึ่งผู้สูงอายุจำนวนมากที่ต้องอยู่บ้าน เนื่องจากลูกหลานไปทำงานนอกบ้าน ทำให้ผู้สูงอายุต้องอยู่เพียงลำพัง ประกอบกับปัญหาด้านสุขภาพที่เสื่อมสภาพไปตามวัย และการเกิดโรคไม่ติดต่อ เช่น โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือดทำให้ส่งผลทางด้านจิตใจ ซึ่งอาจทำให้เกิดโรคภาวะซึมเศร้าได้ หากผู้สูงอายุได้มีการรวมกลุ่มทำกิจกรรมต่าง ๆ มีการพบปะพูดคุยกัน จะทำให้ผู้สูงอายุได้ผ่อนคลายความเครียด และยังมีความรู้ใหม่ ๆ สามารถปฏิบัติตนให้ถูกต้องในด้านการดูแลสุขภาพ

ดังนั้นชมรมผู้สูงอายุตบลท่าสะอ้าน จึงได้จัดทำโครงการสร้างเสริม สุขภาพสำหรับผู้สูงอายุในเขต อบต.ท่าสะอ้าน ประจำปีงบประมาณ 2567 ขึ้นโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อให้ผู้สูงอายุได้มีความรู้ในการปฏิบัติตนในด้านสุขภาพและยังการรวมกลุ่มพบปะพูดคุยผ่อนคลายความตึงเครียด อีกทั้งยังเป็นการสร้างความเข้มแข็งของชมรมผู้สูงอายุองค์การบริหารส่วนตำบลท่าสะอ้าน โดยการอบรมในครั้งนี้ จะมีกลุ่มเป้าหมาย คือ ผู้สูงอายุ จำนวน 160 คน และมีอีก ส่วนที่เราต้องติดตามเยี่ยมผู้ป่วยที่ติดเตียง

‘ลุง-ป้า’ สุดขยัน!! ตัดต้นกระถินยักษ์เผาเป็นถ่านเลี้ยงชีพ ไม่รอเงินหมื่นจากภาครัฐ บอก!! “จะได้รึเปล่ายังไม่รู้”

(22 มี.ค. 67) ผู้ใช้เฟซบุ๊ก 'Pat Sangtum' ได้โพสต์ข้อความในหัวข้อ ‘CHARCOAL MAKER-WOODCUTTER คนตัดฟืนเผาถ่าน’ โดยระบุว่า…

“ทางเข้าบ้านเราด้านหนึ่งเป็นหุบเหว ซึ่งเกิดจากการขุดดินขึ้นไปทำถนน (ไปทะลุที่ตลาดปากช่อง) หุบเขานี้ เวลาผ่านมากว่า 35 ปี ก็กลายที่อยู่อาศัยของสัตว์ต่างๆ ทั้งกระต่าย ไก่ป่า และมีพันธุ์ไม้แปลก ๆ ขึ้นเอง ในช่วงฤดูฝน จะเป็นป่าในหุบเหว ป่านี้เต็มไปด้วยต้นกระถินยักษ์ เพราะแถวดงพญาเย็น ที่เคยถูกถางป่าจนกลายเป็นเขาหัวโล้นทั้งหมด ทางการได้เอาเมล็ดพันธุ์กระถินยักษ์ มาปลูก โดยคิดแต่เพียงว่าเป็นต้นไม้โตเร็ว กระถินยักษ์จึงกระจายไปทั่วบริเวณทั่วทั้งอำเภอ เมื่อเมล็ดกระถินร่วงแล้วขึ้นเป็นต้นใหม่อย่างรวดเร็ว ต้นไม้ป่าธรรมชาติ ก็สู้ไม่ไหว ตายสี่ตายห้ากันหมด แม้เวลาผ่านมาครึ่งศตวรรษ มองไปทางไหนก็เป็นภูเขากระถินยักษ์ มีไม่กี่ลูก ที่ยังเป็นป่าเบญจพรรณ”

ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ ระบุเพิ่มว่า “ลุงป้า มาตัดกระถินในหุบเหวหน้าบ้านทุกวัน เอาไปเผาถ่าน ลุงอายุ 69 ปี ป้า 60 ทั้งคู่ได้รับเงินประกันสังคม ได้รับเบี้ย สว. และลูก ๆ ซึ่งโตกันแล้ว มีหลานแล้ว ก็ให้เดือนละ 3,000 บาท ทั้งสองอยู่ในหมู่บ้านห่างไป 3 กม. มีรถปิคอัพ มีบ้าน แต่ขยันหาเงินตลอดเวลา ไม่นั่ง ๆ นอน ๆ ดูทีวี ลุงวัย 69 แข็งแรงมาก เพราะท่อนไม้ที่ลุงต้องขนขึ้นมาจากเหวนั้น หนักมาก ๆ เราลองยกดู ยกได้แป๊บเดียว ก็หายใจไม่ทันแล้ว แต่ทั้งคู่ ขนขึ้นมาเพื่อเอามาบรรทุกท้ายรถ ทำอย่างนี้วันละ 2 เที่ยว 

และเสริมต่อว่า “ลุงบอกว่า เผาถ่านแล้ว มีคนมารับที่เตา ไม่ต้องไปเร่ขาย เราจึงบอกว่าถ้าแวะมาขนไม้ ก็เอาถ่านมาให้ด้วย ลุงขายถุงละ 30 ก็เลย สั่งไป 10 ถุง ด้วยคิดว่าขนาดถุงจะเหมือนที่ร้านหมูกระทะ หรือร้านขายถ่านในตลาด ทำไว้ขาย ปรากฏว่ามาถึง ขนาดถุงเท่ากับถังแก๊ส ตกใจมากจึงถามว่าทำไมขายถูก ลุงบอกว่าถ้าไปขายต่อให้ขาย 50 บาท”

นอกจากนี้ ผู้ใช้เฟซบุ๊กรายนี้ยังเล่าต่อว่า ตอนนี้ถ้าเราต้องจากไป ไม่ต้องไปวัดเลย ไม่ต้องพึ่งดอกไม้จันทน์ เราถามลุงว่า เงินก็พอใช้แล้ว เดี๋ยวก็ได้จากรัฐบาลอีกหมื่นบาท 

ลุงตอบว่า "ไม่รอหรอก จะได้รึเปล่ายังไม่รู้"

‘คุณปู่วัย 82’ กินกุ้งผัดฉ่า เติมข้าวรอบ 2 สำลัก-อาหารติดคอ เสียชีวิตในบ้านพัก

เมื่อวานนี้ (11 เม.ย. 67) ผู้สื่อข่าวรายงานจาก จ.สมุทรสงคราม ร.ต.อ.วรบูรณ์ บุญมาก รอง สว.สอบสวน สภ.เมืองสมุทรสงคราม ได้รับแจ้งเหตุมีประชาชนอาหารติดคอเสียชีวิตคาชามข้าว จึงรุดไปตรวจสอบพร้อมเจ้าหน้าที่กู้ภัยมูลนิธิสว่างเบญจธรรมสมุทรสงคราม

ในที่เกิดเหตุอยู่ภายในครัวของบ้านหลังหนึ่ง ในพื้นที่ ต.แม่กลอง อ.เมือง จ.สมุทรสงคราม พบศพนายบุญเลี่ยม (สงวนนามสกุล) อายุ 82 ปี สวมเสื้อเชิ้ตสีครีม นุ่งกางเกงขายาวสีเทา นอนเสียชีวิตอยู่บริเวณกลางห้อง ใกล้กันพบจานข้าว 1 จาน และกุ้งแม่น้ำผัดฉ่าวางอยู่

นายวิรัตน์ (สงวนนามสกุล) อายุ 55 ปี หลานชายผู้ตาย กล่าวว่า คุณปู่อาศัยกับบิดาและมารดาของตน แต่วันนี้ไปทำงานที่กรุงเทพฯ ตนซึ่งอยู่บ้านใกล้กันจึงมาช่วยดูแล ทุกวันจะคอยดูแลจัดสำรับกับข้าวให้คุณปู่กินตามเวลา 3 มื้อ โดยช่วงก่อนเกิดเหตุตนอาบน้ำให้ปู่ และนำข้าวสวยกับกุ้งผัดฉ่ามาให้ปู่กิน กระทั่งปู่กินข้าวหมดไป 1 จาน ตนก็ถามจะเติมข้าวอีกไหม คุณปู่บอกว่าเติม ตนจึงตักข้าวเพิ่มให้ แล้วก็เดินออกมาคุยกับญาติพี่น้องข้างนอกบ้าน พอเดินกลับมาหาปู่ เห็นปู่กำลังตักข้าวเข้าปาก จากนั้นก็เกิดสำลักอาหาร ตนพยายามช่วยตบหลัง แต่ก็ไม่ยอมอาเจียนออกมา ไม่นานก็เริ่มชักตัวเกร็ง ตนรีบไปเรียกน้าสาว และโทร 1669 แจ้งเจ้าหน้าที่มาช่วยเหลือแต่ก็ไม่ทัน

เบื้องต้นเจ้าหน้าที่สันนิษฐานว่า ผู้ตายซึ่งอายุมากแล้วทำให้สำลักอาหารง่ายอาจจะกินข้าวกับกุ้งแม่น้ำผัดฉ่า อย่างเอร็ดอร่อย จนสำลักแล้วทำให้อาหารลงไปติดที่หลอดลมเสียชีวิต ซึ่งญาติไม่ติดใจสาเหตุการเสียชีวิตจึงมอบศพนายบุญเลี่ยมให้ญาตินำไปประกอบพิธีทางศาสนาต่อไป

‘วราวุธ’ กำชับ!! ศรส.ปทุมธานี รุดช่วยยายวัย 67 ปี หลังนอนจมอุจจาระ-ปัสสาวะ ในห้องเช่าเพียงคนเดียว

(13 พ.ค. 67) นางสาวซาราห์ บินเย๊าะ รองปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รองปลัด พม.) ในฐานะประธานคณะทำงานขับเคลื่อนศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เปิดเผยถึงการช่วยเหลือคุณยายอายุ 67 ปี ด้วยการงัดห้องเช่า เพราะมีกลิ่นไม่พึงประสงค์โชยออกมา ที่ จังหวัดปทุมธานี ว่า ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) จัดตั้งขึ้นตามนโยบายของนายวราวุธ ศิลปอาชา รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (รมว.พม.) เพื่อให้เป็นที่พึ่งของพี่น้องประชาชนและศูนย์กลางการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพ โดยนายวราวุธ ศิลปอาชา รมว.พม. ได้สั่งการให้ ศรส.จังหวัดปทุมธานี ส่งทีมปฏิบัติการหน่วยเคลื่อนที่เร็ว ลงพื้นที่ช่วยเหลือคุณยายโดยด่วน หลังได้รับการประสานงานจากเทศบาลตำบลบางเดื่อ อำเภอเมือง จังหวัดปทุมธานี 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า วันที่ 12 พ.ค. 67 ศรส.จังหวัดปทุมธานี , กันจอมพลัง , หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง และอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ร่วมกันลงพื้นที่ให้ความช่วยเหลือคุณยาย โดยได้งัดห้องเช่า พบว่า คุณยายอาศัยอยู่เพียงคนเดียว มีสภาพอิดโรย นอนจมอุจจาระและปัสสาวะ ไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ เนื่องจากประสบอุบัติเหตุจากรถมอเตอร์ไซค์ เมื่อ 2 เดือนก่อน โดยจะมีเพื่อนบ้าน อสม. อพม. คอยเข้ามาช่วยดูแล แต่มีน้องสาวทำงานที่กรุงเทพฯ จะคอยดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้ ด้วยการส่งเงินเป็นรายเดือน เนื่องจากป่วยเป็นมะเร็ง จึงไม่สามารถรับพี่สาวไปดูแลได้ 

นางสาวซาราห์ กล่าวว่า ได้นำคุณยายไปโรงพยาบาล เพื่อตรวจสุขภาพและรักษาการอาการป่วยในเบื้องต้น อีกทั้งจะดำเนินการติดตามหาญาติพี่น้องของคุณยายเพิ่มเติม อีกทั้ง เมื่อโรงพยาบาลได้สิ้นสุดการรักษาคุณยายแล้ว ศรส.จังหวัดปทุมธานี จะรับตัวเพื่อเข้ารับการคุ้มครองสวัสดิภาพที่ศูนย์พัฒนาการจัดสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ (ศพส.) จังหวัดปทุมธานี อย่างไรก็ตาม หากพบเห็นผู้สูงอายุถูกทอดทิ้ง หรือประสบปัญหาความเดือดร้อนทางสังคม ขอให้รีบโทรแจ้ง ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน หรือ ศรส. กระทรวง พม. ผ่าน สายด่วน พม. 1300 บริการตลอด 24 ชั่วโมง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top