Saturday, 18 May 2024
บิ๊กป้อม

‘บิ๊กป้อม’ ร่อนจดหมายตอบปม ‘จะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร?’  ย้ำ!! พปชร. พร้อมตั้งรัฐบาลที่เป็นความหวังของคนไทย

(19 เม.ย.66) เพจเฟซบุ๊กพลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นเพจทางการของพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) โพสต์ข้อความระบุว่า จะ ‘จัดตั้งรัฐบาล’ อย่างไร ดูจะยังเป็นประเด็นสับสน เกิดการพูดต่อๆ กันไปมากว่า ‘พลังประชารัฐ’ คิดอย่างไรกับการ ‘จัดตั้งรัฐบาล’ การเมืองไทยตอนนี้มีความซับซ้อน ผมจะค่อยๆ อธิบายให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้น และผมคิดว่า ‘การจัดตั้งรัฐบาล’ ควรจะทำอย่างไร

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ที่ว่า ‘การเมืองไทยขณะนี้ซับซ้อน’ เพราะมีหลายปัจจัยที่นำมาใช้กำหนดความเป็นไปของอำนาจทางการเมืองในทุกเรื่อง ตรงนี้มาพูดกันเฉพาะเรื่องการจัดตั้งรัฐบาล จะจัดตั้งกันอย่างไร ต้องเริ่มจาก “ผลการเลือกตั้ง” มาดูกันว่าประชาชนเลือกพรรคไหนมาเท่าไร แต่ละพรรคมี ส.ส.ได้รับเลือกเข้ามากี่คน เห็นตัวเลขแต่ละพรรคแล้ววางไว้ก่อน มาสู่ขั้นตอนเปิดประชุมรัฐสภาเพื่อเลือกนายกรัฐมนตรี คนที่เป็นนายกรัฐมนตรีจะต้องเป็นผู้ได้รับการเสนอชื่อจากพรรคการเมืองที่มี ส.ส.ไม่น้อยกว่า 25 คน และได้รับเสียงสนับสนุนจากสมาชิกรัฐสภา อันหมายถึง ส.ส.และ สว.รวมกันไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่ง คือประมาณ 376 คน

ขั้นตอนการได้มาซึ่งนายกรัฐมนตรีเป็นขั้นตอนที่เป็นทางการขั้นตอนแรก หลังจากนั้นจึงมีการจัดตั้งรัฐบาล เป็นการหาความตกลงร่วมกันว่าพรรคไหนจะร่วมกับพรรคไหน ในวิถีที่ควรจะเป็น คือจะต้องรวมกันแล้วมีเสียงส.ส.อย่างน้อยมมากกว่ากึ่งหนึ่งของสภาผู้แทนราษฎร คือเกินกว่า 250 เสียง ต้องพยายามหาทางให้เป็นรัฐบาลที่มีเสถียรภาพมากที่สุด คือเสียง ส.ส.ร่วมสนับสนุนมากเท่าไรยิ่งดีเท่านั้น หากได้รับโหวตเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว จะจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อยก็ได้ แต่คงไม่มีนายกรัฐมนตรีคนไหนอยากให้เป็นรัฐบาลแบบนี้

ขั้นตอนอย่างเป็นทางการเริ่มต้นอย่างนั้น ต้องเข้าใจตรงนี้ก่อน แต่ในทางปฏิบัติจริง มีประเด็นที่ต้องมาพิจารณาซับซ้อนกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นความชอบธรรมของพรรคการเมือง ที่ได้ ส.ส.มากที่สุด ต้องมีสิทธิเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลก่อน พรรคการเมืองต่างๆ จะแบ่งขั้วแบ่งฝ่ายกันอย่างไร / ร่วมกับใครแล้วได้รับการตอบสนองข้อเสนอดีกว่า ใครคือผู้กุมอำนาจที่แท้จริง ระหว่างอำนาจของ ส.ส.ที่มาจากการเลือกตั้ง กับอำนาจที่ซ่อนอยู่ในกลไกตามรัฐธรรมนูญ อันไหนมีอิทธิพล หรือสามารถกำหนดการจัดตั้งรัฐบาลได้มากกว่า และอื่นๆ อีกมากมาย หลายเรื่องที่มีความสำคัญต่อการตัดสินใจ เป็นเงื่อนไขที่ยังไม่เกิดขึ้นเสียด้วยซํ้า คนที่มีประสบการณ์การเมืองจะรู้ว่า ในการจัดตั้งรัฐบาลทุกครั้งที่ผ่านมา ล้วนมีเรื่องราวที่แปรเปลี่ยนไป ไม่เคยเป็นไปอย่างที่ประกาศไว้ในช่วงหาเสียงทั้งนั้น มีข้อมูลที่จะพูดถึงการปรับเปลี่ยนของพรรคเพื่อเป็นประโยชน์กับประเทศชาติ และประชาชนมากที่สุดเสมอ

ตัวอย่างล่าสุดที่เห็นในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ปี 2562 ผู้นำพรรคการเมืองหลายพรรคประกาศตัวไว้อย่างหนึ่ง แต่พอถึงการจัดตั้งรัฐบาลจริง ต้องเข้าร่วมด้วยเหตุผลอีกอย่างหนึ่ง เช่นพรรคประชาธิปัตย์ หัวหน้าพรรคนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่ยอมให้พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่พอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมโดยหัวหน้าพรรคคนใหม่ แค่ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกไป โดยมีประโยชน์ของประชาชนมากมายมาใช้อ้าง

เช่นเดียวกับ “นายอนุทิน ชาญวีรกุล” ให้สัมภาษณ์ในข่าวลงวันที่ 8 มีนาคม 2562 ใจความสำคัญกล่าวว่า ไม่เห็นด้วยที่ให้ ส.ว.เลือกนายกฯ ลั่นอยู่คนละขั้วกับทหาร-พปชร. และได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้ง ในเนื้อหาข่าวเมื่อวันที่ 10 กันยายน 2565 ว่าเฉลยแล้วปี 62 จับมือ พปชร.ตั้งรัฐบาล เพราะผมไม่อยากอยู่กับระบบ คสช. ไม่เว้นแม้แต่พรรคพลังประชารัฐ ที่นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ เคยประกาศเอาไว้ว่าจะไม่รับตำแหน่ง หากได้เป็นรัฐบาล แต่สุดท้ายก็รับตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ไม่ใช่เรื่องผิดหรือแปลกประหลาดอะไร อย่างที่บอกว่า หากมีประสบการณ์การเมืองมายาวนานเพียงพอจะรู้ว่า “นี่คือความปกติของการเมืองไทย” แม้ว่าสื่อและสังคมไทยจะไม่ยอมรับก็ตาม การเมืองไทยทุกเรื่องจึงขึ้นอยู่กับการเจรจาตามเงื่อนไขเฉพาะหน้า โดยเฉพาะเรื่องสำคัญระดับ “จะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร จะร่วมรัฐบาลกับใคร” จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องรอขั้นตอนที่เหมาะสม การตัดสินใจประกาศว่าจะต้องอย่างนั้นอย่างนี้ เป็นที่รู้กันว่านั่นเป็นแค่การหาเสียง ที่เป็นจริงคือการเจรจาด้วยเหตุผลเฉพาะหน้า

‘บิ๊กป้อม’ เห็นชอบแก้ปัญหาพื้นที่ทับซ้อนป่าสงวนฯ พร้อมสั่งเข้ม ‘ฟื้นฟูหญ้าทะเล-อนุรักษ์วาฬบรูด้า’

(19 เม.ย.66) พล.ท.พัชร์ชศักดิ์ ปฏิรูปานนท์ ผช.โฆษก รอง นรม.เปิดเผยว่า พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ได้เป็นประธานการประชุม 2 คณะ ต่อเนื่องกัน คือคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ และคณะกรรมการนโยบายและแผนการบริหารจัดการทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่งแห่งชาติ โดยมี นายจตุพร บุรุษพัฒน์ ปล.ทส. และ พล.อ.สนิธชนก สังขจันทร์ ปล.กห. เข้าร่วมประชุม ณ ห้องประชุมมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด ผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์

เวลา 09.30 น. ได้เรียกประชุมคณะกรรมการนโยบายป่าไม้แห่งชาติ ครั้งที่ 1/2566 ซึ่งที่ประชุมได้ร่วมกันพิจารณาเห็นชอบ เรื่องสำคัญเพื่อแก้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชน จากกรณีพื้นที่นิคมสร้างตนเองทับซ้อนกับพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ จ.ประจวบคีรีขันธ์ โดยมีมติให้เพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่ากุยบุรี บางส่วนในท้องที่ ต.บ่อนอก ต.อ่าวน้อย ต.เกาะหลัก ต.คลองวาฬ ต.ห้วยทราย อ.เมือง จ.ประจวบคีรีขันธ์ และเพิกถอนป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่ตาลและป่าแม่ยุย และป่าสงวนแห่งชาติป่าแม่หาด บางส่วน ที่ทับซ้อนกับพื้นที่ตามพระราชกฤษฎีกาการจัดตั้งนิคมสร้างตนเอง ในท้องที่ อ.ฮอด จ.เชียงใหม่ พ.ศ. 2512 และให้นำเสนอ ครม.ต่อไป

‘ชัยวุฒิ’ ชี้ ‘ลุงป้อม’ เป็น Soft Power ที่จะทำให้ทุกคนสามัคคีกัน ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจน 

“ทุกวันนี้สังคมไทยมีการขัดแย้งทางการเมืองกันแบบสุดโต่ง ทั้งซ้ายจัด ขวาจัด บางคนอยากเปลี่ยนประเทศ คนไทยก็รับไม่ได้ และอาจทำให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงในอนาคต และบางคนก็คิดแต่เรื่องที่เป็นเรื่องครอบครัว เรื่องส่วนตัวมากเกินไป ทำให้คนอีกกลุ่มหนึ่งก็รับไม่ได้เช่นเดียวกัน 

ผมคิดว่าความขัดแย้งต่างๆ มีโอกาสเกิดขึ้นแน่นอน ถ้าการเลือกตั้งครั้งนี้ ส่งผลให้เกิดความขัดแย้งรุนแรงมากขึ้นหลังเลือกตั้ง ผมว่าจะส่งผลต่อการบริหารราชการแผ่นดินนะครับ และทำให้บ้านเมืองมีปัญหาได้ในอนาคต 

ลุงป้อมจะเป็น Soft Power ที่ทำให้ทุกคนทำงานร่วมกัน รักกัน สามัคคีกันได้ สิ่งนี้คือหัวใจสำคัญที่จะทำให้ประเทศชาติเราเดินหน้าไปได้ ประชาชนก็จะอยู่ดีกินดี ก้าวข้ามความขัดแย้ง เพื่อก้าวข้ามความยากจน 

‘บิ๊กป้อม’ หาเสียงฉะเชิงเทรา วอน ปชช. กา พปชร. เบอร์ 37 ลั่น!! หากได้เป็นรัฐบาลจะลดทันทีค่าน้ำมัน-ค่าแก๊ส-ค่าไฟฟ้า

(19 เม.ย.66) ในการปราศรัยหาเสียงของ พรรคพลังประชารัฐ โดยจัดเวทีที่ลานวัดสมานรัตนาราม ต.บางแก้ว อ.เมือง จ.ฉะเชิงเทรา เพื่อช่วยผู้สมัคร 4 เขต ประกอบด้วย นายรัฐสภา นพเกต เขต 1 นายอรรถกร ศิริลัทธยากร เขต 2 นายสายัณห์ นิราช เขต 3 และ พล.ต.ท.พิทักษ์ จารุสมบัติ เขต 4 ท่ามกลางประชาชนที่มาร่วมฟังปราศรัยจำนวนมาก

พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ กล่าวปราศรัยตอนหนึ่งว่า ตนและพรรคพลังประชารัฐพร้อมแล้วที่จะทำงานรับใช้ชาวฉะเชิงเทราให้เจริญรุ่งเรือง พลังประชารัฐได้เลือกคนดีและคนเก่งมาเป็นผู้แทนของชาวฉะเชิงเทราทั้ง 4 เขต โปรดเลือกผู้สมัครทั้ง 4 เขต และขอให้เลือกหมายเลข 37 ด้วย

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า อยากสื่อสารให้พี่น้องทราบว่าที่ผ่านมาประเทศพัฒนาได้ยาก พลังประชารัฐจึงนำเสนอนโยบายที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชนมากมาย ทั้งบัตรสวัสดิการแห่งรัฐที่เพิ่มเป็น 700 บาทต่อเดือน ลดราคาน้ำมัน ราคาแก๊ส และค่าไฟฟ้าลงในทันทีที่เข้ามาเป็นรัฐบาล โดยจะลดราคาน้ำมันเบนซินลง 18 บาทต่อลิตร น้ำมันดีเซลลด 6.30 บาทต่อลิตร ซึ่งจะทำทันทีที่พลังประชารัฐได้เข้ามาเป็นรัฐบาล รวมทั้งยังมีมาตรการลดราคาแก๊สให้เหลือ 250 บาทต่อถัง ที่สำคัญ คือ ลดค่าไฟฟ้าครัวเรือนให้เหลือ 2.50 บาทต่อหน่วย และลดค่าไฟฟ้าภาคอุตสาหกรรมเหลือ 2.70 บาทต่อหน่วย เพื่อมอบความสุขให้ประชาชนด้วยความจริงใจ พลังประชารัฐจะทำทุกอย่างเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดีขึ้น

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ที่ผ่านมาหลายอำเภอในฉะเชิงเทราได้รับการดูแลจากตน พลังประชารัฐจะแก้ปัญหาความยากจน เราจะก้าวข้ามความยากจนไปด้วยกัน ด้วยการลดความเหลื่อมล้ำ สร้างงาน สร้างรายได้ ยกระดับการศึกษา อย่างถนนหมายเลข 304 จะเป็น 4 เลน เราจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ประชาชนอยู่ดีกินดี

นอกจากนี้ นโยบายมีเราไม่มีแล้ง ได้ลงพื้นที่ดูแลเรื่องน้ำหลายครั้งเพื่อดูแลแก้ปัญหาเรื่องน้ำให้กับพี่น้องประชาชน โดยเฉพาะเรื่องน้ำเค็ม น้ำอุปโภค บริโภค และน้ำเพื่อการเกษตร และได้ทำโครงการต่างๆให้กับพี่น้องชาว จ.ฉะเชิงเทรา เป็นจำนวนมาก เรื่องที่ทำกินได้มอบหนังสืออนุญาตทำประโยชน์หลายครั้ง โดยเฉพาะพื้นที่เขาตะเกียบ

‘บิ๊กป้อม’ ให้กำลังใจ ‘ทัพนักกีฬาไทย’ สู้ศึกซีเกมส์กัมพูชา มั่นใจ!! วิทยาศาสตร์การกีฬา เพิ่มผลงาน-สร้างชื่อเสียงให้ประเทศชาติ

(20 เม.ย.66) ที่ห้องประชุมคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย มีพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธานประชุมคณะกรรมการโอลิมปิกแห่งประเทศไทย มีวาระพิจารณาการดำเนินกิจกรรมต่าง ๆ ของคณะกรรมการ และความพร้อมของทีมนักกีฬา และเจ้าหน้าที่ไทยในการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ ครั้งที่ 32 ที่กัมพูชา ที่จะมีขึ้นระหว่าง 5-17 พ.ค.นี้ และพิจารณาความร่วมมือจากภาคเอกชนในการสนับสนุนการแข่งขัน ตลอดจนการเตรียมความพร้อมของประเทศไทยในการเตรียมเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 33 ในปี พ.ศ. 2568

สำหรับ กีฬาซีเกมส์ครั้งที่ 32 ณ ราชอาณาจักรกัมพูชาที่จะมีขึ้นในเดือนพฤษภาคมนี้ ไทยเตรียมส่งนักกีฬาทีมชาติเข้าร่วมการแข่งขัน จำนวน 846 คน ประกอบด้วยนักกีฬาชาย 486 คน นักกีฬาหญิง 360 คน และเจ้าหน้าที่ รวมทั้งสิ้น จำนวน 1,276 คน ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการทดสอบสมรรถภาพของนักกีฬาครั้งล่าสุดเมื่อ 18 เมษายน พบว่าภาพรวมผ่านเกณฑ์มาตรฐานอยู่ในเกณฑ์ดีและดีมาก พร้อมลงทำหน้าที่แข่งขันอย่างเต็มที่ต่อไป

‘ผู้กองมาร์ค’ ชู ‘แก้ไขปัญหาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน’ ลั่น!! หาก ‘บิ๊กป้อม’ ได้เป็นนายกฯ พร้อมขจัดทุกปัญหา

(20 เม.ย.66) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ร.ต.อ.วัฒนรักษ์ อำนรรฆสรเดช ผู้สมัคร ส.ส.เขตบางซื่อ - ดุสิต พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) กล่าวในงานโครงการลมวิเศษ ณ แพทยสมาคมแห่งประเทศไทย ว่า ทุกนโยบายของพรรคพลังประชารัฐสามารถทำได้ทันที โดยเฉพาะการแก้ไขปัญหาฝุ่น PM 2.5 หยุดการเผาและลดปัญหาฝุ่นละอองขนาดเล็ก หยุดเผาป่าเผาไร่นาและเศษวัสดุทางการเกษตร และเพิ่มมูลค่าด้วยการแปรรูปและนำไปผลิตกระแสไฟฟ้าชีวมวล ลดปัญหาหมอกควันในภาคเหนือและเมืองใหญ่ โดยจัดการและเพิ่มประสิทธิภาพการใช้ การอนุรักษ์ การป้องกัน บำบัดและฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ดิน น้ำ อากาศ สัตว์ป่า พันธุ์พืช แร่ธาตุ และสิ่งแวดล้อมอย่างสมดุล

'บิ๊กป้อม' ชู!! นโยบายใหญ่ 'อีสานประชารัฐ'  ความเจริญทั่วอีสาน เชื่อมประสานสู่ทะเล

‘บิ๊กป้อม’ ชู ‘อีสานประชารัฐ’ สร้างรถไฟทางคู่ บึงกาฬ-EEC 480 กม. สร้างนิคมอุตสาหกรรม-อาชีวะ-ท่าเรือบก-ทางหลวงพิเศษ 8 เลน ลั่นจะทำให้อีสานเจริญ ‘สันติ’ เหน็บที่ผ่านมามีแต่พรรคขอแลนด์สไลด์ แต่ไม่เคยคิดพัฒนาให้ บอกถ้า พปชร.เป็นรัฐบาลทำจริงทำทันที ‘ไพบูลย์’ ยันยื่นแจงนโยบายต่อ กกต.แล้ว ย้ำนโยบาย พปชร.ทำมาเพื่อชนะแลนด์สไลด์

(20 เม.ย.66) ที่พรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรค พร้อมด้วย นายสันติ พร้อมพัฒน์ รมช.คลัง ในฐานะเลขาธิการพรรค พล.อ.ธรรมรักษ์ อิศรางกูร ณ อยุธยา ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค ร่วมแถลงเปิดนโยบาย ‘อีสานประชารัฐ’ พัฒนาภาคอีสานด้วยรถไฟทางคู่ บึงกาฬ-อู่ตะเภา

โดย พล.อ.ประวิตร กล่าวเปิดนโยบายว่า เราจะพัฒนาภาคอีสาน และภาคตะวันออก ให้เป็นรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ - ท่าเรือแหลมฉบัง - ท่าเรือมาบตาพุด - สนามบินอู่ตะเภา จ.ระยอง โดยเป็นการพัฒนาพื้นที่ 24 จังหวัดในภาคอีสาน และภาคตะวันออก สอดรับกับโครงการ EEC โดยทางรถไฟจะผ่าน 13 จังหวัด ได้แก่ บึงกาฬ  อุดรธานี สกลนคร กาฬสินธุ์ ร้อยเอ็ด สุรินทร์ บุรีรัมย์ นครราชสีมา สระแก้ว ปราจีนบุรี ฉะเชิงเทรา ชลบุรี ระยอง และยังเชื่อมต่ออีก 11 จังหวัด ได้แก่ หนองคาย ขอนแก่น ชัยภูมิ นครพนม มุกดาหาร อุบลราชธานี อำนาจเจริญ ยโสธร ศรีษะเกษ หนองคาย และหนองบัวลำภู ระยะทางรวมประมาณ 480 กม.โดยเราได้สำรวจเส้นทางมาเรียบร้อยแล้ว และจะสร้างเมื่อเราได้เป็นรัฐบาล

พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราทำเพื่อคนอีสานโดยเฉพาะ เพื่อจะได้มีงาน สร้างงาน สร้างอาชีพให้คนอีสาน เพราะน้ำเขาก็น้อย การเกษตรก็มีข้อขัดข้องเยอะ คนอีสานออกมาทำงานต่างจังหวัดทั้งนั้น เราทำโครงการนี้เพื่อชาวอีสานโดยเฉพาะ อย่าเพิ่งถามถึงภาคอื่น เอาให้ภาคอีสานเจริญ โดยภาคอีสานมีทั้งหมด 133 เขต คิดเป็น 1 ใน 3 ของประเทศ

ผู้สื่อข่าวถามว่า การมาทำโครงการใหญ่ในภาคอีสานจะเป็นการทำให้ภาคอื่นรู้สึกน้อยใจหรือไม่ พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า เราทำอีสานก่อน จากนั้นจะทำภาคเหนือและใต้ต่อไป อันนี้คิดกันมาหลายปีแล้ว อย่าเพิ่งไปคิดว่ามันจะเสร็จพรุ่งนี้

เมื่อถามว่า กังวลหรือไม่ว่าจะส่งผลต่อคะแนนเสียง พล.อ.ประวิตร กล่าวว่า ไม่มี ไม่ต้องห่วง ขอบคุณที่เป็นห่วง แต่ตนไม่ห่วง ส่วนเรื่องงบประมาณที่จะใช้นั้น ไม่ต้องห่วง ยังไม่ได้คิดแต่สามารถดำเนินการได้แน่นอน

ด้าน นายสันติ กล่าวว่า เราจะพัฒนาอีสาน เปิดภาคอีสานของเราให้ทันต่อโลก เนื่องจากดูแต่ละพรรคการเมืองแล้วมีแต่ที่จะขอให้ชาวภาคอีสานทั้ง 20 จังหวัด และภาคตะวันออก 5 จังหวัด ขอแต่แลนด์สไลด์ แต่ไม่เคยเห็นพรรคการเมืองใดเลยที่คิดว่าจะพัฒนาภาคอีสานให้พ้นความยากจน หรือนำเงินลงทุนมหาศาลไปพัฒนา ซึ่งไม่มีเลย มีแต่ พปชร.ที่ให้ความสำคัญกับชาวอีสาน ตลอดระยะเวลากว่า 20 ปีภาคอีสานไม่ได้รับการพัฒนาใดๆ เลย พปชร.จึงมีความมุ่งมั่นตั้งใจที่จะก่อสร้างทางรถไฟทางคู่ จาก จ.บึงกาฬ ที่อยู่บนสุดของอีสานวิ่งตรงลงมาผ่านภาคอีสานทางตะวันออกทั้งภาค มาถึงท่าเรือแหลมฉบัง ท่าเรือมาบตาพุด และสนามบินอู่ตะเภา เพื่อเปิดโลกให้ชาวอีสาน

นายสันติ กล่าวว่า สำหรับรถไฟทางคู่แบบใหม่ที่เราจะทำนั้น จะมีรางขนาด 1.435 ม.ซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับรถไฟความเร็วสูง จะมีการสร้างทางหลวงพิเศษ 8 ช่องจราจร ตลอดแนวเส้นทางรถไฟ จะมีการสร้างนิคมอุตสาหกรรม ขนาด 20,000 ไร่ 6 แห่ง กว่า 6,000 โรงงาน โดยเป็นนิคมอุตสาหกรรมนำสมัย นอกจากนี้ จะมีการสร้างวิทยาลัยอาชีวะใกล้นิคมอุตสาหกรรม นิคมฯละ 2 แห่ง รวม 12 แห่ง เพื่อเตรียมแรงงานที่มีทักษะและคุณภาพรองรับอุตสาหกรรมที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ ยังมีโครงการพัฒนาท่าเรือบก ซึ่งจะเป็นพื้นที่รองรับผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากนิคมอุตสาหกรรมที่จัดตั้งขึ้นก่อนที่จะมีการขนส่งไปยังท่าเรือน้ำลึกที่ภาคตะวันออก

“หลายสิบปีที่ผ่านมา ชาวอีสานได้รับการพัฒนาอย่างเชื่องช้า มีแต่คนไปขอให้แลนด์สไลด์ แต่ยังไม่เคยได้ยินพรรคใดที่ตั้งใจที่จะไปพัฒนาภาคอีสานเพื่อลูกหลานอยู่ดีกินดี เราจึงขอแรงใจทั้ง 133 เขตให้กับ พปชร.เพื่อ พปชร.จะได้มีอำนาจในการมาพัฒนาภาคอีสาน และเรามั่นใจว่าชาวอีสานจะต้องเลือก พปชร.ทั้ง 133 เขต เพื่อให้ พปชร.เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล และใน 133 เสียง ที่เลือกเราเข้าไปในสภาจะไปยกมือสนับสนุนให้ พล.อ.ประวิตร เป็นนายกรัฐมนตรี ตนยืนยันว่าโครงการเหล่านี้ทำจริง ทำทันที แต่เราจะต้องมีนายกฯเป็นคนที่จะใช้อำนาจผลักดันโครงการดีๆ เหล่านี้ได้” นายสันติ กล่าว

‘บิ๊กป้อม’ ยัน!! ไม่ได้เป็นเผด็จการจำแลง มีจิตวิญญาณประชาธิปไตย ชี้ การแก้รัฐธรรมนูญ ใช้บัตรสองใบ เป็นผลงานก้าวข้ามความขัดแย้ง

(21 เม.ย. 66) ผู้สื่อข่าวรางงานว่า แฟนเพจเฟซบุ๊ก ‘พลเอก ประวิตร วงษ์สุวรรณ’ โพสต์ข้อความระบุว่า…

ตอนนี้การหาเสียงเริ่มที่จะแสดงออกด้วยการโจมตีกันรุนแรงมากขึ้นอีกแล้ว จะเห็นว่า ระดับผู้นำของพรรคการเมืองกลับมาเล่นงานคนที่มีความคิดแตกต่างกับตัวด้วยท่าทีก้าวร้าว ขนาดขับไล่ไสส่งให้ ไปเสียให้พ้นจากแผ่นดินไทย

ขณะที่อีกฝ่ายก็เอาแต่ประกาศกร้าวตัดขาดที่จะร่วมมือกับฝ่ายกีดกันไว้เป็นฝ่ายตรงกันข้าม เป็นบรรยากาศที่แบบ ชี้หน้าคนเห็นต่างว่าเป็นศัตรู ด้วยท่าที่ของการปลุกระดมให้เกิดความขัดแย้ง แตกแยกรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ความเป็นไปที่มีแนวโน้มเช่นนี้ ย่อมถือว่าอันตรายอย่างยิ่งต่อการอยู่ร่วมกันเป็นชาติที่ประชาชนมีความร่วมมือร่วมใจ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญของการพัฒนาให้ประเทศเดินหน้าไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองได้

พล.อ.ประวิตร ระบุว่า ผมจึงต้องมาย้ำอีกครั้งว่า ประเทศไม่มีทางออกอื่น นอกจากต้องร่วมกันก้าวข้ามความขัดแย้ง และขอให้รู้ว่า ที่ผมมาพูดเรื่องนี้ และขอให้ทุกคน ทุกฝ่ายร่วมมือกัน ไม่ใช่เรื่องที่ผมมาพูดเอาเท่ หรือสร้างจุดขายที่แตกต่างของการเป็นผู้นำการเมืองอย่างที่หลาย ๆ คนพยายามคิดและพูดกันไป ไม่ได้ตั้งใจสร้างภาพให้เกิดความต่างเพื่อเป็นตัวเลือกใหม่ หรืออะไรอย่างนั้น แต่ผมรู้สึกและเกิดเป็นความคิดจริง ๆ ว่า การเมืองเดินหน้าต่อไปไม่ได้หากไม่ก้าวข้ามความขัดแย้ง และผมขอบอกว่า เป็นความรู้สึกและความคิดที่เกิดจากประสบการณ์ อันหมายถึงการได้เห็น ได้ยินได้ฟัง ได้สัมผัสรับรู้มา จากคนในทุกกลุ่ม ทุกวงการ ทั้งฝ่ายอนุรักษ์นิยม ที่ชินกับการจัดการด้วยอำนาจ และฝ่ายเสรีนิยม ที่มีธรรมชาติของการเปิดรับความคิดเห็นที่แตกต่างได้มากกว่า ผมเห็นจุดอ่อนและจุดแข็งของทั้ง 2 ฝ่ายที่ไม่มีทางจะทำให้ฝ่ายตรงกันข้ามพ่ายแพ้อย่างราบคาบ โดยฝ่ายตัวได้รับชัยชนะอย่างเด็ดขาด

พล.อ.ประวิตร ยังระบุอีกว่า เพราะเห็นเช่นนี้ ผมจึงตัดสินใจใช้เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่ หาทางทำให้ประเทศมีทางออกจาก ‘วงจรอันสิ้นหวังของการร่วมกันอย่างสุขสงบ’ นี้ให้ได้เสียที

มีคำถามว่า “ผมจะทำอะไร” ผมอยากจะบอกว่า ในความเป็นจริงนั้น ผมทำเรื่อง ‘ก้าวข้ามความขัดแย้ง’ มาก่อนหน้านี้แล้ว เป็นการทำอย่างเงียบ ๆ และโดยใช้ ‘ความเป็นผม’ ทั้งหมดเพื่อให้เกิดความสำเร็จ คำตอบในเรื่องนี้ เห็นได้ไม่ยากหากย้อนไปทบทวนช่วง ‘รัฐสภาแก้ไขรัฐธรรมนูญ’ จาก ‘เลือกตั้งด้วยบัตรใบเดียว’ มาเป็น ‘สองใบ’ และแก้ตัวหารคะแนน ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์จาก 500 มาเป็น 100 ช่วงนั้นเกิดความขัดแย้งรุนแรง พรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคเห็นไปทางเดียวกับสมาชิกวุฒิสภาที่ไม่เอาด้วยกับแนวทางนั้น ต้องการให้เลือกด้วยบัตรใบเดียว ปาร์ตี้ลิสต์หาร 500 เหมือนเดิม เพราะมองไม่เห็นว่า แก้ไขแล้วพรรครัฐบาลจะมีโอกาสชนะพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ มีสมาชิกและเครือข่ายฐานเสียงมากกว่าได้อย่างไร

ขณะที่พรรคการเมือง บางพรรคโจมตี ส.ว.อย่างรุนแรง ทำนองว่าเป็นส่วนเกินที่ให้ผลในทางเลวร้ายต่อประชาธิปไตย ไม่ควรจะออกมาใช้สิทธิแสดงความคิด ออกเสียง สร้างความเกลียดชังต่อกันรุนแรง ตอนนั้นผมเป็นผู้นำ ‘พลังประชารัฐ’ ที่เป็นพรรคแกนนำรัฐบาล มีแรงกดดันมากมายทั้งในพรรคและนอกพรรค อย่างที่รู้ ๆ กันว่าแม้แต่ ‘ผู้นำในทำเนียบรัฐบาล’ ก็ส่งสัญญาณผ่านคนใกล้ชิดว่า “ต้องกลับเป็นบัตรใบเดียว และปาร์ตี้ลิสต์หาร 500” เพื่อความได้เปรียบของพรรคร่วมรัฐบาล ตัดโอกาสที่จะชนะของพรรคฝ่ายค้านที่เป็นพรรคใหญ่ เป็นผมเองที่เห็นว่า “จะใช้อำนาจทำแบบนั้นไม่ได้ ถึงเวลาที่จะต้องจัดการให้การเมืองเดินหน้าไปโดยยึดหลักการประชาธิปไตย” แต่ความยากอยู่ที่จะคุยอย่างไร ให้เสียงส่วนใหญ่ทำตามอย่างที่ผมเห็น ยากตรงที่มีการโจมตี ส.ว.ด้วยถ้อยคำรุนแรงมากมาย จนมองไม่เห็นว่าจะดึงอารมณ์ให้กลับมาพูดดี ๆ อย่างเข้าอกเข้าใจกันได้อย่างไร

‘องอาจ’ ฉะ ‘บิ๊กป้อม’ อ้าง ปชป.เท ‘มาร์ค’ หวังร่วม รบ. ยัน!! มาร์คออกเพราะสปิริต และร่วมรัฐหลังได้ หน.ใหม่

(21 เม.ย. 66) นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ดูแลพื้นที่กรุงเทพมหานคร กล่าวถึงบทความของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้ารรคพลังประชารัฐ (พปช.) เรื่องจะจัดตั้งรัฐบาลอย่างไร ที่เขียนลงในเฟซบุ๊กพาดพิงถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่า หัวหน้าพรรค คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศไม่ยอมให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นนายกรัฐมนตรีต่อ แต่พอถึงเวลาจัดตั้งรัฐบาล พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วม โดยหัวหน้าพรรคคนใหม่ แต่ให้คุณอภิสิทธิ์ลาออกไป โดยมีประโยชน์ของประชาชนมากมายมาอ้างว่า ข้อความที่ พล.อ.ประวิตร เขียนนี้ยังคลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง เพราะในความเป็นจริงแล้ว นายอภิสิทธิ์ ได้ประกาศลาออกจากหัวหน้าพรรคฯ ตั้งแต่กลางคืนวันที่ 24 มี.ค. 2562 หลังจากทราบผลการเลือกตั้งอย่างไม่เป็นทางการว่าเรามีจำนวน ส.ส.ที่ได้รับเลือกตั้งน้อยกว่าเดิม โดยการลาออกนี้เป็นการแสดงสปิริตความรับผิดชอบต่อผลการเลือกตั้งที่เกิดขึ้น

ติ่งส้มทิ้งบอมบ์!! เลือก ‘เพื่อไทย’ ได้ป้อม ภท.มีเฮ!! โพลพรรคใหญ่ยกให้ 2 เขต กทม.

ทุกปลายสัปดาห์...เลียบการเมืองก็จะเลาะขอบสนาม และล้วงลึกศึกเลือกตั้งด้วยข่าวสารสีสันประเภทลึกแต่ไม่ลับ...จับประเด็นจับกระแส..มาบอกกล่าวกัน...

ยื่นชี้แจงกกต. เรียบร้อยโรงเรียนเพื่อไทยไปแล้วเมื่อต้นสัปดาห์ หมอชลน่าน ศรีแก้ว หัวหน้าพรรคบอกว่าไม่เพียงเรื่องนโยบายแจกเงิน 1 หมื่นบาทเท่านั้น แต่ยังชี้แจงนโยบายเรื่องอื่นๆ ไปด้วยรวมทั้งสิ้น 169 นโยบายเลยทีเดียว เรียกว่านาทีนี้ พรรคเพื่อไทย ก็คงผ่อนคลายได้นิดหน่อยที่กระแสถล่มนโยบายแจกหมื่นบาทเบาบางไปบ้างแล้ว…

แต่เชื่อหรือไม่ว่า ระเบิดลูกสำคัญที่พรรคเพื่อไทยยังปลดชนวนไม่ได้...แม้ว่าระยะหลังคุณหนูอุ๊งอิ๊งจะพัฒนาการพูดเก่งขึ้นแค่ไหนก็ตาม...นั่นคือระเบิดเรื่องดีลลับจับมือกับพลังประชารัฐจัดตั้งรัฐบาล...ซึ่งเรื่องนี้พอจะอ่านทางกันออกว่าพรรคเพื่อไทยโคตรลำบากใจ...ไม่อาจจะเล่นบทผีไม่เผาเงาไม่เหยียบแบบพรรคก้าวไกลได้...

อันว่าพรรคก้าวไกลนั้นหัวหน้าพรรคประกาศชัดว่าร่วมรัฐบาลกับเพื่อไทยนั้นเป็นไปได้ แต่ต้องไม่มีพรรค 2ป. ร่วมด้วย กล่าวคือ… ‘มีลุงต้องไม่มีเรา’ ...ดังนั้นพอเพื่อไทยพูดไม่ชัดในเรื่องนี้ ยามนี้บรรดา ‘ติ่งส้ม’ ก็ทยอยปั่นแคมเปญด้อยค่า เพื่อไทยว่า…’เลือกเพื่อไทยได้ป้อม’ ประโยคเดียววลีเดียวเสียวทั้ง 400 เขต...

ปลายเดือนนี้สองลุงจะล่องใต้เดินตามรอยกันไป...ลุงป้อมนั้นปราศรัยใหญ่ที่นครศรีธรรมราช วันที่ 29 เม.ย.66 ส่วนลุงตู่จัดคิว 29-30 เม.ย.66 ลุยหาเสียงจังหวัดตรัง, พัทลุง, สงขลา และสตูล...แว่วว่าคืน 29 เม.ย.66 จะปักหลักพักค้างที่ อ.หาดใหญ่กันเลยทีเดียว....ทิ้งช่วงสักพักจะเลี้ยวกลับไป สุราษฎร์ธานี และนครศรีธรรมราช...สมรภูมิสำคัญของภาคใต้อีกครั้ง


TRENDING
© Copyright 2021, All rights reserved. THE STATES TIMES
Take Me Top